เมืองจางแห่งนี้ข่าวไปไวยิ่งนัก เสี่ยวลู่บอกกับเขาว่าตนได้รับการทาบทามเมื่อวานตอนเช้า แต่บิดาเพิ่งบอกนางตอนหัวค่ำ ใจนางร้อนรนอยากมาหาเขาตั้งแต่ยามดึกแล้วแต่ติดที่หาจังหวะหนีออกมาไม่ได้ พอรุ่งสางของวันนี้ถึงแอบออกมาได้ในที่สุด
พอคำนวณดูนี่ยังไม่ทันพ้นวันด้วยซ้ำ ข่าวลื่อก็ดังไปทั่วเมืองแล้ว เห็นทีเรื่องนี้ก็คงยุ่งยากไปอีกเท่าตัว
“ไม่แปลกหรอก ทั้งสองตระกูลเป็นตระกูลพ่อค้าเหมือนกัน ร่ำรวยพอ ๆ กัน ไม่มีใครเหนือกว่าใคร ข้าเองก็คิดว่าในสักวันต้องได้เห็นงานมงคลที่เอิกเกริกสักครั้งเช่นกัน วันนี้ก็มาถึงแล้ว!”
“ฮ่า ๆ เจ้าหวังดื่มสุรามงคลสิท่า”
“ทั้งสองตระกูลร่ำรวยขนาดนั้น แถมตระกูลว่านและตระกูลเซี่ยก็รักหน้ารักตามากกว่าใคร จัดงานทั้งที คงเลี้ยงคนทั้งเมือง!”
“เจ้าก็กล่าวเกินไป ยังต้องไว้หน้าวังหลวงอยู่บ้าง คงต้องบอกว่าเลี้ยงคนเกินครึ่งเมืองแทน!”
“ฮ่า ๆ”
กู่ซิงอีได้ฟังก็หัวเราะเสียงเยียบเย็นในใจ มือบีบจอกชาแน่นขึ้นทันที
หึ สุราหรือ ไว้ไปขอของข้าดื่มแทนแล้วกัน!
งานแต่งในครั้งนี้ไหนเลยจะลำบากให้พวกเจ้าลากสังขารมาดื่มสุรามงคล เพราะมันจะต้องไม่เกิดขึ้น!
กู่ซิงอีหันมองไปทางนั้นด้วยความไม่พอใจ จดจำใบหน้าของบุรุษสามคนไว้ในใจ อารมณ์ไม่ดีราวกับตนเองเป็นคนที่ถูกบังคับตบแต่งเสียเอง
ชั่วอึดใจต่อมาโต๊ะอีกฝั่งที่ตั้งไม่ไกลจากจุดที่สามคนนั้นนั่งอยู่ก็มีบุรุษสองคนนั่งอยู่ด้วยกัน เมื่อได้ยินบทสนทนาโต๊ะอื่นจึงเริ่มคุยกันบ้าง
“ความจริงคุณชายว่านก็ถึงเวลาที่ควรแต่งงานได้ตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว แต่เดิมข้ายังคิดว่าที่เขาไม่แต่งฮูหยินสักทีเพราะไม่มีสตรีที่ถูกใจ หรือไม่ก็เพราะไม่มีใครอยากแต่งกับเขาเสียอีก ดูเอาเถิด มีเพียงฟ้าดินที่ล่วงรู้ ไม่ทันไรก็มีข่าวดีเสียแล้ว”
“ชิ ๆ ๆ เจ้านี่ช่างไม่รู้อะไร จะไม่มีใครอยากแต่งให้เขาได้อย่างไร ต่อให้ขาพิการก็เถอะ แต่เงินของคุณชายว่านมีกินมีใช้ได้กี่ชาติเจ้าคงจินตนาการไม่ได้แน่! หากข้าเป็นสตรีที่งดงามคงต้องไปหลอกล่อเขาแล้ว!” พอกล่าวถึงประโยคท้าย ๆ ก็เจือแววขบขันมาด้วย
“เอ๊ะ! หรือที่คุณชายว่านมิแต่งงานเสียทีเป็นเพราะอาจชอบบุรุษด้วยกัน”
“นี่! วันนี้เจ้าลืมพกหัวออกมาจากบ้านด้วยหรือไร เรื่องเช่นนี้มาพูดโต้ง ๆ ได้เสียที่ไหน” มิใช่ว่าตัวเขาไม่เคยคิด ย่อมคิดมาก่อนแล้วแต่ไม่กล้าพูด คุณชายว่านแม้จะเป็นคนที่รักษาชื่อเสียงด้านดีไว้ตลอดแต่ไม่มีใครไม่รู้ว่าคนผู้นั้นมีอำนาจในมือกว้างขวางขนาดไหน แน่นอนว่าไม่มีใครอยากหาเรื่องใส่ตัว
กู่ซิงอีทั้งหงุดหงิดทั้งหนวกหู หยิบเงินออกมาวางไว้ที่โต๊ะแล้วลุกเดินหนีออกจากร้านไป
เสี่ยวเอ้อที่ยืนรับลูกค้าอยู่พอเห็นเขาไปแล้วก็กล่าวขอบคุณอยู่สองสามที
แต่กู่ซิงอีก็เดินไปไม่ไกลนัก เอ่อ...เอาเข้าจริงคือกู่ซิงอีไปหยุดยืนอยู่หน้าร้านว่านเลยต่างหาก
ในตอนนี้ก็เพิ่งจะหยิบเงินจ่ายค่าน้ำตาลปั้นที่เพิ่งกัดเข้าปากไป ตัวน้ำตาลหวานหอมมีกลิ่นเฉพาะ คราแรกแข็งเล็กน้อยแต่พอความหวานกระจายไปทั่วปากก็พาให้อารมณ์คุกรุ่นเมื่อครู่เจือจางลงไปได้พอสมควร
อีกทั้งในกลิ่นไอของลมหายใจที่มีกลิ่นหอมเจือจางจากสุราเมื่อวานที่เขาดื่มไปก็กำจายออกมา เมื่อผสมกับความหวานของน้ำตาลเคี่ยวจนได้ที่ก็ทำให้สมองปลอดโปร่งขึ้นมากกว่าเดิม
ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่ขนมจะทำให้เขาผิดหวัง!
