หลังจากบอกเจ้าลูกกระรอกให้ออกเดินทางกลับไปหาครอบครัวในวันพรุ่งนี้เช้า เมิ่งเจียวซินก็แอบรู้สึกเป็นกังวลอยู่ไม่น้อยเกี่ยวกับเรื่องเสื้อผ้ารวมไปถึงรองเท้าที่เจ้าตัวจะใช้สวมใส่ยามออกเดินทาง เพราะนางไม่อาจพาอีกฝ่ายออกไปหาซื้อในตลาดอย่างที่นัดกันเอาไว้ได้แล้ว ดังนั้นก็เหลือเพียงต้องหยิบยืมของเมิ่งเจียวฉือไปใช้ก่อนเท่านั้น แล้วในขณะที่นางกำลังคิดไม่ตกว่า จะหาทางหลบจูมี่กับซุนเย่ผิงเข้ามาหาของให้อีกฝ่ายได้อย่างไร ซุนเย่ผิงก็หยิบยื่นโอกาสมาให้ด้วยการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ซึ่งในยามนั้นเมิ่งเจียวซินมั่นใจไปถึงแปดในสิบส่วนเลยว่า เจ้าตัวน่าจะต้องการขอออกไปข้างนอก นางจึงรีบเล่นตามน้ำไปกับซุนเย่ผิงทันที
แล้วก็ด้วยเพราะการขอออกไปข้างนอกของซุนเย่ผิง ทำให้นางฉวยโอกาสจัดการเรื่องอาหารมื้อเย็นให้กับเจ้าลูกกระรอกไปได้ด้วย ซึ่งพอเหลือเพียงแค่ตัวนางกับจูมี่ เมิ่งเจียวซินก็รีบใช้ข้ออ้าง อย่างเรื่องการอยากให้อีกฝ่ายไปพักผ่อน ซึ่งกว่าที่นางจะส่งจูมี่เข้าห้องพักไปได้...
ในขณะที่เมิ่งเจียวซินตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง นางก็รับรู้ได้ถึงแรงลม และพวงหางที่ตีลงมายังข้อมือของนางเบา ๆ จึงก้มลงไปมองเจ้าลูกกระรอกที่นอนให้นางลูบหัวลูบตัวอยู่บนตัก จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงเรียกของหมิงจิว “เจียวซิน เจ้าได้ยินที่ข้าถามหรือไม่?” “ข้าขอโทษ พอดีข้าเผลอไปคิดเรื่องอื่นนิดหน่อยน่ะ แล้วที่เจ้าถาม...ข้าจำพี่สาวกันได้ ว่าแต่...มีเรื่องอะไรที่ข้าต้องรับรู้หรือไม่?” “คือ...ช่วงสายวันนี้ พี่สาวกันหมดสติในขณะที่ตักน้ำรดแปลงผัก พี่ชายย่งสามีของนางจึงตั้งใจจะอุ้มนางมาให้เจ้าช่วยรักษา แต่ข้ากับพี่ใหญ่เจอคนทั้งคู่ระหว่างทาง แล้วด้วยสภาพร่างกายของพี่สาวกันที่พวกข้าเห็นในยามนั้น... ข้าจึงตัดสินใจบอกให้พี่ชายย่งรีบพาพี่สาวกันไปหาท่านหมอในตลาด เพราะด้วยระยะทางโรงหมออยู่ใกล้กว่าที่นี่มาก ซึ่งพอพี่ชายย่งได้ยินที่ข้าพูดก็แสดงท่าทีลังเ
