หลังจากซุนเย่ผิงกลับไป เมิ่งเจียวซินก็นำข่าวการเดินทางของพวกนางไปแจ้งให้กับจูมี่ และสองพี่น้องตระกูลปิงได้รับรู้ แล้วก็เป็นไปตามคาด คนทั้งสามรีบร้องขอติดตามไปกับนางทันที เมิ่งเจียวซินก็ได้ปฏิเสธคำขอนั้นกลับไปทันทีเช่นกัน
จนเวลาผ่านล่วงเลยไปเกือบครึ่งชั่วยาม คนในเรือนทั้งสามก็ยื่นคำขาดมาว่า เมิ่งเจียวซินจะต้องพาปิงหลงร่วมเดินทางไปกับนางด้วย จูมี่กับปิงเหยาถึงจะยอมอยู่รอการกลับมาของพวกนางอยู่ที่เรือนหลังนี้
เมิ่งเจียวซินแม้จะรู้สึกลำบากใจ เนื่องจากการเดินทางครั้งนี้สำหรับนาง...มันอาจจะมีเพียงแค่ขาไปเท่านั้น แต่ทว่าเมื่อได้เห็นถึงความห่วงใยที่แสดงออกผ่านสีหน้า และสายตาของคนทั้งสาม แล้วด้วยความที่ปิงหลงเป็นเด็กชาย ความอันตรายจากสถานที่แห่งนั้นกับปิงหลงน่าจะมีไม่มาก ซึ่งหากนางยังอยู่...ตัวนางก็น่าจะพอปกป้อง และคุ้มครองความปลอดภัยให้กับเด็กชายได้
และถ้าหากเดินทางไปถึงสถานที่แห่งนั้น แล้วเม
เมื่อรถม้าวิ่งมาถึงบริเวณหน้าหอโคมเขียว ซุนเย่ผิงก็ชี้ชวนเมิ่งเจียวซินกับปิงหลงมองดูขบวนรถม้าของเผ่ามาร ซึ่งเจ้าตัวเล่าว่า ครั้งนี้ทางวังราชาปีศาจได้นำม้าโลหิตดำมาใช้เป็นพาหนะลากรถม้าให้กับคณะเดินทางของเหล่านางคณิกา เมิ่งเจียวซินจึงจ้องมองไปที่ม้าโลหิตดำ ถ้าหากนางจำไม่ผิด ในนิยายอาหวงได้บรรยายเอาไว้ว่า...ม้าโลหิตดำวิ่งเร็วกว่าม้าในเขตแดนของพวกมนุษย์เกือบสามเท่าตัว โดยส่วนใหญ่คนเผ่ามารจะนิยมใช้ม้าพันธุ์นี้ในการควบขี่ หาได้นำมาใช้เป็นพาหนะในการลากรถม้าเช่นนี้ไม่ ดูท่า...ครานี้ทางวังราชาปีศาจคงกลัวว่า เหล่านางคณิกาจะไปไม่ทันงานเลี้ยงฉลองในคืนข้ามปี พอรถม้าของพวกนางจอดนิ่งอยู่กับที่ ซุนเย่ผิงจึงเดินลงจากรถม้า จากนั้นอีกฝ่ายก็เรียกหาคนงานในหอโคมเขียวให้มาช่วยเมิ่งเจียวซินกับปิงหลงย้ายสัมภาระไปยังรถม้าของเผ่ามารที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้กับพวกนาง หลังจากนั้นเจ้าตัวก็ขอแยกออกไปตรวจดูความเรียบร้อยของเหล่านางคณิกาที่ต้องออกเดินทางร่วมกับพวกนาง
“เมิ่งเจียวซิน เจ้ามองสิ่งใดอยู่หรือ?” เมิ่งเจียวซินเมื่อได้ยินเสียงของสตรีผู้เป็นเจ้าของคณะเดินทาง นางจึงรีบดึงสติของตัวเองกลับมา จากนั้นก็ปล่อยมือจากม่านหน้าต่าง แล้วหันกลับมาตอบคำถามของอีกฝ่าย “ข้า...