เมิ่งเจียวซินเดินออกมาถึงห้องโถง คนขับเกวียนกับบุรุษที่มาด้วยกันก็ได้ลำเลียงตะกร้าของฝากเสร็จพอดี นางจึงเดินไปหาคนทั้งคู่ เพื่อจ่ายค่าแรง แต่ทว่าจูมี่ก็รีบขยับเข้ามาขวาง เพราะเจ้าตัวได้จ่ายค่าจ้างพร้อมกับค่าแรงที่ช่วยยกของไปแล้ว เมื่อรู้เช่นนั้นนางจึงเดินนำจูมี่ออกไปส่งบุรุษทั้งสองที่ประตูรั้วด้านหน้าเรือน
ในขณะที่ยืนมองเกวียนขับออกไป พวกนางก็เห็นซุนเย่ผิงวิ่งสวนเข้ามาหา จูมี่จึงเอ่ยถามอีกฝ่ายว่า
“อาซุนเจ้าไปไหนมา?”
“ข้า... คือ ข้าไป...”
แม้เมิ่งเจียวซินจะรู้สึกแปลกใจ...ซุนเย่ผิงรู้ได้เช่นไรว่าจูมี่กลับมาแล้ว? แต่พอได้เห็นท่าทีละล่ำละลักคิดหาคำตอบไม่ทันของอีกฝ่าย นางจึงกล่าวสิ่งที่ตนช่วยคิดแก้ต่างแทนเจ้าตัวเอาไว้เมื่อครู่ออกมา
“พอดี
หลังจากบอกเจ้าลูกกระรอกให้ออกเดินทางกลับไปหาครอบครัวในวันพรุ่งนี้เช้า เมิ่งเจียวซินก็แอบรู้สึกเป็นกังวลอยู่ไม่น้อยเกี่ยวกับเรื่องเสื้อผ้ารวมไปถึงรองเท้าที่เจ้าตัวจะใช้สวมใส่ยามออกเดินทาง เพราะนางไม่อาจพาอีกฝ่ายออกไปหาซื้อในตลาดอย่างที่นัดกันเอาไว้ได้แล้ว ดังนั้นก็เหลือเพียงต้องหยิบยืมของเมิ่งเจียวฉือไปใช้ก่อนเท่านั้น แล้วในขณะที่นางกำลังคิดไม่ตกว่า จะหาทางหลบจูมี่กับซุนเย่ผิงเข้ามาหาของให้อีกฝ่ายได้อย่างไร ซุนเย่ผิงก็หยิบยื่นโอกาสมาให้ด้วยการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ซึ่งในยามนั้นเมิ่งเจียวซินมั่นใจไปถึงแปดในสิบส่วนเลยว่า เจ้าตัวน่าจะต้องการขอออกไปข้างนอก นางจึงรีบเล่นตามน้ำไปกับซุนเย่ผิงทันที แล้วก็ด้วยเพราะการขอออกไปข้างนอกของซุนเย่ผิง ทำให้นางฉวยโอกาสจัดการเรื่องอาหารมื้อเย็นให้กับเจ้าลูกกระรอกไปได้ด้วย ซึ่งพอเหลือเพียงแค่ตัวนางกับจูมี่ เมิ่งเจียวซินก็รีบใช้ข้ออ้าง อย่างเรื่องการอยากให้อีกฝ่ายไปพักผ่อน ซึ่งกว่าที่นางจะส่งจูมี่เข้าห้องพักไปได้...
