ในขณะที่เมิ่งเจียวซินกำลังพยายามสงบใจของตัวเอง นางก็เห็นโจวหลิวอิงยื่นจอกชาที่เพิ่งรินเสร็จมาตรงหน้า
“ดื่มชาสักหน่อยเถิด ที่จริงป้าไม่ควรเล่าเหตุการณ์ในวังราชาปีศาจให้เจ้าฟังเลย แค่เรื่องบิดาของเจ้าก็...”
“ข้าไม่เป็นอะไรจริง ๆ เจ้าค่ะ แล้วข้าก็ต้องขอขอบคุณท่านป้าโจวที่ยอมเล่าเหตุการณ์เหล่านั้นให้ฟัง เพราะเมื่อไปถึงที่นั่น ข้าจะได้ระมัดระวังตัวเองให้มากขึ้นกว่าเดิม” กล่าวจบ เมิ่งเจียวซินก็ส่งยิ้มปลอบโยนให้กับสตรีตรงหน้า
จากนั้นโจวหลิวอิงก็เริ่มหาเรื่องตลกมาเล่าให้นางฟัง โดยส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องขายหน้าของบุรุษที่มาเที่ยวในหอโคมเขียว ซึ่งเมิ่งเจียวซินก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงต้องการดึงนางออกจากเรื่องหนัก ๆ ที่เพิ่งได้รับรู้มาจากเจ้าตัว
เมิ่งเจียวซินขยับเข้าไปช่วยจัดท่านอนให้กับโจวหลิวอิง หลังจากเจ้าตัวเผลอหลับไปในระหว่างนอนเ
เมิ่งเจียวซินสบตากับบุรุษผู้นั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบดึงสติ และรีบดึงสายตาของตัวเองกลับมา ตอนเห็นคราแรกนางก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจ แต่เมื่อได้เห็นท่าทีที่ดูตกใจของอีกฝ่าย “เมื่อครู่คุณหนูพูดว่าอะไรนะขอรับ?” ปิงหลงกระซิบถามผู้เป็นนาย “ไม่มีอะไร” เมิ่งเจียวซินกล่าวตอบเบา ๆ หลังจากนั้นนางก็กลับมานั่งก้มหน้านิ่ง ๆ เช่นเดิม ยามนี้เมิ่งเจียวซินรู้แล้วว่า เหตุใดเมื่อครู่นางถึงรู้สึกคุ้น ๆ ตอนเห็นใบหน้าของราชาปีศาจ และนางก็รับรู้แล้วว่า ทำไมเหตุการณ์ทุกอย่างถึงแตกต่างไปจากเนื้อหาในนิยายที่นางได้อ่านมา... “เจียวซิน...เจียวซิน!” “เจ้าคะ?” เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นมามองโจวหลิวอิง แล้วนางก็เห็นว่า ตอนนี้ทุกคนรอบกายกำลังทยอยกันลุกขึ้นยืน เพื่อเตรียมคำนับลาผู้เป็
เช้าวันรุ่งขึ้น เมิ่งเจียวซินพยายามทำตัวให้กลับมาร่าเริงเหมือนเดิม หลังจากจัดการดูแลตัวเองในห้องพักเสร็จ นางจึงเดินออกไปร่วมรับสำรับกับโจวหลิวอิง ซึ่งในระหว่างนั้นบ่าวรับใช้นางหนึ่งก็เดินเข้ามาบอกว่า โจวหลิวเสี่ยนผู้เป็นพี่ชายของโจวหลิวอิงกับองค์ชายสามหลี่อวิ้นกุยมาขอเข้าพบ โจวหลิวอิงจึงบอกให้บ่าวรับใช้นางนั้นเชิญคนทั้งคู่ ไปนั่งรอเจ้าตัวในศาลาข้างเรือนก่อน เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลังรับสำรับเสร็จ เมิ่งเจียวซินจึงขอแยกตัวไปนั่งพูดคุยกับพวกซุนเย่ผิงที่เรือนเล็กด้านหลัง โดยมีปิงหลงขอติดตามไปกับนางด้วย แล้วขณะที่พวกนางกำลังจะเดินผ่านห้องโถง “ซิน...เออ...เจ้า!” เมิ่งเจียวซินพอได้ยินเสียงเรียกที่ฟังคุ้นหู และรับรู้ได้ว่าเจ้าของเสียงเรียกนั้นกำลังจะเดินเข้ามาประชิดตัว นางจึงรีบเดินไปข้างหน้าอีกสามก้าว ก่อนจะหันกลับมาทำความเคารพอีกฝ่าย &nbs
