หลังจากเมิ่งเจียวซินกับหลี่อวิ้นกุยลงมือกินซาลาเปา สาลี่ และทับทิมจนหมดแล้ว เมิ่งเจียวซินจึงลุกขึ้นยืน เพื่อเก็บถาด และจานเปล่าใส่ลงไปในตะกร้าใบใหญ่ แล้วในขณะนั้นนางก็รับรู้ได้ถึงวงแขนที่สอดเข้ามาบริเวณรอบเอว ตอนนี้หลี่อวิ้นกุยกำลังโอบกอดนางจากทางด้านหลัง จากนั้นเจ้าตัวก็ซบใบหน้าลงมาที่ไหล่ข้างขวาของนาง
“ซินซิน เจ้าไม่อยากรู้หรือว่า ข้าอธิษฐาน และฝากคำพูดถึงมารดาของข้าบนสวรรค์ว่าอย่างไร?”
แต่ยังไม่ทันที่เมิ่งเจียวซินจะได้ตอบอะไรกลับไป หลี่อวิ้นกุยก็กล่าวต่อ
“ข้าอธิษฐานว่า...ขอมีเจ้าอยู่ข้างกายข้าในทุกวันเกิดหลังจากนี้ และข้าก็กล่าวขอบคุณมารดาที่มอบชีวิตนี้ให้แก่ข้า
ซินซิน ขอบคุณนะ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา ขอบคุณที่เจ้าจัดเตรียมสิ่งเหล่านี้เพื่อข้า ยามนี้ข้ารู้สึกติดค้าง...”
&n
เมิ่งเจียวซินหลังจากลงมานั่งแช่ตัวในอ่างอาบน้ำได้สักพัก จิตใจที่เคยว้าวุ่นก็เริ่มสงบลง เพราะนอกจากเรื่องราวต่าง ๆ ที่ไปเผชิญมากับตัวตั้งแต่เช้า พอกลับมาถึงเรือนพักชั่วคราว นางก็ได้รับรู้เรื่องของซุนเย่ผิง... โดยปิงหลงเล่าให้เมิ่งเจียวซินฟังว่า...เมื่อคืนซุนเย่ผิงไม่ได้กลับมานอนที่เรือนพักชั่วคราว แล้วช่วงบ่ายวันนี้ซุนเย่ผิงก็กลับมาที่เรือน พร้อมกับคนขององค์ชายรองหลี่อวิ้นหยางจำนวนสองคน ซึ่งทั้งสามคนมาขอเข้าพบโจวหลิวอิง เหล่าองครักษ์ของโจวหลิวอิงจึงให้คนทั้งสามเข้ามานั่งรอในห้องโถงของเรือนใหญ่ ซึ่งในระหว่างนั้นปิงหลงได้อาสานำของว่าง และน้ำชาเข้าไปให้ ขณะที่วางของว่างลงบนโต๊ะปิงหลงก็แอบขยับเข้าไปกระซิบถามซุนเย่ผิงว่า พาสองคนนี้มาทำไม? แล้วตอนนี้ซุนเย่ผิงกำลังคิดจะทำอะไร? แต่ทว่าซุนเย่ผิงไม่ตอบ และไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองปิงหลงเลยสักนิด เด็กชายจึงเลิกให้ความสนใจ จนโจวหล
โจวหลิวอิงนำทุกคนในเรือนพักชั่วคราวทำความเคารพ พร้อมกับกล่าวทักทายราชาปีศาจกับองค์ชายสามหลี่อวิ้นกุย จากนั้นโจวหลิวอิงจึงเชิญคนทั้งสอง และคณะผู้ที่ติดตามมาบางส่วนเข้าไปนั่งพูดคุยกันต่อยังห้องโถงในเรือนใหญ่ โดยมีเมิ่งเจียวซินกับปิงหลงเดินตามโจวหลิวอิงนำคนอื่น ๆ เข้าไปด้านใน แล้วเมื่อเข้ามาในห้องโถง ราชาปีศาจก็เอ่ยสู่ขอเมิ่งเจียวซินให้กับหลี่อวิ้นกุยอย่างเป็นทางการ จากนั้นก็เริ่มพูดคุยกันเรื่องสินสอด ก่อนจะส่งมอบหนังสือหมั้นหมาย