ข้ามองม้าโลหิตดำเจ้าค่ะ ท่านเจ้าของหอขึ้นมานานแล้วหรือเจ้าคะ?” “ข้าเพิ่งขึ้นมาได้ไม่นาน แต่ตอนนี้เจ้าควรสวมเสื้อคลุมเพิ่มอีกหนึ่งตัว เพราะพวกเรากำลังจะออกเดินทางกันแล้ว” “ขอบคุณเจ้าค่ะ” เมิ่งเจียวซินยื่นมือไปรับเสื้อคลุมที่อีกฝ่ายส่งมาให้ แม้จะรู้สึกเกรงใจ แต่นางก็ไม่กล้าปฏิเสธน้ำใจของท่านเจ้าของหอ ถึงแม้ว่ายามนี้ภายในรถม้าจะมีเพียงแค่นางกับสตรีตรงหน้าก็ตาม แล้วในระหว่างนั้นนางก็รับรู้ได้ว่า รถม้าที่นั่งอยู่เริ่มมีการเคลื่อนตัวแล้ว “จะว่าไป...ข้ายังไม่เคยบอกนามของตัวเองก
โจวหลิวอิงยื่นมือไปรับจอกชาจากเมิ่งเจียวซินมาดื่ม แล้วกล่าวต่อ “เรื่องต่อไปที่ป้าจะพูดก็คือ เรื่องของซุนเย่ผิง ที่จริงเรื่องนี้ป้าอยากพูดกับเจ้าหลายคราแล้ว แต่ทว่าทุกครั้งที่ไปยังเรือนของเจ้า จูมี่ และคนในเรือนก็มักจะมาวนเวียนอยู่ข้างกายเจ้าเสมอ ป้าก็เลยไม่มีโอกาสได้พูดเรื่องนี้กับเจ้าสักที ตอนที่ซุนเย่ผิงเดินเข้ามาขายตัวเป็นนางคณิกาในหอโคมเขียวของป้า ยามนั้นเป็นช่วงที่ป้าค่อนข้างจะงานยุ่ง แล้วกฎเหล็กในหอโคมเขียวของป้ามีเพียงข้อเดียวก็คือ จะรับซื้อเฉพาะสตรีที่เต็มใจเท่านั้น ดังนั้นการตรวจสอบประวัติความเป็นมาของสตรี จะเรียกว่าหละหลวมเลยก็ได้ เพราะถ้าหากตรวจร่างกายแล้วผ่าน และไม่มีท่าทีว่าถูกบังคับฝืนใจให้มา ทางหอโคมเขียวของป้าก็รับซื้อเอาไว้ทั้งหมด ถึงแม้ว่าหลังจากนั้น ยามป้าเห็นใบหน้าของซุนเย่ผิง ป้าจะรู้สึกคลับคล้ายคลับคลา แต่ป้าก็จำนางไม่ได้อยู่ดี แล้วที่จริงเรื่องนี้ก็ต้องโท
ในขณะที่เมิ่งเจียวซินกำลังพยายามสงบใจของตัวเอง นางก็เห็นโจวหลิวอิงยื่นจอกชาที่เพิ่งรินเสร็จมาตรงหน้า “ดื่มชาสักหน่อยเถิด ที่จริงป้าไม่ควรเล่าเหตุการณ์ในวังราชาปีศาจให้เจ้าฟังเลย แค่เรื่องบิดาของเจ้าก็...” “ข้าไม่เป็นอะไรจริง ๆ เจ้าค่ะ แล้วข้าก็ต้องขอขอบคุณท่านป้าโจวที่ยอมเล่าเหตุการณ์เหล่านั้นให้ฟัง เพราะเมื่อไปถึงที่นั่น ข้าจะได้ระมัดระวังตัวเองให้มากขึ้นกว่าเดิม” กล่าวจบ เมิ่งเจียวซินก็ส่งยิ้มปลอบโยนให้กับสตรีตรงหน้า จากนั้นโจวหลิวอิงก็เริ่มหาเรื่องตลกมาเล่าให้นางฟัง โดยส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องขายหน้าของบุรุษที่มาเที่ยวในหอโคมเขียว ซึ่งเมิ่งเจียวซินก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงต้องการดึงนางออกจากเรื่องหนัก ๆ ที่เพิ่งได้รับรู้มาจากเจ้าตัว เมิ่งเจียวซินขยับเข้าไปช่วยจัดท่านอนให้กับโจวหลิวอิง หลังจากเจ้าตัวเผลอหลับไปในระหว่างนอนเ
