“กุยกุย คำว่า ‘ครอบครัว’ สำหรับเจ้ามีความหมายว่าอย่างไร?” เมิ่งเจียวซินเอ่ยถามพร้อมกับสังเกตสีหน้าของเจ้าลูกกระรอกไปด้วย
“ก็หมายถึงผู้ที่สืบสายเลือดเดียวกันอย่างเช่น ผู้เป็นบิดา มารดา บุตร และญาติพี่น้อง หรือไม่ก็คู่สามีภรรยาที่แต่งงานกัน”
“เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่นะ” จากนั้นเมิ่งเจียวซินก็เดินไปหยิบกระดาษเปล่าสามแผ่น พร้อมกับพูกันสองด้าม หมึก และแท่นฝนหมึกกลับมาวางลงบนโต๊ะยาวกลางห้องเก็บสมุนไพร
ซึ่งสิ่งที่เมิ่งเจียวซินกำลังจะวาด และจะเขียนให้เจ้าลูกกระรอกดูก็คือ แนวคิดที่นางได้ยินมาจากรายการวิทยุรายการหนึ่ง ซึ่งคำพูดและแนวคิดของดีเจท่านนั้น นางได้นำมาปรับใช้จนสามารถปลดล็อคความหมายของคำว่า ‘คนในครอบครัว’ กับ ‘คนสำคัญในชีวิต’ ให้กับนางได้ แล้วหลังจากที่นางได้รับการปลดล็อค นางก็รู้สึกว่าการมองโลกและการใช้ชีวิตของนางเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีข
“กุยกุยข้าไม่รู้หรอกนะว่า ครอบครัวของเจ้าเป็นเช่นไร แต่ข้าอยากให้เจ้ารู้จักครอบครัวในอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นก็คือ ครอบครัวตามความรู้สึก” พอนางพูดจบ หลี่อวิ้นกุยก็เห็นเมิ่งเจียวซินนำกระดาษแผ่นใหม่มาวาดวงกลมโดยไล่ระดับจากวงเล็กไปหาวงใหญ่ จำนวนสามวง โดยทั้งสามวงได้เรียงซ้อนกันอยู่ แล้วนางก็เขียนนามของตนเองลงไปตรงกลางของวงกลมวงเล็กด้านในสุด จากนั้นนางก็นำกระดาษแผ่นใหม่ขึ้นมาวาดวงกลมที่เหมือนกับกระดาษแผ่นที่สอง แต่นางไม่ได้เขียนนามของตนเองลงไป กระดาษแผ่นที่สามจึงมีเพียงวงกลมที่ว่างเปล่า จำนวนสามวง หลังจากนั้นเมิ่งเจียวซินก็นำกระดาษแผ่นที่สามมาวางลงตรงหน้าเขา พร้อมกับพูกัน “ข้าเคยได้ยินแนวคิดเรื่องวงกลมคนสำคัญมาจากคนผู้หนึ่ง ซึ่งข้าได้นำมาปรับใช้กับคำว่า‘ครอบครัว’ ของตนเอง จะว่าอย่างไรดีล่ะ...ข้าเคยเห็นบางคนพยายามทำดีทุกอย่าง เพื่อไขว้คว้าความรักจากคนในครอบครัว แต่สุดท้า
เมิ่งเจียวซินเห็นเจ้าลูกกระรอกหันกลับมามองภาพวาดครอบครัวตามความรู้สึกของนาง ก่อนจะเงยใบหน้าที่คล้ายกับจะยังรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาจ้องหน้านาง จากนั้นเจ้าตัวก็อ้าปากราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่สุดท้ายก็สะบัดใบหน้ากลับไปจ้องภาพวาดครอบครัวตามความรู้สึกของเจ้าตัวอีกครั้ง เมื่อเห็นเช่นนั้น เมิ่งเจียวซินก็นึกไปถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ “กุยกุย ข้ามีเรื่องหนึ่งจะเล่าให้เจ้าฟัง ข้าเคยวาดวงกลมแบบนี้ให้กับเด็กสิบสองหนาวคนหนึ่ง... เด็กคนนั้นสูญเสียมารดาไปได้ไม่ถึงปี ผู้เป็นบิดาก็หนีไปแต่งงานสร้างครอบครัวกับสตรีคนใหม่ โดยทิ้งให้เด็กคนนั้นอยู่กับลูกแมวน้อยหนึ่งตัวในเรือนหลังเก่า นาน ๆ ครั้งผู้เป็นบิดาถึงจะนำเงิน และของกินของใช้เข้ามาให้ เด็กคนนั้นเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของผู้เป็นบิดาและมารดา ซึ่งญาติคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะฝั่งมารดาหรือบิดา หลังจากจ