เมิ่งเจียวซินรีบดึงมือข้างซ้ายของตัวเองกลับมา ไม่ว่าตอนนี้ หรือที่ผ่านมาหลี่อวิ้นกุยจะมีเหตุผลอะไรก็ตาม แต่สำหรับนางหลังจากนี้...มันคงไม่มีความสำคัญอะไรอีกแล้ว จากนั้นเมิ่งเจียวซินก็จ้องเข้าไปในดวงตาของผีเสื้อสีดำตัวใหญ่ตรงหน้า จากที่เคยรู้สึกเหมือนแค่จะโกรธ แต่ยามนี้นางรู้สึกโกรธขึ้นมาจริง ๆ เสียแล้ว ที่ผ่านมา...ในสายตาของหลี่อวิ้นกุยนางคงเป็นตัวโง่งมมากเลยสินะ! “องค์ชายสามช่างมีอารมณ์ขันนะเพคะ พระองค์คงมองว่า การหยอกล้อเช่นนี้...มันเป็นเรื่องสนุก แต่สำหรับหม่อมฉันหาได้รู้สึกสนุกไปกับพระองค์ด้วยไม่!” กล่าวจบ เมิ่งเจียวซินก็หันหลัง แล้วเดินจากมาทันที “ไม่ใช่นะซินซิน ข้า...” หลี่อวิ้นกุยเมื่อเห็นว่า อีกฝ่ายไม่คิดจะหยุดฟัง เขาจึงรีบบินตามไป เมื่อบินเข้าไปใกล้ตัวเมิ่งเจียวซินพอสมควรแล้ว หลี่อวิ้นกุยจึงรีบเอ่ยว่า
หลี่อวิ้นกุยบินกลับมาถึงตำหนักด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง แล้วเมื่อเข้ามาในห้องพัก เขาก็รีบไล่จิ่นสือออกจากห้องไปทันที จากนั้นจึงร่ายคาถากลับคืนร่างเดิม ก่อนจะเดินไปจัดการดูแลตัวเอง แล้วกลับมานั่งลงบนเตียง... หลี่อวิ้นกุยนึกไปถึงสายตาสุดท้ายที่เมิ่งเจียวซินใช้มองเขา นึกไปถึงไหล่บอบบางที่กำลังสั่นเทาตอนนางเดินจากไป แล้วยิ่งก่อนที่เขาจะบินกลับมา เขาได้ยินว่า...นางกำลังร้องไห้ ‘นี่ข้าทำบ้าอะไรลงไปเนี่ย!’หลี่อวิ้นกุยคิดในใจ เป็นเพราะความหุนหันพลันแล่นของเขาเลยทำให้เมิ่งเจียวซินต้องเสียน้ำตา ในระหว่างที่หลี่อวิ้นกุยกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง เขาก็ถูกดึงกลับมาด้วยเสียงเคาะประตู จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงตะโกนรายงานของจิ่นสือ “องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ จิ่นตั้งกลับมาถึงแล้ว จะให้...” &nbs