กู่ซิงอีพลันหยุดเคี้ยวเพื่อทำให้เสียงในหูเงียบลงไปก่อน เพราะเพิ่งนึกถึงคำพูดที่คนในร้านน้ำชากล่าวเมื่อครู่ขึ้นมาได้พอดี เขายืนทบทวนทุกอย่างในใจเงียบ ๆ
ก่อนจะพึมพำกับตนเองแผ่วเบาว่า “หากตนเป็นสตรีงดงามจะไปหลอกล่อ” คิ้วได้รูปพลันยกขึ้นเล็กน้อย คิดแผนบางอย่างไว้ในใจ ก่อนจะนึกถึงบทสนทนาที่เหลือ “ชอบบุรุษ...เรื่องนี้คงไม่”
“เอ๊ะพ่อหนุ่ม กลิ่นบนตัวเจ้าเป็นกลิ่นอะไรกัน”
แม่ค้าขายน้ำตาลปั้นได้กลิ่นหอมสดชื่นก็เอ่ยทัก คราแรกนางยังคงไม่ได้กลิ่นอะไรแต่อาจเพราะลมของสารทฤดูที่พัดผ่านมาเมื่อครู่ทำให้ได้กลิ่นเข้าพอดี
กู่ซิงอีที่ถูกถามก็ไม่แน่ใจว่าตนมีกลิ่นอะไร ทำหน้าสงสัยก่อนจะยกแขนเสื้อขึ้นดม อาจด้วยความเคยชินกับกลิ่นบนกายเขาเลยไม่เคยสังเกต แต่พอตั้งใจดมก็รู้ว่าที่ท่านน้าขายน้ำตาลปั้นถามถึงคือกลิ่นใด “กลิ่นสุราหมักกระมัง”
“สุราแสงจันทร์?”
“ท่านน้า! ท่านปราดเปรื่องยิ่งนัก” กู่ซิงอียอมรับเลยว่าหัวใจเต้นเร็วขึ้นมาหนึ่งจังหวะ คล้ายโดนจับได้ว่าตนเป็นใคร คล้ายว่ามีคนจมูกดีจนถึงขั้นจดจำสุราของตนเองได้ และอาจเป็นความปลื้มปิติระลอกหนึ่งที่ไหล่ผ่านหัวใจ จึงเผลอแย้มยิ้มโดยไม่รู้ตัว
เสื้อคลุมตัวนอกตัวนี้เป็นชุดเดียวที่เขามี เมื่อวานกู่ซิงอีใส่หมักสุราแล้วก่อนนอนก็ถอดไปผึ่งลมไว้ แต่ดันผึ่งอยู่ในโรงเก็บสุรา กลิ่นเลยติดมาค่อนข้างมาก
“ชมเกินไปแล้ว แค่คุ้นเคยเล็กน้อย ๆ เดิมข้าเป็นคนจมูกดีอยู่แล้วด้วย แต่ปกติจะได้กลิ่นขนาดนี้คงต้องทำสุราหกใส่ตัวเองกระมัง” แม่ค้าร้านน้ำตาลปั้นมองบุรุษชุดฟ้าสีพื้นที่เนื้อผ้าไม่ได้ดีมากไม่ได้หยาบมาก และค่อนข้างสะอาดสะอ้าน ดูไม่เหมือนพวกที่ชอบดื่มสุราต่างน้ำ อีกทั้งใบหน้ารูปงามที่พบยากในเมืองจางก็ดูไม่เมามายหรืออ่อนล้าอย่างกับคนที่ดื่มสุรามากจนเกินพอดีเลยสักนิด แล้วเหตุใดกลิ่นบนตัวจึงชัดเจนนัก “ข้าแค่ไปส่งสุราเท่านั้น” กู่ซิงอีกล่าวเรื่องจริงเพียงครึ่งส่วน ในตอนนั้นท่านน้าก็หันไปรับลูกค้าพอดีเขาจึงไม่ต้องหาเรื่องมาแก้ตัวอีก ครั้นพอไม่มีคนชวนคุยแล้วเขาถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนมาทำอะไรอยู่กลางตลาด เป็นจังหวะเดียวกับที่รถม้าสีเข้มคันหนึ่งพลันขับผ่านหน้าเขาไปพอดี คิ้วของกู่ซิงอีเลิกขึ้นเล็กน้อย รู้ได้ทันทีว่ารถคันนี้ต้องเป็นของคุณชายว่านแน่นอน เพราะตัวรถม้าออกแบบให้ค่อนข้างเตี้ยยกห่างจากพื้นไม่ถึงหนึ่งข้อศอก ดังนั้นจึงดูออกได้ง่ายว่าไม่ใช่รถม้าแบบทั่วไป และเมื่อมองตามไปก็พบว่ารถม้าได้หายเข้าไปข้างร้านว่านพอดี เลี้ยวไปในจุดอับสายตาที่คนไม่ค่อยสังเกตเห็นผ่านประตูสีน้ำตาลบานใ
จวนตระกูลเซี่ยจะว่าใหญ่โตก็คือใหญ่โต แต่การดูแลค่อนข้างหละหลวม หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะว่ากู่ซิงอีเข้าออกบ่อยจนชินไปแล้ว รู้ว่าควรเข้าที่ใด รู้ว่าที่หลบอยู่ตรงไหน และรู้ว่าควรมาเวลาใด ดังนั้นไม่ใช่เรื่องยากที่จะแอบย่องเข้ามาเหมือนโจรผู้หนึ่ง ยามปกติกู่ซิงอีมักจะหลบซ่อนบนต้นไม้ใกล้บานหน้าต่างห้องของเซี่ยลู่หลินแล้วใช้หินสามก้อนโยนไปกระทบหน้าต่างตามจังหวะ แต่สารทฤดูดำเนินมาครึ่งทางแล้วใบไม้จึงเริ่มร่วงหล่นใกล้หมดต้น จะหลบอย่างไรก็หลบไม่มิด