ในขณะที่เมิ่งเจียวซินตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง นางก็รับรู้ได้ถึงแรงลม และพวงหางที่ตีลงมายังข้อมือของนางเบา ๆ จึงก้มลงไปมองเจ้าลูกกระรอกที่นอนให้นางลูบหัวลูบตัวอยู่บนตัก จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงเรียกของหมิงจิว “เจียวซิน เจ้าได้ยินที่ข้าถามหรือไม่?” “ข้าขอโทษ พอดีข้าเผลอไปคิดเรื่องอื่นนิดหน่อยน่ะ แล้วที่เจ้าถาม...ข้าจำพี่สาวกันได้ ว่าแต่...มีเรื่องอะไรที่ข้าต้องรับรู้หรือไม่?” “คือ...ช่วงสายวันนี้ พี่สาวกันหมดสติในขณะที่ตักน้ำรดแปลงผัก พี่ชายย่งสามีของนางจึงตั้งใจจะอุ้มนางมาให้เจ้าช่วยรักษา แต่ข้ากับพี่ใหญ่เจอคนทั้งคู่ระหว่างทาง แล้วด้วยสภาพร่างกายของพี่สาวกันที่พวกข้าเห็นในยามนั้น... ข้าจึงตัดสินใจบอกให้พี่ชายย่งรีบพาพี่สาวกันไปหาท่านหมอในตลาด เพราะด้วยระยะทางโรงหมออยู่ใกล้กว่าที่นี่มาก ซึ่งพอพี่ชายย่งได้ยินที่ข้าพูดก็แสดงท่าทีลังเ
เมิ่งเจียวซินหลังจากรับฟังเรื่องราวทั้งหมดของกันฮวา นางก็เหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ รวมไปถึงความลำบากใจของบุตรชายคนโตตระกูลย่ง แต่ทว่า... “บุรุษหากทำให้มารดาเป็นทุกข์ถือว่าอกตัญญู แต่บุรุษที่ปกป้องภรรยาของตัวเองไม่ได้ ก็ถือว่าเป็นผู้ไร้ซึ่งคุณธรรม แล้วยามนี้บุรุษผู้นั้นมานั่งร้องไห้ กล่าวคำขอโทษ ด่าทอหรือเอาแต่กล่าวโทษตัวเองอยู่ซ้ำ ๆ มันจะมีประโยชน์อันใดกัน!” พูดจบ เมิ่งเจียวซินก็พยายามปรับลมหายใจของตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะหันไปกล่าวกับสหายว่า “หมิงจิว เจ้าจำที่ข้าเคยพูดเรื่องขอเวลาศึกษาดูใจ ก่อนจะแต่งให้กับบุรุษที่ต้องใจได้หรือไม่?” “ข้าจำได้” “อย่างที่ข้าเคยกล่าวให้เจ้าฟัง ยามแรกรัก...บุรุษก็มักจะยอมทำทุกอย่าง และยอมรับปากทุกเรื่อง ทำให้สตรีอย่างเราวาดฝันไปถึงชีวิตคู่ที่สวยงาม แต่ทว่าพอหลังจากแต่งงาน มันก็อาจจะไม่ได้เป็นดั่งที่เคยวาดฝันเอาไว้ เพราะกา
เมื่อรับสำรับเย็นร่วมกันเสร็จ หมิงลู่กับหมิงจิวก็ได้นัดแนะกับเมิ่งเจียวซินไปร่วมพิธีศพของกันฮวาที่เรือนตระกูลย่งในช่วงสายของวันพรุ่งนี้ จากนั้นคนทั้งคู่ก็ได้เอ่ยปากขอตัวกลับเรือนของตนทันที เมิ่งเจียวซินหลังจากออกมาส่งสองพี่น้องตระกูลหมิงที่ประตูรั้ว ในระหว่างเดินกลับเข้าเรือนนางก็ได้สั่งจูมี่กับซุนเย่ผิงให้รีบพากันไปพักผ่อน ไม่ต้องตามเข้าไปคอยอยู่ดูแลนางในห้องพักต่อ จากนั้นนางจึงเดินไปหยิบถ้วยชามพร้อมกับชุดอาหารที่ได้ฝากซุนเย่ผิงแยกซื้อเอาไว้ต่างหากในครัว ก่อนจะกลับห้องพักของตัวเองพร้อมกับเจ้าลูกกระรอกบนไหล่ พอกลับเข้ามาในห้อง เมิ่งเจียวซินก็ย่อตัวให้เจ้าลูกกระรอกไต่ลงไปจากไหล่ของนาง จากนั้นนางจึงเดินหยิบชุดบุรุษเข้าไปวางไว้ให้หลังฉากกั้น ก่อนจะกลับออกมาจัดเตรียมสำรับไว้ให้อีกฝ่ายที่โต๊ะกลมกลางห้อง “ขอบคุณนะ” &n
