เมิ่งเจียวซินนึกไปถึงนิยายที่เคยอ่าน ซีรีส์จีนที่เคยดู รวมไปถึงเรื่องเล่าประวัติศาสตร์ที่นางเคยได้ยินมา...
ถ้าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการแย่งชิงบัลลังก์ ส่วนใหญ่หากเกิดในราชวงศ์ หรือเกิดมามีสายเลือดของผู้ที่ปกครองแว่นแคว้น ชีวิตในวังของโอรสหรือธิดาบางคนก็หาได้สวยหรู หรือได้อยู่อย่างสุขสงบอย่างที่ผู้คนภายนอกคิดไม่
“หมิงจิว เจ้าอาจจะรู้สึกอิจฉาบรรดาผู้ที่ได้เกิดมาพร้อมกับอำนาจ วาสนา หรือยศถาบรรดาศักดิ์ แต่ข้าขอบอกเจ้าว่า บ้างครั้งผู้ที่ได้เกิดมาพร้อมกับสิ่งเหล่านั้น อาจจะกำลังรู้สึกอิจฉาเจ้าอยู่ก็ได้นะ”
“อิจฉาข้า!”
“ใช่”
เมิ่งเจียวซินเมื่อได้เห็นสีหน้า รวมไปถึงท่าทางของหมิงจิวที่คล้ายกับกำลังรู้สึกตกใจ และไม่เชื่อถือในสิ่งที่นางกล่าวเมื่อครู่ นางจึงอธิบายต่อว่า
หลังจากได้ยินคำถาม ซึ่งไม่มีที่มาที่ไปของหมิงจิว เมิ่งเจียวซินจึงหันกลับไปมองอีกฝ่าย เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกโมโหเรื่องเล่าจากในรั้วในวังอยู่หรอกหรือ? แต่เมื่อได้เห็นสายตาที่แสดงออกราวกับว่า อยากจะรู้จริง ๆ จากสหาย นางจึงหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวตอบไปว่า “หากถามว่าเคยคิดหรือไม่? ในวัยเด็กข้าก็เหมือนจะเคยคิดนะ คงอาจจะด้วยเพราะช่วงวัย แล้วก็อาจจะด้วยเพราะความคิดแบบเด็ก ๆ ที่ว่า ตนเองจะได้เข้าไปอยู่ในเรือนหลังใหญ่ จะได้แต่งกายด้วยชุดที่สวยหรู และก็จะได้ชิมอาหารอร่อย ๆ จากโรงเตี๊ยมดัง ๆ ทุกวัน แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความคิดในวัยเยาว์ เพราะข้าในยามนี้ไม่คิดจะนำความสุขที่ตนเองมี ไปแลกกับความสุขที่ได้มาเพียงชั่วคราวแน่นอน” “อะไรคือ ความสุขเพียงชั่วคราว?” หมิงจิวเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังแบบง่าย ๆ ให้เจ้าได้รับรู้ และได้เห็นภาพเลยนะ” พูดจบ เมิ่งเจียวซินก็เอ
เมิ่งเจียวซินก้มมองเจ้าลูกกระรอกบนตัก ตั้งแต่ช่วงบ่ายอีกฝ่ายได้กินเพียงแค่ขนมรองท้องเท่านั้น ไม่แน่ว่า ยามนี้เจ้าตัวอาจจะเริ่มรู้สึกหิวไม่น้อยแล้วก็ได้ นางจึงหยิบขนมในจานส่งไปให้เจ้าลูกกระรอกอีกหนึ่งชิ้น ซึ่งในขณะนั้นคนของโรงเตี๊ยมก็เข้ามาเติมน้ำชาให้กับพวกนางพอดี เมิ่งเจียวซินจึงหันไปสั่งอาหารกับอีกฝ่าย “เสี่ยวเอ้อร์ ข้าขอซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวานกับปลานึ่งซีอิ๊วอย่างละหนึ่งที่ และข้าวสวยจำนวนสองถ้วยด้วยเจ้าค่ะ ชุดนี้ข้ารบกวนจัดใส่ห่อนะเจ้าคะ แล้วก็...