เมิ่งเจียวซินหลังจากรับฟังเรื่องราวทั้งหมดของกันฮวา นางก็เหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ รวมไปถึงความลำบากใจของบุตรชายคนโตตระกูลย่ง แต่ทว่า... “บุรุษหากทำให้มารดาเป็นทุกข์ถือว่าอกตัญญู แต่บุรุษที่ปกป้องภรรยาของตัวเองไม่ได้ ก็ถือว่าเป็นผู้ไร้ซึ่งคุณธรรม แล้วยามนี้บุรุษผู้นั้นมานั่งร้องไห้ กล่าวคำขอโทษ ด่าทอหรือเอาแต่กล่าวโทษตัวเองอยู่ซ้ำ ๆ มันจะมีประโยชน์อันใดกัน!” พูดจบ เมิ่งเจียวซินก็พยายามปรับลมหายใจของตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะหันไปกล่าวกับสหายว่า “หมิงจิว เจ้าจำที่ข้าเคยพูดเรื่องขอเวลาศึกษาดูใจ ก่อนจะแต่งให้กับบุรุษที่ต้องใจได้หรือไม่?” “ข้าจำได้” “อย่างที่ข้าเคยกล่าวให้เจ้าฟัง ยามแรกรัก...บุรุษก็มักจะยอมทำทุกอย่าง และยอมรับปากทุกเรื่อง ทำให้สตรีอย่างเราวาดฝันไปถึงชีวิตคู่ที่สวยงาม แต่ทว่าพอหลังจากแต่งงาน มันก็อาจจะไม่ได้เป็นดั่งที่เคยวาดฝันเอาไว้ เพราะกา
เมื่อรับสำรับเย็นร่วมกันเสร็จ หมิงลู่กับหมิงจิวก็ได้นัดแนะกับเมิ่งเจียวซินไปร่วมพิธีศพของกันฮวาที่เรือนตระกูลย่งในช่วงสายของวันพรุ่งนี้ จากนั้นคนทั้งคู่ก็ได้เอ่ยปากขอตัวกลับเรือนของตนทันที เมิ่งเจียวซินหลังจากออกมาส่งสองพี่น้องตระกูลหมิงที่ประตูรั้ว ในระหว่างเดินกลับเข้าเรือนนางก็ได้สั่งจูมี่กับซุนเย่ผิงให้รีบพากันไปพักผ่อน ไม่ต้องตามเข้าไปคอยอยู่ดูแลนางในห้องพักต่อ จากนั้นนางจึงเดินไปหยิบถ้วยชามพร้อมกับชุดอาหารที่ได้ฝากซุนเย่ผิงแยกซื้อเอาไว้ต่างหากในครัว ก่อนจะกลับห้องพักของตัวเองพร้อมกับเจ้าลูกกระรอกบนไหล่ พอกลับเข้ามาในห้อง เมิ่งเจียวซินก็ย่อตัวให้เจ้าลูกกระรอกไต่ลงไปจากไหล่ของนาง จากนั้นนางจึงเดินหยิบชุดบุรุษเข้าไปวางไว้ให้หลังฉากกั้น ก่อนจะกลับออกมาจัดเตรียมสำรับไว้ให้อีกฝ่ายที่โต๊ะกลมกลางห้อง “ขอบคุณนะ” &n
“ท่านป้า ท่านไปไถ่ตัวกับคุณหนูพร้อมข้าเถิดนะเจ้าคะ” เมิ่งเจียวซินเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูห้องข้าง นางก็ได้ยินสิ่งที่ซุนเย่ผิงพูดอย่างชัดเจน นางจึงตัดสินใจเคาะประตู แล้วส่งเสียงเข้าไปถามคนที่อยู่ภายในห้องว่า “ท่านป้าจู ซุนเย่ผิง ข้าขอเข้าไปได้หรือไม่?” “คุณหนู! เออ...เข้ามาได้เจ้าค่ะ ประเดี๋ยวบ่าวจะเปิดประตูให้นะเจ้าคะ” จูมี่รีบขานรับ ก่อนจะส่งสายตาไปทางหลานสาวพร้อมกับกดเสียงพูดว่า “อย่าเพิ่งพูดอะไร แล้วเก็บถุงเงินของเจ้าไปเสีย” “ท่านป้า...” ซุนเย่ผิงเมื่อเห็นสายตาของผู้เป็นป้า นางก็ก้มหน้า แล้วดึงเอาถุงเงินที่ยื่นไปให้อีกฝ่ายดูเมื่อครู่กลับมาวางไว้บนตัก แต่นางก็หาได้เก็บหรือซ่อนเงินถุงนั้นตามที่จูมี่บอกไม่ จูมี่เมื่อได้เห