ช่วงบ่ายของวันถัดมา หมิงจิวได้พาสตรีในหมู่บ้านคนหนึ่งมาที่เรือน เพื่อขอให้เมิ่งเจียวซินช่วยรักษา ซึ่งนางก็ได้ตอบรับคำขอของอีกฝ่าย แล้วในระหว่างที่ทำการรักษาเจ้าลูกกระรอกก็ต้องเข้าไปหลบในห้องพักของนางเหมือนทุกครา หลี่อวิ้นกุยเมื่อกลับเข้ามาในห้อง เขาก็เรียกจิ่นสือเข้ามาสอบถามความคืบหน้าของงานที่สั่งไป แล้วเมื่อเขาได้ยินว่าบ่าวสตรีของเมิ่งเจียวซินยามออกไปนอกเรือน อีกฝ่ายได้เข้าไปทำงานในหอโคมเขียว เขาก็อดที่จะรู้สึกดูแคลนบ่าวสตรีนางนี้ขึ้นมาไม่ได้ เพราะถึงแม้ว่าบ่าวสตรีจะแทบไม่มีหนทางให้เลือกเดิน แต่การที่อีกฝ่ายได้เข้ามาเป็นบ่าวในเรือนหลังนี้ แล้วมีเมิ่งเจียวซินเป็นนาย แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับดิ้นรนพาตนเองเข้าไปอยู่ในสถานที่แห่งนั้น มันช่างเป็นการตัดสินใจที่แสนจะโง่เง่าสิ้นดี แล้วหลังจากนั้นหลี่อวิ้นกุยก็ได้รับรู้ว่า สตรีปีศาจที่มาพร้อมกับบ่าวสตรีนางนั้น ก็เป็นสตรีในหอโคมเขียวไม่ต่างกัน ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึ
หลังจากจัดการดูแลตัวเองเสร็จ เมิ่งเจียวซินก็เดินกลับเข้ามาในห้องพัก ยามนี้บนเตียงของนางมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งกำลังนั่งพิงหัวเตียงอ่านตำราอยู่ เมื่อเห็นเช่นนั้นนางจึงเดินไปหยิบตำราที่วางอยู่บนโต๊ะกลมกลางห้อง ก่อนจะขึ้นไปนั่งพิงหัวเตียงข้างเด็กหนุ่มผู้นั้น จากนั้นนางก็กล่าวขึ้นว่า “กุยกุย ในเมื่อยามนี้เจ้าสามารถกลับไปอยู่ในร่างตั้งต้นได้แล้ว ข้าว่า...” แค่ก แค่ก! แค่ก! “ซินซิน เมื่อหัวค่ำข้าลืมบอกเจ้า หลังจากที่ข้าอาบน้ำเสร็จ ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีเลย” พูดจบ หลี่อวิ้นกุยก็หันหน้ากลับไปทางฝั่งด้านในเตียง แล้วพยายามที่จะไอต่อ “จริงหรือ?” “อืม!” แค่ก! แค่ก! แค่ก!! “เช่นนั้นพรุ่
หลี่อวิ้นกุยยื่นขาหน้าทั้งสองข้างออกไปรับถังหูลู่มากัดกิน ยามนี้เขาอยากรู้ว่า ผลซานจาเคลือบน้ำตาลร้านนี้มันมีอะไรดี เหตุใดสตรีตรงหน้าจึงทำราวกับว่าไม่เคยกิน แล้วเมื่อเขากัด...พร้อมกับมองดวงหน้าของนาง ‘อืม...มันก็อร่อยดี’ หลังจากกินถังหูลู่หมด เมิ่งเจียวซินก็เดินเข้าไปถามพ่อค้าหาบเร่ “ท่านลุงเจ้าคะ คือ ข้าอยากได้ชุดบุรุษแบบสำเร็จรูปสักสองสามชุด ท่านลุงพอจะมีร้านแนะนำข้าบ้างหรือไม่เจ้าคะ?” “มีอยู่ร้านหนึ่งตรงหัวมุมถนน ร้านนี้ขายของในราคายุติธรรมขอรับ” “ขอบคุณเจ้าค่ะ” แล้วเมื่อเห็นเมิ่งเจียวซินเดินห่างออกมาพอสมควร หลี่อวิ้นกุยจึงเอ่ยถามอีกฝ่ายว่า “ซินซิน เจ้าจะซื้อชุดบุรุษให้ข้