ข้ารบกวนห่อขนมแบบจานนี้เพิ่มให้ข้าในชุดอาหารด้วยเจ้าค่ะ” “ได้ขอรับ รอสักครู่นะขอรับ” “เจียวซิน เจ้าอย่าบอกนะว่า...เจ้าจะซื้อไปฝากบ่าวสตรีนางนั้น” หมิงลู่เอ่ยถามเสียงเข้ม “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้าซื้อไปกินเอง” “พี่ใหญ่ข้าขอซื้ออาหาร แล้วฝ
“ขอบคุณที่เดินมาส่งนะเจ้าคะ ข้าฝากบอกพี่ชายฟางด้วยว่า ขอให้หายเร็ว ๆ” “ได้” หมิงลู่ตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้กับเมิ่งเจียวซิน จากนั้นเขาก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาแปลก ๆ อีกครั้ง “ไว้เจอกันใหม่นะเจียวซิน” “อืม” “เจ้ารีบเข้าเรือนเถิด พวกข้าจะไปแล้ว” เมิ่งเจียวซินทำเพียงพยักหน้าตอบหมิงลู่ ก่อนจะหันหลัง แล้วเดินเข้าเรือนของตนเอง หมิงลู่ยืนมองส่งเมิ่งเจียวซิน แล้วเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินเข้าเรือนไปแล้ว เขาก็เดินนำน้องสาวไปทางเรือนของพวกตนต่อ “มองไม่วางตาเลยนะเจ้าคะ” หมิงจิวเอ่ยเย้าผู้เป็นพี่ชาย “เจ้านี่!” หมิงล
หลี่อวิ้นกุยลืมตาขึ้นมากลางดึก ยามนี้แม้ทุกสิ่งรอบกายจะยังคงตกอยู่ในความมืด แต่เหตุใดในสายตาของเขาจึงยังเห็นศีรษะ ใบหู เส้นผม ลำคอ ไหล่ ฯลฯ ของสตรีในอ้อมแขนได้อย่างชัดเจน มันช่างน่าแปลก! เพราะตั้งแต่จำความได้ทุกสิ่งที่อยู่รอบกายเขา มันมักจะเต็มไปด้วยความมืดมิดเสมอ ตั้งแต่ในวัยเยาว์ แม้หลี่อวิ้นกุยจะได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนในครอบครัวฝั่งมารดา แต่ชีวิตในสถานที่แห่งนั้นมันช่างเงียบเหงา และเดียวดาย ไร้ซึ่งคำว่า‘ความอบอุ่น’ จากผู้คนที่ได้นามว่าเป็นคนในครอบครัวของเขา แล้วเมื่อเขาเติบใหญ่พอรู้ความ จิ่นโซวก็เข้ามาพูดคุยเพื่อรับตัวเขาจากคนเหล่านั้น โดยหลี่อวิ้นกุยยังจำสีหน้าที่แสดงออกถึงความรู้สึกโล่งใจ ยินดีที่เขากำลังจะจากไป ในวันสุดท้ายที่เขาก้าวเท้าออกมาจากเรือนที่ตนเองถือกำเนิด และเติบโตมาของผู้คนที่ได้นามว่าเป็นคนในครอบครัวของเขาได้อย่างชัดเจน แล้วในวันที่หลี่อวิ้นกุย
