เมิ่งเจียวซินนั่งทำใจสักพัก ก่อนจะเดินไปเปิดบานหน้าต่างเพื่อสำรวจสิ่งต่าง ๆ รอบเรือน พอเห็นบรรยากาศโดยรอบ ตอนนี้น่าจะเข้าสู่ต้นยามโหย่วแล้ว (ยามโหย่ว เวลา 17:00 – 18:59 น.)
หลังจากนั้นเมิ่งเจียวซินจึงนึกไปถึงสิ่งที่คุณยายใบบัวเคยสอนเธอเอาไว้ว่า ‘ให้หาข้อดีในเวลาที่รู้สึกแย่ที่สุด’ ก่อนที่เธอจะหลับตาของตัวเองลง แล้วคิดในใจว่า...
‘ดี! ที่นิยายเรื่องนี้ของอาหวงเป็นแนวจีนโบราณ’
‘ดี! ที่เราชอบอ่านนิยายแนวนี้อยู่แล้ว’
‘และโชคดี! ที่ชีวิตในโลกใบเดิมของเรามักจะได้ออกเดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ พร้อมกับหน่วยแพทย์อาสาอยู่บ่อยครั้ง เพราะมันได้ช่วยฝึกให้เราต้องคอยตั้งรับ ปรับตัว และยังต้องคอยเตรียมรับมือกับทุกการเปลี่ยนแปลงที่ผ่านเข้ามาในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่อยู่เสมอ
ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเราเวลานี้ เราก็แค่ต้องคอยรับมือ เตรียมทำทุกอย่าง และหาวิธีก้าวผ่านมันไปให้ได้ก็เท่านั้นเอง’
เมื่อคิดได้ดังนั้นเมิ่งเจียวซินจึงนึกไปถึงข้อมูลคร่าว ๆ ของโลกใบนี้ รวมไปถึงข้อมูลเบื้องต้นของพระเอกที่อาหวงได้บรรยายเอาไว้ในช่วงแรกของนิยาย...
โลกใบนี้ได้ถูกแบ่งเขตแดนและเขตการปกครองออกเป็นสองส่วน โดยส่วนแรกคือส่วนของพวกมารและพวกปีศาจ ซึ่งถูกปกครองโดยคนเผ่ามาร อีกส่วนคือส่วนของพวกมนุษย์ ซึ่งถูกปกครองโดยเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่เป็นมนุษย์
หลี่อวิ้นกุย พระเอกของนิยายเรื่องนี้เป็นคนเผ่ามารที่มีเลือดของมนุษย์ไหลเวียนอยู่ในตัวครึ่งหนึ่ง เนื่องจากในอดีตหลี่อวิ้นเซียนราชาปีศาจคนปัจจุบันเคยหนีมาใช้ชีวิตในฝั่งของพวกมนุษย์อยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งในช่วงนั้นหลี่อวิ้นเซียนได้ลักลอบเข้าไปมีความสัมพันธ์กับเซียวชิงฮวาดรุณีน้อยผู้มีรูปโฉมงดงามที่สุดในหมู่บ้าน โดยในช่วงเวลานั้นหลี่อวิ้นเซียนก็หาได้มีความสัมพันธ์กับเซียวชิงฮวาเพียงนางเดียว
จนเวลาผ่านล่วงเลยไปถึงวันที่หลี่อวิ้นเซียนต้องเดินทางกลับไปรับตำแหน่งราชาปีศาจ หลังจากวันนั้นเจ้าตัวก็ไม่ได้กลับมายังฝั่งของมนุษย์อีกเลย จึงไม่รู้ว่าในยามนั้นเซียวชิงฮวาได้เริ่มตั้งครรภ์บุตรของตัวเองขึ้นมาแล้ว
หลี่อวิ้นเซียนที่รับรู้มาตลอดว่า การตั้งครรภ์และการให้กำเนิดทารกเผ่ามารในแต่ละครั้งมีความเสี่ยงถึงชีวิตแล้วหาใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับสตรี โดยเฉพาะสตรีที่เป็นมนุษย์ ดังนั้นทุกครั้งหลังจากเสร็จกิจเขาจึงมักจะบอกกับสตรีที่ตนเองไปมีความสัมพันธ์ด้วยเสมอว่า ให้รีบดื่มยาห้ามครรภ์ แต่ก็มักจะมีสตรีบางคนที่ดื้อรั้น และต้องการจะสานสัมพันธ์กับเขาต่อ จึงตั้งใจละเลยในสิ่งที่เขาบอก ซึ่งตัวหลี่อวิ้นเซียนเองก็หาได้สนใจไม่
เนื่องจากสตรีที่ตั้งครรภ์บุตรของคนเผ่ามารจะต้องสูญเสียพลังชีวิตเพื่อหล่อเลี้ยงบุตรในครรภ์จนกว่าจะถึงวันที่ให้กำเนิด แล้วยิ่งหากสตรีนางใดตั้งครรภ์บุตรของมารผู้สืบสายเลือดมารเข้มข้นแบบเขา หรือหากบุตรในครรภ์ของสตรีนางนั้นเป็นบุรุษ พลังชีวิตที่สตรีนางนั้นจะต้องใช้ในการหล่อเลี้ยงบุตรในครรภ์ก็จะยิ่งต้องใช้มากกว่าบุตรที่เป็นสตรี หรือบุตรที่เกิดจากสามีที่เป็นมารสายเลือดอื่นเป็นเท่าตัว แม้แต่กับสตรีเผ่ามารหรือสตรีเผ่าปีศาจเองก็ยังยากที่จะประคองครรภ์ไปจนถึงขั้นให้กำเนิดทารกออกมาได้