หลี่อวิ้นกุยถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนแรง จากนั้นเขาก็ก้มลงไปมองมือที่กุมกันอยู่ของตัวเอง ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา...แม้หลี่อวิ้นกุยจะเข้าถึงตัวเมิ่งเจียวซินได้ยากลำบาก แต่เพราะสีหน้า และสายตาที่นางใช้มองมายามเจอหน้า มันได้ทำให้รู้ว่า ตัวเขายังพอมีโอกาส แต่ทว่าวันนี้... หลี่อวิ้นกุยหลับตาของตัวเองลงช้า ๆ จากนั้นเขาก็นึกไปถึงวันที่ได้เจอเมิ่งเจียวซินนั่งรวมอยู่กับคณะเหล่านางคณิกาในตำหนักของราชาปีศาจ... บ่ายวันนั้น หลี่อวิ้นกุยที่เพิ่งเดินทางกลับมาถึงวังราชาปีศาจ เขาก็รีบตรงไปขอเข้าเฝ้าผู้เป็นบิดา แล้วในขณะที่เขากำลังจะเดินผ่านคณะเหล่านางคณิกา เขาก็ได้ยินเสียงสตรีดังขึ้นว่า‘เจ้าลูกกระรอก!’ หลี่อวิ้นกุยจึงรีบหันกลับไปมองทางต้นกำเนิดเสียง ตอนเห็นคราแรก...เขายังคิดว่า ตัวเองคงคิดถึงนางมากจนตาฝาดเป็นแน่!
พอคิดดังนั้น เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากเข้าเฝ้าผู้เป็นบิดาเสร็จ หลี่อวิ้นกุยก็รีบตรงไปยืนรอบริเวณหน้าท้องพระโรง เพื่อจะรอพูดคุยกับหัวหน้าหน่วยฝั่งซ้ายผู้เป็นพี่ชายของโจวหลิวอิง จากนั้นเขาก็เอ่ยปากชวนอีกฝ่ายไปเยี่ยมเยือนน้องสาวของเจ้าตัวที่เรือนพักรับรอง... ยามได้ก้าวขาเข้าไปภายในเรือน...หลี่อวิ้นกุยก็แอบคิดในใจว่า ในเมื่อตัวเขาสามารถเดินเข้าไปภายในเรือนได้แล้ว เช่นนั้นก็แปลว่า หลังจากนี้เขาก็จะสามารถลอบเข้ามาปรับความเข้าใจกับเมิ่งเจียวซินได้ แต่ทว่าพอเขาก้าวขาออกจากเรือนพักรับรองได้แค่เพียงแค่สองก้าว โจวหลิวเสี่ยนที่เหมือนจะอ่านการกระทำของเขาออก ก็บอกให้หลี่อวิ้นกุยได้รับรู้ว่า โจวหลิวอิงยังไม่ได้เอ่ยปากอนุญาตให้เขาเข้าออกภายในเรือน แล้วการที่เมื่อครู่ตัวเขาสามารถเข้าไปภายในเรือนพักรับรองได้ นั่นก็เป็นเพราะผู้ที่มีสายเลือดเดียวกับโจวหลิวอิงอนุญาตให้ติดตามเข้าไป ดังนั้นหากไม่มีโจวหลิวเสี่ยนพาเข้าไป หลี่อวิ้นกุยก็จะไม่สามารถเข้าไปภายในเรือนพักรับรองได้เอง&n
หลี่อวิ้นกุยเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นบิดา ดูเหมือนอีกฝ่ายคงจะรู้เรื่องระหว่างเขากับเมิ่งเจียวซินไม่น้อยแล้วเป็นแน่ คราแรกเขาคิดจะรอปรับความเข้าใจกับเมิ่งเจียวซินให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยพานางมาเข้าเฝ้าผู้เป็นบิดาในฐานะว่าที่พระชายาเพียงหนึ่งเดียวของเขา แต่ทว่าทุกอย่างมันกลับ... “เจ้าสาม” “พ่ะย่ะค่ะ” หลี่อวิ้นกุยตอบรับ พร้อมกับรีบดึงสติของตัวเองกลับมา “หากเจ้าต้องการจะตอบแทนน้ำใจของนาง หรือต้องการจะรับผิดชอบ ข้าว่า...” “ลูกรักนางพ่ะย่ะค่ะ” “รัก! เจ้ารักสตรีมนุษย์นางนั้นจริง ๆ หรือ?” หลี่อวิ้นกุยรู้สึกไม่ชอบใจคำถาม สายตา และสีหน้าของราชาปีศาจยามนี้เลย แต่เพราะอีกฝ่ายคือ ผู้เป็นบิดาของเขา และเจ้าตัวก็อาจจะไม่เคยรักใครจริง จึงไม่เข้าใจความร