วันรุ่งขึ้น หลี่อวิ้นกุยลุกขึ้นไปจัดการดูแลตัวเองหลังฉากกั้น โดยเขาพยายามทำทุกอย่างให้เบาที่สุด จากนั้นก็กลับมานั่งมองดวงหน้าของสตรีที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง จนผ่านล่วงเลยเข้าสู่ต้นยามอิ๋น (ยามอิ๋น เวลา 03:00 – 04:59 น.) หลี่อวิ้นกุยจึงเอื้อมมือเข้าไปเขย่าต้นแขนของเมิ่งเจียวซินเบา ๆ แล้วก้มลงไปกระซิบที่ข้างหูว่า “ซินซิน ข้าต้องไปแล้ว” เมิ่งเจียวซินงัวเงียลุกขึ้นมานั่ง แล้วเมื่อเห็นเด็กหนุ่มรีบหันหน้ามองไปทางอื่น นางก็นึกขึ้นได้ว่า ยามนี้ตนเองอยู่ในสภาพใด นางจึงรีบหยิบชุดคลุมกับเสื้อตัวในมาสวมใส่ หลังจากสวมใส่อาภรณ์ให้กับตัวเองเสร็จ นางก็เอ่ยขึ้นว่า “รอประเดี๋ยว ข้าจะไปส่ง” “ไม่ต้อง ข้าจะออกไปทางหน้าต่าง” “เช่นนั้นข้าก็ขอให้เจ้าเดินทางปลอดภัย ได้เจอกับค
หลังจากเจ้าลูกกระรอกกระโดดออกจากหน้าต่างห้องพักไป เมิ่งเจียวซินก็ลุกขึ้นจากเตียง จากนั้นนางก็พยายามดำเนินชีวิตของตัวเองให้ไม่ต่างไปจากทุกวันที่ผ่านมา โดยวันนี้นางเลือกออกไปร่วมรับสำรับเช้าพร้อมกับจูมี่และซุนเย่ผิง แล้วหลังจากที่ทุกคนรับสำรับร่วมกันเสร็จ เมิ่งเจียวซินจึงทำเป็นเดินไปนั่งรอสองพี่น้องตระกูลหมิงที่ห้องโถง ผ่านไปเพียงไม่นาน...ซุนเย่ผิงเดินเข้ามานั่งคุกเข่าลงกับพื้นตรงหน้าเมิ่งเจียวซิน จากนั้นเจ้าตัวก็ยื่นถุงเงินสองใบมาให้นางพร้อมกับกล่าวลา เมิ่งเจียวซินที่ได้เตรียมใจสำหรับเหตุการณ์นี้เอาไว้แล้ว นางจึงหันไปมองทางจูมี่ ซึ่งอีกฝ่ายเพิ่งจะเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ฝั่งซ้ายมือของนาง “บ่าวจะอยู่รับใช้คุณหนูต่อเจ้าค่ะ” พูดจบ จูมี่ก็ยื่นสัญญาทาสพร้อมกับส่งถุงเงินคืนให้ผู้เป็นนาย “หากจะอยู่ต่อ ท่านป้าจูต้องรับเงินถุงนี
“เฮ้อ!” เมิ่งเจียวซินถอนหายใจออกมาอย่างแรงหนึ่งครั้ง ก่อนจะล้มตัวลงไปนอนบนเตียง ช่วงนี้นางรู้สึกเหงาในใจแปลก ๆ บางครารู้สึกราวกับว่าชีวิตในแต่ละวันของนางมันเหมือนจะขาดอะไรไปสักอย่าง ทั้ง ๆ ที่ยามนี้ภายในเรือนของนางก็หาได้เงียบเหงาเหมือนช่วงแรก ๆ ที่นางเพิ่งจะทะลุมิติเข้ามา... ซึ่งเมิ่งเจียวซินก็รู้ว่า อาการที่นางเป็นอยู่หาใช่อาการเจ็บป่วยทางร่างกายไม่ แล้วอาการแปลก ๆ ที่ว่าเหล่านี้ มันก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นทุกคราที่นางกลับเข้ามายังห้องพักของตัวเอง เมิ่งเจียวซินนอนพลิกตัวไปมาบนเตียง จากนั้นนางก็หันไปมองพื้นที่ว่างข้างกาย จะว่าไป...