ดังนั้นวันนี้กู่ซิงอีจึงเดินมาเคาะบานหน้าต่างของสหายตามจังหวะเดียวกับที่ใช้หินโยน เคาะหนึ่งครั้งเว้นไปสักพัก ช่วงเวลาที่เว้นไปก็หันมองซ้ายขวาและด้านหน้าตลอดเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ เซี่ยลู่หลินกับเขาเป็นสหายกันมานานแบ่งแยกออกอย่างชัดเจนว่าไม่เคยคิดเกินเลย นับเป็นสหายที่ล่มหัวจมท้ายจนรู้ใจ แต่อย่างไรเสียคนทั่วไปก็คงมองว่าบุรุษและสตรีที่ไหนจะเป็นเพื่อนกันได้ แม้นพวกเขาไม่คิดอันใดแต่คนนอกย่อมต้องคิดแน่ กู่ซิงอีนึกถึงชื่อเสียงของเซี่ยลู่หลินมาก่อนเสมอจะทำให้สหายเสียชื่อไม่ได้ เวลาแอบย่องมาเล่นด้วยกันที่จวนตระกูลเซี่ยจึงต้องคอยระวังอยู่ตลอด ทว
กู่ซิงอีถึงขั้นเกาหัวด้วยความฉงน จู่ ๆ ก็โดนฝ่ามืออรหันต์ “จะส่งคนไปทั้งที่ก็ต้องส่งแบบที่เจ้าตัวชอบสิ บางทีคุณชายว่านอาจจะไม่ได้ชอบคนที่มีหุ่นงดงาม อาจชอบที่เรียบร้อยและเด็กกว่าตนมากก็ได้” สุดท้ายแล้วทั้งคู่ก็ถกเถียงกันอยู่นาน กู่ซิงอีที่ไม่มีงานทำเพราะหมักสุราไว้มากพอแล้วจึงอาสาไปสืบถามหาข่าวดูว่าคุณชายว่านเคยมีสตรีที่คบหาหรือไม่ หรือว่าเคยไปเที่ยวหอย่านโคมแดงแล้วเลือกสตรีแบบไหน “คุณชายว่านหรือ ไม่เห็นว่าเขาจะมีใครที่เคยชอบพอกัน” นี่คือคำกล่าวของคนที่อยู่ละแวกจวนของตระกูลว่านซึ่งมีแต่คำบอกเล่าในทำนองเดียวกันทั้งหมด กู่ซิงอีจึงเดินทางต่อไปแถวย่านโคมแดงแทน “คุณชายว่านหรือ ข้าไม่เคยเห็นเขาไปงานเลี้ยงด้วยซ้ำ” “คุณชายว่านไม่เคยมาที่แบบนี้หรอก วัน ๆ เห็นแต่ขลุกตัวอยู่ในจวนกับร้านว่านกลางเมือง” “ข้าเคยเห็นเขามาเจรจาการค้าอยู่บ้างแต่ส่วนมากไม่มาที่หอเริงรมย์ของข้าหรอก นู่น เขาแวะเข้าร้านน้ำชาแทน !” สรุปแล้วกู่ซิงอีเสียเวลาไปจนค่ำก็รู้แค่ว่าคนผู้นั้นเก็บตัวมากนัก หอเริงรมย์หรือหอรื่นเริงแต่ละที่ก็ยังไม่เคยไปและไม่เคยเรียกใครไปที่จวนเพื่อจัดงานเลี้ยงเหมือนที
สองสามวันมานี้กู่ซิงอีคอยเฝ้าประกบตามดูคุณชายว่านอยู่ตลอด วันไหนที่คุณชายว่านออกมาจากจวนเพื่อมาร้านว่านกู่ซิงอีก็จะไปดักรอตั้งแต่ออกจากจวนตามมาจนกระทั่งถึงร้านว่าน ด้วยเพราะรถม้าตระกูลว่านเคลื่อนที่ช้ายิ่งนักเขาจึงเดินตามทันไม่เคยคลาดสายตาแม้แต่น้อย แต่ตลอดทางก็ไม่เห็นคนด้านในชายตาแลสาวคนไหน ผ้าม่านรถม้าถูกปิดไว้อย่างไรก็ยังคงปิดไว้ดังเดิมตลอดมิเคยเปิดออก แถมตอนอยู่ที่จวนคุณชายว่านก็เอาแต่ทำงานทั้งวัน ถึงตัวกู่ซิงอีจะมิได้แอบเข้าไปด้านในเพราะมีคนเดินตรวจตราอยู่ตลอด แต่แค่ปีนกำแพงอยู่ด้านนอกคอยสังเกตอยู่ห่าง ๆ ก็รู้ได้แล้วว่าคนผู้นี้บ้างานขนาดไหน เพราะห้องทำงานของคุณชายว่านก็คือเรือนที่อยู่ใกล้กับกำแพงเลยเห็นได้ว่าอีกฝ่ายไม่ออกไปไหนเลย มีเพียงคนสนิทของคุณชายว่านเท่านั้นที่เดินถือของเข้าออกอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งเท่าที่สังเกตเห็นบ่าวรับใช้ในจวนที่เป็นสตรีก็มีแต่คนสูงวัยทั้งนั้น คล้ายว่าระวังตัวเรื่องชู้สาวไว้อยู่แล้ว วันเวลาจึงดำเนินทิ้งไปอย่างเปล่าประโยชน์ โดยยังมิทันได้เรื่องราวใดเป็นชิ้นเป็นอันเสียที ต่อมาไม่กี่วันกู่ซิงอีกับเซี่ยลู่หลินก็หาคนได้แล้ว เป็นดรุณีน้อยแรก
