กริ๊ง...กริ๊ง...
ใบหม่อนเอื้อมมือไปปิดเสียงนาฬิกาปลุก ก่อนจะกล่าว
“อาหวง เอาเป็นว่า แกก็ลองไปไล่อ่านข้อความของนักอ่านในบทสุดท้ายดูแล้วกันนะ เพราะพี่เองก็คิดเห็นไม่ต่างไปจากนักอ่านส่วนใหญ่ของแกเลย แค่นี้ก่อนนะ ถึงเวลาที่พี่ต้องเข้าไปตรวจดูอาการของคนไข้แล้วน่ะ”
(ได้ แต่พี่หม่อน...ถ้าว่างพี่ก็เข้ามาหาแม่บ้างนะ)
“อืม”
(อย่างนั้นผมไม่กวนละ ดูแลตัวเองด้วยนะพี่)
หลังจากวางสาย ใบหม่อนก็เลื่อนปิดหน้าอ่านนิยายที่แสดงอยู่บนหน้าจอ แล้วนำโทรศัพท์มือถือไปวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะหยิบสมุดกับปากกา จากนั้นเธอจึงเดินออกมาจากห้องนอนของตัวเอง เพื่อไปตรวจดูอาการของคนไข้ที่ยังคงนอนไม่ได้สติมาเกือบสามเดือนแล้ว ซึ่งเธอได้รับหน้าที่มาเป็นพยาบาลพิเศษให้เป็นการชั่วคราว เนื่องจากคนไข้ที่เธอต้องเข้ามาดูแลก็คือ หลานชายคนโตของท่านเจ้าสัวหลี่อวิ้นเจียง
โดยท่านเจ้าสัวหลี่อวิ้นเจียงเป็นทั้งเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง แล้วยังเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ของโรงงานผลิตอาหารไทยแช่แข็ง ซึ่งโรงงานดังกล่าวเป็นของคุณยายใบบัว ยายแท้ ๆ ของใบหม่อน แล้วที่สำคัญท่านเจ้าสัวหลี่อวิ้นเจียงยังเป็นเพื่อนสนิทกับคุณยายใบบัวด้วย
ใบหม่อนจึงยินดีรับงานนี้ในระหว่างที่เธอยังไม่สามารถออกเดินทางไปกับหน่วยแพทย์อาสาได้ เนื่องจากคุณยายใบบัวยังคงวิตกกังวลเรื่องโรคระบาดในช่วงที่ผ่านมา ท่านจึงยังไม่อยากให้เธอออกเดินทางในช่วงเวลานี้
แล้วก็คงจะด้วยเพราะคฤหาสน์ของท่านเจ้าสัวหลี่อวิ้นเจียงกับบ้านของใบหม่อนอยู่ห่างกันไม่มากนัก ในช่วงเวลาพักหรือในทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ เธอจึงยังสามารถแวะกลับไปดูแลผู้เป็นยายได้อย่างสะดวก และที่สำคัญก็คงจะด้วยเพราะความรู้สึกสงสาร หลังจากที่ใบหม่อนได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับคนไข้...
ใบหม่อนเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูห้องนอนของคนไข้ เธอกลับไม่เห็นบอดี้การ์ดที่ท่านเจ้าสัวหลี่อวิ้นเจียงส่งมาคอยดูแลความปลอดภัยให้กับผู้เป็นหลาน ซึ่งโดยปกติแล้วบอดี้การ์ดทั้งสามมักจะผลัดกันมายืนเฝ้าอยู่ที่หน้าห้องนี้ทุกคืน แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้หาคำตอบ ใบหม่อนก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวแปลก ๆ ดังออกมาจากภายในห้องนอน เธอจึงตัดสินใจรีบเปิดประตูเข้าไปดู...
