เมิ่งเจียวซินก้าวขาลงไปนั่งแช่ตัวในอ่างอาบน้ำ ก่อนจะลองนำเอาความทรงจำของร่างนี้รวมเข้ากับเนื้อหาในนิยาย ตอนนี้น่าจะอยู่ช่วงที่ซุนเย่ผิงพาตัวเองไปขายให้กับหอโคมเขียวประจำเมืองเป็นแน่ เนื่องจากเนื้อหาในนิยายมีบรรยายเอาไว้ว่า...
หลังจากที่ซุนเย่ผิงไปทำความรู้จักและพูดคุยกับสตรีในหอโคมเขียวนางหนึ่งมาได้สักพัก นางก็เริ่มมีความคิดที่จะใช้หน้าตาและเรือนร่างของตัวเองหลีกหนีจากความเป็นบ่าว แล้วด้วยความทะเยอทะยานและความรักสบายของนาง ซุนเย่ผิงจึงเริ่มวาดฝันเอาไว้ว่า ด้วยใบหน้านี้ของนาง หากนางก้าวขาเข้าไปในหอโคมเขียวก็คงจะได้ขึ้นเป็นนางคณิกาอันดับหนึ่งของที่นั่นเป็นแน่ แล้วเมื่อจูมี่ผู้เป็นป้าห่าง ๆ ของนางขอลากลับไปเยี่ยมบุตรชายที่บ้านเดิมเป็นเวลาหนึ่งเดือน นางก็รีบใช้ช่วงเวลานั้นขายตัวเองเพื่อเข้าไปฝึกศาสตร์ด้านต่าง ๆ ที่นางคณิกาพึงมีในหอโคมเขียวทันที
ถึงแม้สุดท้ายซุนเย่ผิงจะไม่สามารถขึ้นเป็นนางคณิกาอันดับหนึ่งของหอโคมเขียวแห่งนั้นได้ แต่นางก็ได้ติดหนึ่งในสามของนางคณิกาผู้มีใบหน้างดงามของที่นั่น แล้วก็ด้วยเพราะเงินจากการประมูลคืนแรกของนาง เมื่อจูมี่เดินทางกลับมาถึงเรือนของเมิ่งเจียวซิน ซุนเย่ผิงก็รีบนำเงินจากการขายตัวเองให้กับหอโคมเขียวรวมเข้ากับเงินส่วนแบ่งที่เพิ่งจะได้รับมา เข้ามาใช้ไถ่ถอนตัวเองและผู้เป็นป้าจากความเป็นบ่าวทันที
โดยซุนเย่ผิงโกหกผู้เป็นป้าของนางว่า ตนเองได้บังเอิญไปช่วยชีวิตคนผู้หนึ่งเอาไว้ อีกฝ่ายจึงมอบเงินจำนวนนี้มาเป็นการตอบแทน
แต่ด้วยความที่จูมี่รักเมิ่งเจียวซินมาก และไม่อยากทิ้งผู้เป็นนายไว้เพียงลำพัง จูมี่จึงเอ่ยปฏิเสธเงินของนาง ซุนเย่ผิงก็ทำได้เพียงไถ่ถอนตัวเอง แล้วออกไปใช้ชีวิตเป็นนางคณิกาแบบเต็มตัว
แล้วหลังจากนั้นไม่นาน ในเช้าวันหนึ่งขณะที่ซุนเย่ผิงกำลังพักผ่อนอยู่ในหอโคมเขียว จูมี่ก็ได้บุกเข้าไปพูดคุยกับท่านเจ้าของหอ เพื่อขอไถ่ตัวผู้เป็นหลานสาว เพราะจูมี่คิดว่าซุนเย่ผิงถูกจับมาขายในระหว่างเดินทางกลับไปยังบ้านเดิม
ซุนเย่ผิงจึงจำเป็นต้องออกมาสารภาพความจริงทุกอย่างกับผู้เป็นป้า แล้วหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าซุนเย่ผิงจะซื้อของหรือนำเงินไปให้กับจูมี่ที่เรือนของเมิ่งเจียวซิน แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมออกมาพบหรือออกมารับของจากนางเลยสักครั้ง กว่าที่ผู้เป็นป้าจะยอมกลับมาพูดคุยกับนางอีกครั้ง ก็คือวันที่อีกฝ่ายต้องการขอความช่วยเหลือจากนาง เพื่อเมิ่งเจียวซิน...