ดังนั้นการที่จะมีสตรีมนุษย์ตั้งครรภ์บุตรของเขาจนสามารถให้กำเนิดทารกออกมาได้นั้น ในความคิดของหลี่อวิ้นเซียนมันจึงถือเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก
เซียวชิงฮวาที่ตกอยู่ในห้วงของความรักจึงคิดไปเองว่า ที่ผ่านมาหลี่อวิ้นเซียนรักนางด้วยความจริงใจ นางเลยคิดจะสร้างครอบครัวกับอีกฝ่าย จึงตั้งใจไม่กินยาห้ามครรภ์ ซึ่งตัวหลี่อวิ้นเซียนเองแม้จะบอกเรื่องที่เจ้าตัวเป็นคนเผ่ามาร แต่ก็ไม่ได้เล่าเรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ และการให้กำเนิดทารกเผ่ามารกับนาง ดังนั้นเมื่อเซียวชิงฮวารู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ นางจึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก จากนั้นนางก็พยายามปกปิดแล้วเฝ้ารอการกลับมาของหลี่อวิ้นเซียน
จนเข้าสู่เดือนที่สามอาการแพ้ท้องรวมไปถึงสภาพร่างกายของเซียวชิงฮวาก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง และแสดงออกมาให้คนในครอบครัวเห็น บิดามารดาของนางจึงทำการคาดคั้นเอาความจริงจากปากนาง จนนางต้องบอกเล่าเรื่องการตั้งครรภ์กับคนทั้งสอง แล้วถึงแม้ว่าผู้เป็นบิดามารดาจะรู้สึกเสียใจกับการกระทำชิงสุกก่อนห่ามของนางมากแค่ไหน แต่ด้วยความที่เซียวชิงฮวาเป็นบุตรสาวคนโต และยังเป็นบุตรที่คนทั้งคู่ให้ความรักมากที่สุด บิดามารดาของนางจึงไม่อาจตัดใจขับไล่เซียวชิงฮวาออกจากตระกูล จึงทำได้เพียงส่งตัวนางแยกไปอยู่ที่เรือนพักหลังเก่าพร้อมกับมอบบ่าวรับใช้ให้ไปคอยดูแลนางเพียงแค่สามคน แล้วยังออกปากสั่งนางและบุตรที่กำลังจะถือกำเนิดห้ามก้าวเท้าออกจากเรือนหลังนั้นเลยแม้แต่ก้าวเดียว
เซียวชิงเถาน้องสาวของเซียวชิงฮวาด้วยความสงสารส่วนหนึ่ง แล้วด้วยเพราะนางเคยเห็นบุรุษที่มีความสัมพันธ์กับผู้เป็นพี่สาว นางเลยคิดจะหาประโยชน์จากความร่ำรวยของอีกฝ่าย นางจึงออกปากรับอาสาคอยส่งของกินของใช้ และจะคอยแวะเวียนเข้าไปดูแลเซียวชิงฮวาแทนผู้เป็นบิดามารดา เนื่องจากตระกูลเซียวมีอาชีพค้าขายผ้า บิดาของพวกนางจึงต้องออกเดินทางไปรับซื้อผ้าตามหัวเมืองต่าง ๆ กลับมาขายเลยไม่ค่อยมีเวลาได้อยู่เรือนมากนัก ส่วนมารดาของพวกนางหลังจากส่งตัวเซียวชิงฮวาไปอยู่ที่เรือนหลังเก่า นางจึงต้องกลับเฝ้าดูแลหน้าร้านขายผ้าด้วยตัวเองอีกครั้ง นางจึงไม่มีเวลาเข้าไปดูแลบุตรสาวคนโตในช่วงเวลานั้น
เมื่อการตั้งครรภ์เข้าสู่เดือนที่สี่เซียวชิงฮวาก็เริ่มมีอาการแพ้ท้องหนักขึ้นกว่าเดิม แล้วที่สำคัญร่างกายของนางก็เริ่มทรุดโทรมลงไปเรื่อย ๆ
ส่วนเซียวชิงเถาหลังจากคอยเฝ้าดูแลเซียวชิงฮวามาได้สักพัก จากความสงสารนางก็เริ่มรู้สึกว่าอีกฝ่าย คือ ตัวภาระของนาง ในยามนั้นนางคิดว่าตนเองคงจะหาประโยชน์จากผู้เป็นพี่สาวไม่ได้แล้วเป็นแน่ นางจึงเริ่มละเลยไม่เข้าไปดูแล แล้วยังให้บ่าวในเรือนหลักเป็นคนไปส่งของกินของใช้ให้กับผู้เป็นพี่สาวแทนนาง ซึ่งเซียวชิงเถาได้ทำเช่นนั้นไปจนถึงวันที่ครรภ์ของเซียวชิงฮวาเข้าสู่เดือนที่เจ็ด
หลังจากที่เซียวชิงเถาไม่ได้เข้าไปดูแลผู้เป็นพี่สาวมาเกือบสามเดือน นางจึงตั้งใจจะแวะเข้าไปดูแลอีกฝ่ายด้วยตัวเองสักครั้ง แล้วเมื่อนางได้เข้าไปเห็นสภาพของเซียวชิงฮวาซึ่งไม่ต่างอะไรเลยกับคนที่ใกล้จะตาย นางจึงรีบกลับมาบอกผู้เป็นบิดามารดาของพวกนาง
บิดามารดาของเซียวชิงฮวาแม้จะโกรธเคืองที่เซียวชิงเถาละทิ้งพี่สาวของเจ้าตัวมากแค่ไหน แต่ก็ด้วยเพราะคนทั้งสองก็ละเลยบุตรสาวไม่ต่างไปจากนาง คนทั้งคู่จึงได้แต่ตามหมอให้เข้ามาช่วยยื้อชีวิตของเซียวชิงฮวาและบุตรในครรภ์ของนางเอาไว้ แต่ไม่ว่าคนทั้งคู่จะตามหมอท่านใดมารักษา หมอทุกท่านก็ได้แต่บอกกับคนทั้งคู่ว่าให้เตรียมทำใจ เพราะอาจจะยื้อได้เพียงแค่หนึ่งชีวิต หรือไม่ก็อาจจะต้องสูญเสียทั้งสองชีวิตไปพร้อมกัน
เซียวชิงฮวาเมื่อได้รับรู้ถึงสภาพร่างกายของตัวเอง และเรื่องที่นางกับบุตรในครรภ์กำลังเผชิญอยู่ นางจึงเอ่ยปากขอร้องกับท่านหมอคนสุดท้ายที่ผู้เป็นบิดามารดาพามาตรวจดูอาการของนาง โดยให้อีกฝ่ายเลือกช่วยเพียงชีวิตของบุตรในครรภ์เท่านั้นไม่ต้องสนใจสภาพร่างกายของนาง
ซึ่งเซียวชิงฮวาก็สามารถประคองลมหายใจสุดท้ายของตัวเองเพื่อให้กำเนิดบุตรในครรภ์ออกมาจนได้ โดยก่อนที่นางจะจากไป เซียวชิงฮวาก็ได้ตั้งนามบุตรชายของนางเอาไว้ว่า...หลี่อวิ้นกุย
หลี่อวิ้นกุยเกิดมาพร้อมกับการจากไปของผู้เป็นมารดา เขาจึงไม่เป็นที่ต้อนรับของคนในครอบครัว ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาในยามนั้นแย่ยิ่งกว่าบ่าวรับใช้ในเรือนหลังนั้นเสียอีก แม้ว่าผู้เป็นตากับยายจะรับตัวเขากลับมาอยู่ที่เรือนหลักของตระกูลแล้ว แต่ก็ได้ส่งตัวเขาให้บ่าวก้นครัวเป็นผู้ดูแล เขาจึงเติบโตมาพร้อมกับความเกลียดชังของคนในครอบครัว แล้วในทุกครั้งที่มีคนในครอบครัวบังเอิญเดินมาเจอกับหลี่อวิ้นกุย ก็มักจะด่าทอเขาด้วยคำพูดที่ว่า เขาคือคนทำให้มารดาของตัวเองต้องตาย! แล้วทุกอย่างก็ได้ผ่านล่วงเลยไปแบบนั้น จนมาถึงวันหนึ่งในขณะที่หลี่อวิ้นกุยวัยเจ็ดหนาวตามคนครัวออกไปช่วยซื้อของในตลาดเหมือนทุกวัน เนื่องจากในช่วงเช้าแม่ครัวทุกคนจะยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารจนไม่มีเวลามาคอยดูแลเขา ซึ่งทุกคนในครัวต่างก็รู้ดีว่าหากทิ้งเด็กชายเอาไว้เพียงลำพัง บุตรของบ่าวในเรือนส่วนอื่น ๆ จะเข้ามาล้อเลียน กลั่นแกล้ง และคอยมารังแกคุณชายน้อยผู้นี้อยู่เสมอ แต่ในวันนั้นหลี่อวิ้นกุยได้พลัดหลงกับแม่ครัวที่ออกมาซื้อของด้วยกัน แล้วเดินไปชนเข้ากับกลุ่มบุตรชายของแม่ค้าในตลาด จึงทำให้เขาถูกเด็กโตกลุ่มนั้นรุมทำร้าย แม้ว่าหล
เมิ่งเจียวซินก้าวขาลงไปนั่งแช่ตัวในอ่างอาบน้ำ ก่อนจะลองนำเอาความทรงจำของร่างนี้รวมเข้ากับเนื้อหาในนิยาย ตอนนี้น่าจะอยู่ช่วงที่ซุนเย่ผิงพาตัวเองไปขายให้กับหอโคมเขียวประจำเมืองเป็นแน่ เนื่องจากเนื้อหาในนิยายมีบรรยายเอาไว้ว่า... หลังจากที่ซุนเย่ผิงไปทำความรู้จักและพูดคุยกับสตรีในหอโคมเขียวนางหนึ่งมาได้สักพัก นางก็เริ่มมีความคิดที่จะใช้หน้าตาและเรือนร่างของตัวเองหลีกหนีจากความเป็นบ่าว แล้วด้วยความทะเยอทะยานและความรักสบายของนาง ซุนเย่ผิงจึงเริ่มวาดฝันเอาไว้ว่า ด้วยใบหน้านี้ของนาง หากนางก้าวขาเข้าไปในหอโคมเขียวก็คงจะได้ขึ้นเป็นนางคณิกาอันดับหนึ่งของที่นั่นเป็นแน่ แล้วเมื่อจูมี่ผู้เป็นป้าห่าง ๆ ของนางขอลากลับไปเยี่ยมบุตรชายที่บ้านเดิมเป็นเวลาหนึ่งเดือน นางก็รีบใช้ช่วงเวลานั้นขายตัวเองเพื่อเข้าไปฝึกศาสตร์ด้านต่าง ๆ ที่นางคณิกาพึงมีในหอโคมเขียวทันที ถึงแม้สุดท้ายซุนเย่ผิงจะไม่สามารถขึ้นเป็นนางคณิกาอันดับหนึ่งของหอโคมเขียวแห่งนั้นได้ แต่นางก็ได้ติดหนึ่งในสามของนางคณิกาผู้มีใบหน้างดงามของที่นั่น แล้วก็ด้วยเพราะเงินจากการประมูลคืนแรกของนาง เมื่อจูมี่เดินทางกลับมาถึงเรือนของเมิ่งเจ
เช้าวันถัดมา เมิ่งเจียวซินได้ยินเสียงคล้ายกับคนพยายามเปิดบานหน้าต่างดังมาจากทางบริเวณห้องครัวในช่วงต้นยามเหม่า (ยามเหม่า เวลา 05:00 – 06:59 น.) นางจึงมั่นใจแล้วว่าร่องรอยแปลก ๆ แถวบานหน้าต่างที่นางเห็นเมื่อคืน คือทางเข้าออกฉุกเฉินที่ซุนเย่ผิงได้เตรียมเผื่อเอาไว้ เนื่องจากสามคืนที่ผ่านมาเมิ่งเจียวซินคนเก่าจะไม่ลงกลอนที่บานประตูหลังเรือน เพราะรู้ว่าซุนเย่ผิงยังไม่กลับมา ซึ่งนางมองว่าเมิ่งเจียวซินคนเก่าได้สร้างโอกาสที่จะเกิดเรื่องเลวร้ายให้กับตนเอง แม้ว่าในนิยายมันอาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะไม่มีการบรรยายถึงตัวละครเมิ่งเจียวซินในช่วงเวลานี้ แต่นางที่ต้องมาอาศัยร่างนี้ต่อไม่อาจทนแบกรับความเสี่ยงแบบที่เจ้าของร่างเดิมทำได้ แล้วอีกอย่างนางก็อยากรู้ด้วยว่า หากนางปิดพร้อมกับลงกลอนประตูและหน้าต่างทุกบาน ซุนเย่ผิงจะกลับเข้ามาในเรือนได้อย่างไร? พอเมิ่งเจียวซินเดินออกมาจากห้องพัก นางก็เห็นว่าซุนเย่ผิงกลับเข้ามาในเรือนได้แล้ว และยามนี้เจ้าตัวก็กำลังจัดการกับงานต่าง ๆ ของตนเองอยู่ เมิ่งเจียวซินจึงคิดอยากจะลองว่า ตนเองจะสามารถพูดคุยโต้ตอบกับคนในโลกใบนี้ได้หรือไม่? นางจึงเดินเข้าไปทักทายอี
เมิ่งเจียวซินพยายามรื้อความทรงจำ ก่อนจะหยุดฝีเท้าแล้วเงยหน้าขึ้นมาสนทนากับบุรุษและสตรีที่เดินตรงเข้ามาหานาง “ใช่เจ้าค่ะ” “ข้ามีนามว่าหมิงลู่ ส่วนนี่น้องสาวของข้ามีนามว่าหมิงจิวขอรับพวกข้าสองคนอยู่เรือนถัดจากเรือนของคุณหนูเมิ่งไปสองเรือน แล้วข้าก็เคยนำสมุนไพรไปขายให้กับท่านหมอเมิ่งที่เรือน คุณหนู...” “ข้าจำพวกท่านได้เจ้าค่ะ” เมิ่งเจียวซินตอบพร้อมกับยิ้มให้กับคนทั้งสองตรงหน้า “ข้าขออภัยนะขอรับ คุณหนูเมิ่งกำลังจะไปที่ใดหรือขอรับ?” “ข้ากำลังจะไปเก็บสมุนไพรที่ป่าท้ายหมู่บ้านเจ้าค่ะ” “เช่นนั้นคุณหนูเมิ่งรอข้าสักครู่ได้หรือไม่ขอรับ? คือข้า... เออ...คือพวกข้าว่าจะกลับเข้าไปล่ากระต่ายมาทำสำรับเย็นอยู่พอดีเลยขอรับ” เมิ่งเจียวซินเมื่อได้ยินที่บุรุษตรงหน้าพูด แล้วได้เห็นสีหน้าและท่าทางของอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าบิดาของร่างนี้คงฝากให้หมิงลู่มาคอยช่วยดูแลความปลอดภัยให้กับนางเป็นแน่ เนื่องจากในความทรงจำที่ได้รับมา บิดาของร่างนี้เคยเอ่ยปากบอกกับเมิ่งเจียวซินคนเก่าเอาไว้ว่า หากในช่วงที่เจ้าตัวไม่อยู่แล้วมีอะไรเกิดขึ้น หรือหากต้องการความช่วยเหลือก็ให้ไปบอกกับบุรุษตรงห