“เกิดอะไรขึ้น” เสียงเนิบนาบด้านในรถม้าเอ่ยถามขึ้นในชั่วขณะนั้น กู่ซิงอีได้ยินยลก็พบว่าคนผู้หนึ่งหน้าตาดีขนาดนั้นได้แล้ว เสียงเองก็ยังน่าฟังมากยิ่งนัก อดเผลอมองไปที่หน้าต่างรถม้าซึ่งมีผ้าม่านปิดอยู่มิได้ หลี่เซียวที่นั่งอยู่หน้ารถม้าก็รายงานเข้าไปให้คนด้านในฟังว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่เขามัวแต่หันไปบอกคุณชายของตนว่าใกล้ถึงที่หมายแล้วจึงไม่ทันเห็นว่าสตรีผู้นี้ผ่านหน้ารถม้าตนตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เสียงม้าร้องขึ้นมาแล้ว กู่ซิงอีหันมาสนใจฉีหย่าที่ทำท่าจะลุกแต่ก็ล้มลงไปกับพื้นต่อ พลางพิเคราะห์ในใจว่า แผนนี้ของเซี่ยลู่หลินอาจใช้ได้ผลแปดส่วนเท่านั้น เพราะส่วนมากคนที่ถูกรถม้าชนในตลาดมักจะเป็นขอทาน คนไร้บ้าน หรือพวกต้มตุ๋น สามกลุ่มนี้ล้วนมีเป้าหมายเดียวกันคือทำเพื่อหลอกเงินคนร่ำรวยอย่างคุณชายว่านเท่านั้น แต่ครั้งนี้อาจจะต่างออกไปก็ได้ เพราะว่าคนที่ถูกชนเป็นสตรีหน้าตางดงามนางหนึ่ง ความงามย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง ผู้ใดพบเห็นจะต้องสงสารแม่นางฉีหย่าก่อนถามไถ่ความจริงเป็นแน่ ด้านว่านฟู่เฉิงพอฟังจบแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นก็สั่งให้หลี่เซียวไปจัดการตามสมควร เรื่องเงิน
แผนการที่กู่ซิงอีคิดไว้คือให้ฉีหย่าได้พบกับคุณชายว่านก่อน ดังนั้นเมื่อครู่พอเห็นนางขึ้นรถม้าไปก็เบาใจ แต่ไหนเลยจะคิดว่ารถม้ากลับตรงไปแทนที่จะเลี้ยวเข้าร้านว่าน ทำให้การที่ฉีหย่าจะได้เจอคุณชายว่านนั้นน้อยลงไปยิ่งกว่าเดิม รถม้าของตระกูลว่านยังคงเคลื่อนที่ช้ามากนักแม้จะเลยจุดที่ผู้คนเนืองแน่นมาแล้วก็ตาม แต่ก็ดีเพราะเหตุนี้ทั้งสองคนถึงได้เดินตามมาได้ทัน ในตอนนั้นก็ได้ยินแม่นางฉีหย่าส่งเสียงพูดไม่หยุด “คุณชาย รบกวนท่านแล้ว บ่าวไม่เป็นไรมากเจ้าค่ะ พักสักนิดก็หาย ไม่จำเป็นต้องพาบ่าวไปถึงโรงหมอหรอกเจ้าค่ะ” ฉีหย่าพยายามกล่าวเสียงดังให้คนด้านในได้ยิน แม้กระทั่งคำเรียกขานตนเองนางก็เปลี่ยนให้ตนดูต้อยต่ำลง “เป็นบ่าวที่ผิดเอง เพราะไม่ได้กินอะไรมาหลายวันจึงหน้ามืดเดินไม่ดูทาง” แม้ว่าน้ำเสียงของนางทั้งนุ่มนวลและอ้อยอิ่งใครได้ยินจำต้องอยากสนทนาด้วยอีกสักหน่อย แต่กลับไร้เสียงตอบกลับมาจากด้านในอย่างที่ควร “แม่นางรอพบหมอก่อนเถิด ข้าจะมอบเงินค่าเสียหายให้แน่นอน เจ้าจะได้มีเงินไว้ซื้อข้าวกิน” ประโยคนี้เป็นหลี่เซียวที่นั่งข้างกันเป็นคนกล่าวแทน “ท่านมอบเงินให้บ่าวก็เหมือนมอบปลาใ
สองสามวันผ่านไปก็ไร้วี่แววว่าฉีหย่าจะทำงานสำเร็จ ในตอนนั้นร้านว่านรับสมัครบ่าวชายไปทำงานที่จวนตระกูลว่านพอดี กู่ซิงอีจึงรีบไปเสนอหน้าก่อนใคร แถมด้วยความฉลาดพูดของเขาก็ทำให้ได้งานในทันที กู่ซิงอีพอย้ายเข้ามาในจวนก็ส่งข่าวให้ฉีหย่าหาเรื่องมาที่จวนตระกูลว่านให้ได้ในสองสามวันนี้ เพราะเขาได้ข่าวว่าทางการสั่งห้ามออกจากบ้านเป็นเวลาเจ็ดวันหากเลยยามซวี [1] ไปแล้ว ดังนั้นจะต้องหาเรื่องให้นางรั้งอยู่จนถึงยามนั้นเพื่อให้นางพักที่จวนตระกูลว่านให้ได้ ([1] ยามซวี คือช่วงเวลา 19.00-20.59 น.) ความจริงถ้ามีเวลามากกว่านี้กู่ซิงอีคิดว่าคงให้นางค่อย ๆ เอาชนะใจคุณชายว่าน แต่เพราะระยะเวลากระชั้นชิดเกินไป ต้องรีบหาทางให้ทั้งคู่ได้เจอกันก่อน ตกดึกคืนนั้นกู่ซิงอีกลับได้รับหน้าที่เพิ่มเติมคือต้องไปเดินตรวจตรารอบจวนแทนคนเก่าที่เกิดหกล้มจนเดินไม่ได้ขึ้นมากะทันหัน จวนตระกูลว่านค่อนข้างใหญ่โต จึงแบ่งการเดินตรวจเวรออกเป็นสองฝั่ง ในแต่ละรอบจะมีคนเดินตรวจตราทีละสองคน กู่ซิงอีแต่เดิมก็เป็นคนมีความจำเป็นเลิศ บ่าวชายอีกคนที่ทำงานในวันนี้ด้วยกันบอกเส้นทางเพียงครั้งเดียวเขาก็รู้ว่าตนต้องไปทางไ