หลังจากเมิ่งเจียวซินนั่งคิดเรื่องของซุนเย่ผิงมาได้สักพัก นางก็ลุกขึ้นจากน้ำเพื่อจัดการดูแลร่างกายใหม่ของตัวเองจนเรียบร้อย จากนั้นนางจึงเดินไปหยิบพวกกุญแจที่บิดาเจ้าของร่างนี้นำมาฝากเอาไว้ ก่อนที่เจ้าตัวจะออกเดินทาง... โดยลูกกุญแจในพวงนี้มีไว้สำหรับเปิดห้องพักของอีกฝ่าย เปิดหีบเก็บของมีค่าที่อยู่ภายในห้องนั้น และเปิดห้องเก็บสมุนไพร ซึ่งที่ผ่านมาบิดาเจ้าของร่างนี้อนุญาตให้เพียงเมิ่งเจียวซินเท่านั้นที่สามารถเข้าออกสองห้องนี้ได้
แล้วเมื่อนึกไปถึงเมิ่งเจียวฉือบิดาเจ้าของร่างนี้ เจ้าตัวได้ให้สัญญากับเมิ่งเจียวซินคนเดิมเอาไว้ว่า จะกลับมาให้ทันวันปักปิ่นของนาง แต่ตามเนื้อหาในนิยาย...พอถึงวันนั้นเจ้าตัวก็ไม่ได้กลับมาหานาง แล้วจนถึงลมหายใจสุดท้ายของตัวละครเมิ่งเจียวซินนางก็ยังไม่ได้พบกับผู้เป็นบิดา ซึ่งหลังจากที่ตัวละครเมิ่งเจียวซินจากไป นิยายก็ไม่ได้กล่าวถึงเมิ่งเจียวฉืออีกเลย
เมิ่งเจียวซินคิดเรื่องบิดาเจ้าของร่างนี้พร้อมกับเดินไปเปิดประตูห้องเก็บสมุนไพร ภายในห้องมีทั้งยาที่ปรุงสำเร็จแล้ว สมุนไพรหลากหลายชนิด รวมไปถึงหม้อและอุปกรณ์สำหรับการปรุงยา นางจึงเข้าไปดูของต่าง ๆ ที่อยู่ภายในห้องนั้นสักพัก ก่อนจะล็อคประตู แล้วเดินไปเปิดประตูห้องพักของเมิ่งเจียวฉือ เพราะนางต้องการจะเข้าไปหาสมุดเปล่า เนื่องจากภายในห้องพักของนางมีเพียงกระดาษที่ใช้สำหรับวาดเขียนเท่านั้น
แล้วเมื่อเดินเข้าไปในห้องพักของเมิ่งเจียวฉือ นางก็เห็นชั้นวางหนังสือสี่ชั้นที่เต็มไปด้วยตำราสมุนไพร ตำราแพทย์ แล้วยังมีตำราสำหรับการปรุงยาด้วย เมิ่งเจียวซินจึงเดินเข้าไปดึงตำราที่น่าสนใจออกมาหนึ่งเล่ม แล้วนำไปวางที่โต๊ะเขียนหนังสือ จากนั้นนางจึงพลิกเปิดหน้าตำรา...
‘ข้าสามารถอ่านและเข้าใจภาษาในโลกใบนี้ได้สินะ’ เมิ่งเจียวซินรู้สึกพอใจกับความสามารถที่ติดตัวมากับร่างนี้
หลังจากนั้นเมิ่งเจียวซินก็สังเกตเห็นสมุดที่ดูเหมือนจะผ่านการใช้งานมาอย่างหนักวางอยู่บนโต๊ะตัวนั้นสามเล่ม นางจึงหยิบมาเปิดอ่าน สมุดทั้งสามเล่มมีการจดความแตกต่างระหว่างการตรวจการรักษามนุษย์กับพวกมารและพวกปีศาจแบบค่อนข้างที่จะละเอียด รวมไปถึงขั้นตอนการปรุงยาสมุนไพร แล้วก็ด้วยเพราะการที่นางหยิบสมุดสามเล่มนั้นออกมา นางจึงเจอสมุดเปล่าที่วางถัดจากแท่นฝนหมึก
เมื่อได้ในสิ่งที่นางต้องการแล้ว เมิ่งเจียวซินก็คิดจะยืมตำราและสมุดบันทึกสามนี้กลับไปอ่าน นางจึงลุกขึ้นไปเลือกตำราที่น่าสนใจมาเพิ่มอีกห้าเล่ม หลังจากนั้นนางจึงนำตำราที่เลือกมาทั้งหกเล่ม สมุดจดบันทึกสามเล่ม สมุดเปล่าอีกหนึ่งเล่มเดินกลับไปวางไว้ที่โต๊ะกลางห้องพักของตนเอง ก่อนจะกลับมาล็อคประตูห้องพักของเมิ่งเจียวฉือ จากนั้นนางจึงเดินไปยกสำรับที่ซุนเย่ผิงจัดเตรียมทิ้งเอาไว้ให้
ซึ่งในระหว่างที่เมิ่งเจียวซินเดินไปยกสำรับ นางก็ได้แวะปิดพร้อมกับลงกลอนประตูและหน้าต่างทุกบานภายในเรือนไปด้วยเลย
พอกลับเข้ามาในห้องพัก เมิ่งเจียวซินก็เริ่มด้วยการนั่งรับสำรับพร้อมกับนำกระดาษเปล่า พู่กัน และแท่นฝนหมึกมาลองเขียนตัวอักษร ในเมื่อนางสามารถอ่านและเข้าใจเนื้อหาในตำราเหล่านี้ได้ ดังนั้นการเขียนตัวอักษรนางก็น่าจะทำมันได้เช่นกัน แล้วก็เป็นไปตามคาด
ยามนี้นางจึงได้ข้อสรุปแล้วว่า ความรู้ความสามารถบางอย่างที่ร่างนี้เคยทำได้หรือทำมันบ่อย ๆ จนติดเป็นนิสัย อย่างการอ่าน การเขียน การใช้ตะเกียบกินข้าวแบบในตอนนี้ รวมไปถึงการใส่ชุดสตรีจีนโบราณด้วยตัวเองแบบเมื่อครู่ นางจะสามารถทำมันได้เองอย่างเป็นธรรมชาติ