คืนนี้ก็เข้าสู่คืนที่สี่แล้วสินะ ที่เจ้าลูกกระรอกเดินทางกลับเผ่าของตัวเอง ไม่รู้ว่ายามนี้เจ้าตัวจะได้พบกับคนในครอบครัวหรือยัง? แล้วไม่รู้ว่า... เมิ่งเจียวซินรีบสะบัดศีรษะ ดึงสายตา และดึงสติของตัวเองกลับมา นางไม่รู้ว่าเหตุใดจึงห่วงหาเจ้าลูกกระรอกได้ถ
“คุณหนูเมิ่งเจ้าคะ คุณหนูไม่รังเกียจที่ข้าน้อยขาย...” “ข้าไม่รังเกียจ แต่ก็ใช่ว่าข้าจะเห็นด้วย ซุนเย่ผิงยามนี้เส้นทางที่เจ้าเลือกเดิน อาจจะทำให้เจ้าได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่า พอเวลาผ่านล่วงเลยไปสักพัก...ทุกสิ่งที่เจ้าครอบครองอยู่ไม่ว่าจะสุขภาพที่ดี ความงดงามทางร่างกายที่เจ้าภาคภูมิใจ ความรู้สึกว่าตัวเองโดดเด่น การดูแลเอาใจใส่จากผู้คนในสถานที่แห่งนั้น หรือแม้แต่เงินทองที่เจ้าได้รับมาจากการแลกเปลี่ยน มันจะเริ่มลดลง เสื่อมลง แม้วันนี้เจ้าอาจจะยังไม่เชื่อในสิ่งที่ข้าพูด...” “เชื่อเจ้าค่ะ ข้าน้อยเชื่อที่คุณหนูพูดเจ้าค่ะ” เมื่อเห็นความสั่นไหวในแววตาของอีกฝ่าย ยามนี้ซุนเย่ผิงน่าจะเริ่มเข้าใจวิถีชีวิตของสตรีในหอโคมเขียวบ้างแล้ว เมิ่งเจียวซินจึงกล่าวต่อว่า “เจ้าจำที่ข้าเคยพูดได้หรือไม่ ยามนี้ข้าก็ยังคงยืนยันคำเดิมอยู่นะ ดังนั้
รุ่งเช้า บุรุษไร้ยางอายที่ขอมานอนด้วยเมื่อคืนก็หายไปจากเตียงของเมิ่งเจียวซินแล้ว และในคืนต่อ ๆ มา แม้ช่วงกลางวันจะไม่ค่อยได้เห็นหน้า แต่ทว่าช่วงกลางคืนหลี่อวิ้นกุยกลับโผล่เข้ามาขอนอนที่ห้องนี้กับนางทุกคืน แล้วทุกคืนก่อนนอนบุรุษไร้ยางอายจะต้องได้จุมพิตกับนางอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ต้องเอาตัวนางเข้าไปซุกไว้ในอ้อมกอด และเมิ่งเจียวซินจะต้องกอดตอบอีกฝ่ายด้วย เจ้าตัวถึงจะยอมนอนหลับแต่โดยดี หลังจากตื่นนอนเมิ่งเจียวซินก็ลุกไปจัดการดูแลตัวเอง จากนั้นนางจึงออกไปรอเรียนเรื่องกฎเกณฑ์ และข้อปฏิบัติต่าง ๆ ในวังกับนางกำนัลอาวุโส ซึ่งวันนี้นางกำนัลทั้งสองได้แจ้งว่า จะเข้ามาสอนเพียงห้าวันต่อหนึ่งสัปดาห์ แล้วหลังจากวันนี้นางจะได้เรียนเรื่องการเย็บปักถักร้อย การจัดดอกไม้ กริยามารยาทของสตรีชั้นสูง และการทำบัญชีเพิ่มอีกด้วย ซึ่งวันนี้เมิ่งเจียวซินรู้สึกว่า นางกำนัลอาวุโสทั้งสองยามที่สอน..