เมิ่งเจียวซินสบตากับบุรุษผู้นั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบดึงสติ และรีบดึงสายตาของตัวเองกลับมา ตอนเห็นคราแรกนางก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจ แต่เมื่อได้เห็นท่าทีที่ดูตกใจของอีกฝ่าย “เมื่อครู่คุณหนูพูดว่าอะไรนะขอรับ?” ปิงหลงกระซิบถามผู้เป็นนาย “ไม่มีอะไร” เมิ่งเจียวซินกล่าวตอบเบา ๆ หลังจากนั้นนางก็กลับมานั่งก้มหน้านิ่ง ๆ เช่นเดิม ยามนี้เมิ่งเจียวซินรู้แล้วว่า เหตุใดเมื่อครู่นางถึงรู้สึกคุ้น ๆ ตอนเห็นใบหน้าของราชาปีศาจ และนางก็รับรู้แล้วว่า ทำไมเหตุการณ์ทุกอย่างถึงแตกต่างไปจากเนื้อหาในนิยายที่นางได้อ่านมา... “เจียวซิน...เจียวซิน!” “เจ้าคะ?” เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นมามองโจวหลิวอิง แล้วนางก็เห็นว่า ตอนนี้ทุกคนรอบกายกำลังทยอยกันลุกขึ้นยืน เพื่อเตรียมคำนับลาผู้เป็
เช้าวันรุ่งขึ้น เมิ่งเจียวซินพยายามทำตัวให้กลับมาร่าเริงเหมือนเดิม หลังจากจัดการดูแลตัวเองในห้องพักเสร็จ นางจึงเดินออกไปร่วมรับสำรับกับโจวหลิวอิง ซึ่งในระหว่างนั้นบ่าวรับใช้นางหนึ่งก็เดินเข้ามาบอกว่า โจวหลิวเสี่ยนผู้เป็นพี่ชายของโจวหลิวอิงกับองค์ชายสามหลี่อวิ้นกุยมาขอเข้าพบ โจวหลิวอิงจึงบอกให้บ่าวรับใช้นางนั้นเชิญคนทั้งคู่ ไปนั่งรอเจ้าตัวในศาลาข้างเรือนก่อน เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลังรับสำรับเสร็จ เมิ่งเจียวซินจึงขอแยกตัวไปนั่งพูดคุยกับพวกซุนเย่ผิงที่เรือนเล็กด้านหลัง โดยมีปิงหลงขอติดตามไปกับนางด้วย แล้วขณะที่พวกนางกำลังจะเดินผ่านห้องโถง “ซิน...เออ...เจ้า!” เมิ่งเจียวซินพอได้ยินเสียงเรียกที่ฟังคุ้นหู และรับรู้ได้ว่าเจ้าของเสียงเรียกนั้นกำลังจะเดินเข้ามาประชิดตัว นางจึงรีบเดินไปข้างหน้าอีกสามก้าว ก่อนจะหันกลับมาทำความเคารพอีกฝ่าย &nbs
เมิ่งเจียวซินรีบดึงมือข้างซ้ายของตัวเองกลับมา ไม่ว่าตอนนี้ หรือที่ผ่านมาหลี่อวิ้นกุยจะมีเหตุผลอะไรก็ตาม แต่สำหรับนางหลังจากนี้...มันคงไม่มีความสำคัญอะไรอีกแล้ว จากนั้นเมิ่งเจียวซินก็จ้องเข้าไปในดวงตาของผีเสื้อสีดำตัวใหญ่ตรงหน้า จากที่เคยรู้สึกเหมือนแค่จะโกรธ แต่ยามนี้นางรู้สึกโกรธขึ้นมาจริง ๆ เสียแล้ว ที่ผ่านมา...ในสายตาของหลี่อวิ้นกุยนางคงเป็นตัวโง่งมมากเลยสินะ! “องค์ชายสามช่างมีอารมณ์ขันนะเพคะ พระองค์คงมองว่า การหยอกล้อเช่นนี้...มันเป็นเรื่องสนุก แต่สำหรับหม่อมฉันหาได้รู้สึกสนุกไปกับพระองค์ด้วยไม่!” กล่าวจบ เมิ่งเจียวซินก็หันหลัง แล้วเดินจากมาทันที “ไม่ใช่นะซินซิน ข้า...” หลี่อวิ้นกุยเมื่อเห็นว่า อีกฝ่ายไม่คิดจะหยุดฟัง เขาจึงรีบบินตามไป เมื่อบินเข้าไปใกล้ตัวเมิ่งเจียวซินพอสมควรแล้ว หลี่อวิ้นกุยจึงรีบเอ่ยว่า