เอาเข้าจริงหากเซี่ยลู่หลินเห็นเพียงด้านหลังของอีกฝ่ายและได้ยินน้ำเสียงนี้ก็คงไม่รู้แน่ว่าเป็นสหายของตน กู่ซิงอีนั้นนอกจากจะดัดเสียงแล้วยังปลอมตัวอีกด้วย เขาสวมผ้าคาดที่หน้าผากแบบบ่าวทั่วไปชอบสวมแถมยังมัดผมขึ้นจนหมดไม่ได้ปล่อยหางม้าแบบเคย และอย่างไรเสียคุณชายว่านกับเขาก็เคยเจอหน้ากันหนหนึ่งเท่านั้นแถมเป็นตอนที่เขาอยู่ไกลกันค่อนข้างมาก คงไม่มีทางจำกันได้ ว่านฟู่เฉิงคาดไม่ถึงว่าบ่าวชายจะซ่อมล้อรถเข็นให้ตนเช่นนี้ คิดว่าอีกฝ่ายคงจะพาตนเองกลับไป ไม่ก็ไปเรียกคนสนิทของตนมาให้ หรือไม่ก็ไปหารถเข็นตัวสำรองมาแทน แถมเมื่อครู่ตอนเขาล้มบ่าวคนนี้ก็ไม่พูดไม่จาไม่ถามเขาว่าเจ็บหรือไม่ ทำเพียงอุ้มเขาขึ้นมาอย่างง่ายดายแล้วจากไป ไม่เหมือนกับคนที่เขาเคยเจอเลยสักนิด ความรู้สึกโกรธจึงเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัยแทน กู่ซิงอีเห็นอีกฝ่ายเงียบไปก็เงยหน้าขึ้นมอง “หรือว่าคุณชายบาดเจ็บตรงไหน” เพิ่งจะมาเอ่ยปากถามเอาตอนนี้เอง ว่านฟู่เฉิงแทบอยากถอนหายใจใส่แต่ก็ทำเพียงเก็บอารมณ์นั้นเอาไว้ในใจ กล่าวเนิบนาบอย่างรักษาท่าทีว่า “เจ็บหัวเข่านิดหน่อยแต่ไม่เป็นไรมาก” บ่าวคนนี้ความรู้สึกช้ายิ่งนัก!
ค่ำคืนวันนี้ไร้ดวงจันทร์คอยส่องแสงอย่างเคย ทางเบื้องหน้ามืดสนิทจนแทบมองไม่เห็นทางเดิน แต่กู่ซิงอีกลับไม่รู้สึกว่ามันน่ากลัวอย่างที่คิด อาจเป็นเพราะยามนี้เขาได้ขี่อยู่บนหลังผู้อื่น ลำตัวแนบชิดกับคนที่กำลังเดินอยู่จนไร้ช่องว่างระหว่างกาย รับรู้ได้ถึงแผ่นหลังที่สั่นไหวเบา ๆ ทำให้รู้ว่ายังมีใครอีกคนอยู่กับตนเสมอ กู่ซิงอีกระชับอ้อมแขนที่เกี่ยวคอคนออกแรงอยู่เพิ่มขึ้นอีกนิด “อีกนานหรือไม่” เขาเอ่ยถามออกไปเพราะรู้สึกว่าตนถูกแบกมาไกลมากแล้ว กระนั้นว่านฟู่เฉิงก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเดิน “เสี่ยวอี เหนื่อยแล้วหรือ” ว่านฟู่เฉิงเดินช้าลงและย่ำเท้าด้วยความเบา ด้วยเกรงว่าตนอาจจะเดินเร็วไปจนตัวสะเทือนทำให้คนที่อยู่บนหลังรู้สึกไม่สบายตัว “ข้าจะเหนื่อยได้อย่างไร ท่านเป็นคนแบกข้าอยู่นะ” กู่ซิงอีซบคางลงที่ไหล่ของว่านฟู่เฉิง ใจจริงแล้วเขาอยากให้เวลาหยุดอยู่เช่นนี้ตลอดไปเลยต่างหาก ถึงได้กำลังกลัวว่าจุดหมายปลายทางจะมาถึงเร็วเกินไป กระนั้นก็ยังอดห่วงว่าว่านฟู่เฉิงจะหนักอยู่ดีเลยไม่ได้บอกความในใจออกไป กู่ซิงอีเพิ่งได้รู้ว่าเมื่อก่อนตอนที่ว่านฟู่เฉิงถูกเขาแบกขึ้นบนหลังเดินไ