เมิ่งเจียวซินมองบุรุษไร้ยางอายคนหนึ่งมุดออกมาจากตู้เสื้อผ้า แล้วเมื่ออีกฝ่ายเห็นนางก็รีบยกนิ้วชี้ขึ้นมาแนบที่ริมฝีปาก “ชู่วว...” บุรุษไร้ยางอายคนนั้นส่งสัญญาณห้ามเมิ่งเจียวซินร้องเรียกองครักษ์สตรีห้องข้าง จากนั้นบุรุษไร้ยางอายก็ปิดทางเชื่อมระหว่างห้องหนังสือกับห้องพักของนาง แล้วร่ายคาถาอะไรบางอย่าง เมิ่งเจียวซินที่ยังไม่ทันจะได้ตั้งรับกับสถานการณ์ตรงหน้า อีกฝ่ายก็เดินเข้ามาโอบกอดนาง พร้อมกับเอ่ยว่า “ซินซิน ข้าคิดถึงเจ้า” “ข้าก็คิดถึงเจ้า แต่...กุยกุย เจ้าช่วยปล่อยข้าครู่หนึ่งได้หรือไม่?” แล้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายก้มลงมามองนางด้วยสีหน้าที่คล้ายกับกำลังสงสัย เมิ่งเจียวซินจึงกล่าวเพิ่มว่า “ข้าขอแต่งกายให้เรียบร้อยก่อน” &n
หลังจากราชาปีศาจกับหลี่อวิ้นกุยกลับไป โจวหลิวอิงก็เรียกทุกคนในเรือนพักชั่วคราวมารวมตัวกันที่ลานกว้าง ก่อนจะประกาศเรื่องการหมั้นหมายระหว่างองค์ชายสามหลี่อวิ้นกุยกับเมิ่งเจียวซิน รวมไปถึงงานมงคลสมรสของคนทั้งสองที่จะเกิดขึ้นในอีกสี่เดือนข้างหน้า จากนั้นโจวหลิวอิงก็ประกาศต่อว่า อีกสามวันก็จะถึงกำหนดเดินทางกลับฝั่งของพวกมนุษย์ หากผู้ใดอยากอยู่ต่อ เพื่อร่วมงานมงคลสมรสดังกล่าว ก็ให้รีบมาลงนามกับเจ้าตัว แล้วเมื่อถึงกำหนดเดินทางกลับ โจวหลิวอิงก็จะพาคนกลุ่มนี้ย้ายไปพักที่จวนหัวหน้าหน่วยฝั่งซ้ายก่อน แต่ถ้าหากผู้ใดไม่สะดวกที่จะอยู่ต่อ เมื่อถึงกำหนดเดินทางกลับ เจ้าตัวก็จะให้เหล่าองครักษ์คุ้มกันพาเดินทางกลับไปยังหอโคมเขียวในฝั่งของพวกมนุษย์ เมื่อจัดการเรื่องการเดินทางกลับของคณะเหล่านางคณิกาเสร็จ โจวหลิวอิงก็เรียกเมิ่งเจียวซินกับปิงหลงเข้าไปพูดคุยกันต่อในห้องโถงของเรือนใหญ่ ซึ่งพอเห็นคนทั้งสองเข้ามานั่งในห้องกันเรียบร้อย โจวหลิ
หลี่อวิ้นหยางเมื่อกลับมาถึงห้องพักในตำหนัก เขาก็ขอยันต์ลวงตาที่ท่านตาของเขาเป็นผู้ใส่พลังลงไปคืนจากผู้ที่ยืนอยู่ข้างกาย จากนั้นก็กล่าวว่า “อาซุน เจ้าคงเห็นแล้วว่า ข้าไร้ตัวตนในสายตาของเสด็จพ่อ รวมไปถึงสายตาของผู้คนที่อยู่ในวังราชาปีศาจ แม้ดูเหมือนว่า ตัวข้าจะมีอำนาจ แต่แท้ที่จริงแล้ว...อำนาจในมือของข้ามีน้อยเสียยิ่งกว่าหัวหน้าองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างกายเสด็จพ่อ แค่ก ๆ แล้วเพราะเกิดมา ร่างกายของข้าก็ไม่ค่อยแข็งแรง พลังในกายจึงมีน้อยกว่าเหล่าพี่น้อง ข้าถึงต้อง...” “พระองค์ถึงต้องหาสตรีบริสุทธิ์มาเสพสังวาส เพื่อเพิ่มพลังใช่หรือไม่เพคะ?” “ใช่! แต่เรื่องเหล่านางคณิกาที่ถูกส่งมาฝั่งนี้ แล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ข้าไม่รู้เรื่องจริง ๆ นะอาซุน” พูดจบ หลี่อวิ้นหยางก็เดินไปนั่งลงบนเตียง ก่อนจะแสร้งไอออกมาอีกครั้งเบา ๆ ซุนเย่ผิงรีบหันไปรินน้ำอุ่น แล้วส