ถึงแม้หลี่อวิ้นกุยจะรู้อยู่แก่ใจว่า หลังจากที่เขาก้าวขาเข้าไปสารภาพผิดกับราชาปีศาจ อีกฝ่ายก็คงจะรู้สึกหวาดระแวงในตัวเขาเพิ่มขึ้นกว่าเดิม เพราะที่ผ่านมาระหว่างเขากับผู้เป็นบิดา หากอีกฝ่ายไม่เรียกหา เขาก็ไม่เคยไปขอเข้าเฝ้าเจ้าตัว แล้วตั้งแต่วันที่หลี่อวิ้นกุยก้าวเท้าเข้าไปอยู่ในวังราชาปีศาจ ผู้เป็นบิดาก็ไม่เคยมาหาเขาที่ตำหนักเลยสักครั้ง แต่หลี่อวิ้นกุยก็เชื่อว่า หลังจากผู้เป็นบิดาสืบหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังมือสังหารได้แล้ว อีกฝ่ายก็คงจะลดความหวาดระแวงที่มีในตัวเขาลงไปเอง ซึ่งหลี่อวิ้นกุยก็รู้สึกแปลกใจในสิ่งที่ตนเองคิด และตั้งใจจะทำอยู่ไม่น้อยเลย แต่พอได้ย้อนนึกดู...ก็อาจจะเป็นเพราะเรื่องเล่าในวังที่เขาเคยฟังมาจากเมิ่งเจียวซินก็ได้ จึงทำให้ตอนนี้มุมมองที่เขามีต่อผู้เป็นบิดาเริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และเขาก็เริ่มเข้าใจการกระทำบางอย่างของอีกฝ่ายด้วย แล้วในขณะนั้นหลี่อวิ้นกุยก็เล็งเห็นถึงโอก
เมิ่งเจียวซินนึกอยากจะวิ่งออกไปจากตรงนี้ แต่เพราะนี่คือ ห้องพักของนาง จึงได้พยายามรวบรวมสติของตัวเองกลับมา แล้วเอ่ยถามออกไปว่า “พร้อมแล้ว? เจ้าพร้อมเรื่องอะไร?” “ก็เรื่องให้เจ้าศึกษาร่างกายของข้า ตอนนี้ข้าพร้อมแล้ว” พูดจบ หลี่อวิ้นกุยก็ก้มลงไปกระตุกปมผ้าคาดเอวของตัวเองทันที “กุยกุย นั่นเจ้าจะทำอะไร?” “ข้าก็จะเปลื้องผ้า แล้วขึ้นไปนอนรอเจ้าบนเตียงอย่างไรล่ะ” คำพูดของบุรุษตรงหน้าทำเอาเมิ่งเจียวซินอ้าปากค้าง หลี่อวิ้นกุยจงใจค่อย ๆ ถอดเสื้อคลุมออก เพราะเขาเริ่มรู้สึกสนุกกับสีหน้าแบบนั้นของอีกฝ่าย ทันทีที่เสื้อคลุมตัวนอกหลุดออกจากตัว เขาก็เตรียมจะถอดเสื้อตัวใน... แต่ทว่าหลี่อวิ้นกุยห
หลี่อวิ้นกุยเงยหน้า แล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อพักสายตาจากการนั่งอ่านรายงานมาครึ่งค่อนวัน จากนั้นเขาก็นึกไปถึงเรื่องของพระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมย... เมื่อเช้าหลังจากหลี่อวิ้นกุยกลับเข้ามาในห้องตำรา เขาก็รีบส่งองครักษ์เงาไปติดตามดูทุกความเคลื่อนไหวของหลี่อวิ้นเหมย รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในตำหนักของเด็กหญิงด้วย ในอดีตที่ผ่านมา