จากนั้นเมิ่งเจียวซินจึงลองใช้พู่กันเขียนเป็นตัวอักษรภาษาไทย แม้จะเขียนยากเพราะด้วยรูปแบบของตัวอักษร แต่นางก็ต้องทำ เนื่องจากยามนี้นางต้องการจดบันทึกเงื่อนไข ภารกิจ รวมไปถึงเป้าหมายของตัวนางเอง แล้วก็ด้วยเพราะนางไม่สามารถพกสมุดติดตัวไปได้ตลอดเวลา หากนางไม่ยอมเปลี่ยนภาษาแล้วมีผู้ใดมาบังเอิญเจอสมุดบันทึกของนางเข้า มันคงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับนางเป็นแน่ นางจึงต้องหาทางป้องกันตัวเองเอาไว้ก่อน
เมื่อใช้พู่กันเขียนภาษาไทยได้คล่องแล้ว เมิ่งเจียวซินจึงเริ่มด้วยการเขียนชื่อของตนเองลงไปในหน้าแรกของสมุด ตามด้วยเหตุผลที่ทำให้นางต้องเข้ามาอยู่ในโลกใบนี้ ต่อด้วยเงื่อนไข และภารกิจที่ระบบให้มา ก่อนที่นางจะเริ่มวิเคราะห์...จนได้ข้อสรุป หลังจากนั้นนางจึงเก็บสมุดบันทึกไว้ในลิ้นชักของโต๊ะข้างเตียง แล้วกลับมานั่งรับสำรับต่อจนหมด จากนั้นนางจึงนำตำราและสมุดบันทึกของเมิ่งเจียวฉือมานอนอ่านที่เตียงจนเผลอหลับไป
เช้าวันถัดมา เมิ่งเจียวซินได้ยินเสียงคล้ายกับคนพยายามเปิดบานหน้าต่างดังมาจากทางบริเวณห้องครัวในช่วงต้นยามเหม่า (ยามเหม่า เวลา 05:00 – 06:59 น.) นางจึงมั่นใจแล้วว่าร่องรอยแปลก ๆ แถวบานหน้าต่างที่นางเห็นเมื่อคืน คือทางเข้าออกฉุกเฉินที่ซุนเย่ผิงได้เตรียมเผื่อเอาไว้ เนื่องจากสามคืนที่ผ่านมาเมิ่งเจียวซินคนเก่าจะไม่ลงกลอนที่บานประตูหลังเรือน เพราะรู้ว่าซุนเย่ผิงยังไม่กลับมา ซึ่งนางมองว่าเมิ่งเจียวซินคนเก่าได้สร้างโอกาสที่จะเกิดเรื่องเลวร้ายให้กับตนเอง แม้ว่าในนิยายมันอาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะไม่มีการบรรยายถึงตัวละครเมิ่งเจียวซินในช่วงเวลานี้ แต่นางที่ต้องมาอาศัยร่างนี้ต่อไม่อาจทนแบกรับความเสี่ยงแบบที่เจ้าของร่างเดิมทำได้ แล้วอีกอย่างนางก็อยากรู้ด้วยว่า หากนางปิดพร้อมกับลงกลอนประตูและหน้าต่างทุกบาน ซุนเย่ผิงจะกลับเข้ามาในเรือนได้อย่างไร? พอเมิ่งเจียวซินเดินออกมาจากห้องพัก นางก็เห็นว่าซุนเย่ผิงกลับเข้ามาในเรือนได้แล้ว และยามนี้เจ้าตัวก็กำลังจัดการกับงานต่าง ๆ ของตนเองอยู่ เมิ่งเจียวซินจึงคิดอยากจะลองว่า ตนเองจะสามารถพูดคุยโต้ตอบกับคนในโลกใบนี้ได้หรือไม่? นางจึงเดินเข้าไปทักทายอี
เมิ่งเจียวซินพยายามรื้อความทรงจำ ก่อนจะหยุดฝีเท้าแล้วเงยหน้าขึ้นมาสนทนากับบุรุษและสตรีที่เดินตรงเข้ามาหานาง “ใช่เจ้าค่ะ” “ข้ามีนามว่าหมิงลู่ ส่วนนี่น้องสาวของข้ามีนามว่าหมิงจิวขอรับพวกข้าสองคนอยู่เรือนถัดจากเรือนของคุณหนูเมิ่งไปสองเรือน แล้วข้าก็เคยนำสมุนไพรไปขายให้กับท่านหมอเมิ่งที่เรือน คุณหนู...” “ข้าจำพวกท่านได้เจ้าค่ะ” เมิ่งเจียวซินตอบพร้อมกับยิ้มให้กับคนทั้งสองตรงหน้า “ข้าขออภัยนะขอรับ คุณหนูเมิ่งกำลังจะไปที่ใดหรือขอรับ?” “ข้ากำลังจะไปเก็บสมุนไพรที่ป่าท้ายหมู่บ้านเจ้าค่ะ” “เช่นนั้นคุณหนูเมิ่งรอข้าสักครู่ได้หรือไม่ขอรับ? คือข้า... เออ...คือพวกข้าว่าจะกลับเข้าไปล่ากระต่ายมาทำสำรับเย็นอยู่พอดีเลยขอรับ” เมิ่งเจียวซินเมื่อได้ยินที่บุรุษตรงหน้าพูด แล้วได้เห็นสีหน้าและท่าทางของอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าบิดาของร่างนี้คงฝากให้หมิงลู่มาคอยช่วยดูแลความปลอดภัยให้กับนางเป็นแน่ เนื่องจากในความทรงจำที่ได้รับมา บิดาของร่างนี้เคยเอ่ยปากบอกกับเมิ่งเจียวซินคนเก่าเอาไว้ว่า หากในช่วงที่เจ้าตัวไม่อยู่แล้วมีอะไรเกิดขึ้น หรือหากต้องการความช่วยเหลือก็ให้ไปบอกกับบุรุษตรงห
