หลี่อวิ้นกุยรีบหันกลับไปมองเมิ่งเจียวซิน ยามนี้อีกฝ่ายกำลังเอียงคอมองไปทางหลี่อวิ้นหยาง เขาจึงก้าวเดินไปด้านข้าง เพื่อบังสายตาของนาง จากนั้นจึงกล่าวออกไปว่า
“พี่รอง เรื่องการหมั้นหมายระหว่างข้ากับคุณหนูเมิ่งยังไม่ได้ประกาศออกไป แล้ววันนี้เสด็จพ่อก็เพิ่งจะเข้ามาพูดคุยเรื่องสู่ขอ แม้ข้าจะอยากถามว่า ผู้ใดคาบข่าวไปบอกท่าน แต่ก็ช่างเถิด! เพราะวันนี้ถือว่าเป็นวันดีของข้า
เช่นนั้น...พี่รอง ข้าขอขอบคุณที่ท่านอุตส่าห์ได้ยินข่าว แล้วยอมขัดคำสั่งกักบริเวณของเสด็จพ่อ เพื่อลากสังขารของตัวเองมาร่วมอวยพรให้กับข้าและคุณหนูเมิ่ง”
หลี่อวิ้นหยางถูกตอกกลับมาแบบไม่ไว้หน้าเป็นครั้งที่สอง ที่ผ่านมาเขากับหลี่อวิ้นกุยแม้จะไม่สนิท แต่ยามได้พบเจอก็มักจะพูดคุยทักทาย และให้เกียรติกันอยู่เสมอ
ทว่าเหตุใดยามนี้อีกฝ่ายถึงไม่คิดจะไว้ไมตรี หรือหลี่อวิ้นกุยจะรู้เร
หลี่อวิ้นหยางเมื่อกลับมาถึงห้องพักในตำหนัก เขาก็ขอยันต์ลวงตาที่ท่านตาของเขาเป็นผู้ใส่พลังลงไปคืนจากผู้ที่ยืนอยู่ข้างกาย จากนั้นก็กล่าวว่า “อาซุน เจ้าคงเห็นแล้วว่า ข้าไร้ตัวตนในสายตาของเสด็จพ่อ รวมไปถึงสายตาของผู้คนที่อยู่ในวังราชาปีศาจ แม้ดูเหมือนว่า ตัวข้าจะมีอำนาจ แต่แท้ที่จริงแล้ว...อำนาจในมือของข้ามีน้อยเสียยิ่งกว่าหัวหน้าองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างกายเสด็จพ่อ แค่ก ๆ แล้วเพราะเกิดมา ร่างกายของข้าก็ไม่ค่อยแข็งแรง พลังในกายจึงมีน้อยกว่าเหล่าพี่น้อง ข้าถึงต้อง...” “พระองค์ถึงต้องหาสตรีบริสุทธิ์มาเสพสังวาส เพื่อเพิ่มพลังใช่หรือไม่เพคะ?” “ใช่! แต่เรื่องเหล่านางคณิกาที่ถูกส่งมาฝั่งนี้ แล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ข้าไม่รู้เรื่องจริง ๆ นะอาซุน” พูดจบ หลี่อวิ้นหยางก็เดินไปนั่งลงบนเตียง ก่อนจะแสร้งไอออกมาอีกครั้งเบา ๆ ซุนเย่ผิงรีบหันไปรินน้ำอุ่น แล้วส
หลังจากราชาปีศาจกับหลี่อวิ้นกุยกลับไป โจวหลิวอิงก็เรียกทุกคนในเรือนพักชั่วคราวมารวมตัวกันที่ลานกว้าง ก่อนจะประกาศเรื่องการหมั้นหมายระหว่างองค์ชายสามหลี่อวิ้นกุยกับเมิ่งเจียวซิน รวมไปถึงงานมงคลสมรสของคนทั้งสองที่จะเกิดขึ้นในอีกสี่เดือนข้างหน้า จากนั้นโจวหลิวอิงก็ประกาศต่อว่า อีกสามวันก็จะถึงกำหนดเดินทางกลับฝั่งของพวกมนุษย์ หากผู้ใดอยากอยู่ต่อ เพื่อร่วมงานมงคลสมรสดังกล่าว