อาจจะด้วยเพราะหลี่อวิ้นกุยมองว่า พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยมีสายเลือดฝั่งมารดาของเขาด้วย เขาจึงพยายามอดทน และไว้หน้า ยามที่คนทั้งคู่พยายามเข้าหา เพราะต้องการผลประโยชน์จากเขา แต่หลังจากที่คนทั้งคู่มีส่วนร่วมในการลอบวางยาพิษ และลอบทำร้ายหลี่อวิ้นกุยครั้งล่าสุด เขาก็ไม่คิดจะไว้หน้า หรืออดทนต่อการกระทำของคนทั้งคู่อีก หากไม่เพราะคำพูด และคำขอของเมิ่งเจียวซิน ไม่แน่ยามนี้แม้แต่ลมหายใจ...พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยก็อาจจะไม่มีเหลือแล้วกระมัง
พอเดินเข้าไปในห้องโถง เมิ่งเจียวซินก็เห็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่งหันมาส่งยิ้ม แล้วเดินตรงเข้ามาหาพวกนาง “อวิ้นเหมยน้อมทักพี่สาม” หลี่อวิ้นเหมยพูดพร้อมกับทำความเคารพหลี่อวิ้นกุย “ถวายพระพรองค์หญิงห้า หม่อมฉันเมิ่งเจียวซินเพคะ” เมิ่งเจียวซินทำความเคารพเด็กหญิงตรงหน้า “คุณหนูเมิ่งไม่ต้องมากพิธีกับ...” หลี่อวิ้นเหมยหยุดพูดกลางคัน เพราะในขณะที่เด็กหญิงเดินเข้าไปหมายจะจับมือเมิ่งเจียวซิน หลี่อวิ้นกุยที่ยืนอยู่ข้างกายสตรีตรงหน้า ก็เอื้อมมาจับไหล่แล้วดึงฝ่ายตรงข้ามให้ถอยห่าง “คุณหนูเมิ่งเป็นเหมือนกับข้า ที่ไม่ค่อยชินกับการให้ผู้ใดมาแตะเนื้อต้องตัว” “ข้า...เป็นข้าที่คิดน้อยเกินไป ขอพี่สามกับคุณหนูเมิ่งได้โปรดอย่าถือสา” &n
ผ่านไปเกือบสองเค่อที่ภายในห้องพักปกคลุมไปด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงขีดเขียนพู่กัน กับเสียงลมหายใจของสองคนที่อยู่ในนั้น แล้วในขณะที่ความรู้สึกประดักประเดิดเกิดขึ้นกับคนทั้งสองในห้อง เสียงของฝูกงกงก็ดังแว่วเข้ามาว่า “องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงห้าหลี่อวิ้นเหมยมาขอเข้าพบพระองค์ และขอเข้าเยี่ยมว่าที่พระชายา ยามนี้องค์หญิงห้านั่งรออยู่ที่ห้องโถงพ่ะย่ะค่ะ” “ไปบอกองค์หญิงห้า วันนี้ข้ากับว่าที่พระชายาไม่สะดวก...” ตอบมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วหันไปมองรอยแดงบนต้นคอของเมิ่งเจียวซิน ยามนี้ร่องรอยจากฝีมือของเขาได้จางหายไปเกือบหมดแล้ว หลี่อวิ้นกุยจึงเอ่ยถามเมิ่งเจียวซินว่า “ซินซิน พรุ่งนี้เจ้าสะดวกใจให้น้องห้าเข้าพบหรือไม่?” “สะดวก”
เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นมามองหลี่อวิ้นกุย นางยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ไม่ทันได้ตอบรับ หรือปฏิเสธ อีกฝ่ายก็กล่าวขึ้นมาต่อว่า “เรื่องยาบรรเทาอาการจากยาพิษค่ำคืนเหมันต์ ก็อย่างที่ข้าเคยรายงานผลให้เจ้าฟังว่า ยาของเจ้าบรรเทาอาการจากยาพิษได้ดีมาก ซึ่งตอนนี้ยาที่เจ้าให้ข้านำมาทดลองได้หมดจากร้านขายยา ที่ข้าให้คนนำไปปล่อยได้สักพักแล้ว ยามนี้เหล่าผู้ที่มียาพิษค่ำคืนเหมันต์อยู่ในกาย ก็เริ่มส่งคนไปตะเวนหาซื้อยา บางคนถึงขั้นจ้างคนไปตะเวนหาผู้ที่ปรุงยาตัวนี้ขึ้นมาแล้วด้วย ซินซิน ข้าจึงอยากถามเจ้าว่า หากข้าจะขอสูตรยาตัวนี้จากเจ้ามาปรุงขาย เจ้าจะสะดวกใจหรือไม่? ที่ข้าถามเช่นนี้ เพราะตอนนี้ข้ามีทั้งสถานที่ ผู้ที่มีความสามารถในการปรุงยา รวมไปถึงแหล่งหาสมุนไพรที่จะใช้ปรุง ซึ่งกำไรได้จากการขายยา ข้าจะยกให้เจ้าทั้งหมด แล้วเจ้าก็ไม่ต้องกลัวว่า ส
หลังจากนั้นบุรุษไร้ยางอายก็เดินออกไปจากห้องพักของเมิ่งเจียวซิน ผ่านไปไม่ถึงสองเค่อหลี่อวิ้นกุยก็กลับเข้ามาพร้อมกับเหล่าขันที และองครักษ์สตรีทั้งสองของนาง โดยผู้คนเหล่านั้นต่างก็ช่วยกันทยอยขนโต๊ะทำงาน หนังสือ หีบเอกสาร แท่นวางพู่กัน รวมไปถึงอุปกรณ์สำหรับเขียนอื่น ๆ เข้ามาวางในห้องพักของนาง เมิ่งเจียวซินรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่อันลี่กับอันเหมยยินยอมให้หลี่อวิ้นกุยทำเช่นนี้ได้ แล้วยังช่วยเหล่าขันทีทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ โดยไม่แม้แต่จะเอ่ยคัดค้าน หรือพยายามเข้ามาเกลี่ยกล่อมนาง แล้วในระหว่างที่ผู้คนช่วยกันทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ เข้ามา เมิ่งเจียวซินก็รับรู้ได้ถึงสายตาของสององครักษ์สตรีที่เหลือบมองมาทางนางอยู่บ่อยครั้ง พอหันกลับไปมอง...แล้วเห็นสีหน้า และท่าทีของคนทั้งสอง นางก็พอจะเดาได้ทันทีว่า คนทั้งคู่ต้องการให้นางทำสิ่งใด แต่เพราะเป็นตัวนางเองที่เอ่ยปากอนุญาต ยามนี้เมิ่งเจียวซินจึงทำได้เพ
รุ่งเช้า เมิ่งเจียวซินลืมตาขึ้นมา บุรุษที่นอนอยู่ข้างกายนางทั้งคืนได้แอบออกจากห้องพักไปแล้ว โดยหลี่อวิ้นกุยได้หยิบเอาชุดที่ขาดวิ่นของนางติดมือออกไปด้วย หลังจากเมิ่งเจียวซินจัดการดูแลตัวเองเสร็จ นางก็เดินมานั่งลงที่หน้ากระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นนางก็จัดแต่งทรงที่สามารถปล่อยผมลงมาครึ่งศีรษะ แล้วเดินไปรื้อหาอาภรณ์ที่คอตั้ง หรือคอสูงมาสวมใส่ แต่ไม่ว่าจะสวมใส่อาภรณ์ที่คอสูงขนาดไหน อย่างไรมันก็ไม่สามารถปกปิดรอยแดงช้ำ ที่ต้นคอของนางได้หมดทุกรอยอยู่ดี “เห็นทีข้าคงต้องแกล้งป่วยสักสามวัน!” เมิ่งเจียวซินนั่งวางแผนแกล้งป่วยให้กับตัวเอง พอคิดออก...นางก็รีบไปเอากลอนที่ประตูห้องพักลง จากนั้นจึงเดินกลับมาล้มตัวลงนอนบนเตียง พร้อมกับดึงผ้าขึ้นมาห่มจนถึงปลายคาง ตอนนี้เมิ่งเจียวซินรู้สึกว่า โชคดีที่นางขอความเป็นส่วนตัวในห้องพัก