หลี่อวิ้นกุยรีบหันกลับไปมองเมิ่งเจียวซิน ยามนี้อีกฝ่ายกำลังเอียงคอมองไปทางหลี่อวิ้นหยาง เขาจึงก้าวเดินไปด้านข้าง เพื่อบังสายตาของนาง จากนั้นจึงกล่าวออกไปว่า “พี่รอง เรื่องการหมั้นหมายระหว่างข้ากับคุณหนูเมิ่งยังไม่ได้ประกาศออกไป แล้ววันนี้เสด็จพ่อก็เพิ่งจะเข้ามาพูดคุยเรื่องสู่ขอ แม้ข้าจะอยากถามว่า ผู้ใดคาบข่าวไปบอกท่าน แต่ก็ช่างเถิด! เพราะวันนี้ถือว่าเป็นวันดีของข้า เช่นนั้น...พี่รอง ข้าขอขอบคุณที่ท่านอุตส่าห์ได้ยินข่าว แล้วยอมขัดคำสั่งกักบริเวณของเสด็จพ่อ เพื่อลากสังขารของตัวเองมาร่วมอวยพรให้กับข้าและคุณหนูเมิ่ง” หลี่อวิ้นหยางถูกตอกกลับมาแบบไม่ไว้หน้าเป็นครั้งที่สอง ที่ผ่านมาเขากับหลี่อวิ้นกุยแม้จะไม่สนิท แต่ยามได้พบเจอก็มักจะพูดคุยทักทาย และให้เกียรติกันอยู่เสมอ ทว่าเหตุใดยามนี้อีกฝ่ายถึงไม่คิดจะไว้ไมตรี หรือหลี่อวิ้นกุยจะรู้เร
โจวหลิวอิงนำทุกคนในเรือนพักชั่วคราวทำความเคารพ พร้อมกับกล่าวทักทายราชาปีศาจกับองค์ชายสามหลี่อวิ้นกุย จากนั้นโจวหลิวอิงจึงเชิญคนทั้งสอง และคณะผู้ที่ติดตามมาบางส่วนเข้าไปนั่งพูดคุยกันต่อยังห้องโถงในเรือนใหญ่ โดยมีเมิ่งเจียวซินกับปิงหลงเดินตามโจวหลิวอิงนำคนอื่น ๆ เข้าไปด้านใน แล้วเมื่อเข้ามาในห้องโถง ราชาปีศาจก็เอ่ยสู่ขอเมิ่งเจียวซินให้กับหลี่อวิ้นกุยอย่างเป็นทางการ จากนั้นก็เริ่มพูดคุยกันเรื่องสินสอด ก่อนจะส่งมอบหนังสือหมั้นหมาย โดยทั้งสองฝ่ายพูดคุยตกลงกันเพียงไม่นาน เพราะราชาปีศาจกับหลี่อวิ้นกุยยินยอมทำตามข้อเรียกร้องจากโจวหลิวอิงทุกข้อ หลังจากนั้นราชาปีศาจก็ให้เมิ่งเจียวซิน หลี่อวิ้นกุย และเหล่าผู้ติดตามออกไปจากห้องโถงก่อน เพราะเจ้าตัวมีเรื่องสำคัญจะพูดคุยกับโจวหลิวอิงต่อ พอเมิ่งเจียวซินเดินออกห่างจากห้องโถง หลี่อวิ้นกุยก็เอ่ยชวนนางไปนั่งพูดคุยกันต่อที่ศาลาข