ก็ให้รีบมาลงนามกับเจ้าตัว แล้วเมื่อถึงกำหนดเดินทางกลับ โจวหลิวอิงก็จะพาคนกลุ่มนี้ย้ายไปพักที่จวนหัวหน้าหน่วยฝั่งซ้ายก่อน แต่ถ้าหากผู้ใดไม่สะดวกที่จะอยู่ต่อ เมื่อถึงกำหนดเดินทางกลับ เจ้าตัวก็จะให้เหล่าองครักษ์คุ้มกันพาเดินทางกลับไปยังหอโคมเขียวในฝั่งของพวกมนุษย์ เมื่อจัดการเรื่องการเดินทางกลับของคณะเหล่านางคณิกาเสร็จ โจวหลิวอิงก็เรียกเมิ่งเจียวซินกับปิงหลงเข้าไปพูดคุยกันต่อในห้องโถงของเรือนใหญ่ ซึ่งพอเห็นคนทั้งสองเข้ามานั่งในห้องกันเรียบร้อย โจวหลิ
เมิ่งเจียวซินมองบุรุษไร้ยางอายคนหนึ่งมุดออกมาจากตู้เสื้อผ้า แล้วเมื่ออีกฝ่ายเห็นนางก็รีบยกนิ้วชี้ขึ้นมาแนบที่ริมฝีปาก “ชู่วว...” บุรุษไร้ยางอายคนนั้นส่งสัญญาณห้ามเมิ่งเจียวซินร้องเรียกองครักษ์สตรีห้องข้าง จากนั้นบุรุษไร้ยางอายก็ปิดทางเชื่อมระหว่างห้องหนังสือกับห้องพักของนาง แล้วร่ายคาถาอะไรบางอย่าง เมิ่งเจียวซินที่ยังไม่ทันจะได้ตั้งรับกับสถานการณ์ตรงหน้า อีกฝ่ายก็เดินเข้ามาโอบกอดนาง พร้อมกับเอ่ยว่า “ซินซิน ข้าคิดถึงเจ้า” “ข้าก็คิดถึงเจ้า แต่...กุยกุย เจ้าช่วยปล่อยข้าครู่หนึ่งได้หรือไม่?” แล้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายก้มลงมามองนางด้วยสีหน้าที่คล้ายกับกำลังสงสัย เมิ่งเจียวซินจึงกล่าวเพิ่มว่า “ข้าขอแต่งกายให้เรียบร้อยก่อน” &n
รุ่งเช้า บุรุษไร้ยางอายที่ขอมานอนด้วยเมื่อคืนก็หายไปจากเตียงของเมิ่งเจียวซินแล้ว และในคืนต่อ ๆ มา แม้ช่วงกลางวันจะไม่ค่อยได้เห็นหน้า แต่ทว่าช่วงกลางคืนหลี่อวิ้นกุยกลับโผล่เข้ามาขอนอนที่ห้องนี้กับนางทุกคืน แล้วทุกคืนก่อนนอนบุรุษไร้ยางอายจะต้องได้จุมพิตกับนางอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ต้องเอาตัวนางเข้าไปซุกไว้ในอ้อมกอด และเมิ่งเจียวซินจะต้องกอดตอบอีกฝ่ายด้วย เจ้าตัวถึงจะยอมนอนหลับแต่โดยดี หลังจากตื่นนอนเมิ่งเจียวซินก็ลุกไปจัดการดูแลตัวเอง จากนั้นนางจึงออกไปรอเรียนเรื่องกฎเกณฑ์ และข้อปฏิบัติต่าง ๆ ในวังกับนางกำนัลอาวุโส ซึ่งวันนี้นางกำนัลทั้งสองได้แจ้งว่า จะเข้ามาสอนเพียงห้าวันต่อหนึ่งสัปดาห์ แล้วหลังจากวันนี้นางจะได้เรียนเรื่องการเย็บปักถักร้อย การจัดดอกไม้ กริยามารยาทของสตรีชั้นสูง และการทำบัญชีเพิ่มอีกด้วย ซึ่งวันนี้เมิ่งเจียวซินรู้สึกว่า นางกำนัลอาวุโสทั้งสองยามที่สอน..