“ท่านป้า ท่านไปไถ่ตัวกับคุณหนูพร้อมข้าเถิดนะเจ้าคะ” เมิ่งเจียวซินเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูห้องข้าง นางก็ได้ยินสิ่งที่ซุนเย่ผิงพูดอย่างชัดเจน นางจึงตัดสินใจเคาะประตู แล้วส่งเสียงเข้าไปถามคนที่อยู่ภายในห้องว่า “ท่านป้าจู ซุนเย่ผิง ข้าขอเข้าไปได้หรือไม่?” “คุณหนู! เออ...เข้ามาได้เจ้าค่ะ ประเดี๋ยวบ่าวจะเปิดประตูให้นะเจ้าคะ” จูมี่รีบขานรับ ก่อนจะส่งสายตาไปทางหลานสาวพร้อมกับกดเสียงพูดว่า “อย่าเพิ่งพูดอะไร แล้วเก็บถุงเงินของเจ้าไปเสีย” “ท่านป้า...” ซุนเย่ผิงเมื่อเห็นสายตาของผู้เป็นป้า นางก็ก้มหน้า แล้วดึงเอาถุงเงินที่ยื่นไปให้อีกฝ่ายดูเมื่อครู่กลับมาวางไว้บนตัก แต่นางก็หาได้เก็บหรือซ่อนเงินถุงนั้นตามที่จูมี่บอกไม่ จูมี่เมื่อได้เห
วันรุ่งขึ้น หลี่อวิ้นกุยลุกขึ้นไปจัดการดูแลตัวเองหลังฉากกั้น โดยเขาพยายามทำทุกอย่างให้เบาที่สุด จากนั้นก็กลับมานั่งมองดวงหน้าของสตรีที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง จนผ่านล่วงเลยเข้าสู่ต้นยามอิ๋น (ยามอิ๋น เวลา 03:00 – 04:59 น.) หลี่อวิ้นกุยจึงเอื้อมมือเข้าไปเขย่าต้นแขนของเมิ่งเจียวซินเบา ๆ แล้วก้มลงไปกระซิบที่ข้างหูว่า “ซินซิน ข้าต้องไปแล้ว” เมิ่งเจียวซินงัวเงียลุกขึ้นมานั่ง แล้วเมื่อเห็นเด็กหนุ่มรีบหันหน้ามองไปทางอื่น นางก็นึกขึ้นได้ว่า ยามนี้ตนเองอยู่ในสภาพใด นางจึงรีบหยิบชุดคลุมกับเสื้อตัวในมาสวมใส่ หลังจากสวมใส่อาภรณ์ให้กับตัวเองเสร็จ นางก็เอ่ยขึ้นว่า “รอประเดี๋ยว ข้าจะไปส่ง” “ไม่ต้อง ข้าจะออกไปทางหน้าต่าง” “เช่นนั้นข้าก็ขอให้เจ้าเดินทางปลอดภัย ได้เจอกับค
หลังจากเจ้าลูกกระรอกกระโดดออกจากหน้าต่างห้องพักไป เมิ่งเจียวซินก็ลุกขึ้นจากเตียง จากนั้นนางก็พยายามดำเนินชีวิตของตัวเองให้ไม่ต่างไปจากทุกวันที่ผ่านมา โดยวันนี้นางเลือกออกไปร่วมรับสำรับเช้าพร้อมกับจูมี่และซุนเย่ผิง แล้วหลังจากที่ทุกคนรับสำรับร่วมกันเสร็จ เมิ่งเจียวซินจึงทำเป็นเดินไปนั่งรอสองพี่น้องตระกูลหมิงที่ห้องโถง ผ่านไปเพียงไม่นาน...