เมื่อกลับเข้ามาในเรือนของตัวเอง เมิ่งเจียวซินก็นำสมุนไพรที่เก็บมาได้ไปทำความสะอาด ก่อนจะนำออกไปตาก จากนั้นนางจึงเดินเข้าไปจัดเตรียมสมุนไพรส่วนที่เหลือพร้อมกับอุปกรณ์สำหรับการปรุงยาสูตรแรกเอาไว้ หากเย็นนี้นางได้รับสมุนไพรอีกสองตัวมาจากหมิงลู่ พรุ่งนี้เช้านางก็จะสามารถเริ่มปรุงยาสูตรแรกได้เลย โดยยาตัวแรกที่นางคิดจะปรุงก็คือ ยาเม็ดที่พระเอกของนิยายเรื่องนี้ต้องกินทุกวัน เพื่อลดอาการเจ็บปวดจากยาพิษร้ายแรงในร่างกาย ซึ่งแน่นอนว่ายาที่นางปรุงย่อมต้องได้ผลดีกว่ายาที่หลี่อวิ้นกุยมีอยู่ แม้เนื้อหาในนิยายจะไม่ได้บอกว่า หลี่อวิ้นกุยถูกวางยาพิษชนิดไหน แต่ด้วยบทบรรยายที่เจ้าตัวได้กล่าวเย้ยหยันกับโชคชะตาชีวิตของตัวเองที่ว่า ‘เมื่อถึงเวลาที่พิษในร่างกายของข้าสำแดงอาการ แม้ข้าจะได้กินยา...แต่มันก็ทำได้เพียงแค่ช่วยลดความเหน็บหนาวที่ข้าจะต้องเผชิญในทุกค่ำคืนลงเท่านั้น เพราะตัวข้าไม่อาจเดินลมปราณหรือใช้พลังได้ดั่งใจต้องการอยู่ดี’ หากนำเอาประโยคนี้ไปรวมเข้ากับบทบรรยายที่ว่า ‘หลี่อวิ้นกุยไม่อาจถอนพิษออกจากร่างกายได้ทันการ’ เมิ่งเจียวซินก็มั่นใจไปถึงแปดในสิบส่วนเลยว่า หลี่อวิ้นกุยถูกวางยาพิษ
‘ที่นี่ที่ไหน?’หลี่อวิ้นกุยลืมตาขึ้นมาก็พบตนเองกำลังนอนอยู่ในห้องไม้ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ห้องหนึ่ง เขาจึงคิดที่จะลุก แต่เขาก็ไม่อาจจะขยับแขนและขาของตัวเองได้ หรือแม้แต่ปากของเขายามนี้ก็ยังถูกมัดเอาไว้ด้วยผ้า ‘นี่มัน...หรือว่าข้าจะถูกคนของหลี่อวิ้นมู่จับตัวเอาไว้ได้ ไม่สิ! หากเป็นคนขององค์ชายใหญ่ยามนี้ข้าน่าจะถูกสังหารไปแล้ว เช่นนั้นข้าถูกคนของผู้ใดจับตัวเอามาขังไว้ในสภาพนี้กัน!’ หลี่อวิ้นกุยยามนี้แม้แต่กำลังที่จะใช้รวบรวมลมปราณก็ยังไม่มีเหลือ นับประสาอะไรกับการหลบหนีออกจากที่นี่ หากเป็นตัวเขายามปกติ มีหรือที่เชือกเพียงไม่กี่เส้นนี้จะผูกมัดแขนและขาของเขาเอาไว้ได้ แต่จะผลักเอาความอัปยศที่เขาได้รับมาทั้งหมดในตอนนี้ไปให้กับศัตรูก็คงจะไม่ได้ เพราะส่วนหนึ่งมันก็เกิดมาจากความประมาท และความโง่เขลาของตัวเขาเองด้วย.... เมื่อห้าวันก่อน หลี่อวิ้นกุยได้รับคำสั่งจากราชาปีศาจให้ออกเดินทางไปตรวจสอบความผิดปกติตามแนวเขตแดน โดยมีองค์หญิงห้าหลี่อวิ้นเหมยกับมารดาของนางเซียวชิงเถาหรือท่านน้าของเขา ขอเข้าร่วมเดินทางมากับเขาในครั้งนี้ด้วย โดยในยามนี้ท่านน้าเซียวชิงเถาได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็
‘เจ้าลูกกระรอก...’หลี่อวิ้นกุยทวนสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ในใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า ตนเองใช้วิชาร่างแปลงเพื่อซ่อนตัว ซึ่งร่างที่เขาเลือกใช้ก็คือ...กระรอก! หลี่อวิ้นกุยนึกไปถึงวันที่จิ่นโซวสอนวิชาร่างแปลงให้กับเขา... ยามนั้นหลี่อวิ้นกุยในวัยเจ็ดหนาวเพิ่งก้าวเท้าเข้าไปอยู่ในวังราชาปีศาจได้ไม่ถึงเดือน จึงเป็นช่วงที่เขาทั้งอ่อนแอ ไร้กำลัง แล้วยังไร้ซึ่งผู้เป็นมารดาที่คอยปกป้องดูแลเหมือนกับบุตรคนอื่น ๆ ของราชาปีศาจ ถึงแม้ในตอนนั้นเขาจะมีผู้เป็นน้าเดินทางมาพร้อมกับเขาด้วย แต่อีกฝ่ายก็ตามมาเพียงเพราะต้องการที่จะปีนเตียงของราชาปีศาจเท่านั้น แต่ก็ยังดีที่ผู้เป็นบิดาได้ส่งลูกน้องฝีมือดีจำนวนหนึ่งมาเป็นองครักษ์ให้กับหลี่อวิ้นกุย เพราะถึงแม้ว่าบิดาของเขา ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงราชาปีศาจได้ประกาศยอมรับว่า เขาคือบุตรชายของเจ้าตัว พร้อมกับแต่งตั้งให้หลี่อวิ้นกุยขึ้นเป็นพระโอรสองค์ที่สามต่อหน้าทุกคนในท้องพระโรง แต่คนอื่น ๆ ในเผ่ามารและเผ่าปีศาจก็หาได้ยอมรับในตัวหลี่อวิ้นกุยด้วยไม่ หลังจากวันที่หลี่อวิ้นกุยได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นองค์ชายสาม เขาก็เริ่มเผชิญหน้ากับการถูกลอบฆ่า ทั้งจ