ระหว่างที่รอ...เมิ่งเจียวซินก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อทำให้หัวใจที่เต้นผิดจังหวะไปเมื่อครู่...กลับมาเต้นเป็นปกติให้ได้อีกครั้งโดยเร็ว แล้วเมื่อปรับอารมณ์ และดึงสติของตัวเองกลับมาได้ นางก็เอ่ยถามบุรุษข้างกายว่า “กุยกุย ว่าแต่...เหตุใดวันนี้เจ้าถึงกลับมาเร็วนักล่ะ?” “ข้ากลับมารับเจ้า” “รับข้า...?” เมิ่งเจียวซินถามย้ำ พร้อมกับมองท่าทีของอีกฝ่าย “ใช่! เจ้ารีบไปเปลี่ยนชุดก่อนเถิด” “เจ้าจะพาข้าไปที่ไหนหรือ?” “ไปถึงแล้ว เจ้าก็จะได้รู้เอง รีบไปเปลี่ยนชุดเร็วเข้า” กล่าวจบ หลี่อวิ้นกุยก็ยกยิ้มเล็กน้อยให้กับสตรีข้างกาย แม้อีกฝ่ายจะยังมีท่าทีลังเล แต่นางก็ยอมลุกไปเปลี่ยนชุดตามความต้องการของเขา&
“มีเมียทั้งหมดสี่ร้อยยี่สิบเก้าคน!” ใบหม่อนหรือเมิ่งเจียวซินอุทานออกมาอย่างลืมตัว หลังจากที่เธอต้องเอาเวลาพักของตัวเองมาทนอ่านนิยายของผู้เป็นน้องชายเกือบสองวัน ซึ่งตอนนี้เธอก็ได้อ่านมาจนถึงบทสุดท้ายของเรื่องแล้ว “ที่ไม่มีลูก ไม่ใช่เพราะฝีมือของตัวร้าย แต่เป็นเพราะพระเอกส่งคนไปผสมยาห้ามครรภ์ในอาหารและน้ำดื่มของสตรีทุกคนทันที หลังจากที่เจ้าตัวไปมีอะไรด้วยเนี่ยนะ เหอะ!” ยิ่งอ่าน เธอก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด แต่ใบหม่อนก็ยังคงพยายามฝืนล้มตัวลงไปนอนอ่านนิยายต่อ...จนมาถึงบรรทัดสุดท้าย “พระเอกระเบิดตัวเองตาย อาหวงนิยายอะไรของแกเนี่ย!” ใบหม่อนรีบยกมือขึ้นมาปิดปากของตัวเอง ก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์ หลังจากอ่านคำว่า ‘จบ’ ที่โชว์หลาอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ จากนั้นเธอจึงรีบลุกขึ้นมานั่ง แล้วไถหน้าจอลงไปไล่อ่านข้อความของนักอ่านคนอื่น ๆ โดยทุกข้อความแสดงออกให้รู้ว่านักอ่านคนอื่น ๆ ก็รู้สึก และมีความคิดเห็นไม่ต่างไปจากเธอเลย ซึ่งบางคนก็ดูเหมือนว่าจะมีอาการหนักกว่าเธอด้วยซ้ำ เพราะอีกฝ่ายเสียเงินซื้อตอนติดเหรียญ เพื่อเข้าไปอ่านฉากเซอร์วิสระหว่างพระเอกกับเหล่าบรรดาเมีย ๆ ของเจ้าต
กริ๊ง...กริ๊ง... ใบหม่อนเอื้อมมือไปปิดเสียงนาฬิกาปลุก ก่อนจะกล่าว “อาหวง เอาเป็นว่า แกก็ลองไปไล่อ่านข้อความของนักอ่านในบทสุดท้ายดูแล้วกันนะ เพราะพี่เองก็คิดเห็นไม่ต่างไปจากนักอ่านส่วนใหญ่ของแกเลย แค่นี้ก่อนนะ ถึงเวลาที่พี่ต้องเข้าไปตรวจดูอาการของคนไข้แล้วน่ะ” (ได้ แต่พี่หม่อน...