ภายในห้อง...ใบหม่อนเห็นบอดี้การ์ดทั้งสามคนกำลังต่อสู้อยู่กับชายฉกรรจ์สองคน ซึ่งถ้าหากเธอจำไม่ผิดชายฉกรรจ์สองคนนี้ก็คือ คนสวนที่ท่านเจ้าสัวหลี่อวิ้นเจียงเพิ่งจะรับเข้ามาทำงานได้ไม่ถึงสองอาทิตย์ แล้วถึงแม้ว่าบอดี้การ์ดทั้งสามคนจะเป็นผู้ที่มีฝีมือด้านการต่อสู้ แต่ก็ดูเหมือนว่าคนร้ายสองคนนี้จะมีฝีมือที่ดีกว่า
เมื่อเห็นดังนั้นใบหม่อนจึงคิดจะออกไปตามคนมาช่วย แต่ในขณะที่เธอกำลังจะก้าวเท้าถอยออกไปจากห้อง เธอก็เห็นคนร้ายหนึ่งในสองปลิดชีพบอดี้การ์ดคนหนึ่งด้วยปืนเก็บเสียง จากนั้นอีกฝ่ายก็เล็งปืนกระบอกนั้นไปทางคนไข้ของเธอ ใบหม่อนจึงตัดสินใจรีบขว้างสมุดกับปากกาไปที่มือของคนร้าย ก่อนที่เธอจะพุ่งตัวเข้าไปกระโดดถีบคนร้ายคนนั้นพร้อมกับร้องตะโกนเรียกคนอื่น ๆ ที่อยู่ในคฤหาสน์ให้รีบออกมาช่วยอย่างสุดเสียง เพราะถึงแม้ว่าใบหม่อนจะพอมีวิชาสำหรับใช้ต่อสู้ป้องกันตัวอยู่บ้าง แต่เนื่องจากสภาพร่างกายของเธอกับคนร้าย อย่างไรเธอก็ไม่อาจเอาชนะอีกฝ่ายได้อยู่ดี
พอใบหม่อนเห็นว่าคนร้ายคนนั้นล้มลงแล้ว เธอจึงมองไปทางประตูห้องนอนด้วยความหวังที่ว่า จะมีคนได้ยินเสียงเธอ แล้วรีบตามเข้ามาช่วย... แต่ในระหว่างนั้นเธอก็เหลือบไปเห็นคนร้ายอีกคนลงมือจัดการกับบอดี้การ์ดสองคนที่เหลือเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตอนนี้อีกฝ่ายก็กำลังขึ้นลำปืน จากนั้นเจ้าตัวก็เล็งปืนกระบอกนั้นมาทางคนไข้ของเธอ!
ใบหม่อนจึงรีบพุ่งเข้าไปโอบกอดคนไข้ที่ยังคงนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง ก่อนจะพลิกตัวแล้วดึงร่างของอีกฝ่ายให้ลงมานอนกองที่พื้นด้วยกัน
อึก!
จากนั้นใบหม่อนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าไม่ต่ำกว่าห้าคนวิ่งเข้ามาภายในห้องนอน แล้วหลังจากนั้นก็เกิดเสียงการต่อสู้ดังขึ้นมาอีกครั้ง
‘ตอนนี้ก็น่าจะปลอดภัยแล้วสินะ’ ใบหม่อนคิดในใจ ก่อนจะก้มลงไปมองชายหนุ่มในอ้อมแขน จากนั้นเธอก็เห็นที่ไหล่ข้างซ้ายของเจ้าตัวมีเลือดไหลเลือดซึมออกมา แต่ดูแล้ว...กระสุนก็น่าจะแค่เฉียดเท่านั้นเอง หลังจากนั้นใบหม่อนก็เห็นเลือดที่กำลังทะลักออกมาจากบ่าข้างขวาของเธอ
‘ปืนรุ่นไหนเนี่ย ยิงครั้งเดียว...’ คิดได้เพียงเท่านั้น ทุกอย่างที่ใบหม่อนมองเห็นก็ดับวูบไปจากสายตาทันที
‘ที่นี่ที่ไหน?’
ใบหม่อนถามตัวเองในใจ หลังจากลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเธอกำลังนอนอยู่บนเตียงไม้สี่เสาในห้องนอนที่มีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ห้องหนึ่ง แล้วเมื่อใบหม่อนขยับตัวลุกขึ้นมานั่ง เธอก็ได้ยินเสียงทักทายดังขึ้นมาจากภายในหัว...
(สวัสดีค่ะโฮสต์)
‘อย่าบอกนะว่า...’
.......................................................................
ผู้เขียนขอขอบคุณทุกยอดวิว ยอดกดหัวใจ ยอดกดติดตาม และทุกข้อความของผู้อ่านทุกท่านมาก ๆ นะคะ ทุกยอดคือกำลังใจที่ดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆของผู้เขียนเลยค่ะ