หลี่อวิ้นกุยบินกลับมาถึงตำหนักด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง แล้วเมื่อเข้ามาในห้องพัก เขาก็รีบไล่จิ่นสือออกจากห้องไปทันที จากนั้นจึงร่ายคาถากลับคืนร่างเดิม ก่อนจะเดินไปจัดการดูแลตัวเอง แล้วกลับมานั่งลงบนเตียง... หลี่อวิ้นกุยนึกไปถึงสายตาสุดท้ายที่เมิ่งเจียวซินใช้มองเขา นึกไปถึงไหล่บอบบางที่กำลังสั่นเทาตอนนางเดินจากไป แล้วยิ่งก่อนที่เขาจะบินกลับมา เขาได้ยินว่า...นางกำลังร้องไห้ ‘นี่ข้าทำบ้าอะไรลงไปเนี่ย!’หลี่อวิ้นกุยคิดในใจ เป็นเพราะความหุนหันพลันแล่นของเขาเลยทำให้เมิ่งเจียวซินต้องเสียน้ำตา ในระหว่างที่หลี่อวิ้นกุยกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง เขาก็ถูกดึงกลับมาด้วยเสียงเคาะประตู จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงตะโกนรายงานของจิ่นสือ “องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ จิ่นตั้งกลับมาถึงแล้ว จะให้...” &nbs
เมิ่งเจียวซินนึกอยากจะวิ่งออกไปจากตรงนี้ แต่เพราะนี่คือ ห้องพักของนาง จึงได้พยายามรวบรวมสติของตัวเองกลับมา แล้วเอ่ยถามออกไปว่า “พร้อมแล้ว? เจ้าพร้อมเรื่องอะไร?” “ก็เรื่องให้เจ้าศึกษาร่างกายของข้า ตอนนี้ข้าพร้อมแล้ว” พูดจบ หลี่อวิ้นกุยก็ก้มลงไปกระตุกปมผ้าคาดเอวของตัวเองทันที “กุยกุย นั่นเจ้าจะทำอะไร?” “ข้าก็จะเปลื้องผ้า แล้วขึ้นไปนอนรอเจ้าบนเตียงอย่างไรล่ะ” คำพูดของบุรุษตรงหน้าทำเอาเมิ่งเจียวซินอ้าปากค้าง หลี่อวิ้นกุยจงใจค่อย ๆ ถอดเสื้อคลุมออก เพราะเขาเริ่มรู้สึกสนุกกับสีหน้าแบบนั้นของอีกฝ่าย ทันทีที่เสื้อคลุมตัวนอกหลุดออกจากตัว เขาก็เตรียมจะถอดเสื้อตัวใน... แต่ทว่าหลี่อวิ้นกุยห
หลี่อวิ้นกุยเงยหน้า แล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อพักสายตาจากการนั่งอ่านรายงานมาครึ่งค่อนวัน จากนั้นเขาก็นึกไปถึงเรื่องของพระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมย... เมื่อเช้าหลังจากหลี่อวิ้นกุยกลับเข้ามาในห้องตำรา เขาก็รีบส่งองครักษ์เงาไปติดตามดูทุกความเคลื่อนไหวของหลี่อวิ้นเหมย รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในตำหนักของเด็กหญิงด้วย ในอดีตที่ผ่านมา อาจจะด้วยเพราะหลี่อวิ้นกุยมองว่า พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยมีสายเลือดฝั่งมารดาของเขาด้วย เขาจึงพยายามอดทน และไว้หน้า ยามที่คนทั้งคู่พยายามเข้าหา เพราะต้องการผลประโยชน์จากเขา แต่หลังจากที่คนทั้งคู่มีส่วนร่วมในการลอบวางยาพิษ และลอบทำร้ายหลี่อวิ้นกุยครั้งล่าสุด เขาก็ไม่คิดจะไว้หน้า หรืออดทนต่อการกระทำของคนทั้งคู่อีก หากไม่เพราะคำพูด และคำขอของเมิ่งเจียวซิน ไม่แน่ยามนี้แม้แต่ลมหายใจ...พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยก็อาจจะไม่มีเหลือแล้วกระมัง
พอเดินเข้าไปในห้องโถง เมิ่งเจียวซินก็เห็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่งหันมาส่งยิ้ม แล้วเดินตรงเข้ามาหาพวกนาง “อวิ้นเหมยน้อมทักพี่สาม” หลี่อวิ้นเหมยพูดพร้อมกับทำความเคารพหลี่อวิ้นกุย “ถวายพระพรองค์หญิงห้า หม่อมฉันเมิ่งเจียวซินเพคะ” เมิ่งเจียวซินทำความเคารพเด็กหญิงตรงหน้า “คุณหนูเมิ่งไม่ต้องมากพิธีกับ...” หลี่อวิ้นเหมยหยุดพูดกลางคัน เพราะในขณะที่เด็กหญิงเดินเข้าไปหมายจะจับมือเมิ่งเจียวซิน หลี่อวิ้นกุยที่ยืนอยู่ข้างกายสตรีตรงหน้า ก็เอื้อมมาจับไหล่แล้วดึงฝ่ายตรงข้ามให้ถอยห่าง “คุณหนูเมิ่งเป็นเหมือนกับข้า ที่ไม่ค่อยชินกับการให้ผู้ใดมาแตะเนื้อต้องตัว” “ข้า...เป็นข้าที่คิดน้อยเกินไป ขอพี่สามกับคุณหนูเมิ่งได้โปรดอย่าถือสา” &n
ผ่านไปเกือบสองเค่อที่ภายในห้องพักปกคลุมไปด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงขีดเขียนพู่กัน กับเสียงลมหายใจของสองคนที่อยู่ในนั้น แล้วในขณะที่ความรู้สึกประดักประเดิดเกิดขึ้นกับคนทั้งสองในห้อง เสียงของฝูกงกงก็ดังแว่วเข้ามาว่า “องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงห้าหลี่อวิ้นเหมยมาขอเข้าพบพระองค์ และขอเข้าเยี่ยมว่าที่พระชายา ยามนี้องค์หญิงห้านั่งรออยู่ที่ห้องโถงพ่ะย่ะค่ะ” “ไปบอกองค์หญิงห้า วันนี้ข้ากับว่าที่พระชายาไม่สะดวก...” ตอบมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วหันไปมองรอยแดงบนต้นคอของเมิ่งเจียวซิน ยามนี้ร่องรอยจากฝีมือของเขาได้จางหายไปเกือบหมดแล้ว หลี่อวิ้นกุยจึงเอ่ยถามเมิ่งเจียวซินว่า “ซินซิน พรุ่งนี้เจ้าสะดวกใจให้น้องห้าเข้าพบหรือไม่?” “สะดวก”
เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นมามองหลี่อวิ้นกุย นางยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ไม่ทันได้ตอบรับ หรือปฏิเสธ อีกฝ่ายก็กล่าวขึ้นมาต่อว่า “เรื่องยาบรรเทาอาการจากยาพิษค่ำคืนเหมันต์ ก็อย่างที่ข้าเคยรายงานผลให้เจ้าฟังว่า ยาของเจ้าบรรเทาอาการจากยาพิษได้ดีมาก ซึ่งตอนนี้ยาที่เจ้าให้ข้านำมาทดลองได้หมดจากร้านขายยา ที่ข้าให้คนนำไปปล่อยได้สักพักแล้ว ยามนี้เหล่าผู้ที่มียาพิษค่ำคืนเหมันต์อยู่ในกาย ก็เริ่มส่งคนไปตะเวนหาซื้อยา บางคนถึงขั้นจ้างคนไปตะเวนหาผู้ที่ปรุงยาตัวนี้ขึ้นมาแล้วด้วย ซินซิน ข้าจึงอยากถามเจ้าว่า หากข้าจะขอสูตรยาตัวนี้จากเจ้ามาปรุงขาย เจ้าจะสะดวกใจหรือไม่? ที่ข้าถามเช่นนี้ เพราะตอนนี้ข้ามีทั้งสถานที่ ผู้ที่มีความสามารถในการปรุงยา รวมไปถึงแหล่งหาสมุนไพรที่จะใช้ปรุง ซึ่งกำไรได้จากการขายยา ข้าจะยกให้เจ้าทั้งหมด แล้วเจ้าก็ไม่ต้องกลัวว่า ส
หลังจากนั้นบุรุษไร้ยางอายก็เดินออกไปจากห้องพักของเมิ่งเจียวซิน ผ่านไปไม่ถึงสองเค่อหลี่อวิ้นกุยก็กลับเข้ามาพร้อมกับเหล่าขันที และองครักษ์สตรีทั้งสองของนาง โดยผู้คนเหล่านั้นต่างก็ช่วยกันทยอยขนโต๊ะทำงาน หนังสือ หีบเอกสาร แท่นวางพู่กัน รวมไปถึงอุปกรณ์สำหรับเขียนอื่น ๆ เข้ามาวางในห้องพักของนาง เมิ่งเจียวซินรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่อันลี่กับอันเหมยยินยอมให้หลี่อวิ้นกุยทำเช่นนี้ได้ แล้วยังช่วยเหล่าขันทีทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ โดยไม่แม้แต่จะเอ่ยคัดค้าน หรือพยายามเข้ามาเกลี่ยกล่อมนาง แล้วในระหว่างที่ผู้คนช่วยกันทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ เข้ามา เมิ่งเจียวซินก็รับรู้ได้ถึงสายตาของสององครักษ์สตรีที่เหลือบมองมาทางนางอยู่บ่อยครั้ง พอหันกลับไปมอง...แล้วเห็นสีหน้า และท่าทีของคนทั้งสอง นางก็พอจะเดาได้ทันทีว่า คนทั้งคู่ต้องการให้นางทำสิ่งใด แต่เพราะเป็นตัวนางเองที่เอ่ยปากอนุญาต ยามนี้เมิ่งเจียวซินจึงทำได้เพ
รุ่งเช้า เมิ่งเจียวซินลืมตาขึ้นมา บุรุษที่นอนอยู่ข้างกายนางทั้งคืนได้แอบออกจากห้องพักไปแล้ว โดยหลี่อวิ้นกุยได้หยิบเอาชุดที่ขาดวิ่นของนางติดมือออกไปด้วย หลังจากเมิ่งเจียวซินจัดการดูแลตัวเองเสร็จ นางก็เดินมานั่งลงที่หน้ากระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นนางก็จัดแต่งทรงที่สามารถปล่อยผมลงมาครึ่งศีรษะ แล้วเดินไปรื้อหาอาภรณ์ที่คอตั้ง หรือคอสูงมาสวมใส่ แต่ไม่ว่าจะสวมใส่อาภรณ์ที่คอสูงขนาดไหน อย่างไรมันก็ไม่สามารถปกปิดรอยแดงช้ำ ที่ต้นคอของนางได้หมดทุกรอยอยู่ดี “เห็นทีข้าคงต้องแกล้งป่วยสักสามวัน!” เมิ่งเจียวซินนั่งวางแผนแกล้งป่วยให้กับตัวเอง พอคิดออก...นางก็รีบไปเอากลอนที่ประตูห้องพักลง จากนั้นจึงเดินกลับมาล้มตัวลงนอนบนเตียง พร้อมกับดึงผ้าขึ้นมาห่มจนถึงปลายคาง ตอนนี้เมิ่งเจียวซินรู้สึกว่า โชคดีที่นางขอความเป็นส่วนตัวในห้องพัก