ถ้าว่างพี่ก็เข้ามาหาแม่บ้างนะ) “อืม” (อย่างนั้นผมไม่กวนละ ดูแลตัวเองด้วยนะพี่) หลังจากวางสาย ใบหม่อนก็เลื่อนปิดหน้าอ่านนิยายที่แสดงอยู่บนหน้าจอ แล้วนำโทรศัพท์มือถือไปวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะหยิบสมุดกับปากกา จากนั้นเธอจึงเดินออกมาจากห้องนอนของตัวเอง เพื่อไปตรวจดูอาการของคนไข้ที่ยังคงนอนไม่ได้สติมาเกือบสามเดือนแล้ว ซึ่งเธอได้รับหน้าที่มาเป็นพยาบาลพิเศษให้เป็นการชั่วคราว เนื่องจากคนไข้ที่เธอต้องเข้ามาดูแลก็คือ หลานชายคนโตของท่านเจ้าสัวหลี่อวิ้นเจียง โดยท่านเจ้าสัวหลี่อวิ้นเจียงเป็นทั้งเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง แล้วยังเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ของโรงงานผลิตอาหารไทยแช่แข็ง ซึ่งโรงงานดังกล่าวเป็นของคุณยายใบบัว ยายแท้ ๆ ของใบหม่อน แล้วที่สำคัญท่านเจ้าสัวหลี่อวิ้นเจียงยังเป็นเ
“ไม่จริงใช่ไหมเนี่ย?” ใบหม่อนหรือเมิ่งเจียวซินเอ่ยขึ้น เพราะเธอยังตั้งรับกับเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ไม่ทัน (โฮสต์ไม่จำเป็นต้องพูดโต้ตอบกับทางระบบค่ะ เพราะทางที่ดีพวกเราควรสื่อสารกันทางจิตน่าจะสะดวกกับทางโฮสต์มากกว่าค่ะ) “เดี๋ยวก่อนนะคะ ฉันขอตั้งสติสักครู่ค่ะ” เมิ่งเจียวซินยังคงตอบกลับอีกฝ่ายด้วยการพูด ก่อนจะหลับตาลงเพื่อรวบรวมสติแล้วลืมตากลับขึ้นมามองมือ แขน และชุดที่เธอกำลังสวมใส่ จากนั้นเธอจึงมองไปยังบริเวณโดยรอบพร้อมกับคิดในใจ ‘อย่าบอกนะว่า...ตอนนี้ฉันทะลุมิติเข้ามาในนิยาย แล้วถ้าหากเป็นเรื่องจริงในนิยายส่วนใหญ่คนที่ทะลุมิติเข้าไปในนั้น ก็มักจะทะลุเข้าไปในนิยายเรื่องที่เพิ่งจะอ่านจบ หรือกำลังอ่านอยู่ก่อนตาย...’ (โฮสต์ใจเย็นก่อนนะคะ ตอนนี้อีกร่างหนึ่งของโฮสต์ยังไม่ตายค่ะ แต่ที่โฮสต์คิดเกี่ยวกับเรื่องของนิยายนั้นถูกต้องแล้วนะคะ เนื่องจากทางเราได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดใจของนักอ่าน ที่ได้เข้าไปอ่านนิยายของน้องชายโฮสต์ ซึ่งตอนนี้ก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และหนึ่งในความเจ็บปวดใจนั้นก็คือตัวโฮสต์เอง ดังนั้นในฐานะที่โฮสต์เป็นพี่สาวของคนเขียนนิยายเรื่องนี้
ระหว่างที่รอ...เมิ่งเจียวซินก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อทำให้หัวใจที่เต้นผิดจังหวะไปเมื่อครู่...กลับมาเต้นเป็นปกติให้ได้อีกครั้งโดยเร็ว แล้วเมื่อปรับอารมณ์ และดึงสติของตัวเองกลับมาได้ นางก็เอ่ยถามบุรุษข้างกายว่า “กุยกุย ว่าแต่...เหตุใดวันนี้เจ้าถึงกลับมาเร็วนักล่ะ?” “ข้ากลับมารับเจ้า” “รับข้า...?” เมิ่งเจียวซินถามย้ำ พร้อมกับมองท่าทีของอีกฝ่าย “ใช่! เจ้ารีบไปเปลี่ยนชุดก่อนเถิด” “เจ้าจะพาข้าไปที่ไหนหรือ?” “ไปถึงแล้ว เจ้าก็จะได้รู้เอง รีบไปเปลี่ยนชุดเร็วเข้า” กล่าวจบ หลี่อวิ้นกุยก็ยกยิ้มเล็กน้อยให้กับสตรีข้างกาย แม้อีกฝ่ายจะยังมีท่าทีลังเล แต่นางก็ยอมลุกไปเปลี่ยนชุดตามความต้องการของเขา&