เมื่อกลับเข้ามาในเรือนของตัวเอง เมิ่งเจียวซินก็นำสมุนไพรที่เก็บมาได้ไปทำความสะอาด ก่อนจะนำออกไปตาก จากนั้นนางจึงเดินเข้าไปจัดเตรียมสมุนไพรส่วนที่เหลือพร้อมกับอุปกรณ์สำหรับการปรุงยาสูตรแรกเอาไว้ หากเย็นนี้นางได้รับสมุนไพรอีกสองตัวมาจากหมิงลู่ พรุ่งนี้เช้านางก็จะสามารถเริ่มปรุงยาสูตรแรกได้เลย โดยยาตัวแรกที่นางคิดจะปรุงก็คือ ยาเม็ดที่พระเอกของนิยายเรื่องนี้ต้องกินทุกวัน เพื่อลดอาการเจ็บปวดจากยาพิษร้ายแรงในร่างกาย ซึ่งแน่นอนว่ายาที่นางปรุงย่อมต้องได้ผลดีกว่ายาที่หลี่อวิ้นกุยมีอยู่ แม้เนื้อหาในนิยายจะไม่ได้บอกว่า หลี่อวิ้นกุยถูกวางยาพิษชนิดไหน แต่ด้วยบทบรรยายที่เจ้าตัวได้กล่าวเย้ยหยันกับโชคชะตาชีวิตของตัวเองที่ว่า ‘เมื่อถึงเวลาที่พิษในร่างกายของข้าสำแดงอาการ แม้ข้าจะได้กินยา...แต่มันก็ทำได้เพียงแค่ช่วยลดความเหน็บหนาวที่ข้าจะต้องเผชิญในทุกค่ำคืนลงเท่านั้น เพราะตัวข้าไม่อาจเดินลมปราณหรือใช้พลังได้ดั่งใจต้องการอยู่ดี’ หากนำเอาประโยคนี้ไปรวมเข้ากับบทบรรยายที่ว่า ‘หลี่อวิ้นกุยไม่อาจถอนพิษออกจากร่างกายได้ทันการ’ เมิ่งเจียวซินก็มั่นใจไปถึงแปดในสิบส่วนเลยว่า หลี่อวิ้นกุยถูกวางยาพิษ
‘ที่นี่ที่ไหน?’หลี่อวิ้นกุยลืมตาขึ้นมาก็พบตนเองกำลังนอนอยู่ในห้องไม้ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ห้องหนึ่ง เขาจึงคิดที่จะลุก แต่เขาก็ไม่อาจจะขยับแขนและขาของตัวเองได้ หรือแม้แต่ปากของเขายามนี้ก็ยังถูกมัดเอาไว้ด้วยผ้า ‘นี่มัน...หรือว่าข้าจะถูกคนของหลี่อวิ้นมู่จับตัวเอาไว้ได้ ไม่สิ! หากเป็นคนขององค์ชายใหญ่ยามนี้ข้าน่าจะถูกสังหารไปแล้ว เช่นนั้นข้าถูกคนของผู้ใดจับตัวเอามาขังไว้ในสภาพนี้กัน!’ หลี่อวิ้นกุยยามนี้แม้แต่กำลังที่จะใช้รวบรวมลมปราณก็ยังไม่มีเหลือ นับประสาอะไรกับการหลบหนีออกจากที่นี่ หากเป็นตัวเขายามปกติ มีหรือที่เชือกเพียงไม่กี่เส้นนี้จะผูกมัดแขนและขาของเขาเอาไว้ได้ แต่จะผลักเอาความอัปยศที่เขาได้รับมาทั้งหมดในตอนนี้ไปให้กับศัตรูก็คงจะไม่ได้ เพราะส่วนหนึ่งมันก็เกิดมาจากความประมาท และความโง่เขลาของตัวเขาเองด้วย.... เมื่อห้าวันก่อน หลี่อวิ้นกุยได้รับคำสั่งจากราชาปีศาจให้ออกเดินทางไปตรวจสอบความผิดปกติตามแนวเขตแดน โดยมีองค์หญิงห้าหลี่อวิ้นเหมยกับมารดาของนางเซียวชิงเถาหรือท่านน้าของเขา ขอเข้าร่วมเดินทางมากับเขาในครั้งนี้ด้วย โดยในยามนี้ท่านน้าเซียวชิงเถาได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็
‘เจ้าลูกกระรอก...’หลี่อวิ้นกุยทวนสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ในใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า ตนเองใช้วิชาร่างแปลงเพื่อซ่อนตัว ซึ่งร่างที่เขาเลือกใช้ก็คือ...