โดยทั้งสองฝ่ายพูดคุยตกลงกันเพียงไม่นาน เพราะราชาปีศาจกับหลี่อวิ้นกุยยินยอมทำตามข้อเรียกร้องจากโจวหลิวอิงทุกข้อ หลังจากนั้นราชาปีศาจก็ให้เมิ่งเจียวซิน หลี่อวิ้นกุย และเหล่าผู้ติดตามออกไปจากห้องโถงก่อน เพราะเจ้าตัวมีเรื่องสำคัญจะพูดคุยกับโจวหลิวอิงต่อ พอเมิ่งเจียวซินเดินออกห่างจากห้องโถง หลี่อวิ้นกุยก็เอ่ยชวนนางไปนั่งพูดคุยกันต่อที่ศาลาข
หลี่อวิ้นกุยรีบหันกลับไปมองเมิ่งเจียวซิน ยามนี้อีกฝ่ายกำลังเอียงคอมองไปทางหลี่อวิ้นหยาง เขาจึงก้าวเดินไปด้านข้าง เพื่อบังสายตาของนาง จากนั้นจึงกล่าวออกไปว่า “พี่รอง เรื่องการหมั้นหมายระหว่างข้ากับคุณหนูเมิ่งยังไม่ได้ประกาศออกไป แล้ววันนี้เสด็จพ่อก็เพิ่งจะเข้ามาพูดคุยเรื่องสู่ขอ แม้ข้าจะอยากถามว่า ผู้ใดคาบข่าวไปบอกท่าน แต่ก็ช่างเถิด! เพราะวันนี้ถือว่าเป็นวันดีของข้า เช่นนั้น...พี่รอง ข้าขอขอบคุณที่ท่านอุตส่าห์ได้ยินข่าว แล้วยอมขัดคำสั่งกักบริเวณของเสด็จพ่อ เพื่อลากสังขารของตัวเองมาร่วมอวยพรให้กับข้าและคุณหนูเมิ่ง” หลี่อวิ้นหยางถูกตอกกลับมาแบบไม่ไว้หน้าเป็นครั้งที่สอง ที่ผ่านมาเขากับหลี่อวิ้นกุยแม้จะไม่สนิท แต่ยามได้พบเจอก็มักจะพูดคุยทักทาย และให้เกียรติกันอยู่เสมอ ทว่าเหตุใดยามนี้อีกฝ่ายถึงไม่คิดจะไว้ไมตรี หรือหลี่อวิ้นกุยจะรู้เร
หลี่อวิ้นหยางเมื่อกลับมาถึงห้องพักในตำหนัก เขาก็ขอยันต์ลวงตาที่ท่านตาของเขาเป็นผู้ใส่พลังลงไปคืนจากผู้ที่ยืนอยู่ข้างกาย จากนั้นก็กล่าวว่า “อาซุน เจ้าคงเห็นแล้วว่า ข้าไร้ตัวตนในสายตาของเสด็จพ่อ รวมไปถึงสายตาของผู้คนที่อยู่ในวังราชาปีศาจ แม้ดูเหมือนว่า ตัวข้าจะมีอำนาจ แต่แท้ที่จริงแล้ว...อำนาจในมือของข้ามีน้อยเสียยิ่งกว่าหัวหน้าองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างกายเสด็จพ่อ แค่ก ๆ แล้วเพราะเกิดมา ร่างกายของข้าก็ไม่ค่อยแข็งแรง พลังในกายจึงมีน้อยกว่าเหล่าพี่น้อง ข้าถึงต้อง...” “พระองค์ถึงต้องหาสตรีบริสุทธิ์มาเสพสังวาส เพื่อเพิ่มพลังใช่หรือไม่เพคะ?” “ใช่! แต่เรื่องเหล่านางคณิกาที่ถูกส่งมาฝั่งนี้ แล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ข้าไม่รู้เรื่องจริง ๆ นะอาซุน” พูดจบ หลี่อวิ้นหยางก็เดินไปนั่งลงบนเตียง ก่อนจะแสร้งไอออกมาอีกครั้งเบา ๆ ซุนเย่ผิงรีบหันไปรินน้ำอุ่น แล้วส