รุ่งเช้า บุรุษไร้ยางอายที่ขอมานอนด้วยเมื่อคืนก็หายไปจากเตียงของเมิ่งเจียวซินแล้ว และในคืนต่อ ๆ มา แม้ช่วงกลางวันจะไม่ค่อยได้เห็นหน้า แต่ทว่าช่วงกลางคืนหลี่อวิ้นกุยกลับโผล่เข้ามาขอนอนที่ห้องนี้กับนางทุกคืน แล้วทุกคืนก่อนนอนบุรุษไร้ยางอายจะต้องได้จุมพิตกับนางอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ต้องเอาตัวนางเข้าไปซุกไว้ในอ้อมกอด และเมิ่งเจียวซินจะต้องกอดตอบอีกฝ่ายด้วย เจ้าตัวถึงจะยอมนอนหลับแต่โดยดี หลังจากตื่นนอนเมิ่งเจียวซินก็ลุกไปจัดการดูแลตัวเอง จากนั้นนางจึงออกไปรอเรียนเรื่องกฎเกณฑ์ และข้อปฏิบัติต่าง ๆ ในวังกับนางกำนัลอาวุโส ซึ่งวันนี้นางกำนัลทั้งสองได้แจ้งว่า จะเข้ามาสอนเพียงห้าวันต่อหนึ่งสัปดาห์ แล้วหลังจากวันนี้นางจะได้เรียนเรื่องการเย็บปักถักร้อย การจัดดอกไม้ กริยามารยาทของสตรีชั้นสูง และการทำบัญชีเพิ่มอีกด้วย ซึ่งวันนี้เมิ่งเจียวซินรู้สึกว่า นางกำนัลอาวุโสทั้งสองยามที่สอน..
เมิ่งเจียวซินมองบุรุษไร้ยางอายคนหนึ่งมุดออกมาจากตู้เสื้อผ้า แล้วเมื่ออีกฝ่ายเห็นนางก็รีบยกนิ้วชี้ขึ้นมาแนบที่ริมฝีปาก “ชู่วว...” บุรุษไร้ยางอายคนนั้นส่งสัญญาณห้ามเมิ่งเจียวซินร้องเรียกองครักษ์สตรีห้องข้าง จากนั้นบุรุษไร้ยางอายก็ปิดทางเชื่อมระหว่างห้องหนังสือกับห้องพักของนาง แล้วร่ายคาถาอะไรบางอย่าง เมิ่งเจียวซินที่ยังไม่ทันจะได้ตั้งรับกับสถานการณ์ตรงหน้า อีกฝ่ายก็เดินเข้ามาโอบกอดนาง พร้อมกับเอ่ยว่า “ซินซิน ข้าคิดถึงเจ้า” “ข้าก็คิดถึงเจ้า แต่...กุยกุย เจ้าช่วยปล่อยข้าครู่หนึ่งได้หรือไม่?” แล้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายก้มลงมามองนางด้วยสีหน้าที่คล้ายกับกำลังสงสัย เมิ่งเจียวซินจึงกล่าวเพิ่มว่า “ข้าขอแต่งกายให้เรียบร้อยก่อน” &n
หลังจากราชาปีศาจกับหลี่อวิ้นกุยกลับไป โจวหลิวอิงก็เรียกทุกคนในเรือนพักชั่วคราวมารวมตัวกันที่ลานกว้าง ก่อนจะประกาศเรื่องการหมั้นหมายระหว่างองค์ชายสามหลี่อวิ้นกุยกับเมิ่งเจียวซิน รวมไปถึงงานมงคลสมรสของคนทั้งสองที่จะเกิดขึ้นในอีกสี่เดือนข้างหน้า จากนั้นโจวหลิวอิงก็ประกาศต่อว่า อีกสามวันก็จะถึงกำหนดเดินทางกลับฝั่งของพวกมนุษย์ หากผู้ใดอยากอยู่ต่อ เพื่อร่วมงานมงคลสมรสดังกล่าว ก็ให้รีบมาลงนามกับเจ้าตัว แล้วเมื่อถึงกำหนดเดินทางกลับ โจวหลิวอิงก็จะพาคนกลุ่มนี้ย้ายไปพักที่จวนหัวหน้าหน่วยฝั่งซ้ายก่อน แต่ถ้าหากผู้ใดไม่สะดวกที่จะอยู่ต่อ เมื่อถึงกำหนดเดินทางกลับ เจ้าตัวก็จะให้เหล่าองครักษ์คุ้มกันพาเดินทางกลับไปยังหอโคมเขียวในฝั่งของพวกมนุษย์ เมื่อจัดการเรื่องการเดินทางกลับของคณะเหล่านางคณิกาเสร็จ โจวหลิวอิงก็เรียกเมิ่งเจียวซินกับปิงหลงเข้าไปพูดคุยกันต่อในห้องโถงของเรือนใหญ่ ซึ่งพอเห็นคนทั้งสองเข้ามานั่งในห้องกันเรียบร้อย โจวหลิ
หลี่อวิ้นหยางเมื่อกลับมาถึงห้องพักในตำหนัก เขาก็ขอยันต์ลวงตาที่ท่านตาของเขาเป็นผู้ใส่พลังลงไปคืนจากผู้ที่ยืนอยู่ข้างกาย จากนั้นก็กล่าวว่า “อาซุน เจ้าคงเห็นแล้วว่า ข้าไร้ตัวตนในสายตาของเสด็จพ่อ รวมไปถึงสายตาของผู้คนที่อยู่ในวังราชาปีศาจ แม้ดูเหมือนว่า ตัวข้าจะมีอำนาจ แต่แท้ที่จริงแล้ว...อำนาจในมือของข้ามีน้อยเสียยิ่งกว่าหัวหน้าองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างกายเสด็จพ่อ แค่ก ๆ แล้วเพราะเกิดมา ร่างกายของข้าก็ไม่ค่อยแข็งแรง พลังในกายจึงมีน้อยกว่าเหล่าพี่น้อง ข้าถึงต้อง...” “พระองค์ถึงต้องหาสตรีบริสุทธิ์มาเสพสังวาส เพื่อเพิ่มพลังใช่หรือไม่เพคะ?” “ใช่! แต่เรื่องเหล่านางคณิกาที่ถูกส่งมาฝั่งนี้ แล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ข้าไม่รู้เรื่องจริง ๆ นะอาซุน” พูดจบ หลี่อวิ้นหยางก็เดินไปนั่งลงบนเตียง ก่อนจะแสร้งไอออกมาอีกครั้งเบา ๆ ซุนเย่ผิงรีบหันไปรินน้ำอุ่น แล้วส
หลี่อวิ้นกุยรีบหันกลับไปมองเมิ่งเจียวซิน ยามนี้อีกฝ่ายกำลังเอียงคอมองไปทางหลี่อวิ้นหยาง เขาจึงก้าวเดินไปด้านข้าง เพื่อบังสายตาของนาง จากนั้นจึงกล่าวออกไปว่า “พี่รอง เรื่องการหมั้นหมายระหว่างข้ากับคุณหนูเมิ่งยังไม่ได้ประกาศออกไป แล้ววันนี้เสด็จพ่อก็เพิ่งจะเข้ามาพูดคุยเรื่องสู่ขอ แม้ข้าจะอยากถามว่า ผู้ใดคาบข่าวไปบอกท่าน แต่ก็ช่างเถิด! เพราะวันนี้ถือว่าเป็นวันดีของข้า เช่นนั้น...พี่รอง ข้าขอขอบคุณที่ท่านอุตส่าห์ได้ยินข่าว แล้วยอมขัดคำสั่งกักบริเวณของเสด็จพ่อ เพื่อลากสังขารของตัวเองมาร่วมอวยพรให้กับข้าและคุณหนูเมิ่ง” หลี่อวิ้นหยางถูกตอกกลับมาแบบไม่ไว้หน้าเป็นครั้งที่สอง ที่ผ่านมาเขากับหลี่อวิ้นกุยแม้จะไม่สนิท แต่ยามได้พบเจอก็มักจะพูดคุยทักทาย และให้เกียรติกันอยู่เสมอ ทว่าเหตุใดยามนี้อีกฝ่ายถึงไม่คิดจะไว้ไมตรี หรือหลี่อวิ้นกุยจะรู้เร