เมื่อดึงสติกลับมาได้ หลี่อวิ้นกุยก็รีบขยับเอาร่างกายของตนเองถอยออกมา จากนั้นเขาก็เห็นริมฝีปากของคนตรงหน้ามีรอยช้ำเล็ก ๆ ซึ่งแน่นอนว่า มันเกิดขึ้นจากการถูกเขาจุมพิตเมื่อครู่ หลี่อวิ้นกุยรีบดีดตัวลุกขึ้นมานั่ง จากนั้นเขาก็คิดจะลงไปเอายามาทาบริเวณริมฝีปากตรงจุดที่เกิดรอยช้ำให้กับนาง แต่เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่า หากเมิ่งเจียวซินตื่นขึ้นมา แล้วรับรู้ได้ถึงยาที่เขาทาให้กับนางล่ะ? หลังจากนั่งชั่งใจมาสักพัก หลี่อวิ้นกุยก็ยื่นนิ้วมือเข้าไปลูบไล้และนวดคลึง พร้อมกับก้มลงไปมองริมฝีปากของเมิ่งเจียวซินอีกครั้ง แล้วเมื่อเห็นว่าไม่มีบาดแผล มีเพียงรอยช้ำเล็ก ๆ สี่ห้าจุดเท่านั้น เขาจึงตัดสินใจล้มตัวลงไปนอน แล้วจัดท่านอนให้เป็นท่าที่เขากับนางใช้นอนร่วมกันบนเตียงหลังนี้ทุกคืน โดยคิดเอาไว้ว่า...พรุ่งนี้เช้าเขาค่อยรอดูท่าทีของนางตอนเห็นรอยช้ำ ยามนั้นเขาค่อยคิดอีกทีว่า ควรจะทำเช่นไรต่อ? ซึ่งหลี่อวิ้นกุยไ
เมิ่งเจียวซินนอนส่งมอบพลังหยินให้กับเจ้าลูกกระรอก ซึ่งภายในใจของนางยังคงมีความรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับท่าทีของเด็กหนุ่มติดค้างอยู่ เนื่องจากวันนี้ทั้งวันเจ้าตัวพยายามแย่งงานจากนางไปทำแทบจะทุกอย่าง แล้วก็ด้วยเพราะความอยากทำงานมาก ๆ ของอีกฝ่าย ตอนนี้ชุดสมุนไพร และยารักษาโรคทั่วไปที่นางตั้งใจจะจัดเตรียมให้กับเจ้าตัว รวมไปถึงผู้คนรอบกายนางได้ถูกจัดใส่ห่อรอที่จะส่งมอบเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตลอดทั้งวันเมิ่งเจียวซินก็พยายามเอ่ยถามเด็กหนุ่มว่าเป็นอะไร แต่ทว่าเจ้าตัวก็ใช้ความเงียบ หรือไม่ก็มักจะเอ่ยของานจากนางขัดขึ้นมาเสียก่อนทุกครั้ง จนผ่านล่วงเลยมาถึงยามนี้...แต่เมิ่งเจียวซินก็หาได้คิดที่จะยอมแพ้ไม่ นางจึงขยับร่างกาย แล้วเอนตัวไปทางด้านหลังเล็กน้อย พร้อมกับเอ่ยถามว่า “กุยกุย คือ...ข้ารู้สึกว่าวันนี้เจ้าขยันแปลก ๆ เจ้าเป็นอะไรหรือไม่? หรือว่า...มีเรื่องอะไรกวนใจเจ้า? เจ้าพอจะ...” ยังไม่ทันที่เมิ่งเจียวซินจะได้พูดจนจบประโยค อีกฝ่ายก็ขยับเข้ามาโอบกอดร่างกายขอ
หลี่อวิ้นกุยนั่งปรับอารมณ์ตัวเองอยู่สักพัก จากนั้นเขาก็หันไปส่งสัญญาณเรียกจิ่นสือเข้ามาสั่งการ ทว่าผู้ที่เข้ามารับคำสั่งหาได้มีเพียงแค่จิ่นสือ แต่ยังมีจิ่นตั้งที่เข้ามาพร้อมกับผู้เป็นน้องชายด้วย หลังจากสอบถามหลี่อวิ้นกุยก็ได้รู้ว่า จิ่นสือส่งสารไปบอกจิ่นตั้งเรื่องที่เขาสั่งย้ายเจ้าตัวไปเป็นองครักษ์เงาให้กับเมิ่งเจียวซิน จิ่นตั้งจึงรีบออกเดินทางมาเป็นองครักษ์ข้างกายของเขาแทนผู้เป็นน้องชายต่อทันที ซึ่งจิ่นตั้งเพิ่งจะเดินทางมาถึงเมื่อเช้านี้ และกำลังหาจังหวะเข้ามารายงานตัวกับเขาอยู่ แล้วเมื่อได้รับสัญญาณเรียก...