“ไม่จริงใช่ไหมเนี่ย?” ใบหม่อนหรือเมิ่งเจียวซินเอ่ยขึ้น เพราะเธอยังตั้งรับกับเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ไม่ทัน (โฮสต์ไม่จำเป็นต้องพูดโต้ตอบกับทางระบบค่ะ เพราะทางที่ดีพวกเราควรสื่อสารกันทางจิตน่าจะสะดวกกับทางโฮสต์มากกว่าค่ะ) “เดี๋ยวก่อนนะคะ ฉันขอตั้งสติสักครู่ค่ะ” เมิ่งเจียวซินยังคงตอบกลับอีกฝ่ายด้วยการพูด ก่อนจะหลับตาลงเพื่อรวบรวมสติแล้วลืมตากลับขึ้นมามองมือ แขน และชุดที่เธอกำลังสวมใส่ จากนั้นเธอจึงมองไปยังบริเวณโดยรอบพร้อมกับคิดในใจ ‘อย่าบอกนะว่า...ตอนนี้ฉันทะลุมิติเข้ามาในนิยาย แล้วถ้าหากเป็นเรื่องจริงในนิยายส่วนใหญ่คนที่ทะลุมิติเข้าไปในนั้น ก็มักจะทะลุเข้าไปในนิยายเรื่องที่เพิ่งจะอ่านจบ หรือกำลังอ่านอยู่ก่อนตาย...’ (โฮสต์ใจเย็นก่อนนะคะ ตอนนี้อีกร่างหนึ่งของโฮสต์ยังไม่ตายค่ะ แต่ที่โฮสต์คิดเกี่ยวกับเรื่องของนิยายนั้นถูกต้องแล้วนะคะ เนื่องจากทางเราได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดใจของนักอ่าน ที่ได้เข้าไปอ่านนิยายของน้องชายโฮสต์ ซึ่งตอนนี้ก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และหนึ่งในความเจ็บปวดใจนั้นก็คือตัวโฮสต์เอง ดังนั้นในฐานะที่โฮสต์เป็นพี่สาวของคนเขียนนิยายเรื่องนี้
เมิ่งเจียวซินรีบสลัดสิ่งที่คิดออกจากสมอง แล้วลองตอบกลับอีกฝ่ายทางจิต ‘ได้ค่ะ’ (เงื่อนไขอย่างแรก เป็นสิ่งที่โฮสต์จะต้องรับรู้ คือ เวลาในโลกใบนี้หากเทียบกับเวลาในโลกใบเดิมของโฮสต์จะแตกต่างกันอยู่สามสิบวันค่ะ หมายถึง เวลาที่โฮสต์ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่สามสิบวันจะเทียบเท่ากับเวลาในโลกใบเดิมของโฮสต์เพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น เงื่อนไขอย่างที่สอง คือ เรื่องที่ทางเราเปิดระบบพิเศษให้กับโฮสต์ภายใต้ชื่อที่ว่า ‘รับรู้แล้วแก้ไขไปพร้อมกับการเรียนรู้ด้วยชีวิตจริง’ ความหมายก็ตรงตามนั้นเลยว่า ชีวิตในโลกใบนี้เปรียบประดุจดังชีวิตจริงของโฮสต์ เพราะในโลกใบนี้โฮสต์ทั้งบาดเจ็บได้ เจ็บป่วยได้ ตายจริง และมีเพียงแค่ชีวิตเดียว ซึ่งถ้าหากโฮสต์เสียชีวิตลงในโลกใบนี้ ก่อนจะทำภารกิจที่ทางระบบมอบให้เสร็จ อีกร่างหนึ่งในโลกใบเดิมของโฮสต์ก็จะเสียชีวิตลงไปด้วยทันทีค่ะ ดังนั้นสองปีในโลกใบนี้โฮสต์จะต้องดูแลชีวิตของตัวเองให้ดี แต่ทางเราก็มีเงื่อนไขพิเศษเพิ่มให้กับโฮสต์ด้วยนะคะ คือ...ตัวละครตัวนี้หากเป็นไปตามบทเดิมจะต้องเสียชีวิตในอีกหนึ่งปีข้างหน้า หากในช่วงเวลานั้นโฮสต์ทำภารกิจสามในห้าสำเร็จ โฮสต์ก็จะสาม
เมิ่งเจียวซินนั่งทำใจสักพัก ก่อนจะเดินไปเปิดบานหน้าต่างเพื่อสำรวจสิ่งต่าง ๆ รอบเรือน พอเห็นบรรยากาศโดยรอบ ตอนนี้น่าจะเข้าสู่ต้นยามโหย่วแล้ว (ยามโหย่ว เวลา 17:00 – 18:59 น.) หลังจากนั้นเมิ่งเจียวซินจึงนึกไปถึงสิ่งที่คุณยายใบบัวเคยสอนเธอเอาไว้ว่า ‘ให้หาข้อดีในเวลาที่รู้สึกแย่ที่สุด’ ก่อนที่เธอจะหลับตาของตัวเองลง แล้วคิดในใจว่า... ‘ดี! ที่นิยายเรื่องนี้ของอาหวงเป็นแนวจีนโบราณ’ ‘ดี! ที่เราชอบอ่านนิยายแนวนี้อยู่แล้ว’ ‘และโชคดี! ที่ชีวิตในโลกใบเดิมของเรามักจะได้ออกเดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ พร้อมกับหน่วยแพทย์อาสาอยู่บ่อยครั้ง เพราะมันได้ช่วยฝึกให้เราต้องคอยตั้งรับ ปรับตัว และยังต้องคอยเตรียมรับมือกับทุกการเปลี่ยนแปลงที่ผ่านเข้ามาในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่อยู่เสมอ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเราเวลานี้ เราก็แค่ต้องคอยรับมือ เตรียมทำทุกอย่าง และหาวิธีก้าวผ่านมันไปให้ได้ก็เท่านั้นเอง’ เมื่อคิดได้ดังนั้นเมิ่งเจียวซินจึงนึกไปถึงข้อมูลคร่าว ๆ ของโลกใบนี้ รวมไปถึงข้อมูลเบื้องต้นของพระเอกที่อาหวงได้บรรยายเอาไว้ในช่วงแรกของนิยาย... โลกใบนี้ได้ถูกแบ่งเขตแ
หลี่อวิ้นกุยเกิดมาพร้อมกับการจากไปของผู้เป็นมารดา เขาจึงไม่เป็นที่ต้อนรับของคนในครอบครัว ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาในยามนั้นแย่ยิ่งกว่าบ่าวรับใช้ในเรือนหลังนั้นเสียอีก แม้ว่าผู้เป็นตากับยายจะรับตัวเขากลับมาอยู่ที่เรือนหลักของตระกูลแล้ว แต่ก็ได้ส่งตัวเขาให้บ่าวก้นครัวเป็นผู้ดูแล เขาจึงเติบโตมาพร้อมกับความเกลียดชังของคนในครอบครัว แล้วในทุกครั้งที่มีคนในครอบครัวบังเอิญเดินมาเจอกับหลี่อวิ้นกุย ก็มักจะด่าทอเขาด้วยคำพูดที่ว่า เขาคือคนทำให้มารดาของตัวเองต้องตาย! แล้วทุกอย่างก็ได้ผ่านล่วงเลยไปแบบนั้น จนมาถึงวันหนึ่งในขณะที่หลี่อวิ้นกุยวัยเจ็ดหนาวตามคนครัวออกไปช่วยซื้อของในตลาดเหมือนทุกวัน เนื่องจากในช่วงเช้าแม่ครัวทุกคนจะยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารจนไม่มีเวลามาคอยดูแลเขา ซึ่งทุกคนในครัวต่างก็รู้ดีว่าหากทิ้งเด็กชายเอาไว้เพียงลำพัง บุตรของบ่าวในเรือนส่วนอื่น ๆ จะเข้ามาล้อเลียน กลั่นแกล้ง และคอยมารังแกคุณชายน้อยผู้นี้อยู่เสมอ แต่ในวันนั้นหลี่อวิ้นกุยได้พลัดหลงกับแม่ครัวที่ออกมาซื้อของด้วยกัน แล้วเดินไปชนเข้ากับกลุ่มบุตรชายของแม่ค้าในตลาด จึงทำให้เขาถูกเด็กโตกลุ่มนั้นรุมทำร้าย แม้ว่าหล
เมิ่งเจียวซินก้าวขาลงไปนั่งแช่ตัวในอ่างอาบน้ำ ก่อนจะลองนำเอาความทรงจำของร่างนี้รวมเข้ากับเนื้อหาในนิยาย ตอนนี้น่าจะอยู่ช่วงที่ซุนเย่ผิงพาตัวเองไปขายให้กับหอโคมเขียวประจำเมืองเป็นแน่ เนื่องจากเนื้อหาในนิยายมีบรรยายเอาไว้ว่า... หลังจากที่ซุนเย่ผิงไปทำความรู้จักและพูดคุยกับสตรีในหอโคมเขียวนางหนึ่งมาได้สักพัก นางก็เริ่มมีความคิดที่จะใช้หน้าตาและเรือนร่างของตัวเองหลีกหนีจากความเป็นบ่าว แล้วด้วยความทะเยอทะยานและความรักสบายของนาง ซุนเย่ผิงจึงเริ่มวาดฝันเอาไว้ว่า ด้วยใบหน้านี้ของนาง หากนางก้าวขาเข้าไปในหอโคมเขียวก็คงจะได้ขึ้นเป็นนางคณิกาอันดับหนึ่งของที่นั่นเป็นแน่ แล้วเมื่อจูมี่ผู้เป็นป้าห่าง ๆ ของนางขอลากลับไปเยี่ยมบุตรชายที่บ้านเดิมเป็นเวลาหนึ่งเดือน นางก็รีบใช้ช่วงเวลานั้นขายตัวเองเพื่อเข้าไปฝึกศาสตร์ด้านต่าง ๆ ที่นางคณิกาพึงมีในหอโคมเขียวทันที ถึงแม้สุดท้ายซุนเย่ผิงจะไม่สามารถขึ้นเป็นนางคณิกาอันดับหนึ่งของหอโคมเขียวแห่งนั้นได้ แต่นางก็ได้ติดหนึ่งในสามของนางคณิกาผู้มีใบหน้างดงามของที่นั่น แล้วก็ด้วยเพราะเงินจากการประมูลคืนแรกของนาง เมื่อจูมี่เดินทางกลับมาถึงเรือนของเมิ่งเจ