ซุนเย่ผิงเดินเข้ามานั่งคุกเข่าลงกับพื้นตรงหน้าเมิ่งเจียวซิน จากนั้นเจ้าตัวก็ยื่นถุงเงินสองใบมาให้นางพร้อมกับกล่าวลา เมิ่งเจียวซินที่ได้เตรียมใจสำหรับเหตุการณ์นี้เอาไว้แล้ว นางจึงหันไปมองทางจูมี่ ซึ่งอีกฝ่ายเพิ่งจะเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ฝั่งซ้ายมือของนาง “บ่าวจะอยู่รับใช้คุณหนูต่อเจ้าค่ะ” พูดจบ จูมี่ก็ยื่นสัญญาทาสพร้อมกับส่งถุงเงินคืนให้ผู้เป็นนาย “หากจะอยู่ต่อ ท่านป้าจูต้องรับเงินถุงนี
“เฮ้อ!” เมิ่งเจียวซินถอนหายใจออกมาอย่างแรงหนึ่งครั้ง ก่อนจะล้มตัวลงไปนอนบนเตียง ช่วงนี้นางรู้สึกเหงาในใจแปลก ๆ บางครารู้สึกราวกับว่าชีวิตในแต่ละวันของนางมันเหมือนจะขาดอะไรไปสักอย่าง ทั้ง ๆ ที่ยามนี้ภายในเรือนของนางก็หาได้เงียบเหงาเหมือนช่วงแรก ๆ ที่นางเพิ่งจะทะลุมิติเข้ามา... ซึ่งเมิ่งเจียวซินก็รู้ว่า อาการที่นางเป็นอยู่หาใช่อาการเจ็บป่วยทางร่างกายไม่ แล้วอาการแปลก ๆ ที่ว่าเหล่านี้ มันก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นทุกคราที่นางกลับเข้ามายังห้องพักของตัวเอง เมิ่งเจียวซินนอนพลิกตัวไปมาบนเตียง จากนั้นนางก็หันไปมองพื้นที่ว่างข้างกาย จะว่าไป...คืนนี้ก็เข้าสู่คืนที่สี่แล้วสินะ ที่เจ้าลูกกระรอกเดินทางกลับเผ่าของตัวเอง ไม่รู้ว่ายามนี้เจ้าตัวจะได้พบกับคนในครอบครัวหรือยัง? แล้วไม่รู้ว่า... เมิ่งเจียวซินรีบสะบัดศีรษะ ดึงสายตา และดึงสติของตัวเองกลับมา นางไม่รู้ว่าเหตุใดจึงห่วงหาเจ้าลูกกระรอกได้ถ
เมิ่งเจียวซินนึกอยากจะวิ่งออกไปจากตรงนี้ แต่เพราะนี่คือ ห้องพักของนาง จึงได้พยายามรวบรวมสติของตัวเองกลับมา แล้วเอ่ยถามออกไปว่า “พร้อมแล้ว? เจ้าพร้อมเรื่องอะไร?” “ก็เรื่องให้เจ้าศึกษาร่างกายของข้า ตอนนี้ข้าพร้อมแล้ว” พูดจบ หลี่อวิ้นกุยก็ก้มลงไปกระตุกปมผ้าคาดเอวของตัวเองทันที “กุยกุย นั่นเจ้าจะทำอะไร?” “ข้าก็จะเปลื้องผ้า แล้วขึ้นไปนอนรอเจ้าบนเตียงอย่างไรล่ะ” คำพูดของบุรุษตรงหน้าทำเอาเมิ่งเจียวซินอ้าปากค้าง หลี่อวิ้นกุยจงใจค่อย ๆ ถอดเสื้อคลุมออก เพราะเขาเริ่มรู้สึกสนุกกับสีหน้าแบบนั้นของอีกฝ่าย ทันทีที่เสื้อคลุมตัวนอกหลุดออกจากตัว เขาก็เตรียมจะถอดเสื้อตัวใน... แต่ทว่าหลี่อวิ้นกุยห