จิ่นตั้งเลยตามผู้เป็นน้องชายเข้ามาด้วย จากนั้นคนทั้งสองก็เริ่มรายงานเรื่องที่เขาสั่งให้ไปทำ... เรื่องการแก้แค้น...หลี่อวิ้นกุยได้เลือกทำตามที่เมิ่งเจียวซินเคยขอ โดยเริ่มจากการส่งคนไปสืบหาข้อมูลให้แน่ชัดก่อน จากนั้นเขาก็เลือกลงมือเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้อง และมีส่วนร่วมกับการวางยาพิษเขาครั้งล่าสุดจริง ๆ เท่านั้น ซึ่งยามนี้จิ่นตั
เมิ่งเจียวซินเดินออกมาถึงห้องโถง คนขับเกวียนกับบุรุษที่มาด้วยกันก็ได้ลำเลียงตะกร้าของฝากเสร็จพอดี นางจึงเดินไปหาคนทั้งคู่ เพื่อจ่ายค่าแรง แต่ทว่าจูมี่ก็รีบขยับเข้ามาขวาง เพราะเจ้าตัวได้จ่ายค่าจ้างพร้อมกับค่าแรงที่ช่วยยกของไปแล้ว เมื่อรู้เช่นนั้นนางจึงเดินนำจูมี่ออกไปส่งบุรุษทั้งสองที่ประตูรั้วด้านหน้าเรือน ในขณะที่ยืนมองเกวียนขับออกไป พวกนางก็เห็นซุนเย่ผิงวิ่งสวนเข้ามาหา จูมี่จึงเอ่ยถามอีกฝ่ายว่า “อาซุนเจ้าไปไหนมา?” “ข้า... คือ ข้าไป...” แม้เมิ่งเจียวซินจะรู้สึกแปลกใจ...ซุนเย่ผิงรู้ได้เช่นไรว่าจูมี่กลับมาแล้ว? แต่พอได้เห็นท่าทีละล่ำละลักคิดหาคำตอบไม่ทันของอีกฝ่าย นางจึงกล่าวสิ่งที่ตนช่วยคิดแก้ต่างแทนเจ้าตัวเอาไว้เมื่อครู่ออกมา “พอดี
รุ่งเช้า บุรุษไร้ยางอายที่ขอมานอนด้วยเมื่อคืนก็หายไปจากเตียงของเมิ่งเจียวซินแล้ว และในคืนต่อ ๆ มา แม้ช่วงกลางวันจะไม่ค่อยได้เห็นหน้า แต่ทว่าช่วงกลางคืนหลี่อวิ้นกุยกลับโผล่เข้ามาขอนอนที่ห้องนี้กับนางทุกคืน แล้วทุกคืนก่อนนอนบุรุษไร้ยางอายจะต้องได้จุมพิตกับนางอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ต้องเอาตัวนางเข้าไปซุกไว้ในอ้อมกอด และเมิ่งเจียวซินจะต้องกอดตอบอีกฝ่ายด้วย เจ้าตัวถึงจะยอมนอนหลับแต่โดยดี หลังจากตื่นนอนเมิ่งเจียวซินก็ลุกไปจัดการดูแลตัวเอง จากนั้นนางจึงออกไปรอเรียนเรื่องกฎเกณฑ์ และข้อปฏิบัติต่าง ๆ ในวังกับนางกำนัลอาวุโส ซึ่งวันนี้นางกำนัลทั้งสองได้แจ้งว่า จะเข้ามาสอนเพียงห้าวันต่อหนึ่งสัปดาห์ แล้วหลังจากวันนี้นางจะได้เรียนเรื่องการเย็บปักถักร้อย การจัดดอกไม้ กริยามารยาทของสตรีชั้นสูง และการทำบัญชีเพิ่มอีกด้วย ซึ่งวันนี้เมิ่งเจียวซินรู้สึกว่า นางกำนัลอาวุโสทั้งสองยามที่สอน..