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วขยับเข้าไปนั่งพิงหัวเตียง จากนั้นก็ดึงสตรีข้างกายให้ลงมาซบที่แผงอกของตัวเอง ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบเส้นผมนุ่ม พร้อมกับเล่าต่อว่า “ซินซิน การที่ข้าต้องการปลดปีศาจทุกตนในตระกูลเฉินออกจากราชการ ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องความแค้นส่วนตัว แต่อีกส่วนก็เพราะตระกูลเฉินต่อหน้าทำเป็นสรรเสริญราชาปีศาจ แต่ลับหลังกลับคอยยุแยงปีศาจเผ่าอื่น ๆ ให้กระด้างกระเดื่องต่อการปกครองของคนเผ่ามาร แล้วหลังจากที่ข้าส่งคนไปคอยติดตาม เพื่อหาหลักฐานการกระทำผิดเพิ่มเติม ข้าก็ได้รู้ว่า ปีศาจตระกูลนี้ได้ลักลอบแลกเปลี่ยนอัญมณีต้องห้าม และยังมีความผิดซุกซ่อนอยู่อีกหลายอย่าง แต่...ถึงแม้ยามนี้จะมีหลักฐานเพียงพอให้เอาผิด ทว่าการที่จะปลดขุนนางระดับสูงออกจากตำแหน่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ เพราะมันเชื่อมโยงไปถึงขั้วอำนาจแล้วอีกอย่างไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ก็เพิ่งจะมีการแต่งตั้งที่มีผลต่อขั้วอำนาจไปแล้วถึงสองครั้ง
เมิ่งเจียวซินหลังจากต้องนั่งกดข่มความรู้สึกเจ็บ และข่มกลั้นความรู้สึกอาย จนการทายาที่ยาวนานสิ้นสุดลงไปได้ พอสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จ นางก็สังเกตเห็นว่า หลี่อวิ้นกุยยังคงนั่งมองมาที่รอยแดงบนต้นคอของนาง แล้วด้วยสีหน้า และสายตาของเจ้าตัว ทำให้นางรู้ว่า อีกฝ่ายยังรู้สึกผิดกับเรื่องที่เพิ่งผ่านมา เมื่อฝ่ายตรงข้ามเงยหน้าขึ้นมา แล้วเห็นว่า นางกำลังจ้องมองอยู่...เจ้าตัวก็รีบก้มหน้า หลบตา ซึ่งในขณะนั้นเมิ่งเจียวซินก็สังเกตเห็นว่า ริมฝีปากของหลี่อวิ้นกุยยังคงมีเลือดไหลซึมออกมา นางจึงกล่าวว่า “กุยกุย เงยหน้าขึ้นมา” พอเห็นบุรุษตรงหน้ายอมทำตามที่นางบอก เมิ่งเจียวซินจึงขยับเข้าไปใกล้ ก่อนจะจับปลายคางของหลี่อวิ้นกุยเอาไว้ แล้วเริ่มลงมือเช็ดคราบเลือด จากนั้นบาดแผลขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ก็ปรากฏสู่สายตาของนาง... แม้เมิ่งเจียวซินจะรู้ดีว่า ร่างกายของหลี่