หลี่เซียวที่กำลังเดินอยู่ในจวนก็พบกับคุณชายของตนกำลังเดินมาหาด้วยท่าทางเร่งรีบ เขาไม่ได้เดินไปหาอย่างที่ควรจะเป็น กลับรอคุณชายเดินเข้ามาหาตนที่หยุดรออยู่ก่อนแล้วแทน พลางคิดในใจว่า เอาอีกแล้ว ! “เห็นเสี่ยวอีของข้าหรือไม่” นั่นไง จะมีสิ่งใดที่เขาเดาผิดไปจากท่าทางเร่งรีบของคุณชายได้อีก ! “เมื่อครู่พอคุณชายกู่เตรียมรากบัวต้มน้ำตาลอยู่ในครัวเสร็จแล้วคิดจะถือนำไปให้คุณชายด้วยตัวเอง แต่ไม่ทันระวังเผลอสะดุดจนของในมือหกรดตัวเอง ตอนนี้น่าจะกำลังไปเปลี่ยนชุดขอรับ” “สะดุดหรือ ! แล้วเสี่ยวอีบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” ว่านฟู่เฉิงพูดค่อนข้างเร็วอย่างหาได้อยาก แทบจะยืนไม่ติดที่อยู่แล้ว ตอนนี้ร่างกายอยู่ตรงนี้แต่หัวใจกลับลอยไปไกลแล้ว “ไม่เป็นอะไรมากขอรับ คุณชายกู่ทรงตัวได้ทันจึงไม่ได้ล้มพับไปกับพื้น แถมรากบัวก็มิได้ร้อนมากและก็เพียงเปื้อนโดนปลายอาภรณ์เล็กน้อยเท่านั้น” สิ่งที่หลี่เซียวไม่ได้กล่าวจนหมดก็คือกู่ซิงอีนั้นร้อนรนขนาดไหนหลังจากทำขนมหกใส่ตัวเอง เอ่ยปากบ่นอยู่หลายประโยคว่าชุดนั้นคุณชายเป็นคนเลือกให้ตนเองกับมือแถมยังแพงมากด้วย ครั้นบ่นเสร็จก็รีบจาก
ด้วยเพราะรู้ว่ากู่ซิงอีหลับลึกขนาดไหน ว่านฟู่เฉิงจึงใช้เรื่องนี้ในการแอบเอาเปรียบกู่ซิงอีอยู่บ่อยครั้ง อย่างเช่นเมื่อคืนที่เขาตื่นมากลางดึกและพบว่ามีใครแอบขยับมาซุกกายแนบชิดตนอยู่ แบบนั้นมีหรือจะอดใจไหว เผลอกัดกู่ซิงอีไปหลายทีจนกระทั่งอีกฝ่ายส่งเสียงฮึมฮัมในลำคอเหมือนจะรู้สึกตัวเขาถึงได้แสร้งหลับลงไปตามเดิม แต่กลับไม่ได้ปล่อยคนในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ เมื่อก่อนจะแอบทำทีไรต้องหักห้ามใจตลอด แต่บัดนี้ทั้งคู่ตบแต่งกันแล้ว เขาขอเชยชมสักนิดก็คงไม่เป็นไรกระมัง แต่อาจเพราะเผลอตัวมากไป กลับกระทำการไม่แนบเนียน โดนจับได้ตั้งแต่อีกฝ่ายลืมตาตื่นขึ้นมา “คุณชายว่าน เมื่อคืนทำอะไรแปลก ๆ หรือไม่” ว่านฟู่เฉิงหันมองคนที่ลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง เพราะกู่ซิงอีขี้ร้อนเป็นทุนเดิมเวลาสวมเสื้อผ้านอนมักจะมัดหลวม ๆ พอตื่นนอนมาทีไรเสื้อผ้าที่มัดไม่แน่นก็จะหลุดลุ่ยอย่างเช่นตอนนี้ อาภรณ์ที่เปิดกว้างเผยให้เห็นแผ่นอกขาวเนียนบางส่วนที่มีรอยช้ำจาง ๆ ผมดำเงาชี้ฟูเล็กน้อย ดวงตาก็หรี่เล็กลงยังไม่ทันลืมตาได้เต็มที่ แต่กลับถามเหมือนรู้บางอย่างเช่นนี้ เล่นเอาคนที่กำลังยกน้ำชาไปให้รู้สึกร
รุ่งอรุณก่อนวันงานเทศกาลฉีเฉียว “เสี่ยวอี เจ้ากำลังจะไปที่ใด” ว่านฟู่เฉิงเพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมาและกำลังลุกขึ้นนั่งก็ทันได้เห็นกู่ซิงอีที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จเข้าพอดี แถมดูท่าทางรีบร้อนเหมือนจะออกไปจากห้อง เมื่อถามเสร็จเขาก็เบนสายตามองดูท้องฟ้าข้างนอกหน้าต่าง ฟ้ายังไม่ทันสว่างเท่าไรนักน่าจะเลยยามเฉิน[1]มาเพียงไม่นาน ([1] ยามเฉิน คือ 07.00 – 08.59 น. ) แน่นอนว่าปกติทั้งสองคนต่างพากันตื่นเช้ากว่านี้นัก แต่เมื่อวานคุยกันแล้วว่าจะหยุดทำงานสามวัน เหตุใดกู่ซิงอีถึงลุกมาแต่งตัวคล้ายจะไปทำงานอีก ต่อให้ปกติพวกเขาจะสลับทำงานที่จวนและที่ร้านว่าน และวันนี้คือวันที่ต้องทำงานที่จวน ทว่าว่านฟู่เฉิงอยากให้ดูไม่มีความน่าสงสัยจึงเปลี่ยนเป็นหยุดงานทั้งหมดแทน คำกล่าวเช่นนั้นก็รวมถึงงานที่จวนก็ไม่ต้องทำมิใช่หรือ หยุดก็คือหยุด ไหนเลยกลับคาดไม่ถึงว่ากู่ซิงอีจะไม่เข้าใจสิ่งที่หมายถึงให้หยุดอยู่จวนจริง ๆ ครั้นพอได้เห็นอีกฝ่ายแต่งตัวก็คิดว่าจะออกไปที่ห้องทำงาน “ไปร้านขนมไฉ่ที่ข้าชอบอย่างไรเล่า นานครั้งเราถึงจะว่างในช่วงเช้าแบบนี้ รอบนี้ก็ไม่ต้องวานให้คนอื่นไปต่อแถวแทน ได้