เมิ่งเจียวซินมองบุรุษไร้ยางอายคนหนึ่งมุดออกมาจากตู้เสื้อผ้า แล้วเมื่ออีกฝ่ายเห็นนางก็รีบยกนิ้วชี้ขึ้นมาแนบที่ริมฝีปาก “ชู่วว...” บุรุษไร้ยางอายคนนั้นส่งสัญญาณห้ามเมิ่งเจียวซินร้องเรียกองครักษ์สตรีห้องข้าง จากนั้นบุรุษไร้ยางอายก็ปิดทางเชื่อมระหว่างห้องหนังสือกับห้องพักของนาง แล้วร่ายคาถาอะไรบางอย่าง เมิ่งเจียวซินที่ยังไม่ทันจะได้ตั้งรับกับสถานการณ์ตรงหน้า อีกฝ่ายก็เดินเข้ามาโอบกอดนาง พร้อมกับเอ่ยว่า “ซินซิน ข้าคิดถึงเจ้า” “ข้าก็คิดถึงเจ้า แต่...กุยกุย เจ้าช่วยปล่อยข้าครู่หนึ่งได้หรือไม่?” แล้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายก้มลงมามองนางด้วยสีหน้าที่คล้ายกับกำลังสงสัย เมิ่งเจียวซินจึงกล่าวเพิ่มว่า “ข้าขอแต่งกายให้เรียบร้อยก่อน” &n
หลังจากราชาปีศาจกับหลี่อวิ้นกุยกลับไป โจวหลิวอิงก็เรียกทุกคนในเรือนพักชั่วคราวมารวมตัวกันที่ลานกว้าง ก่อนจะประกาศเรื่องการหมั้นหมายระหว่างองค์ชายสามหลี่อวิ้นกุยกับเมิ่งเจียวซิน รวมไปถึงงานมงคลสมรสของคนทั้งสองที่จะเกิดขึ้นในอีกสี่เดือนข้างหน้า จากนั้นโจวหลิวอิงก็ประกาศต่อว่า อีกสามวันก็จะถึงกำหนดเดินทางกลับฝั่งของพวกมนุษย์ หากผู้ใดอยากอยู่ต่อ เพื่อร่วมงานมงคลสมรสดังกล่าว ก็ให้รีบมาลงนามกับเจ้าตัว แล้วเมื่อถึงกำหนดเดินทางกลับ โจวหลิวอิงก็จะพาคนกลุ่มนี้ย้ายไปพักที่จวนหัวหน้าหน่วยฝั่งซ้ายก่อน แต่ถ้าหากผู้ใดไม่สะดวกที่จะอยู่ต่อ เมื่อถึงกำหนดเดินทางกลับ เจ้าตัวก็จะให้เหล่าองครักษ์คุ้มกันพาเดินทางกลับไปยังหอโคมเขียวในฝั่งของพวกมนุษย์ เมื่อจัดการเรื่องการเดินทางกลับของคณะเหล่านางคณิกาเสร็จ โจวหลิวอิงก็เรียกเมิ่งเจียวซินกับปิงหลงเข้าไปพูดคุยกันต่อในห้องโถงของเรือนใหญ่ ซึ่งพอเห็นคนทั้งสองเข้ามานั่งในห้องกันเรียบร้อย โจวหลิ
หลี่อวิ้นหยางเมื่อกลับมาถึงห้องพักในตำหนัก เขาก็ขอยันต์ลวงตาที่ท่านตาของเขาเป็นผู้ใส่พลังลงไปคืนจากผู้ที่ยืนอยู่ข้างกาย จากนั้นก็กล่าวว่า “อาซุน เจ้าคงเห็นแล้วว่า ข้าไร้ตัวตนในสายตาของเสด็จพ่อ รวมไปถึงสายตาของผู้คนที่อยู่ในวังราชาปีศาจ แม้ดูเหมือนว่า ตัวข้าจะมีอำนาจ แต่แท้ที่จริงแล้ว...อำนาจในมือของข้ามีน้อยเสียยิ่งกว่าหัวหน้าองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างกายเสด็จพ่อ แค่ก ๆ แล้วเพราะเกิดมา ร่างกายของข้าก็ไม่ค่อยแข็งแรง พลังในกายจึงมีน้อยกว่าเหล่าพี่น้อง ข้าถึงต้อง...” “พระองค์ถึงต้องหาสตรีบริสุทธิ์มาเสพสังวาส เพื่อเพิ่มพลังใช่หรือไม่เพคะ?” “ใช่! แต่เรื่องเหล่านางคณิกาที่ถูกส่งมาฝั่งนี้ แล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ข้าไม่รู้เรื่องจริง ๆ นะอาซุน” พูดจบ หลี่อวิ้นหยางก็เดินไปนั่งลงบนเตียง ก่อนจะแสร้งไอออกมาอีกครั้งเบา ๆ ซุนเย่ผิงรีบหันไปรินน้ำอุ่น แล้วส