เมิ่งเจียวซินหลังจากจัดการกับบาดแผลเสร็จ นางจึงแกะเศษผ้าที่มัดปากเจ้าลูกกระรอกออก จากนั้นนางจึงใช้มือข้างซ้ายของนางอ้อมเข้าไปประคองระหว่างช่วงคอและศีรษะของเจ้าตัวเล็ก ก่อนจะยกขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากนั้นเมิ่งเจียวซินจึงเริ่มใช้งานนิ้วมือข้างซ้ายของนางต่อ โดยเริ่มจากการวางนิ้วนางกับนิ้วก้อยลงตรงช่วงคอด้านหน้าเพื่อช่วยในการประคอง จากนั้นนางจึงวางนิ้วโป้งลงตรงตำแหน่งกรามด้านซ้าย แล้วตามด้วยนิ้วชี้กับนิ้วกลางวางตรงตำแหน่งกรามด้านขวา ก่อนจะออกแรงบีบนิ้วทั้งสามที่วางตรงตำแหน่งกรามทั้งสองข้างเบา ๆ ซึ่งในขณะนั้นมือข้างขวาของเมิ่งเจียวซินก็ได้ยกช้อนใบเล็กเตรียมจ่อเข้าที่ปากของลูกกระรอกแล้ว พอปากเล็ก ๆ นั้นอ้าออก นางก็จัดการป้อนข้าวต้มผสมเหอเถา (วอลนัต) ที่บดจนละเอียดใส่ปากของเจ้าตัวเล็กทันที ‘เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่า...สายตาของลูกกระรอกน้อยตัวนี้ มันช่างดูดุร้ายนักนะ’ เมิ่งเจียวซินคิดในใจ หลังจากสังเกตเห็นสายตาที่ลูกกระรอกใช้มองมาที่นาง แต่พอนางมาลองคิดดูอีกที เจ้าลูกกระรอกตัวนี้เป็นกระรอกป่าอย่างแท้จริง หาใช่กระรอกตามร้านขายสัตว์เลี้ยงที่นางเคยเห็นมา ดังนั้นการที่อยู่ ๆ มัน
หลี่อวิ้นกุยจ้องมองตะกร้าใบใหญ่ ก่อนจะเงยหน้ากลับขึ้นมามองเมิ่งเจียวซิน เมื่อคืนที่ไฟในห้องพักของนางไม่ดับ เป็นเพราะนางทำของที่อยู่ในตะกร้าให้เขาเช่นนั้นหรือ? ความรู้สึกหงุดหงิดใจที่ทำได้แค่เพียงเฝ้ามองห้องพักของนาง และความรู้สึกเจ็บปวดที่ถูกสตรีตรงหน้าทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับเขาเมื่อคืน ก็ดูเหมือนจะทุเลาลง แต่พอหลี่อวิ้นกุยนึกไปถึงองครักษ์ของโจวหลิวอิงที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก จนทำให้เขาไม่อาจลอบเข้าไปพูดคุยกับสตรีตรงหน้าได้ ถึงแม้ว่า...ในยามนี้จำนวนองครักษ์จะลดลงไปบ้างแล้ว เพราะส่วนหนึ่งต้องตามโจวหลิวอิงไปเข้าเฝ้าราชาปีศาจ ซึ่งที่จริงหลี่อวิ้นกุยได้วางแผนเอาไว้ว่า พอโจวหลิวอิงออกไปเข้าเฝ้าผู้เป็นบิดา ตัวเขาก็จะลอบเข้าไปหาเมิ่งเจียวซินในห้องพัก จากนั้นเขาก็จะ... แต่ในเมื่อคนที่หลี่อวิ้นกุยจะลอบเข้าไปหา ได้ออกมายืนอยู่ที่นี่กับเขาแล้ว
เมิ่งเจียวซินกัดริมฝีปากของตัวเองเบา ๆ พร้อมกับกำมือที่อยู่ใต้ชายเสื้อทั้งสองข้างจนแน่น ในขณะที่ยืนมองหลี่อวิ้นกุยเดินห่างออกไปจากนางเรื่อย ๆ แม้ว่าภายในใจอยากจะกล่าวบางคำ และอยากจะเอ่ยรั้ง แต่ทว่า...