กระรอก! หลี่อวิ้นกุยนึกไปถึงวันที่จิ่นโซวสอนวิชาร่างแปลงให้กับเขา... ยามนั้นหลี่อวิ้นกุยในวัยเจ็ดหนาวเพิ่งก้าวเท้าเข้าไปอยู่ในวังราชาปีศาจได้ไม่ถึงเดือน จึงเป็นช่วงที่เขาทั้งอ่อนแอ ไร้กำลัง แล้วยังไร้ซึ่งผู้เป็นมารดาที่คอยปกป้องดูแลเหมือนกับบุตรคนอื่น ๆ ของราชาปีศาจ ถึงแม้ในตอนนั้นเขาจะมีผู้เป็นน้าเดินทางมาพร้อมกับเขาด้วย แต่อีกฝ่ายก็ตามมาเพียงเพราะต้องการที่จะปีนเตียงของราชาปีศาจเท่านั้น แต่ก็ยังดีที่ผู้เป็นบิดาได้ส่งลูกน้องฝีมือดีจำนวนหนึ่งมาเป็นองครักษ์ให้กับหลี่อวิ้นกุย เพราะถึงแม้ว่าบิดาของเขา ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงราชาปีศาจได้ประกาศยอมรับว่า เขาคือบุตรชายของเจ้าตัว พร้อมกับแต่งตั้งให้หลี่อวิ้นกุยขึ้นเป็นพระโอรสองค์ที่สามต่อหน้าทุกคนในท้องพระโรง แต่คนอื่น ๆ ในเผ่ามารและเผ่าปีศาจก็หาได้ยอมรับในตัวหลี่อวิ้นกุยด้วยไม่ หลังจากวันที่หลี่อวิ้นกุยได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นองค์ชายสาม เขาก็เริ่มเผชิญหน้ากับการถูกลอบฆ่า ทั้งจ
เมิ่งเจียวซินหลังจากจัดการกับบาดแผลเสร็จ นางจึงแกะเศษผ้าที่มัดปากเจ้าลูกกระรอกออก จากนั้นนางจึงใช้มือข้างซ้ายของนางอ้อมเข้าไปประคองระหว่างช่วงคอและศีรษะของเจ้าตัวเล็ก ก่อนจะยกขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากนั้นเมิ่งเจียวซินจึงเริ่มใช้งานนิ้วมือข้างซ้ายของนางต่อ โดยเริ่มจากการวางนิ้วนางกับนิ้วก้อยลงตรงช่วงคอด้านหน้าเพื่อช่วยในการประคอง จากนั้นนางจึงวางนิ้วโป้งลงตรงตำแหน่งกรามด้านซ้าย แล้วตามด้วยนิ้วชี้กับนิ้วกลางวางตรงตำแหน่งกรามด้านขวา ก่อนจะออกแรงบีบนิ้วทั้งสามที่วางตรงตำแหน่งกรามทั้งสองข้างเบา ๆ ซึ่งในขณะนั้นมือข้างขวาของเมิ่งเจียวซินก็ได้ยกช้อนใบเล็กเตรียมจ่อเข้าที่ปากของลูกกระรอกแล้ว พอปากเล็ก ๆ นั้นอ้าออก นางก็จัดการป้อนข้าวต้มผสมเหอเถา (วอลนัต) ที่บดจนละเอียดใส่ปากของเจ้าตัวเล็กทันที ‘เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่า...สายตาของลูกกระรอกน้อยตัวนี้ มันช่างดูดุร้ายนักนะ’ เมิ่งเจียวซินคิดในใจ หลังจากสังเกตเห็นสายตาที่ลูกกระรอกใช้มองมาที่นาง แต่พอนางมาลองคิดดูอีกที เจ้าลูกกระรอกตัวนี้เป็นกระรอกป่าอย่างแท้จริง หาใช่กระรอกตามร้านขายสัตว์เลี้ยงที่นางเคยเห็นมา ดังนั้นการที่อยู่ ๆ มัน
“เจ้าลูกกระรอก เจ้าฟังอาการที่ข้าจะพูดต่อจากนี้ให้ดีนะ หากอาการไหนตรงกับที่เจ้ากำลังเผชิญอยู่ก็ให้เจ้าหลับตาตอบกลับมาหนึ่งครั้ง แต่ถ้าหากอาการไหนไม่ตรงกับที่เจ้ากำลังเผชิญอยู่ก็ให้เจ้าหลับตาตอบกลับข้ามาสองครั้ง” พูดจบ เมิ่งเจียวซินก็เริ่มกล่าวคำถามออกไปทีละข้อพร้อมกับหยุด เพื่อมองคำตอบจากดวงตากลมโตของลูกกระรอกไปด้วย “ยามที่ยาพิษเริ่มสำแดงอาการ เจ้าจะรู้สึกหนาวเย็นราวกับว่ากำลังถูกจับแช่ลงไปในน้ำที่เย็นจัดเลยใช่หรือไม่? ... จากนั้นเจ้าก็จะเริ่มขยับร่างกายของตนเองไม่ได้ ราวกับว่าเนื้อตัวของเจ้ามันกำลังแข็งค้างเลยใช่หรือไม่? ... แล้วยามนี้เจ้าไม่อาจเดินลมปราณหรือใช้พลังได้ดั่งใจต้องการใช่หรือไม่? ...” เมื่อได้รับคำตอบจากเจ้าตัวเล็ก เมิ่งเจียวซินก็มั่นใจไปถึงแปดในสิบส่วนเลยว่า ยาพิษในร่างกายของลูกกระรอกคือ ยาพิษค่ำคืนเหมันต์ ซึ่งก็เป็นยาพิษตัวเดียวกับที่พระเอกของนิยายเรื่องนี้น่าจะกำลังเผชิญกับมันอยู่เช่นกัน ยามนี้เมิ่งเจียวซินจึงรู้สึกเป็นกังวลอยู่ไม่น้อยเลย เพราะยาพิษชนิดนี้มันส่งผลต่อร่างกายค่อนข้างมาก ขนาดพระเอกของนิยายเรื่องนี้อย่างหลี่อวิ้นกุยยังรักษามันออกไปได้ไ