เมิ่งเจียวซินหลังจากลงมานั่งแช่ตัวในอ่างอาบน้ำได้สักพัก จิตใจที่เคยว้าวุ่นก็เริ่มสงบลง เพราะนอกจากเรื่องราวต่าง ๆ ที่ไปเผชิญมากับตัวตั้งแต่เช้า พอกลับมาถึงเรือนพักชั่วคราว นางก็ได้รับรู้เรื่องของซุนเย่ผิง... โดยปิงหลงเล่าให้เมิ่งเจียวซินฟังว่า...เมื่อคืนซุนเย่ผิงไม่ได้กลับมานอนที่เรือนพักชั่วคราว แล้วช่วงบ่ายวันนี้ซุนเย่ผิงก็กลับมาที่เรือน พร้อมกับคนขององค์ชายรองหลี่อวิ้นหยางจำนวนสองคน ซึ่งทั้งสามคนมาขอเข้าพบโจวหลิวอิง เหล่าองครักษ์ของโจวหลิวอิงจึงให้คนทั้งสามเข้ามานั่งรอในห้องโถงของเรือนใหญ่ ซึ่งในระหว่างนั้นปิงหลงได้อาสานำของว่าง และน้ำชาเข้าไปให้ ขณะที่วางของว่างลงบนโต๊ะปิงหลงก็แอบขยับเข้าไปกระซิบถามซุนเย่ผิงว่า พาสองคนนี้มาทำไม? แล้วตอนนี้ซุนเย่ผิงกำลังคิดจะทำอะไร? แต่ทว่าซุนเย่ผิงไม่ตอบ และไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองปิงหลงเลยสักนิด เด็กชายจึงเลิกให้ความสนใจ จนโจวหล
หลังจากเมิ่งเจียวซินกับหลี่อวิ้นกุยลงมือกินซาลาเปา สาลี่ และทับทิมจนหมดแล้ว เมิ่งเจียวซินจึงลุกขึ้นยืน เพื่อเก็บถาด และจานเปล่าใส่ลงไปในตะกร้าใบใหญ่ แล้วในขณะนั้นนางก็รับรู้ได้ถึงวงแขนที่สอดเข้ามาบริเวณรอบเอว ตอนนี้หลี่อวิ้นกุยกำลังโอบกอดนางจากทางด้านหลัง จากนั้นเจ้าตัวก็ซบใบหน้าลงมาที่ไหล่ข้างขวาของนาง “ซินซิน เจ้าไม่อยากรู้หรือว่า ข้าอธิษฐาน และฝากคำพูดถึงมารดาของข้าบนสวรรค์ว่าอย่างไร?” แต่ยังไม่ทันที่เมิ่งเจียวซินจะได้ตอบอะไรกลับไป หลี่อวิ้นกุยก็กล่าวต่อ “ข้าอธิษฐานว่า...ขอมีเจ้าอยู่ข้างกายข้าในทุกวันเกิดหลังจากนี้ และข้าก็กล่าวขอบคุณมารดาที่มอบชีวิตนี้ให้แก่ข้าซินซิน ขอบคุณนะ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา ขอบคุณที่เจ้าจัดเตรียมสิ่งเหล่านี้เพื่อข้า ยามนี้ข้ารู้สึกติดค้าง...” &n
เมิ่งเจียวซินนั่งกอด และคอยลูบหลังลูบไหล่ปลอบประโลมหลี่อวิ้นกุยอยู่เงียบ ๆ โดยนางปล่อยให้บุรุษในอ้อมแขนร้องไห้ระบายความเจ็บปวดที่อยู่ภายในใจออกมา จนเวลาผ่านล่วงเลยไปสักพัก เมิ่งเจียวซินได้ยินเสียงเคาะประตู จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียก เพื่อขออนุญาตเข้ามาในห้องพัก โดยเจ้าของเสียงน่าจะเป็นคนที่นางสั่งให้ไปอุ่นซาลาเปา และเอาสาลี่กับทับทิมออกไปหั่น เมิ่งเจียวซินจึงก้มลงไปมองบุรุษในอ้อมแขน พอเห็นว่ายามนี้อีกฝ่ายเริ่มสงบใจได้บ้างแล้ว นางจึงบอกให้หลี่อวิ้นกุยลุกไปล้างหน้าล้างตา ก่อนจะเอ่ยอนุญาตให้กลุ่มคนที่ยืนอยู่หน้าห้องพักเข้ามาได้ เมิ่งเจียวซินยืนมองคนของหลี่อวิ้นกุยทยอยลำเลียงของเข้ามาจัดวางลงบนโต๊ะกลม ยามนี้ซาลาเปาที่มีสภาพอุ่นร้อนจนหอมกรุ่นได้ถูกจัดวางเป็นรูปภูเขาตามคำสั่งของนาง ส่วนสาลี่กับทับทิมก็ถูกหั่นเรียงซ้อนกันอยู่บนจาน