การปล่อยให้ทุกอย่างลงเอยเช่นนี้ ปล่อยมือกันเสียตั้งแต่ในตอนนี้ มันก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับนางกับหลี่อวิ้นกุย แล้วพอเมิ่งเจียวซินดึงสายตาของตัวเองกลับมา นางก็เห็นว่า ยามนี้โจวหลิวอิงกับปิงหลงกำลังจ้องมองมาที่นาง เมิ่งเจียวซินจึงรีบสูดลมหายใจเข้าลึก ปรับอารมณ์ ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา จากนั้นนางก็เดินออกจากศาลา เพื่อไปกล่าวคำอวยพรคนทั้งคู่ รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในเรือนพักชั่วคราวด้วย เนื่องจากยามนี้ได้ล่วงเลยเข้าสู่วันแรกของปีใหม่แล้ว ‘วันแรกของปี!’ เมิ่งเจียวซินนึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางจึงรีบหันไปมองยังทิศทางที่
หลี่อวิ้นกุยกัดฟันกรอด แล้วรีบขยับตัวเข้าไปบังร่างกายของเมิ่งเจียวซินเอาไว้ คราแรกเขาคิดว่า ไม่เป็นไรหากเจ้านั่นทำเพียงได้แค่มอง...แต่พอหันกลับไปเห็นสายตา และท่าทีของหลี่อวิ้นหยางเมื่อครู่! ยานนี้หลี่อวิ้นกุยจวนเจียนจะหมดความอดทนเต็มทีแล้ว พอหันกลับมา...เขาก็ได้เห็นสายตาที่คล้ายกับกำลังรู้สึกสงสัยของเมิ่งเจียวซิน หลี่อวิ้นกุยจึงได้แต่ข่มใจของตัวเอง ก่อนจะฝืนยกยิ้มให้กับนาง จากนั้นเขาก็หันไปถามโจวหลิวอิงว่า “ท่านอาหญิงโจว พวกท่านจะกลับเรือนแล้วหรือ?” “ใช่เพคะ แล้วนี่องค์ชายสามก็กำลังจะกลับตำหนักหรือเพคะ?” “ข้า...พวกท่านไม่อยู่ดูดอกไม้ไฟด้วยกันก่อนหรือ?” “กลับไปนั่งดูที่เรือนพักชั่วคราวก็เห็นเช่นกันเพคะ” ตอนนี้โจวหลิวอิงอยากจะพาเมิ่งเจียวซิน ตัวนางเอง และปิงหลงกลับเรือนพักชั่วครา
เมิ่งเจียวซินมองหลี่อวิ้นกุยที่กำลังแสดงท่าทีไม่พอใจขุนนางคนหนึ่ง เนื่องจากอีกฝ่ายได้เอ่ยพาดพิงมาถึงนาง แล้วในขณะนั้นโจวหลิวอิงก็ขยับเข้ามากระซิบบอกกับนางว่า ให้สังเกตสีหน้าขุนนางคนนั้น พอเมิ่งเจียวซินสังเกต...ก็เห็นว่า ยามนี้ใบหน้าของขุนนางคนนั้นซีดเผือด มีเหงื่อไหลซึมตามกรอบหน้า จากนั้นเมิ่งเจียวซินก็ได้ยินโจวหลิวอิงอธิบายต่อว่า ตอนนี้หลี่อวิ้นกุยกำลังใช้พลังสายหนึ่งกดข่มให้ขุนนางคนนั้นต้องนั่งคุกเข่า แล้วยังใช้บรรยากาศกดดันที่มีเฉพาะในตัวของคนเผ่ามารโอบล้อมรอบตัวขุนนางคนนั้นเอาไว้ ซึ่งโจวหลิวอิงยังกล่าวติดตลกทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า หากหลี่อวิ้นกุยไม่ชิงลงมือตัดหน้า เมื่อครู่นางคงใช้พลังหักขา และฉีกปากปีศาจเสือตนนั้นไปแล้ว ผ่านไปสักพักเมิ่งเจียวซินก็ได้ยินราชาปีศาจสั่งให้ขุนนางที่กำลังถูกหลี่อวิ้นกุยเล่นงานอยู
หลี่อวิ้นกุยคิดจะใช้โอกาสในขณะที่ยังไม่มีเหล่าขุนนางเอ่ยถามอะไร ลอบหันไปมองทางเมิ่งเจียวซิน แต่ทว่าเหล่าขุนนางที่ลุกขึ้นตั้งคำถามกลับยืนบังสายตา จนเขาไม่เห็นแม้แต่ปลายเส้นผมของนาง หลี่อวิ้นกุยจึงได้แต่ดึงสติ และดึงสายตาของตัวเองกลับมา จดจ่อกับเหล่าขุนนางตรงหน้า&nb
หลี่อวิ้นกุยมองท่าทีของเมิ่งเจียวซินด้วยความรู้สึกไม่เข้าใจ เหตุใดนางถึงดูไม่ดีใจสักนิด เมื่อได้รับรู้ในสิ่งที่เขาพยายามทุ่มเท เพื่อให้ได้ออกไปใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกันกับนาง... แต่ทว่ายามนี้หลี่อวิ้นกุยต้องทำรีบดึงสติของตัวเองกลับมาก่อน เพื่อเตรียมรับมือกับความคิดเห็น และคำวิจารณ์จากเหล่าขุนนาง เมื่อรางวัลชนะศึกถูกประกาศเป็นพระราชโองการ การลุกขึ้นมายื่นมติคัดค้านโดยตรง ยามนี้มันก็คงจะเกินกว่าตำแหน่งของเหล่าขุนนาง แต่เนื่องจากเขตแดนในส่วนของคนเผ่ามารและพวกปีศาจ ซึ่งถูกปกครองโดยคนเผ่ามาร ได้มีการแต่งตั้งตระกูลหลี่ของเผ่ามารขึ้นเป็นราชวงศ์ และแต่งตั้งผู้นำปีศาจแต่ละเผ่าขึ้นเป็นขุนนางในตำแหน่งต่าง ๆ ถึงแม้ส่วนใหญ่ราชาปีศาจเกือบทุกพระองค์มักจะใช้อำนาจ และพลังในกายของเจ้าตัวในการปกครองผู้คน ท