เช้าวันถัดมา เมิ่งเจียวซินได้ยินเสียงคล้ายกับคนพยายามเปิดบานหน้าต่างดังมาจากทางบริเวณห้องครัวในช่วงต้นยามเหม่า (ยามเหม่า เวลา 05:00 – 06:59 น.) นางจึงมั่นใจแล้วว่าร่องรอยแปลก ๆ แถวบานหน้าต่างที่นางเห็นเมื่อคืน คือทางเข้าออกฉุกเฉินที่ซุนเย่ผิงได้เตรียมเผื่อเอาไว้ เนื่องจากสามคืนที่ผ่านมาเมิ่งเจียวซินคนเก่าจะไม่ลงกลอนที่บานประตูหลังเรือน เพราะรู้ว่าซุนเย่ผิงยังไม่กลับมา ซึ่งนางมองว่าเมิ่งเจียวซินคนเก่าได้สร้างโอกาสที่จะเกิดเรื่องเลวร้ายให้กับตนเอง แม้ว่าในนิยายมันอาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะไม่มีการบรรยายถึงตัวละครเมิ่งเจียวซินในช่วงเวลานี้ แต่นางที่ต้องมาอาศัยร่างนี้ต่อไม่อาจทนแบกรับความเสี่ยงแบบที่เจ้าของร่างเดิมทำได้ แล้วอีกอย่างนางก็อยากรู้ด้วยว่า หากนางปิดพร้อมกับลงกลอนประตูและหน้าต่างทุกบาน ซุนเย่ผิงจะกลับเข้ามาในเรือนได้อย่างไร? พอเมิ่งเจียวซินเดินออกมาจากห้องพัก นางก็เห็นว่าซุนเย่ผิงกลับเข้ามาในเรือนได้แล้ว และยามนี้เจ้าตัวก็กำลังจัดการกับงานต่าง ๆ ของตนเองอยู่ เมิ่งเจียวซินจึงคิดอยากจะลองว่า ตนเองจะสามารถพูดคุยโต้ตอบกับคนในโลกใบนี้ได้หรือไม่? นางจึงเดินเข้าไปทักทายอี
เมิ่งเจียวซินพยายามรื้อความทรงจำ ก่อนจะหยุดฝีเท้าแล้วเงยหน้าขึ้นมาสนทนากับบุรุษและสตรีที่เดินตรงเข้ามาหานาง “ใช่เจ้าค่ะ” “ข้ามีนามว่าหมิงลู่ ส่วนนี่น้องสาวของข้ามีนามว่าหมิงจิวขอรับพวกข้าสองคนอยู่เรือนถัดจากเรือนของคุณหนูเมิ่งไปสองเรือน แล้วข้าก็เคยนำสมุนไพรไปขายให้กับท่านหมอเมิ่งที่เรือน คุณหนู...” “ข้าจำพวกท่านได้เจ้าค่ะ” เมิ่งเจียวซินตอบพร้อมกับยิ้มให้กับคนทั้งสองตรงหน้า “ข้าขออภัยนะขอรับ คุณหนูเมิ่งกำลังจะไปที่ใดหรือขอรับ?” “ข้ากำลังจะไปเก็บสมุนไพรที่ป่าท้ายหมู่บ้านเจ้าค่ะ” “เช่นนั้นคุณหนูเมิ่งรอข้าสักครู่ได้หรือไม่ขอรับ? คือข้า... เออ...คือพวกข้าว่าจะกลับเข้าไปล่ากระต่ายมาทำสำรับเย็นอยู่พอดีเลยขอรับ” เมิ่งเจียวซินเมื่อได้ยินที่บุรุษตรงหน้าพูด แล้วได้เห็นสีหน้าและท่าทางของอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าบิดาของร่างนี้คงฝากให้หมิงลู่มาคอยช่วยดูแลความปลอดภัยให้กับนางเป็นแน่ เนื่องจากในความทรงจำที่ได้รับมา บิดาของร่างนี้เคยเอ่ยปากบอกกับเมิ่งเจียวซินคนเก่าเอาไว้ว่า หากในช่วงที่เจ้าตัวไม่อยู่แล้วมีอะไรเกิดขึ้น หรือหากต้องการความช่วยเหลือก็ให้ไปบอกกับบุรุษตรงห
เมื่อกลับเข้ามาในเรือนของตัวเอง เมิ่งเจียวซินก็นำสมุนไพรที่เก็บมาได้ไปทำความสะอาด ก่อนจะนำออกไปตาก จากนั้นนางจึงเดินเข้าไปจัดเตรียมสมุนไพรส่วนที่เหลือพร้อมกับอุปกรณ์สำหรับการปรุงยาสูตรแรกเอาไว้ หากเย็นนี้นางได้รับสมุนไพรอีกสองตัวมาจากหมิงลู่ พรุ่งนี้เช้านางก็จะสามารถเริ่มปรุงยาสูตรแรกได้เลย โดยยาตัวแรกที่นางคิดจะปรุงก็คือ ยาเม็ดที่พระเอกของนิยายเรื่องนี้ต้องกินทุกวัน เพื่อลดอาการเจ็บปวดจากยาพิษร้ายแรงในร่างกาย ซึ่งแน่นอนว่ายาที่นางปรุงย่อมต้องได้ผลดีกว่ายาที่หลี่อวิ้นกุยมีอยู่ แม้เนื้อหาในนิยายจะไม่ได้บอกว่า หลี่อวิ้นกุยถูกวางยาพิษชนิดไหน แต่ด้วยบทบรรยายที่เจ้าตัวได้กล่าวเย้ยหยันกับโชคชะตาชีวิตของตัวเองที่ว่า ‘เมื่อถึงเวลาที่พิษในร่างกายของข้าสำแดงอาการ แม้ข้าจะได้กินยา...