หลี่อวิ้นกุยเงยหน้า แล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อพักสายตาจากการนั่งอ่านรายงานมาครึ่งค่อนวัน จากนั้นเขาก็นึกไปถึงเรื่องของพระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมย... เมื่อเช้าหลังจากหลี่อวิ้นกุยกลับเข้ามาในห้องตำรา เขาก็รีบส่งองครักษ์เงาไปติดตามดูทุกความเคลื่อนไหวของหลี่อวิ้นเหมย รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในตำหนักของเด็กหญิงด้วย ในอดีตที่ผ่านมา อาจจะด้วยเพราะหลี่อวิ้นกุยมองว่า พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยมีสายเลือดฝั่งมารดาของเขาด้วย เขาจึงพยายามอดทน และไว้หน้า ยามที่คนทั้งคู่พยายามเข้าหา เพราะต้องการผลประโยชน์จากเขา แต่หลังจากที่คนทั้งคู่มีส่วนร่วมในการลอบวางยาพิษ และลอบทำร้ายหลี่อวิ้นกุยครั้งล่าสุด เขาก็ไม่คิดจะไว้หน้า หรืออดทนต่อการกระทำของคนทั้งคู่อีก หากไม่เพราะคำพูด และคำขอของเมิ่งเจียวซิน ไม่แน่ยามนี้แม้แต่ลมหายใจ...พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยก็อาจจะไม่มีเหลือแล้วกระมัง
พอเดินเข้าไปในห้องโถง เมิ่งเจียวซินก็เห็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่งหันมาส่งยิ้ม แล้วเดินตรงเข้ามาหาพวกนาง “อวิ้นเหมยน้อมทักพี่สาม” หลี่อวิ้นเหมยพูดพร้อมกับทำความเคารพหลี่อวิ้นกุย “ถวายพระพรองค์หญิงห้า หม่อมฉันเมิ่งเจียวซินเพคะ” เมิ่งเจียวซินทำความเคารพเด็กหญิงตรงหน้า “คุณหนูเมิ่งไม่ต้องมากพิธีกับ...” หลี่อวิ้นเหมยหยุดพูดกลางคัน เพราะในขณะที่เด็กหญิงเดินเข้าไปหมายจะจับมือเมิ่งเจียวซิน หลี่อวิ้นกุยที่ยืนอยู่ข้างกายสตรีตรงหน้า ก็เอื้อมมาจับไหล่แล้วดึงฝ่ายตรงข้ามให้ถอยห่าง “คุณหนูเมิ่งเป็นเหมือนกับข้า ที่ไม่ค่อยชินกับการให้ผู้ใดมาแตะเนื้อต้องตัว” “ข้า...เป็นข้าที่คิดน้อยเกินไป ขอพี่สามกับคุณหนูเมิ่งได้โปรดอย่าถือสา” &n
ผ่านไปเกือบสองเค่อที่ภายในห้องพักปกคลุมไปด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงขีดเขียนพู่กัน กับเสียงลมหายใจของสองคนที่อยู่ในนั้น แล้วในขณะที่ความรู้สึกประดักประเดิดเกิดขึ้นกับคนทั้งสองในห้อง เสียงของฝูกงกงก็ดังแว่วเข้ามาว่า “องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงห้าหลี่อวิ้นเหมยมาขอเข้าพบพระองค์ และขอเข้าเยี่ยมว่าที่พระชายา ยามนี้องค์หญิงห้านั่งรออยู่ที่ห้องโถงพ่ะย่ะค่ะ” “ไปบอกองค์หญิงห้า วันนี้ข้ากับว่าที่พระชายาไม่สะดวก...” ตอบมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วหันไปมองรอยแดงบนต้นคอของเมิ่งเจียวซิน ยามนี้ร่องรอยจากฝีมือของเขาได้จางหายไปเกือบหมดแล้ว หลี่อวิ้นกุยจึงเอ่ยถามเมิ่งเจียวซินว่า “ซินซิน พรุ่งนี้เจ้าสะดวกใจให้น้องห้าเข้าพบหรือไม่?” “สะดวก”
เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นมามองหลี่อวิ้นกุย นางยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ไม่ทันได้ตอบรับ หรือปฏิเสธ อีกฝ่ายก็กล่าวขึ้นมาต่อว่า “เรื่องยาบรรเทาอาการจากยาพิษค่ำคืนเหมันต์ ก็อย่างที่ข้าเคยรายงานผลให้เจ้าฟังว่า ยาของเจ้าบรรเทาอาการจากยาพิษได้ดีมาก ซึ่งตอนนี้ยาที่เจ้าให้ข้านำมาทดลองได้หมดจากร้านขายยา ที่ข้าให้คนนำไปปล่อยได้สักพักแล้ว ยามนี้เหล่าผู้ที่มียาพิษค่ำคืนเหมันต์อยู่ในกาย ก็เริ่มส่งคนไปตะเวนหาซื้อยา บางคนถึงขั้นจ้างคนไปตะเวนหาผู้ที่ปรุงยาตัวนี้ขึ้นมาแล้วด้วย ซินซิน ข้าจึงอยากถามเจ้าว่า หากข้าจะขอสูตรยาตัวนี้จากเจ้ามาปรุงขาย เจ้าจะสะดวกใจหรือไม่? ที่ข้าถามเช่นนี้ เพราะตอนนี้ข้ามีทั้งสถานที่ ผู้ที่มีความสามารถในการปรุงยา รวมไปถึงแหล่งหาสมุนไพรที่จะใช้ปรุง ซึ่งกำไรได้จากการขายยา ข้าจะยกให้เจ้าทั้งหมด แล้วเจ้าก็ไม่ต้องกลัวว่า ส
หลังจากนั้นบุรุษไร้ยางอายก็เดินออกไปจากห้องพักของเมิ่งเจียวซิน ผ่านไปไม่ถึงสองเค่อหลี่อวิ้นกุยก็กลับเข้ามาพร้อมกับเหล่าขันที และองครักษ์สตรีทั้งสองของนาง โดยผู้คนเหล่านั้นต่างก็ช่วยกันทยอยขนโต๊ะทำงาน หนังสือ หีบเอกสาร แท่นวางพู่กัน รวมไปถึงอุปกรณ์สำหรับเขียนอื่น ๆ เข้ามาวางในห้องพักของนาง เมิ่งเจียวซินรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่อันลี่กับอันเหมยยินยอมให้หลี่อวิ้นกุยทำเช่นนี้ได้ แล้วยังช่วยเหล่าขันทีทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ โดยไม่แม้แต่จะเอ่ยคัดค้าน หรือพยายามเข้ามาเกลี่ยกล่อมนาง แล้วในระหว่างที่ผู้คนช่วยกันทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ เข้ามา เมิ่งเจียวซินก็รับรู้ได้ถึงสายตาของสององครักษ์สตรีที่เหลือบมองมาทางนางอยู่บ่อยครั้ง พอหันกลับไปมอง...แล้วเห็นสีหน้า และท่าทีของคนทั้งสอง นางก็พอจะเดาได้ทันทีว่า คนทั้งคู่ต้องการให้นางทำสิ่งใด แต่เพราะเป็นตัวนางเองที่เอ่ยปากอนุญาต ยามนี้เมิ่งเจียวซินจึงทำได้เพ
รุ่งเช้า เมิ่งเจียวซินลืมตาขึ้นมา บุรุษที่นอนอยู่ข้างกายนางทั้งคืนได้แอบออกจากห้องพักไปแล้ว โดยหลี่อวิ้นกุยได้หยิบเอาชุดที่ขาดวิ่นของนางติดมือออกไปด้วย หลังจากเมิ่งเจียวซินจัดการดูแลตัวเองเสร็จ นางก็เดินมานั่งลงที่หน้ากระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นนางก็จัดแต่งทรงที่สามารถปล่อยผมลงมาครึ่งศีรษะ แล้วเดินไปรื้อหาอาภรณ์ที่คอตั้ง หรือคอสูงมาสวมใส่ แต่ไม่ว่าจะสวมใส่อาภรณ์ที่คอสูงขนาดไหน อย่างไรมันก็ไม่สามารถปกปิดรอยแดงช้ำ ที่ต้นคอของนางได้หมดทุกรอยอยู่ดี “เห็นทีข้าคงต้องแกล้งป่วยสักสามวัน!” เมิ่งเจียวซินนั่งวางแผนแกล้งป่วยให้กับตัวเอง พอคิดออก...นางก็รีบไปเอากลอนที่ประตูห้องพักลง จากนั้นจึงเดินกลับมาล้มตัวลงนอนบนเตียง พร้อมกับดึงผ้าขึ้นมาห่มจนถึงปลายคาง ตอนนี้เมิ่งเจียวซินรู้สึกว่า โชคดีที่นางขอความเป็นส่วนตัวในห้องพัก