อีกทั้งด้ายแดงที่เด่นชัดแม้อยู่ห่างไกลกันถึงเพียงนี้จากข้อมือแต่ละข้างของว่านฟู่เฉิงและกู่ซิงอีก็ดูคล้ายกันยิ่งนัก คนแอบมองจิตใจลนลานรีบหันกลับไปด้วยดวงตาเบิกโพลง ก้าวเดินตามหลังคนนำทางไปติด ๆ ด้วยท่าทางที่เร่งรีบขึ้นกว่าเดิมราวกับกำลังโดนไฟไล่เผาก้นมา สิ่งที่คนภายนอกกล่าวมาเรื่องฮูหยินของตระกูลว่านไม่มีที่มาที่ไปที่แน่ชัดหลอมรวมกับการกระทำของคนทั้งสองด้านหลัง และยังบวกกับก่อนหน้านี้ที่ได้พูดคุยกับกู่ซิงอีก็คล้ายว่างานทั้งหมดของตระกูลว่านได้ตกอยู่ในมือกู่ซิงอีแล้ว ดังนั้นทุกอย่างที่นึกขึ้นได้จึงไม่ใช่ตนคิดไปเองแน่ ๆ ทว่าเซี่ยหลี่จวินแม้จะได้ล่วงรู้ความลับเรื่องนี้เข้าแต่ก็ไม่ได้คิดจะป่าวประกาศให้คนอื่นได้รับรู้หรอก เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเป็นหลัก เนื่องจากตระกูลว่านเป็นคนเปิดเส้นทางหลายสายให้เขา ดังนั้นนอกจากแตะว่านฟู่เฉิงไม่ได้แล้ว ก็ยิ่งห้ามทำให้กู่ซิงอีไม่พอใจอีกด้วย ! ถ้าล่วงรู้อนาคตได้ว่าเรื่องราวจะดำเนินมาเป็นแบบนี้เขาคงจะเห็นใจกู่ซิงอีอีกสักหน่อย บางทีตัวเขาอาจได้ผลประโยชน์มากกว่าให้บุตรสาวของตนตบแต่งกับน้องชายบุญธรรมของว่านฟู่
“ขอรับ !” หลี่เซียวรีบร้อนรับคำก่อนจากไป ฉีหย่าหันมองซ้ายขวาด้วยความตกใจ นางจะถูกปฏิบัติอย่างนี้จริง ๆ หรือ นางไม่งดงามหรือไรทำไมคุณชายว่านถึงไม่คิดจะสนใจหรือเมตตานางสักนิด แม้จะต้องยอมรับว่าสองคนตรงหน้านางรูปงามไร้ที่ติ แต่นางไม่คิดว่าตนเองจะด้อยค่าถึงเพียงนี้ ! จังหวะนั้นเองประตูห้องบานเดิมพลันเปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เป็นนายท่านเซี่ยเดินออกมา พอเห็นบ่าวในจวนของตนที่นั่งกองกับพื้นก็ฉงน ที่แท้คนที่ส่งเสียงดังเมื่อครู่ก็คือฉีหย่าสาวรับใช้ที่บุตรสาวทิ้งไว้ที่จวนเมื่อสองปีก่อน สตรีนางนี้แม้หน้าตาจะงดงามแต่กลับทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง มีดีแค่ดนตรีกับร่ายรำ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกับการทำงานในจวนได้เล่า ดังนั้นสำหรับเขาแล้วนางแทบไม่มีสิ่งใดให้ใช้งานได้เลย ตัวเขาแทบไม่อยากพามาทว่านางก็ดื้อดึงขอตามมาจนได้ เขายังกลัวว่าฮูหยินของตนจะเข้าใจผิดด้วยซ้ำ บัดนี้ยังจะมาสร้างความเดือดร้อนให้อีก ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ เซี่ยหลี่จวินหันมองว่านฟู่เฉิงด้วยความระวัง กลัวว่าสิ่งที่เคยสัญญาไว้จะถูกยกเลิกเพียงเพราะบ่าวรับใช้ในจวนของตนเอง “คุณชายว่าน เป็นข้าไม่อบรมบ่