พอเมิ่งเจียวซินเดินเข้าไปในบริเวณที่จัดงานเลี้ยง การปรากฏตัวของพวกนางก็ทำให้ผู้ที่มาร่วมงานคนอื่น ๆ หันมาให้ความสนใจไม่น้อยเลย จากนั้นเมิ่งเจียวซินกับปิงหลงก็ถูกโจวหลิวอิงพาไปแนะนำให้กับคนในครอบครัวของเจ้าตัวได้รู้จัก โดยมีหลี่อวิ้นกุยคอยเดินตามนางไปทุกที่ ในขณะที่เมิ่งเจียวซินยืนพูดคุยอยู่กับคนในครอบครัวของโจวหลิวอิง นางก็รับรู้ได้ถึงสายตาของเหล่าบุรุษ และเหล่าสตรีจำนวนไม่น้อยที่กำลังจ้องมองมาที่นางกับหลี่อวิ้นกุย และเมิ่งเจียวซินก็ยังรับรู้ได้ว่า หลี่อวิ้นกุยได้ขยับเข้ามายืนประกบอยู่ทางด้านหลังของนาง ซึ่งเมิ่งเจียวซินก็ไม่แน่ใจว่า เป็นเพราะชุดที่นางกับหลี่อวิ้นกุยใส่อยู่เหมือนกัน หรือเป็นเพราะหน้าตาอันโดดเด่นของบุรษที่ยืนทางด้านหลัง จึงทำให้ดึงดูดสายตาของผู้ที่มาร่วมงานเช่นนี้ หลังจากเมิ่งเจียวซินกั
หลี่อวิ้นกุยหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวตอบ “เพราะเจ้าเคารพท่านอาหญิงโจวเปรียบดั่งญาติผู้ใหญ่ ดังนั้นข้าก็ต้องแสดงความจริงใจต่อเจ้า ให้นางได้รับรู้ และได้เห็นด้วยตาของตัวเอง” แม้จะยังมีเหตุผลอย่างอื่นร่วมด้วยอีกสองสามข้อ แต่ทว่าหลี่อวิ้นกุยก็ไม่สามารถเล่าให้สตรีตรงหน้าฟังได้ในยามนี้ ตั้งแต่เมิ่งเจียวซินเอ่ยคำถาม นางก็มองหลี่อวิ้นกุยอยู่ตลอดเวลา แม้ในใจจะเชื่อว่า อีกฝ่ายไม่ได้โกหกนาง และคำตอบของบุรุษตรงหน้าก็ยังทำให้หัวใจของเมิ่งเจียวซินเต้นผิดจังหวะไปครู่หนึ่งเลย แต่ทว่าการที่เจ้าตัวหยุดคิด และหลบสายตาของนางในขณะที่กล่าวตอบ มันก็ทำให้รู้ว่า สิ่งที่หลี่อวิ้นกุยตอบมา มันหาใช่เหตุผลทั้งหมดไม่ แต่ก็เอาเถิด...เพราะสิ่งที่เอ่ยถามไปเมื่อครู่เป็นเพียงคำถามที่เมิ่งเจียวซินใช้เปิดประเด็นเท่านั้น นางจึงไม่คิดจะคาดคั้นเอาคำตอบจากหลี่อวิ้นกุยต่อ เนื่องจากสิ่งที่เมิ่งเจียวซินอยากจะรู้จากปากของบุรุษ
โจวหลิวอิงตรวจดูความเรียบร้อยให้กับสตรีที่นางเอ็นดูดุจดั่งหลานสาวแท้ ๆ ของตัวเอง ก่อนจะกล่าว “อืม...เรียบร้อยแล้ว เจียวซิน เจ้ารีบเอายาไปให้องค์ชายสามเถิด ป้าฝากบอกพระองค์ด้วยว่า มีเวลาให้พักอีกเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น” “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านป้าโจว” เมิ่งเจียวซินพูดพร้อมกับยกยิ้มให้กับโจวหลิวอิง จากนั้นนางก็เห็นอีกฝ่ายเดินไปเปิดประตู แล้วในขณะที่โจวหลิวอิงกำลังจะเดินออกไปจากห้องของนาง เจ้าตัวก็หันกลับมาขอยืมปิงหลงไปช่วยงานที่เรือนเล็กด้านหลัง ซึ่งเมิ่งเจียวซินก็ยินดีให้เด็กชายไปช่วยงานของอีกฝ่าย เพราะถ้าหากไม่ติดว่า นางอยากไปตรวจดูอาการของหลี่อวิ้นกุย ตัวนางเองก็คงจะตามไปช่วยงานของโจวหลิวอิงด้วยเช่นกัน เมิ่งเจียวซินพอเห็นโจวหลิวอิงพาปิงหลงเดินออกจากห้องพักไปแล้ว นางจึงลุกสำรวจเครื่องแต่งกายของตัวเองอีกครั้ง จากนั้นก็เดินไปหยิบห่อยา และอุปกรณ์ทำแผลที่วางอยู่โต๊ะข้างเตียง ก่อนจะรีบออกไปหา