แต่มันก็ทำได้เพียงแค่ช่วยลดความเหน็บหนาวที่ข้าจะต้องเผชิญในทุกค่ำคืนลงเท่านั้น เพราะตัวข้าไม่อาจเดินลมปราณหรือใช้พลังได้ดั่งใจต้องการอยู่ดี’ หากนำเอาประโยคนี้ไปรวมเข้ากับบทบรรยายที่ว่า ‘หลี่อวิ้นกุยไม่อาจถอนพิษออกจากร่างกายได้ทันการ’ เมิ่งเจียวซินก็มั่นใจไปถึงแปดในสิบส่วนเลยว่า หลี่อวิ้นกุยถูกวางยาพิษ
“ซินซิน...” เมิ่งเจียวซินไม่พูดไม่ตอบ แล้วในขณะที่นางกำลังยื่นมือไปหยิบขนมขึ้นมากินต่อ...มือของนางก็ถูกจับเอาไว้ จากนั้นนางก็เห็นหลี่อวิ้นกุยก้มลงมาจุมพิตที่มือข้างนั้น ก่อนจะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยหลังมือของนางเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าไม่หยอกเจ้าแล้ว ซินซิน...ป้อนข้าต่อเถิดนะ” บุรุษรูปงาม กล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อนอย่างถึงที่สุด ทำให้คนฟังอย่างนางราวกับกำลังต้องมนต์สะกด... ใบหน้า และใบหูร้อนผ่าว เมิ่งเจียวซินไม่อาจแข็งใจปฏิเสธคำขอนั้นได้เลย นางจึงตอบกลับไปว่า “ปล่อยมือข้าก่อนสิ ข้าจะได้ป้อนเจ้าต่อ” “แต่...ซินซิน การที่เจ้าป้อนขนมข้าในยามนี้ เป็นเจ้าที่เริ่มป้อนข้าด้วยตัวเองก่อน ดังนั้นจึงไม่เกี่ยวกับรางวัลที่เจ้ากับข้าตกลงกันเมื่อครู่นะ ซึ่งรางวัลที่
“เฉินชุนเหยา...” เมิ่งเจียวซินพึมพำออกมาเบา ๆ พร้อมกับมองแผ่นหลังของหลี่อวิ้นกุยที่ค่อย ๆ ห่างออกไปเรื่อย ๆ เมื่อครู่ตอนที่โฉมงามนางนั้นเอ่ยนามของเจ้าตัวออกมา เมิ่งเจียวซินก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลากับนามนี้อยู่ไม่น้อยเลย พอเมิ่งเจียวซินนึกไปถึงเนื้อหาในนิยายของอาหวง...นางก็จำได้แล้วว่า ‘เฉินชุนเหยา’ เป็นนามพระชายาคนแรกของหลี่อวิ้นกุยในนิยาย แต่เพราะเฉินชุนเหยาเป็นเพียงตัวประกอบฝั่งตัวร้าย อีกฝ่ายจึงถูกกล่าวถึงในนิยายเพียงแค่สองบทเท่านั้น หลังจากนั้นเจ้าตัวก็ไม่มีบทบาท หรือถูกกล่าวถึงในนิยายอีกเลย หลี่อวิ้นกุยเดินออกจากศาลา พร้อมกับคิดในใจว่า ยามอยู่กับเมิ่งเจียวซินเขาจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกครั้งเป็นแน่ แล้วหลังจากนี้เขาคงต้องกำชับคนของตัวเองในอีกหลาย ๆ เรื่องด้วย พอเดินออกมาถึงบริเวณหน้าประตูทางเข้า หลี่อวิ้น
จากนั้นเมิ่งเจียวซินก็เห็นหลี่อวิ้นกุยเดินตามจิ่นตั้งกับบุรุษอีกสองคนเข้าไปในเขตก่อสร้าง ผ่านไปเกือบสองเค่อ หลี่อวิ้นกุยก็เดินกลับออกมาหานางพร้อมกับถังหูลู่ และขนมหนวดมังกร ในระหว่างที่เมิ่งเจียวซินกำลังชั่งใจว่า ควรจะถามเรื่องลูกกับหลี่อวิ้นกุยอีกครั้งเลยดีหรือไม่? จิ่นตั้งก็เดินเข้ามารายงานบางอย่างกับหลี่อวิ้นกุย โดยสายตาของคนทั้งคู่มองไปยังประตูทางเข้า... พอเมิ่งเจียวซินมองตาม...ก็เห็นโฉมงามนางหนึ่งเดินลงมาจากรถม้า แต่เมื่อสตรีนางนั้นกับผู้ติดตามคิดจะเข้ามา...อีกฝ่ายก็ถูกองครักษ์ของหลี่อวิ้นกุยที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูใช้ดาบกันเอาไว้ หลังจากนั้นเมิ่งเจียวซินก็เห็นสตรีนางนั้นกับผู้ติดตามทำความเคารพหลี่อวิ้นกุยตรงบริเวณประตูทางเข้า แล้วสตรีนางนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ถวายพระพรองค์ชายสาม หม่อมฉันเฉินชุนเหยาเพคะ”