เมิ่งเจียวซินมองลูกกระรอกที่กลับลงไปซบใบหน้ากับบ่าของนาง เจ้าตัวเล็กทำให้นางนึกไปถึงเรื่องตัวตนของพวกปีศาจในนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาได้... พวกปีศาจหากถือกำเนิดมาจากการบำเพ็ญเพียร ก็จะมีทั้งพวกที่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้แบบสมบูรณ์ กับพวกที่กลายร่างเป็นมนุษย์ได้แบบยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งมันขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการบำเพ็ญเพียรของปีศาจตนนั้น ๆ แต่หากปีศาจตนใดถือกำเนิดมาจากบิดามารดาที่เป็นปีศาจอยู่แล้ว ก็จะสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์แบบสมบูรณ์ได้เลยตั้งแต่ในวัยหนึ่งหนาว แล้วปีศาจกระรอกที่แนบชิดอยู่กับบ่าของนางในยามนี้ล่ะ ถือกำเนิดมาแบบไหน? มีอายุเท่าใด? แล้วเจ้าตัวสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้หรือไม่? เมิ่งเจียวซินคิดไปถึงซีรีส์จีนที่นางเคยดูมา... พวกปีศาจยามกลายร่างเป็นมนุษย์ส่วนใหญ่ก็มักจะปรากฏกายในรูปร่างของบุรุษหนุ่มหรือไม่ก็สตรีที่พร้อมจะออกเรือนได้แล้ว แต่พอกลับไปอยู่ในร่างตั้งต้นของตัวเอง ปีศาจบางตนก็เป็นเพียงแค่ลูกสัตว์ตัวเล็ก ๆ เท่านั้น แล้วในซีรีส์บางเรื่องพวกปีศาจถึงกับสามารถทั้งเพิ่มทั้งลดขนาดตัวหรือแม้แต่อายุของร่างตั้งต้นได้อีกด้วย ส่วนเรื่องของอายุที่แท
“ซินซิน...” เมิ่งเจียวซินไม่พูดไม่ตอบ แล้วในขณะที่นางกำลังยื่นมือไปหยิบขนมขึ้นมากินต่อ...มือของนางก็ถูกจับเอาไว้ จากนั้นนางก็เห็นหลี่อวิ้นกุยก้มลงมาจุมพิตที่มือข้างนั้น ก่อนจะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยหลังมือของนางเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าไม่หยอกเจ้าแล้ว ซินซิน...ป้อนข้าต่อเถิดนะ” บุรุษรูปงาม กล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อนอย่างถึงที่สุด ทำให้คนฟังอย่างนางราวกับกำลังต้องมนต์สะกด... ใบหน้า และใบหูร้อนผ่าว เมิ่งเจียวซินไม่อาจแข็งใจปฏิเสธคำขอนั้นได้เลย นางจึงตอบกลับไปว่า “ปล่อยมือข้าก่อนสิ ข้าจะได้ป้อนเจ้าต่อ” “แต่...ซินซิน การที่เจ้าป้อนขนมข้าในยามนี้ เป็นเจ้าที่เริ่มป้อนข้าด้วยตัวเองก่อน ดังนั้นจึงไม่เกี่ยวกับรางวัลที่เจ้ากับข้าตกลงกันเมื่อครู่นะ ซึ่งรางวัลที่
“เฉินชุนเหยา...” เมิ่งเจียวซินพึมพำออกมาเบา ๆ พร้อมกับมองแผ่นหลังของหลี่อวิ้นกุยที่ค่อย ๆ ห่างออกไปเรื่อย ๆ เมื่อครู่ตอนที่โฉมงามนางนั้นเอ่ยนามของเจ้าตัวออกมา เมิ่งเจียวซินก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลากับนามนี้อยู่ไม่น้อยเลย พอเมิ่งเจียวซินนึกไปถึงเนื้อหาในนิยายของอาหวง...นางก็จำได้แล้วว่า ‘เฉินชุนเหยา’ เป็นนามพระชายาคนแรกของหลี่อวิ้นกุยในนิยาย แต่เพราะเฉินชุนเหยาเป็นเพียงตัวประกอบฝั่งตัวร้าย อีกฝ่ายจึงถูกกล่าวถึงในนิยายเพียงแค่สองบทเท่านั้น หลังจากนั้นเจ้าตัวก็ไม่มีบทบาท หรือถูกกล่าวถึงในนิยายอีกเลย หลี่อวิ้นกุยเดินออกจากศาลา พร้อมกับคิดในใจว่า ยามอยู่กับเมิ่งเจียวซินเขาจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกครั้งเป็นแน่ แล้วหลังจากนี้เขาคงต้องกำชับคนของตัวเองในอีกหลาย ๆ เรื่องด้วย พอเดินออกมาถึงบริเวณหน้าประตูทางเข้า หลี่อวิ้น