หลี่อวิ้นกุยรีบหันกลับไปมองเมิ่งเจียวซิน ยามนี้อีกฝ่ายกำลังเอียงคอมองไปทางหลี่อวิ้นหยาง เขาจึงก้าวเดินไปด้านข้าง เพื่อบังสายตาของนาง จากนั้นจึงกล่าวออกไปว่า “พี่รอง เรื่องการหมั้นหมายระหว่างข้ากับคุณหนูเมิ่งยังไม่ได้ประกาศออกไป แล้ววันนี้เสด็จพ่อก็เพิ่งจะเข้ามาพูดคุยเรื่องสู่ขอ แม้ข้าจะอยากถามว่า ผู้ใดคาบข่าวไปบอกท่าน แต่ก็ช่างเถิด! เพราะวันนี้ถือว่าเป็นวันดีของข้า เช่นนั้น...พี่รอง ข้าขอขอบคุณที่ท่านอุตส่าห์ได้ยินข่าว แล้วยอมขัดคำสั่งกักบริเวณของเสด็จพ่อ เพื่อลากสังขารของตัวเองมาร่วมอวยพรให้กับข้าและคุณหนูเมิ่ง” หลี่อวิ้นหยางถูกตอกกลับมาแบบไม่ไว้หน้าเป็นครั้งที่สอง ที่ผ่านมาเขากับหลี่อวิ้นกุยแม้จะไม่สนิท แต่ยามได้พบเจอก็มักจะพูดคุยทักทาย และให้เกียรติกันอยู่เสมอ ทว่าเหตุใดยามนี้อีกฝ่ายถึงไม่คิดจะไว้ไมตรี หรือหลี่อวิ้นกุยจะรู้เร
โจวหลิวอิงนำทุกคนในเรือนพักชั่วคราวทำความเคารพ พร้อมกับกล่าวทักทายราชาปีศาจกับองค์ชายสามหลี่อวิ้นกุย จากนั้นโจวหลิวอิงจึงเชิญคนทั้งสอง และคณะผู้ที่ติดตามมาบางส่วนเข้าไปนั่งพูดคุยกันต่อยังห้องโถงในเรือนใหญ่ โดยมีเมิ่งเจียวซินกับปิงหลงเดินตามโจวหลิวอิงนำคนอื่น ๆ เข้าไปด้านใน แล้วเมื่อเข้ามาในห้องโถง ราชาปีศาจก็เอ่ยสู่ขอเมิ่งเจียวซินให้กับหลี่อวิ้นกุยอย่างเป็นทางการ จากนั้นก็เริ่มพูดคุยกันเรื่องสินสอด ก่อนจะส่งมอบหนังสือหมั้นหมาย โดยทั้งสองฝ่ายพูดคุยตกลงกันเพียงไม่นาน เพราะราชาปีศาจกับหลี่อวิ้นกุยยินยอมทำตามข้อเรียกร้องจากโจวหลิวอิงทุกข้อ หลังจากนั้นราชาปีศาจก็ให้เมิ่งเจียวซิน หลี่อวิ้นกุย และเหล่าผู้ติดตามออกไปจากห้องโถงก่อน เพราะเจ้าตัวมีเรื่องสำคัญจะพูดคุยกับโจวหลิวอิงต่อ พอเมิ่งเจียวซินเดินออกห่างจากห้องโถง หลี่อวิ้นกุยก็เอ่ยชวนนางไปนั่งพูดคุยกันต่อที่ศาลาข