พอได้ยินคำถามของสตรีข้างกาย หลี่อวิ้นกุยก็รู้สึกว่า อีกฝ่ายดูเหมือนจะยังรู้จักเขาไม่ดีพอ เขาจึงตอบกลับไปว่า “ใช่! ข้าหึง แล้วข้าก็หาใช่เพียงแค่หึงไม่ แต่ข้ายังหวง และห่วงเจ้ามากด้วย!!” หัวใจของเมิ่งเจียวซินเต้นผิดจังหวะอีกแล้ว คราแรกนางตั้งใจจะเอ่ยหยอกเย้าอีกฝ่าย แต่บุรุษข้างกายกลับยอมรับออกมาตรง ๆ เสียอย่างนั้น เมิ่งเจียวซินจึงรีบปรับลมหายใจ พร้อมกับนึกหาคำพูด หรือคำถามมาเปลี่ยนเรื่องคุย พอนึกไปถึงเรื่องคาใจในช่วงเช้าขึ้นมาได้ นางจึงเงยหน้าขึ้นไปมองหลี่อวิ้นกุย แล้วเอ่ยถามอีกฝ่าย “กุยกุย คือ...วันที่เจ้าพาข้าเดินดูส่วนต่าง ๆ รอบตำหนัก ข้าสังเกตเห็นว่า มีเพียงดอกบัวสีขาวห้าดอกกลางบ่อน้ำในสวนเท่านั้น นอกจากนั้นข้าก็ไม่เห็นดอกไม้ในตำหนักของเจ้าอีกเลย แม้แต่ต้นไม้...นิ้วมือทั้งสองข้างของข้าก็น่าจะมีมากกว่าต้นไ
ระหว่างที่รอ...เมิ่งเจียวซินก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อทำให้หัวใจที่เต้นผิดจังหวะไปเมื่อครู่...กลับมาเต้นเป็นปกติให้ได้อีกครั้งโดยเร็ว แล้วเมื่อปรับอารมณ์ และดึงสติของตัวเองกลับมาได้ นางก็เอ่ยถามบุรุษข้างกายว่า “กุยกุย ว่าแต่...เหตุใดวันนี้เจ้าถึงกลับมาเร็วนักล่ะ?” “ข้ากลับมารับเจ้า” “รับข้า...?” เมิ่งเจียวซินถามย้ำ พร้อมกับมองท่าทีของอีกฝ่าย “ใช่! เจ้ารีบไปเปลี่ยนชุดก่อนเถิด” “เจ้าจะพาข้าไปที่ไหนหรือ?” “ไปถึงแล้ว เจ้าก็จะได้รู้เอง รีบไปเปลี่ยนชุดเร็วเข้า” กล่าวจบ หลี่อวิ้นกุยก็ยกยิ้มเล็กน้อยให้กับสตรีข้างกาย แม้อีกฝ่ายจะยังมีท่าทีลังเล แต่นางก็ยอมลุกไปเปลี่ยนชุดตามความต้องการของเขา&
รุ่งเช้า บุรุษไร้ยางอายที่ขอมานอนด้วยเมื่อคืนก็หายไปจากเตียงของเมิ่งเจียวซินแล้ว และในคืนต่อ ๆ มา แม้ช่วงกลางวันจะไม่ค่อยได้เห็นหน้า แต่ทว่าช่วงกลางคืนหลี่อวิ้นกุยกลับโผล่เข้ามาขอนอนที่ห้องนี้กับนางทุกคืน แล้วทุกคืนก่อนนอนบุรุษไร้ยางอายจะต้องได้จุมพิตกับนางอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ต้องเอาตัวนางเข้าไปซุกไว้ในอ้อมกอด และเมิ่งเจียวซินจะต้องกอดตอบอีกฝ่ายด้วย เจ้าตัวถึงจะยอมนอนหลับแต่โดยดี หลังจากตื่นนอนเมิ่งเจียวซินก็ลุกไปจัดการดูแลตัวเอง จากนั้นนางจึงออกไปรอเรียนเรื่องกฎเกณฑ์ และข้อปฏิบัติต่าง ๆ ในวังกับนางกำนัลอาวุโส ซึ่งวันนี้นางกำนัลทั้งสองได้แจ้งว่า จะเข้ามาสอนเพียงห้าวันต่อหนึ่งสัปดาห์ แล้วหลังจากวันนี้นางจะได้เรียนเรื่องการเย็บปักถักร้อย การจัดดอกไม้ กริยามารยาทของสตรีชั้นสูง และการทำบัญชีเพิ่มอีกด้วย ซึ่งวันนี้เมิ่งเจียวซินรู้สึกว่า นางกำนัลอาวุโสทั้งสองยามที่สอน..