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วขยับเข้าไปนั่งพิงหัวเตียง จากนั้นก็ดึงสตรีข้างกายให้ลงมาซบที่แผงอกของตัวเอง ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบเส้นผมนุ่ม พร้อมกับเล่าต่อว่า “ซินซิน การที่ข้าต้องการปลดปีศาจทุกตนในตระกูลเฉินออกจากราชการ ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องความแค้นส่วนตัว แต่อีกส่วนก็เพราะตระกูลเฉินต่อหน้าทำเป็นสรรเสริญราชาปีศาจ แต่ลับหลังกลับคอยยุแยงปีศาจเผ่าอื่น ๆ ให้กระด้างกระเดื่องต่อการปกครองของคนเผ่ามาร แล้วหลังจากที่ข้าส่งคนไปคอยติดตาม เพื่อหาหลักฐานการกระทำผิดเพิ่มเติม ข้าก็ได้รู้ว่า ปีศาจตระกูลนี้ได้ลักลอบแลกเปลี่ยนอัญมณีต้องห้าม และยังมีความผิดซุกซ่อนอยู่อีกหลายอย่าง แต่...ถึงแม้ยามนี้จะมีหลักฐานเพียงพอให้เอาผิด ทว่าการที่จะปลดขุนนางระดับสูงออกจากตำแหน่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ เพราะมันเชื่อมโยงไปถึงขั้วอำนาจแล้วอีกอย่างไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ก็เพิ่งจะมีการแต่งตั้งที่มีผลต่อขั้วอำนาจไปแล้วถึงสองครั้ง
เมิ่งเจียวซินหลังจากต้องนั่งกดข่มความรู้สึกเจ็บ และข่มกลั้นความรู้สึกอาย จนการทายาที่ยาวนานสิ้นสุดลงไปได้ พอสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จ นางก็สังเกตเห็นว่า หลี่อวิ้นกุยยังคงนั่งมองมาที่รอยแดงบนต้นคอของนาง แล้วด้วยสีหน้า และสายตาของเจ้าตัว ทำให้นางรู้ว่า อีกฝ่ายยังรู้สึกผิดกับเรื่องที่เพิ่งผ่านมา เมื่อฝ่ายตรงข้ามเงยหน้าขึ้นมา แล้วเห็นว่า นางกำลังจ้องมองอยู่...เจ้าตัวก็รีบก้มหน้า หลบตา ซึ่งในขณะนั้นเมิ่งเจียวซินก็สังเกตเห็นว่า ริมฝีปากของหลี่อวิ้นกุยยังคงมีเลือดไหลซึมออกมา นางจึงกล่าวว่า “กุยกุย เงยหน้าขึ้นมา” พอเห็นบุรุษตรงหน้ายอมทำตามที่นางบอก เมิ่งเจียวซินจึงขยับเข้าไปใกล้ ก่อนจะจับปลายคางของหลี่อวิ้นกุยเอาไว้ แล้วเริ่มลงมือเช็ดคราบเลือด จากนั้นบาดแผลขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ก็ปรากฏสู่สายตาของนาง... แม้เมิ่งเจียวซินจะรู้ดีว่า ร่างกายของหลี่