หลังจากราชาปีศาจกับหลี่อวิ้นกุยกลับไป โจวหลิวอิงก็เรียกทุกคนในเรือนพักชั่วคราวมารวมตัวกันที่ลานกว้าง ก่อนจะประกาศเรื่องการหมั้นหมายระหว่างองค์ชายสามหลี่อวิ้นกุยกับเมิ่งเจียวซิน รวมไปถึงงานมงคลสมรสของคนทั้งสองที่จะเกิดขึ้นในอีกสี่เดือนข้างหน้า จากนั้นโจวหลิวอิงก็ประกาศต่อว่า อีกสามวันก็จะถึงกำหนดเดินทางกลับฝั่งของพวกมนุษย์ หากผู้ใดอยากอยู่ต่อ เพื่อร่วมงานมงคลสมรสดังกล่าว ก็ให้รีบมาลงนามกับเจ้าตัว แล้วเมื่อถึงกำหนดเดินทางกลับ โจวหลิวอิงก็จะพาคนกลุ่มนี้ย้ายไปพักที่จวนหัวหน้าหน่วยฝั่งซ้ายก่อน แต่ถ้าหากผู้ใดไม่สะดวกที่จะอยู่ต่อ เมื่อถึงกำหนดเดินทางกลับ เจ้าตัวก็จะให้เหล่าองครักษ์คุ้มกันพาเดินทางกลับไปยังหอโคมเขียวในฝั่งของพวกมนุษย์ เมื่อจัดการเรื่องการเดินทางกลับของคณะเหล่านางคณิกาเสร็จ โจวหลิวอิงก็เรียกเมิ่งเจียวซินกับปิงหลงเข้าไปพูดคุยกันต่อในห้องโถงของเรือนใหญ่ ซึ่งพอเห็นคนทั้งสองเข้ามานั่งในห้องกันเรียบร้อย โจวหลิ
เมิ่งเจียวซินมองบุรุษไร้ยางอายคนหนึ่งมุดออกมาจากตู้เสื้อผ้า แล้วเมื่ออีกฝ่ายเห็นนางก็รีบยกนิ้วชี้ขึ้นมาแนบที่ริมฝีปาก “ชู่วว...” บุรุษไร้ยางอายคนนั้นส่งสัญญาณห้ามเมิ่งเจียวซินร้องเรียกองครักษ์สตรีห้องข้าง จากนั้นบุรุษไร้ยางอายก็ปิดทางเชื่อมระหว่างห้องหนังสือกับห้องพักของนาง แล้วร่ายคาถาอะไรบางอย่าง เมิ่งเจียวซินที่ยังไม่ทันจะได้ตั้งรับกับสถานการณ์ตรงหน้า อีกฝ่ายก็เดินเข้ามาโอบกอดนาง พร้อมกับเอ่ยว่า “ซินซิน ข้าคิดถึงเจ้า” “ข้าก็คิดถึงเจ้า แต่...กุยกุย เจ้าช่วยปล่อยข้าครู่หนึ่งได้หรือไม่?” แล้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายก้มลงมามองนางด้วยสีหน้าที่คล้ายกับกำลังสงสัย เมิ่งเจียวซินจึงกล่าวเพิ่มว่า “ข้าขอแต่งกายให้เรียบร้อยก่อน” &n
รุ่งเช้า บุรุษไร้ยางอายที่ขอมานอนด้วยเมื่อคืนก็หายไปจากเตียงของเมิ่งเจียวซินแล้ว และในคืนต่อ ๆ มา แม้ช่วงกลางวันจะไม่ค่อยได้เห็นหน้า แต่ทว่าช่วงกลางคืนหลี่อวิ้นกุยกลับโผล่เข้ามาขอนอนที่ห้องนี้กับนางทุกคืน แล้วทุกคืนก่อนนอนบุรุษไร้ยางอายจะต้องได้จุมพิตกับนางอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ต้องเอาตัวนางเข้าไปซุกไว้ในอ้อมกอด และเมิ่งเจียวซินจะต้องกอดตอบอีกฝ่ายด้วย เจ้าตัวถึงจะยอมนอนหลับแต่โดยดี หลังจากตื่นนอนเมิ่งเจียวซินก็ลุกไปจัดการดูแลตัวเอง จากนั้นนางจึงออกไปรอเรียนเรื่องกฎเกณฑ์ และข้อปฏิบัติต่าง ๆ ในวังกับนางกำนัลอาวุโส ซึ่งวันนี้นางกำนัลทั้งสองได้แจ้งว่า จะเข้ามาสอนเพียงห้าวันต่อหนึ่งสัปดาห์ แล้วหลังจากวันนี้นางจะได้เรียนเรื่องการเย็บปักถักร้อย การจัดดอกไม้ กริยามารยาทของสตรีชั้นสูง และการทำบัญชีเพิ่มอีกด้วย ซึ่งวันนี้เมิ่งเจียวซินรู้สึกว่า นางกำนัลอาวุโสทั้งสองยามที่สอน..