จากนั้นเมิ่งเจียวซินก็เห็นหลี่อวิ้นกุยเดินตามจิ่นตั้งกับบุรุษอีกสองคนเข้าไปในเขตก่อสร้าง ผ่านไปเกือบสองเค่อ หลี่อวิ้นกุยก็เดินกลับออกมาหานางพร้อมกับถังหูลู่ และขนมหนวดมังกร ในระหว่างที่เมิ่งเจียวซินกำลังชั่งใจว่า ควรจะถามเรื่องลูกกับหลี่อวิ้นกุยอีกครั้งเลยดีหรือไม่? จิ่นตั้งก็เดินเข้ามารายงานบางอย่างกับหลี่อวิ้นกุย โดยสายตาของคนทั้งคู่มองไปยังประตูทางเข้า... พอเมิ่งเจียวซินมองตาม...ก็เห็นโฉมงามนางหนึ่งเดินลงมาจากรถม้า แต่เมื่อสตรีนางนั้นกับผู้ติดตามคิดจะเข้ามา...อีกฝ่ายก็ถูกองครักษ์ของหลี่อวิ้นกุยที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูใช้ดาบกันเอาไว้ หลังจากนั้นเมิ่งเจียวซินก็เห็นสตรีนางนั้นกับผู้ติดตามทำความเคารพหลี่อวิ้นกุยตรงบริเวณประตูทางเข้า แล้วสตรีนางนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ถวายพระพรองค์ชายสาม หม่อมฉันเฉินชุนเหยาเพคะ”
พอได้ยินคำถามของสตรีข้างกาย หลี่อวิ้นกุยก็รู้สึกว่า อีกฝ่ายดูเหมือนจะยังรู้จักเขาไม่ดีพอ เขาจึงตอบกลับไปว่า “ใช่! ข้าหึง แล้วข้าก็หาใช่เพียงแค่หึงไม่ แต่ข้ายังหวง และห่วงเจ้ามากด้วย!!” หัวใจของเมิ่งเจียวซินเต้นผิดจังหวะอีกแล้ว คราแรกนางตั้งใจจะเอ่ยหยอกเย้าอีกฝ่าย แต่บุรุษข้างกายกลับยอมรับออกมาตรง ๆ เสียอย่างนั้น เมิ่งเจียวซินจึงรีบปรับลมหายใจ พร้อมกับนึกหาคำพูด หรือคำถามมาเปลี่ยนเรื่องคุย พอนึกไปถึงเรื่องคาใจในช่วงเช้าขึ้นมาได้ นางจึงเงยหน้าขึ้นไปมองหลี่อวิ้นกุย แล้วเอ่ยถามอีกฝ่าย “กุยกุย คือ...วันที่เจ้าพาข้าเดินดูส่วนต่าง ๆ รอบตำหนัก ข้าสังเกตเห็นว่า มีเพียงดอกบัวสีขาวห้าดอกกลางบ่อน้ำในสวนเท่านั้น นอกจากนั้นข้าก็ไม่เห็นดอกไม้ในตำหนักของเจ้าอีกเลย แม้แต่ต้นไม้...นิ้วมือทั้งสองข้างของข้าก็น่าจะมีมากกว่าต้นไ
ระหว่างที่รอ...เมิ่งเจียวซินก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อทำให้หัวใจที่เต้นผิดจังหวะไปเมื่อครู่...กลับมาเต้นเป็นปกติให้ได้อีกครั้งโดยเร็ว แล้วเมื่อปรับอารมณ์ และดึงสติของตัวเองกลับมาได้ นางก็เอ่ยถามบุรุษข้างกายว่า “กุยกุย ว่าแต่...เหตุใดวันนี้เจ้าถึงกลับมาเร็วนักล่ะ?” “ข้ากลับมารับเจ้า” “รับข้า...?” เมิ่งเจียวซินถามย้ำ พร้อมกับมองท่าทีของอีกฝ่าย “ใช่! เจ้ารีบไปเปลี่ยนชุดก่อนเถิด” “เจ้าจะพาข้าไปที่ไหนหรือ?” “ไปถึงแล้ว เจ้าก็จะได้รู้เอง รีบไปเปลี่ยนชุดเร็วเข้า” กล่าวจบ หลี่อวิ้นกุยก็ยกยิ้มเล็กน้อยให้กับสตรีข้างกาย แม้อีกฝ่ายจะยังมีท่าทีลังเล แต่นางก็ยอมลุกไปเปลี่ยนชุดตามความต้องการของเขา&
รุ่งเช้า บุรุษไร้ยางอายที่ขอมานอนด้วยเมื่อคืนก็หายไปจากเตียงของเมิ่งเจียวซินแล้ว และในคืนต่อ ๆ มา แม้ช่วงกลางวันจะไม่ค่อยได้เห็นหน้า แต่ทว่าช่วงกลางคืนหลี่อวิ้นกุยกลับโผล่เข้ามาขอนอนที่ห้องนี้กับนางทุกคืน แล้วทุกคืนก่อนนอนบุรุษไร้ยางอายจะต้องได้จุมพิตกับนางอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ต้องเอาตัวนางเข้าไปซุกไว้ในอ้อมกอด และเมิ่งเจียวซินจะต้องกอดตอบอีกฝ่ายด้วย เจ้าตัวถึงจะยอมนอนหลับแต่โดยดี หลังจากตื่นนอนเมิ่งเจียวซินก็ลุกไปจัดการดูแลตัวเอง จากนั้นนางจึงออกไปรอเรียนเรื่องกฎเกณฑ์ และข้อปฏิบัติต่าง ๆ ในวังกับนางกำนัลอาวุโส ซึ่งวันนี้นางกำนัลทั้งสองได้แจ้งว่า จะเข้ามาสอนเพียงห้าวันต่อหนึ่งสัปดาห์ แล้วหลังจากวันนี้นางจะได้เรียนเรื่องการเย็บปักถักร้อย การจัดดอกไม้ กริยามารยาทของสตรีชั้นสูง และการทำบัญชีเพิ่มอีกด้วย ซึ่งวันนี้เมิ่งเจียวซินรู้สึกว่า นางกำนัลอาวุโสทั้งสองยามที่สอน..