เมิ่งเจียวซินหลังจากลงมานั่งแช่ตัวในอ่างอาบน้ำได้สักพัก จิตใจที่เคยว้าวุ่นก็เริ่มสงบลง เพราะนอกจากเรื่องราวต่าง ๆ ที่ไปเผชิญมากับตัวตั้งแต่เช้า พอกลับมาถึงเรือนพักชั่วคราว นางก็ได้รับรู้เรื่องของซุนเย่ผิง... โดยปิงหลงเล่าให้เมิ่งเจียวซินฟังว่า...เมื่อคืนซุนเย่ผิงไม่ได้กลับมานอนที่เรือนพักชั่วคราว แล้วช่วงบ่ายวันนี้ซุนเย่ผิงก็กลับมาที่เรือน พร้อมกับคนขององค์ชายรองหลี่อวิ้นหยางจำนวนสองคน ซึ่งทั้งสามคนมาขอเข้าพบโจวหลิวอิง เหล่าองครักษ์ของโจวหลิวอิงจึงให้คนทั้งสามเข้ามานั่งรอในห้องโถงของเรือนใหญ่ ซึ่งในระหว่างนั้นปิงหลงได้อาสานำของว่าง และน้ำชาเข้าไปให้ ขณะที่วางของว่างลงบนโต๊ะปิงหลงก็แอบขยับเข้าไปกระซิบถามซุนเย่ผิงว่า พาสองคนนี้มาทำไม? แล้วตอนนี้ซุนเย่ผิงกำลังคิดจะทำอะไร? แต่ทว่าซุนเย่ผิงไม่ตอบ และไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองปิงหลงเลยสักนิด เด็กชายจึงเลิกให้ความสนใจ จนโจวหล
หลังจากเมิ่งเจียวซินกับหลี่อวิ้นกุยลงมือกินซาลาเปา สาลี่ และทับทิมจนหมดแล้ว เมิ่งเจียวซินจึงลุกขึ้นยืน เพื่อเก็บถาด และจานเปล่าใส่ลงไปในตะกร้าใบใหญ่ แล้วในขณะนั้นนางก็รับรู้ได้ถึงวงแขนที่สอดเข้ามาบริเวณรอบเอว ตอนนี้หลี่อวิ้นกุยกำลังโอบกอดนางจากทางด้านหลัง จากนั้นเจ้าตัวก็ซบใบหน้าลงมาที่ไหล่ข้างขวาของนาง “ซินซิน เจ้าไม่อยากรู้หรือว่า ข้าอธิษฐาน และฝากคำพูดถึงมารดาของข้าบนสวรรค์ว่าอย่างไร?” แต่ยังไม่ทันที่เมิ่งเจียวซินจะได้ตอบอะไรกลับไป หลี่อวิ้นกุยก็กล่าวต่อ “ข้าอธิษฐานว่า...ขอมีเจ้าอยู่ข้างกายข้าในทุกวันเกิดหลังจากนี้ และข้าก็กล่าวขอบคุณมารดาที่มอบชีวิตนี้ให้แก่ข้าซินซิน ขอบคุณนะ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา ขอบคุณที่เจ้าจัดเตรียมสิ่งเหล่านี้เพื่อข้า ยามนี้ข้ารู้สึกติดค้าง...” &n
เมิ่งเจียวซินนั่งกอด และคอยลูบหลังลูบไหล่ปลอบประโลมหลี่อวิ้นกุยอยู่เงียบ ๆ โดยนางปล่อยให้บุรุษในอ้อมแขนร้องไห้ระบายความเจ็บปวดที่อยู่ภายในใจออกมา จนเวลาผ่านล่วงเลยไปสักพัก เมิ่งเจียวซินได้ยินเสียงเคาะประตู จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียก เพื่อขออนุญาตเข้ามาในห้องพัก โดยเจ้าของเสียงน่าจะเป็นคนที่นางสั่งให้ไปอุ่นซาลาเปา และเอาสาลี่กับทับทิมออกไปหั่น เมิ่งเจียวซินจึงก้มลงไปมองบุรุษในอ้อมแขน พอเห็นว่ายามนี้อีกฝ่ายเริ่มสงบใจได้บ้างแล้ว นางจึงบอกให้หลี่อวิ้นกุยลุกไปล้างหน้าล้างตา ก่อนจะเอ่ยอนุญาตให้กลุ่มคนที่ยืนอยู่หน้าห้องพักเข้ามาได้ เมิ่งเจียวซินยืนมองคนของหลี่อวิ้นกุยทยอยลำเลียงของเข้ามาจัดวางลงบนโต๊ะกลม ยามนี้ซาลาเปาที่มีสภาพอุ่นร้อนจนหอมกรุ่นได้ถูกจัดวางเป็นรูปภูเขาตามคำสั่งของนาง ส่วนสาลี่กับทับทิมก็ถูกหั่นเรียงซ้อนกันอยู่บนจาน