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วขยับเข้าไปนั่งพิงหัวเตียง จากนั้นก็ดึงสตรีข้างกายให้ลงมาซบที่แผงอกของตัวเอง ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบเส้นผมนุ่ม พร้อมกับเล่าต่อว่า “ซินซิน การที่ข้าต้องการปลดปีศาจทุกตนในตระกูลเฉินออกจากราชการ ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องความแค้นส่วนตัว แต่อีกส่วนก็เพราะตระกูลเฉินต่อหน้าทำเป็นสรรเสริญราชาปีศาจ แต่ลับหลังกลับคอยยุแยงปีศาจเผ่าอื่น ๆ ให้กระด้างกระเดื่องต่อการปกครองของคนเผ่ามาร แล้วหลังจากที่ข้าส่งคนไปคอยติดตาม เพื่อหาหลักฐานการกระทำผิดเพิ่มเติม ข้าก็ได้รู้ว่า ปีศาจตระกูลนี้ได้ลักลอบแลกเปลี่ยนอัญมณีต้องห้าม และยังมีความผิดซุกซ่อนอยู่อีกหลายอย่าง แต่...ถึงแม้ยามนี้จะมีหลักฐานเพียงพอให้เอาผิด ทว่าการที่จะปลดขุนนางระดับสูงออกจากตำแหน่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ เพราะมันเชื่อมโยงไปถึงขั้วอำนาจแล้วอีกอย่างไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ก็เพิ่งจะมีการแต่งตั้งที่มีผลต่อขั้วอำนาจไปแล้วถึงสองครั้ง
เมิ่งเจียวซินหลังจากต้องนั่งกดข่มความรู้สึกเจ็บ และข่มกลั้นความรู้สึกอาย จนการทายาที่ยาวนานสิ้นสุดลงไปได้ พอสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จ นางก็สังเกตเห็นว่า หลี่อวิ้นกุยยังคงนั่งมองมาที่รอยแดงบนต้นคอของนาง แล้วด้วยสีหน้า และสายตาของเจ้าตัว ทำให้นางรู้ว่า อีกฝ่ายยังรู้สึกผิดกับเรื่องที่เพิ่งผ่านมา เมื่อฝ่ายตรงข้ามเงยหน้าขึ้นมา แล้วเห็นว่า นางกำลังจ้องมองอยู่...เจ้าตัวก็รีบก้มหน้า หลบตา ซึ่งในขณะนั้นเมิ่งเจียวซินก็สังเกตเห็นว่า ริมฝีปากของหลี่อวิ้นกุยยังคงมีเลือดไหลซึมออกมา นางจึงกล่าวว่า “กุยกุย เงยหน้าขึ้นมา” พอเห็นบุรุษตรงหน้ายอมทำตามที่นางบอก เมิ่งเจียวซินจึงขยับเข้าไปใกล้ ก่อนจะจับปลายคางของหลี่อวิ้นกุยเอาไว้ แล้วเริ่มลงมือเช็ดคราบเลือด จากนั้นบาดแผลขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ก็ปรากฏสู่สายตาของนาง... แม้เมิ่งเจียวซินจะรู้ดีว่า ร่างกายของหลี่