แล้วนางไหนเลยจะคาดเดาอนาคตได้ ตนย้ายไปอยู่ตระกูลเซี่ยเพียงไม่นานยังไม่มีโอกาสได้มาพบคุณชายว่านเลยสักครั้ง คุณชายผู้นี้ก็ตบแต่งภรรยาเสียแล้ว แต่นางยินยอม ยินยอมเป็นเพียงอนุภรรยาคนหนึ่งของเขาก็ได้ การค้าของตระกูลว่านเติบโตในชั่วข้ามคืนแค่ไหน ใครในเมืองจางไม่รู้บ้างเล่า ดังนั้นทุกวันนางจึงตั้งตารอคอยมาโดยตลอด กาลก่อนแม้คุณชายว่านจะนั่งเก้าอี้รถเข็นแต่อย่างไรก็ยังรูปงามมากนัก บัดนี้พอเดินเหินได้ปกติด้วยใบหน้าสง่างามเป็นทุนเดิมก็ไม่ต่างอะไรกับเทพเซียนลงมาเดินบนดิน พอได้พบเห็นคนที่ตนคะนึงหาอีกคราก็พาให้หัวใจนางเต้นผิดจังหวะ ใบหน้าพลันขึ้นสีแดงด้วยความขวยเขิน “คุณชายว่าน...” นางเอ่ยเรียกเสียงหวาน “...เจ้ามาทำไม” ว่านฟู่เฉิงกลับไม่สบอารมณ์ทันทีที่ได้เจอนาง นึกรังเกียจสายตาเช่นนี้ยิ่งนัก หากเป็นกู่ซิงอีมองเขาด้วยสายตาแบบนี้เจ้าตัวคงไม่อาจหนีรอดเขาไปได้ แต่พอเป็นสตรีตรงหน้าส่งสายตาเฉกเช่นนี้มาให้เขากลับรู้สึกอยากจะอาเจียนขึ้นมา ถึงขั้นดึงหลี่เซียวมาบังตัวเองไว้ครึ่งหนึ่ง “คุณชายว่านถามเช่นนี้ ข้าเสียใจยิ่งนัก” ฉีหย่าตอบด้วยน้ำเสียงน้อยใจ เดินก้าว
วันนี้หลี่เซียวรอจังหวะที่ว่านฟู่เฉิงอยู่ตัวคนเดียวถึงได้มีโอกาสเข้ามาเตือนอะไรบางอย่าง “คุณชาย ไม่รู้ว่าสองสามวันที่ผ่านมาคุณชายเห็นรายงานร้านค้าที่เพิ่มขึ้นมาในถนนสายฝนแล้วหรือยังขอรับ” “มีงานเทศกาลหรือ ?” ช่วงนี้งานปกติที่เขาเคยทำล้วนส่งมอบให้ฮูหยินของตนเกือบทั้งหมด ส่วนตัวเองไปมองหาลู่ทางการขยายกิจการแทน ขณะนี้เองก็กำลังดูเครื่องประดับที่ส่งมาจากแคว้นอื่นด้วยความตั้งใจ พอถูกถามจึงไม่ได้ทันคิดถึงว่าวันนี้คือวันที่เท่าไร มีงานอะไรสำคัญหรือไม่ เพราะนอกจากจะนับวันรอที่จะได้หยุดเพื่อออกไปชมต้นไม้ใบหญ้าลำธารกับคนของใจแล้ว วันเวลาอย่างอื่นล้วนไม่อยู่ในสายตาของเขา แต่ที่ถามออกไปได้อย่างแม่นยำและถูกถึงเก้าส่วนก็เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาล้วน ๆ เนื่องจากถนนสายฝนเป็นหนึ่งในกิจการร้านค้าที่เขามีมากที่สุดในเมืองจาง หากมีร้านค้าเพิ่มขึ้นมาก็หมายถึงมีการแบ่งพื้นที่หน้าร้านแต่เดิมจากหนึ่งเป็นสองร้าน หรือก็คืออาจมีงานเทศกาลยามค่ำคืนร่วมด้วย แถมบางครั้งยังเป็นตระกูลว่านที่ต้องออกหน้ารับจัดงานด้วยซ้ำ แต่แน่นอนว่าในส่วนนี้เขาย่อมมีผู้ดูแลแทนอยู่แล้วเลยไม่ค่อยสนใจที่หลี่เซี
ใกล้เข้าเหมันตฤดูแล้ว ว่านฟู่เฉิงยืนกอดอกมองคนขนของเข้ามาในจวน เขาสั่งไหมาเยอะมาก เอามาทุกขนาดที่หาได้ หากคำนวณผ่านตาคร่าว ๆ ตั้งแต่ครึ่งก้านธูปที่แล้วไหที่ถูกขนเข้าไปก็ปาไปหลายร้อยใบแล้ว กู่ซิงอีที่เดินหาวหวอดออกมาก็มองตามกลุ่มคนมากมายซึ่งกำลังพากันขนไหเข้าไปด้านหลังจวน “ท่านสั่งไหมาทำไมเยอะแยะ” เมื่อเดินเข้ามาใกล้ถึงคนรักของตนก็เอ่ยถามออกไป “ไว้ให้เจ้าหมักสุรา” ว่านฟู่เฉิงกล่าวแย้มยิ้ม ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาจนถึงตนเอง ว่านฟู่เฉิงก็ก้าวยาว ๆ เดินไปหยุดยืนข้างกายดวงใจของตนแล้ว เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจมองมาทางนี้จึงขยับหอมแก้มกู่ซิงอีด้วยความรวดเร็วไปหนึ่งที กู่ซิงอีตกใจจนตัวแข็ง รีบหันมองซ้ายมองขวา เมื่อไม่เห็นใครก็โล่งใจ แต่อดที่จะมองค้อนเขาไปทีหนึ่งมิได้ “เหอะ ท่านยังคิดจะใช้ข้าทำงานอีก ! ข้าตกถังข้าวสารแล้ว ไหนเลยจะไปทำงานให้เหนื่อย” ว่านฟู่เฉิงไม่ได้เสียใจหรือน้อยใจกลับยกยิ้มมองกู่ซิงอีและพูดเสริมว่า “ข้าสั่งทำห้องหมักสุราโดยเฉพาะไว้ให้เจ้าแล้วไม่ต้องรวมกับครัวของจวนแบบครั้งก่อนอีก และทั้งข้าว ไห เชือก ผ้ากรองก็มีให้ใช้ไม