โจวหลิวอิงนำทุกคนในเรือนพักชั่วคราวทำความเคารพ พร้อมกับกล่าวทักทายราชาปีศาจกับองค์ชายสามหลี่อวิ้นกุย จากนั้นโจวหลิวอิงจึงเชิญคนทั้งสอง และคณะผู้ที่ติดตามมาบางส่วนเข้าไปนั่งพูดคุยกันต่อยังห้องโถงในเรือนใหญ่ โดยมีเมิ่งเจียวซินกับปิงหลงเดินตามโจวหลิวอิงนำคนอื่น ๆ เข้าไปด้านใน แล้วเมื่อเข้ามาในห้องโถง ราชาปีศาจก็เอ่ยสู่ขอเมิ่งเจียวซินให้กับหลี่อวิ้นกุยอย่างเป็นทางการ จากนั้นก็เริ่มพูดคุยกันเรื่องสินสอด ก่อนจะส่งมอบหนังสือหมั้นหมาย โดยทั้งสองฝ่ายพูดคุยตกลงกันเพียงไม่นาน เพราะราชาปีศาจกับหลี่อวิ้นกุยยินยอมทำตามข้อเรียกร้องจากโจวหลิวอิงทุกข้อ หลังจากนั้นราชาปีศาจก็ให้เมิ่งเจียวซิน หลี่อวิ้นกุย และเหล่าผู้ติดตามออกไปจากห้องโถงก่อน เพราะเจ้าตัวมีเรื่องสำคัญจะพูดคุยกับโจวหลิวอิงต่อ พอเมิ่งเจียวซินเดินออกห่างจากห้องโถง หลี่อวิ้นกุยก็เอ่ยชวนนางไปนั่งพูดคุยกันต่อที่ศาลาข
เมิ่งเจียวซินหลังจากลงมานั่งแช่ตัวในอ่างอาบน้ำได้สักพัก จิตใจที่เคยว้าวุ่นก็เริ่มสงบลง เพราะนอกจากเรื่องราวต่าง ๆ ที่ไปเผชิญมากับตัวตั้งแต่เช้า พอกลับมาถึงเรือนพักชั่วคราว นางก็ได้รับรู้เรื่องของซุนเย่ผิง... โดยปิงหลงเล่าให้เมิ่งเจียวซินฟังว่า...เมื่อคืนซุนเย่ผิงไม่ได้กลับมานอนที่เรือนพักชั่วคราว แล้วช่วงบ่ายวันนี้ซุนเย่ผิงก็กลับมาที่เรือน พร้อมกับคนขององค์ชายรองหลี่อวิ้นหยางจำนวนสองคน ซึ่งทั้งสามคนมาขอเข้าพบโจวหลิวอิง เหล่าองครักษ์ของโจวหลิวอิงจึงให้คนทั้งสามเข้ามานั่งรอในห้องโถงของเรือนใหญ่ ซึ่งในระหว่างนั้นปิงหลงได้อาสานำของว่าง และน้ำชาเข้าไปให้ ขณะที่วางของว่างลงบนโต๊ะปิงหลงก็แอบขยับเข้าไปกระซิบถามซุนเย่ผิงว่า พาสองคนนี้มาทำไม? แล้วตอนนี้ซุนเย่ผิงกำลังคิดจะทำอะไร? แต่ทว่าซุนเย่ผิงไม่ตอบ และไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองปิงหลงเลยสักนิด เด็กชายจึงเลิกให้ความสนใจ จนโจวหล
หลังจากเมิ่งเจียวซินกับหลี่อวิ้นกุยลงมือกินซาลาเปา สาลี่ และทับทิมจนหมดแล้ว เมิ่งเจียวซินจึงลุกขึ้นยืน เพื่อเก็บถาด และจานเปล่าใส่ลงไปในตะกร้าใบใหญ่ แล้วในขณะนั้นนางก็รับรู้ได้ถึงวงแขนที่สอดเข้ามาบริเวณรอบเอว ตอนนี้หลี่อวิ้นกุยกำลังโอบกอดนางจากทางด้านหลัง จากนั้นเจ้าตัวก็ซบใบหน้าลงมาที่ไหล่ข้างขวาของนาง “ซินซิน เจ้าไม่อยากรู้หรือว่า ข้าอธิษฐาน และฝากคำพูดถึงมารดาของข้าบนสวรรค์ว่าอย่างไร?” แต่ยังไม่ทันที่เมิ่งเจียวซินจะได้ตอบอะไรกลับไป หลี่อวิ้นกุยก็กล่าวต่อ “ข้าอธิษฐานว่า...ขอมีเจ้าอยู่ข้างกายข้าในทุกวันเกิดหลังจากนี้ และข้าก็กล่าวขอบคุณมารดาที่มอบชีวิตนี้ให้แก่ข้าซินซิน ขอบคุณนะ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา ขอบคุณที่เจ้าจัดเตรียมสิ่งเหล่านี้เพื่อข้า ยามนี้ข้ารู้สึกติดค้าง...” &n