เมิ่งเจียวซินมองบุรุษไร้ยางอายคนหนึ่งมุดออกมาจากตู้เสื้อผ้า แล้วเมื่ออีกฝ่ายเห็นนางก็รีบยกนิ้วชี้ขึ้นมาแนบที่ริมฝีปาก “ชู่วว...” บุรุษไร้ยางอายคนนั้นส่งสัญญาณห้ามเมิ่งเจียวซินร้องเรียกองครักษ์สตรีห้องข้าง จากนั้นบุรุษไร้ยางอายก็ปิดทางเชื่อมระหว่างห้องหนังสือกับห้องพักของนาง แล้วร่ายคาถาอะไรบางอย่าง เมิ่งเจียวซินที่ยังไม่ทันจะได้ตั้งรับกับสถานการณ์ตรงหน้า อีกฝ่ายก็เดินเข้ามาโอบกอดนาง พร้อมกับเอ่ยว่า “ซินซิน ข้าคิดถึงเจ้า” “ข้าก็คิดถึงเจ้า แต่...กุยกุย เจ้าช่วยปล่อยข้าครู่หนึ่งได้หรือไม่?” แล้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายก้มลงมามองนางด้วยสีหน้าที่คล้ายกับกำลังสงสัย เมิ่งเจียวซินจึงกล่าวเพิ่มว่า “ข้าขอแต่งกายให้เรียบร้อยก่อน” &n
หลังจากราชาปีศาจกับหลี่อวิ้นกุยกลับไป โจวหลิวอิงก็เรียกทุกคนในเรือนพักชั่วคราวมารวมตัวกันที่ลานกว้าง ก่อนจะประกาศเรื่องการหมั้นหมายระหว่างองค์ชายสามหลี่อวิ้นกุยกับเมิ่งเจียวซิน รวมไปถึงงานมงคลสมรสของคนทั้งสองที่จะเกิดขึ้นในอีกสี่เดือนข้างหน้า จากนั้นโจวหลิวอิงก็ประกาศต่อว่า อีกสามวันก็จะถึงกำหนดเดินทางกลับฝั่งของพวกมนุษย์ หากผู้ใดอยากอยู่ต่อ เพื่อร่วมงานมงคลสมรสดังกล่าว ก็ให้รีบมาลงนามกับเจ้าตัว แล้วเมื่อถึงกำหนดเดินทางกลับ โจวหลิวอิงก็จะพาคนกลุ่มนี้ย้ายไปพักที่จวนหัวหน้าหน่วยฝั่งซ้ายก่อน แต่ถ้าหากผู้ใดไม่สะดวกที่จะอยู่ต่อ เมื่อถึงกำหนดเดินทางกลับ เจ้าตัวก็จะให้เหล่าองครักษ์คุ้มกันพาเดินทางกลับไปยังหอโคมเขียวในฝั่งของพวกมนุษย์ เมื่อจัดการเรื่องการเดินทางกลับของคณะเหล่านางคณิกาเสร็จ โจวหลิวอิงก็เรียกเมิ่งเจียวซินกับปิงหลงเข้าไปพูดคุยกันต่อในห้องโถงของเรือนใหญ่ ซึ่งพอเห็นคนทั้งสองเข้ามานั่งในห้องกันเรียบร้อย โจวหลิ
หลี่อวิ้นหยางเมื่อกลับมาถึงห้องพักในตำหนัก เขาก็ขอยันต์ลวงตาที่ท่านตาของเขาเป็นผู้ใส่พลังลงไปคืนจากผู้ที่ยืนอยู่ข้างกาย จากนั้นก็กล่าวว่า “อาซุน เจ้าคงเห็นแล้วว่า ข้าไร้ตัวตนในสายตาของเสด็จพ่อ รวมไปถึงสายตาของผู้คนที่อยู่ในวังราชาปีศาจ แม้ดูเหมือนว่า ตัวข้าจะมีอำนาจ แต่แท้ที่จริงแล้ว...อำนาจในมือของข้ามีน้อยเสียยิ่งกว่าหัวหน้าองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างกายเสด็จพ่อ แค่ก ๆ แล้วเพราะเกิดมา ร่างกายของข้าก็ไม่ค่อยแข็งแรง พลังในกายจึงมีน้อยกว่าเหล่าพี่น้อง ข้าถึงต้อง...” “พระองค์ถึงต้องหาสตรีบริสุทธิ์มาเสพสังวาส เพื่อเพิ่มพลังใช่หรือไม่เพคะ?” “ใช่! แต่เรื่องเหล่านางคณิกาที่ถูกส่งมาฝั่งนี้ แล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ข้าไม่รู้เรื่องจริง ๆ นะอาซุน” พูดจบ หลี่อวิ้นหยางก็เดินไปนั่งลงบนเตียง ก่อนจะแสร้งไอออกมาอีกครั้งเบา ๆ ซุนเย่ผิงรีบหันไปรินน้ำอุ่น แล้วส