เมิ่งเจียวซินมองบุรุษไร้ยางอายคนหนึ่งมุดออกมาจากตู้เสื้อผ้า แล้วเมื่ออีกฝ่ายเห็นนางก็รีบยกนิ้วชี้ขึ้นมาแนบที่ริมฝีปาก “ชู่วว...” บุรุษไร้ยางอายคนนั้นส่งสัญญาณห้ามเมิ่งเจียวซินร้องเรียกองครักษ์สตรีห้องข้าง จากนั้นบุรุษไร้ยางอายก็ปิดทางเชื่อมระหว่างห้องหนังสือกับห้องพักของนาง แล้วร่ายคาถาอะไรบางอย่าง เมิ่งเจียวซินที่ยังไม่ทันจะได้ตั้งรับกับสถานการณ์ตรงหน้า อีกฝ่ายก็เดินเข้ามาโอบกอดนาง พร้อมกับเอ่ยว่า “ซินซิน ข้าคิดถึงเจ้า” “ข้าก็คิดถึงเจ้า แต่...กุยกุย เจ้าช่วยปล่อยข้าครู่หนึ่งได้หรือไม่?” แล้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายก้มลงมามองนางด้วยสีหน้าที่คล้ายกับกำลังสงสัย เมิ่งเจียวซินจึงกล่าวเพิ่มว่า “ข้าขอแต่งกายให้เรียบร้อยก่อน” &n
หลังจากราชาปีศาจกับหลี่อวิ้นกุยกลับไป โจวหลิวอิงก็เรียกทุกคนในเรือนพักชั่วคราวมารวมตัวกันที่ลานกว้าง ก่อนจะประกาศเรื่องการหมั้นหมายระหว่างองค์ชายสามหลี่อวิ้นกุยกับเมิ่งเจียวซิน รวมไปถึงงานมงคลสมรสของคนทั้งสองที่จะเกิดขึ้นในอีกสี่เดือนข้างหน้า จากนั้นโจวหลิวอิงก็ประกาศต่อว่า อีกสามวันก็จะถึงกำหนดเดินทางกลับฝั่งของพวกมนุษย์ หากผู้ใดอยากอยู่ต่อ เพื่อร่วมงานมงคลสมรสดังกล่าว ก็ให้รีบมาลงนามกับเจ้าตัว แล้วเมื่อถึงกำหนดเดินทางกลับ โจวหลิวอิงก็จะพาคนกลุ่มนี้ย้ายไปพักที่จวนหัวหน้าหน่วยฝั่งซ้ายก่อน แต่ถ้าหากผู้ใดไม่สะดวกที่จะอยู่ต่อ เมื่อถึงกำหนดเดินทางกลับ เจ้าตัวก็จะให้เหล่าองครักษ์คุ้มกันพาเดินทางกลับไปยังหอโคมเขียวในฝั่งของพวกมนุษย์ เมื่อจัดการเรื่องการเดินทางกลับของคณะเหล่านางคณิกาเสร็จ โจวหลิวอิงก็เรียกเมิ่งเจียวซินกับปิงหลงเข้าไปพูดคุยกันต่อในห้องโถงของเรือนใหญ่ ซึ่งพอเห็นคนทั้งสองเข้ามานั่งในห้องกันเรียบร้อย โจวหลิ
หลี่อวิ้นหยางเมื่อกลับมาถึงห้องพักในตำหนัก เขาก็ขอยันต์ลวงตาที่ท่านตาของเขาเป็นผู้ใส่พลังลงไปคืนจากผู้ที่ยืนอยู่ข้างกาย จากนั้นก็กล่าวว่า “อาซุน เจ้าคงเห็นแล้วว่า ข้าไร้ตัวตนในสายตาของเสด็จพ่อ รวมไปถึงสายตาของผู้คนที่อยู่ในวังราชาปีศาจ แม้ดูเหมือนว่า ตัวข้าจะมีอำนาจ แต่แท้ที่จริงแล้ว...อำนาจในมือของข้ามีน้อยเสียยิ่งกว่าหัวหน้าองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างกายเสด็จพ่อ แค่ก ๆ แล้วเพราะเกิดมา ร่างกายของข้าก็ไม่ค่อยแข็งแรง พลังในกายจึงมีน้อยกว่าเหล่าพี่น้อง ข้าถึงต้อง...” “พระองค์ถึงต้องหาสตรีบริสุทธิ์มาเสพสังวาส เพื่อเพิ่มพลังใช่หรือไม่เพคะ?” “ใช่! แต่เรื่องเหล่านางคณิกาที่ถูกส่งมาฝั่งนี้ แล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ข้าไม่รู้เรื่องจริง ๆ นะอาซุน” พูดจบ หลี่อวิ้นหยางก็เดินไปนั่งลงบนเตียง ก่อนจะแสร้งไอออกมาอีกครั้งเบา ๆ ซุนเย่ผิงรีบหันไปรินน้ำอุ่น แล้วส