ระหว่างที่รอ...เมิ่งเจียวซินก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อทำให้หัวใจที่เต้นผิดจังหวะไปเมื่อครู่...กลับมาเต้นเป็นปกติให้ได้อีกครั้งโดยเร็ว แล้วเมื่อปรับอารมณ์ และดึงสติของตัวเองกลับมาได้ นางก็เอ่ยถามบุรุษข้างกายว่า “กุยกุย ว่าแต่...เหตุใดวันนี้เจ้าถึงกลับมาเร็วนักล่ะ?” “ข้ากลับมารับเจ้า” “รับข้า...?” เมิ่งเจียวซินถามย้ำ พร้อมกับมองท่าทีของอีกฝ่าย “ใช่! เจ้ารีบไปเปลี่ยนชุดก่อนเถิด” “เจ้าจะพาข้าไปที่ไหนหรือ?” “ไปถึงแล้ว เจ้าก็จะได้รู้เอง รีบไปเปลี่ยนชุดเร็วเข้า” กล่าวจบ หลี่อวิ้นกุยก็ยกยิ้มเล็กน้อยให้กับสตรีข้างกาย แม้อีกฝ่ายจะยังมีท่าทีลังเล แต่นางก็ยอมลุกไปเปลี่ยนชุดตามความต้องการของเขา&
เมิ่งเจียวซินนึกอยากจะวิ่งออกไปจากตรงนี้ แต่เพราะนี่คือ ห้องพักของนาง จึงได้พยายามรวบรวมสติของตัวเองกลับมา แล้วเอ่ยถามออกไปว่า “พร้อมแล้ว? เจ้าพร้อมเรื่องอะไร?” “ก็เรื่องให้เจ้าศึกษาร่างกายของข้า ตอนนี้ข้าพร้อมแล้ว” พูดจบ หลี่อวิ้นกุยก็ก้มลงไปกระตุกปมผ้าคาดเอวของตัวเองทันที “กุยกุย นั่นเจ้าจะทำอะไร?” “ข้าก็จะเปลื้องผ้า แล้วขึ้นไปนอนรอเจ้าบนเตียงอย่างไรล่ะ” คำพูดของบุรุษตรงหน้าทำเอาเมิ่งเจียวซินอ้าปากค้าง หลี่อวิ้นกุยจงใจค่อย ๆ ถอดเสื้อคลุมออก เพราะเขาเริ่มรู้สึกสนุกกับสีหน้าแบบนั้นของอีกฝ่าย ทันทีที่เสื้อคลุมตัวนอกหลุดออกจากตัว เขาก็เตรียมจะถอดเสื้อตัวใน... แต่ทว่าหลี่อวิ้นกุยห
หลี่อวิ้นกุยเงยหน้า แล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อพักสายตาจากการนั่งอ่านรายงานมาครึ่งค่อนวัน จากนั้นเขาก็นึกไปถึงเรื่องของพระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมย... เมื่อเช้าหลังจากหลี่อวิ้นกุยกลับเข้ามาในห้องตำรา เขาก็รีบส่งองครักษ์เงาไปติดตามดูทุกความเคลื่อนไหวของหลี่อวิ้นเหมย รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในตำหนักของเด็กหญิงด้วย ในอดีตที่ผ่านมา อาจจะด้วยเพราะหลี่อวิ้นกุยมองว่า พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยมีสายเลือดฝั่งมารดาของเขาด้วย เขาจึงพยายามอดทน และไว้หน้า ยามที่คนทั้งคู่พยายามเข้าหา เพราะต้องการผลประโยชน์จากเขา แต่หลังจากที่คนทั้งคู่มีส่วนร่วมในการลอบวางยาพิษ และลอบทำร้ายหลี่อวิ้นกุยครั้งล่าสุด เขาก็ไม่คิดจะไว้หน้า หรืออดทนต่อการกระทำของคนทั้งคู่อีก หากไม่เพราะคำพูด และคำขอของเมิ่งเจียวซิน ไม่แน่ยามนี้แม้แต่ลมหายใจ...พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยก็อาจจะไม่มีเหลือแล้วกระมัง
พอเดินเข้าไปในห้องโถง เมิ่งเจียวซินก็เห็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่งหันมาส่งยิ้ม แล้วเดินตรงเข้ามาหาพวกนาง “อวิ้นเหมยน้อมทักพี่สาม” หลี่อวิ้นเหมยพูดพร้อมกับทำความเคารพหลี่อวิ้นกุย “ถวายพระพรองค์หญิงห้า หม่อมฉันเมิ่งเจียวซินเพคะ” เมิ่งเจียวซินทำความเคารพเด็กหญิงตรงหน้า “คุณหนูเมิ่งไม่ต้องมากพิธีกับ...” หลี่อวิ้นเหมยหยุดพูดกลางคัน เพราะในขณะที่เด็กหญิงเดินเข้าไปหมายจะจับมือเมิ่งเจียวซิน หลี่อวิ้นกุยที่ยืนอยู่ข้างกายสตรีตรงหน้า ก็เอื้อมมาจับไหล่แล้วดึงฝ่ายตรงข้ามให้ถอยห่าง “คุณหนูเมิ่งเป็นเหมือนกับข้า ที่ไม่ค่อยชินกับการให้ผู้ใดมาแตะเนื้อต้องตัว” “ข้า...เป็นข้าที่คิดน้อยเกินไป ขอพี่สามกับคุณหนูเมิ่งได้โปรดอย่าถือสา” &n
ผ่านไปเกือบสองเค่อที่ภายในห้องพักปกคลุมไปด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงขีดเขียนพู่กัน กับเสียงลมหายใจของสองคนที่อยู่ในนั้น แล้วในขณะที่ความรู้สึกประดักประเดิดเกิดขึ้นกับคนทั้งสองในห้อง เสียงของฝูกงกงก็ดังแว่วเข้ามาว่า “องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงห้าหลี่อวิ้นเหมยมาขอเข้าพบพระองค์ และขอเข้าเยี่ยมว่าที่พระชายา ยามนี้องค์หญิงห้านั่งรออยู่ที่ห้องโถงพ่ะย่ะค่ะ” “ไปบอกองค์หญิงห้า วันนี้ข้ากับว่าที่พระชายาไม่สะดวก...” ตอบมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วหันไปมองรอยแดงบนต้นคอของเมิ่งเจียวซิน ยามนี้ร่องรอยจากฝีมือของเขาได้จางหายไปเกือบหมดแล้ว หลี่อวิ้นกุยจึงเอ่ยถามเมิ่งเจียวซินว่า “ซินซิน พรุ่งนี้เจ้าสะดวกใจให้น้องห้าเข้าพบหรือไม่?” “สะดวก”
เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นมามองหลี่อวิ้นกุย นางยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ไม่ทันได้ตอบรับ หรือปฏิเสธ อีกฝ่ายก็กล่าวขึ้นมาต่อว่า “เรื่องยาบรรเทาอาการจากยาพิษค่ำคืนเหมันต์ ก็อย่างที่ข้าเคยรายงานผลให้เจ้าฟังว่า ยาของเจ้าบรรเทาอาการจากยาพิษได้ดีมาก ซึ่งตอนนี้ยาที่เจ้าให้ข้านำมาทดลองได้หมดจากร้านขายยา ที่ข้าให้คนนำไปปล่อยได้สักพักแล้ว ยามนี้เหล่าผู้ที่มียาพิษค่ำคืนเหมันต์อยู่ในกาย ก็เริ่มส่งคนไปตะเวนหาซื้อยา บางคนถึงขั้นจ้างคนไปตะเวนหาผู้ที่ปรุงยาตัวนี้ขึ้นมาแล้วด้วย ซินซิน ข้าจึงอยากถามเจ้าว่า หากข้าจะขอสูตรยาตัวนี้จากเจ้ามาปรุงขาย เจ้าจะสะดวกใจหรือไม่? ที่ข้าถามเช่นนี้ เพราะตอนนี้ข้ามีทั้งสถานที่ ผู้ที่มีความสามารถในการปรุงยา รวมไปถึงแหล่งหาสมุนไพรที่จะใช้ปรุง ซึ่งกำไรได้จากการขายยา ข้าจะยกให้เจ้าทั้งหมด แล้วเจ้าก็ไม่ต้องกลัวว่า ส
หลังจากนั้นบุรุษไร้ยางอายก็เดินออกไปจากห้องพักของเมิ่งเจียวซิน ผ่านไปไม่ถึงสองเค่อหลี่อวิ้นกุยก็กลับเข้ามาพร้อมกับเหล่าขันที และองครักษ์สตรีทั้งสองของนาง โดยผู้คนเหล่านั้นต่างก็ช่วยกันทยอยขนโต๊ะทำงาน หนังสือ หีบเอกสาร แท่นวางพู่กัน รวมไปถึงอุปกรณ์สำหรับเขียนอื่น ๆ เข้ามาวางในห้องพักของนาง เมิ่งเจียวซินรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่อันลี่กับอันเหมยยินยอมให้หลี่อวิ้นกุยทำเช่นนี้ได้ แล้วยังช่วยเหล่าขันทีทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ โดยไม่แม้แต่จะเอ่ยคัดค้าน หรือพยายามเข้ามาเกลี่ยกล่อมนาง แล้วในระหว่างที่ผู้คนช่วยกันทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ เข้ามา เมิ่งเจียวซินก็รับรู้ได้ถึงสายตาของสององครักษ์สตรีที่เหลือบมองมาทางนางอยู่บ่อยครั้ง พอหันกลับไปมอง...แล้วเห็นสีหน้า และท่าทีของคนทั้งสอง นางก็พอจะเดาได้ทันทีว่า คนทั้งคู่ต้องการให้นางทำสิ่งใด แต่เพราะเป็นตัวนางเองที่เอ่ยปากอนุญาต ยามนี้เมิ่งเจียวซินจึงทำได้เพ
รุ่งเช้า เมิ่งเจียวซินลืมตาขึ้นมา บุรุษที่นอนอยู่ข้างกายนางทั้งคืนได้แอบออกจากห้องพักไปแล้ว โดยหลี่อวิ้นกุยได้หยิบเอาชุดที่ขาดวิ่นของนางติดมือออกไปด้วย หลังจากเมิ่งเจียวซินจัดการดูแลตัวเองเสร็จ นางก็เดินมานั่งลงที่หน้ากระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นนางก็จัดแต่งทรงที่สามารถปล่อยผมลงมาครึ่งศีรษะ แล้วเดินไปรื้อหาอาภรณ์ที่คอตั้ง หรือคอสูงมาสวมใส่ แต่ไม่ว่าจะสวมใส่อาภรณ์ที่คอสูงขนาดไหน อย่างไรมันก็ไม่สามารถปกปิดรอยแดงช้ำ ที่ต้นคอของนางได้หมดทุกรอยอยู่ดี “เห็นทีข้าคงต้องแกล้งป่วยสักสามวัน!” เมิ่งเจียวซินนั่งวางแผนแกล้งป่วยให้กับตัวเอง พอคิดออก...นางก็รีบไปเอากลอนที่ประตูห้องพักลง จากนั้นจึงเดินกลับมาล้มตัวลงนอนบนเตียง พร้อมกับดึงผ้าขึ้นมาห่มจนถึงปลายคาง ตอนนี้เมิ่งเจียวซินรู้สึกว่า โชคดีที่นางขอความเป็นส่วนตัวในห้องพัก
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วขยับเข้าไปนั่งพิงหัวเตียง จากนั้นก็ดึงสตรีข้างกายให้ลงมาซบที่แผงอกของตัวเอง ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบเส้นผมนุ่ม พร้อมกับเล่าต่อว่า “ซินซิน การที่ข้าต้องการปลดปีศาจทุกตนในตระกูลเฉินออกจากราชการ ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องความแค้นส่วนตัว แต่อีกส่วนก็เพราะตระกูลเฉินต่อหน้าทำเป็นสรรเสริญราชาปีศาจ แต่ลับหลังกลับคอยยุแยงปีศาจเผ่าอื่น ๆ ให้กระด้างกระเดื่องต่อการปกครองของคนเผ่ามาร แล้วหลังจากที่ข้าส่งคนไปคอยติดตาม เพื่อหาหลักฐานการกระทำผิดเพิ่มเติม ข้าก็ได้รู้ว่า ปีศาจตระกูลนี้ได้ลักลอบแลกเปลี่ยนอัญมณีต้องห้าม และยังมีความผิดซุกซ่อนอยู่อีกหลายอย่าง แต่...ถึงแม้ยามนี้จะมีหลักฐานเพียงพอให้เอาผิด ทว่าการที่จะปลดขุนนางระดับสูงออกจากตำแหน่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ เพราะมันเชื่อมโยงไปถึงขั้วอำนาจแล้วอีกอย่างไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ก็เพิ่งจะมีการแต่งตั้งที่มีผลต่อขั้วอำนาจไปแล้วถึงสองครั้ง
เมิ่งเจียวซินหลังจากต้องนั่งกดข่มความรู้สึกเจ็บ และข่มกลั้นความรู้สึกอาย จนการทายาที่ยาวนานสิ้นสุดลงไปได้ พอสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จ นางก็สังเกตเห็นว่า หลี่อวิ้นกุยยังคงนั่งมองมาที่รอยแดงบนต้นคอของนาง แล้วด้วยสีหน้า และสายตาของเจ้าตัว ทำให้นางรู้ว่า อีกฝ่ายยังรู้สึกผิดกับเรื่องที่เพิ่งผ่านมา เมื่อฝ่ายตรงข้ามเงยหน้าขึ้นมา แล้วเห็นว่า นางกำลังจ้องมองอยู่...เจ้าตัวก็รีบก้มหน้า หลบตา ซึ่งในขณะนั้นเมิ่งเจียวซินก็สังเกตเห็นว่า ริมฝีปากของหลี่อวิ้นกุยยังคงมีเลือดไหลซึมออกมา นางจึงกล่าวว่า “กุยกุย เงยหน้าขึ้นมา” พอเห็นบุรุษตรงหน้ายอมทำตามที่นางบอก เมิ่งเจียวซินจึงขยับเข้าไปใกล้ ก่อนจะจับปลายคางของหลี่อวิ้นกุยเอาไว้ แล้วเริ่มลงมือเช็ดคราบเลือด จากนั้นบาดแผลขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ก็ปรากฏสู่สายตาของนาง... แม้เมิ่งเจียวซินจะรู้ดีว่า ร่างกายของหลี่