“คุณหนู ข้าขอเสียมารยาทนะเจ้าคะ คือ...ข้าขอแนะนำเป็นกำไลหยกวงนี้ให้กับคุณหนู สตรีอย่างเราไม่ควรจะปล่อยแขนให้โล่งเช่นนี้นะเจ้าคะ” เมิ่งเจียวซินหันไปมองกำไลหยกสีเขียวในมือสตรีเจ้าของร้าน ซึ่งขนาดและความหนาของหยกพอ ๆ กับวงที่เจ้าของร่างนี้คนเดิมเคยสวมใส่ นางจึงหยิบจากมือของอีกฝ่ายขึ้นมาลองทาบกับข้อมือของตนเองด้วยความรู้สึกสนใจ หลี่อวิ้นกุยเพิ่งสังเกตเห็นว่า บนร่างกายของเมิ่งเจียวซินไม่มีเครื่องประดับเลยแม้แต่ชิ้นเดียว แล้วเมื่อเขาหันไปมองกำไลหยกที่สตรีเจ้าของร้านยื่นให้นางดู แม้ว่ากำไลหยกวงนั้นจะดูงดงามยามทาบลงบนข้อมือของนาง แต่เขากลับรู้สึกว่า กำไลหยกวงนั้นมันยังไม่เหมาะสมกับนาง เขาจึงหันไปมองกำไลหยกที่วางเรียงรายอยู่บนแผง... “ซินซิน ข้าว่า...กำไลหยกสีขาวที่วางอยู่ตรงหัวมุมโต๊ะด้านซ้ายมือของเจ้า มันน่าจะเหมาะกับเจ้ามากกว่านะ” หลี่อวิ้นกุยขยับเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของ
เมิ่งเจียวซินเมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสที่เกินพอดีของสตรีเจ้าของร้าน นางก็เริ่มสงสัยว่า หรือนางกำลังถูกหลอกให้ซื้อของ แต่ก็ช่างเถิด...เพราะที่จริงแล้ว เจ้าของร่างนี้คนเดิมก็มีเครื่องประดับทั้งจากสินเดิมของผู้เป็นมารดา และจากที่บิดาซื้อมาให้เป็นของฝาก แต่เพราะเจ้าของร่างนี้คนเดิมไม่ค่อยได้ออกจากเรือน เจ้าตัวจึงเลือกเก็บของทุกอย่างที่ได้มาไว้ในหีบ แล้วเลือกใส่เพียงกำไลหยกติดตัวแค่วงเดียวเท่านั้น จากนั้นเมิ่งเจียวซินก็สวมกำไลหยกขาวเข้าไปในข้อมือของตนเอง แล้วการที่นางเลือกสวมกำไลหยกในทันทีนั้น ก็เพราะว่าสตรีที่อยู่รอบกายต่างก็สวมกำไล หรือไม่ก็ใส่สร้อยข้อมือกันทุกคน ซึ่งทำให้เมิ่งเจียวซินรู้ว่า หลังจากนี้นางคงต้องทำตัวให้ชินกับการสวมกำไลหยกเอาไว้แบบนี้ตลอดเวลา แล้วเมื่อกำไลหยกสัมผัสถูกผิวหนังบริเวณข้อมือของนาง ก็ทำให้เมิ่งเจียวซินรู้สึกได้ถึงความเย็น ซึ่งในขณะที่นางกำลังสนใจกำไลหยกบนข้อมืออยู่นั้น นางก็ได้ยินเสียงเรียกนามของตนเองดังขึ้นมาจากทางด้านหลั
เมิ่งเจียวซินนึกไปถึงนิยายที่เคยอ่าน ซีรีส์จีนที่เคยดู รวมไปถึงเรื่องเล่าประวัติศาสตร์ที่นางเคยได้ยินมา... ถ้าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการแย่งชิงบัลลังก์ ส่วนใหญ่หากเกิดในราชวงศ์ หรือเกิดมามีสายเลือดของผู้ที่ปกครองแว่นแคว้น ชีวิตในวังของโอรสหรือธิดาบางคนก็หาได้สวยหรู หรือได้อยู่อย่างสุขสงบอย่างที่ผู้คนภายนอกคิดไม่ “หมิงจิว เจ้าอาจจะรู้สึกอิจฉาบรรดาผู้ที่ได้เกิดมาพร้อมกับอำนาจ วาสนา หรือยศถาบรรดาศักดิ์แต่ข้าขอบอกเจ้าว่า บ้างครั้งผู้ที่ได้เกิดมาพร้อมกับสิ่งเหล่านั้น อาจจะกำลังรู้สึกอิจฉาเจ้าอยู่ก็ได้นะ” “อิจฉาข้า!” “ใช่” เมิ่งเจียวซินเมื่อได้เห็นสีหน้า รวมไปถึงท่าทางของหมิงจิวที่คล้ายกับกำลังรู้สึกตกใจ และไม่เชื่อถือในสิ่งที่นางกล่าวเมื่อครู่ นางจึงอธิบายต่อว่า
หลี่อวิ้นกุยเงยหน้า แล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อพักสายตาจากการนั่งอ่านรายงานมาครึ่งค่อนวัน จากนั้นเขาก็นึกไปถึงเรื่องของพระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมย... เมื่อเช้าหลังจากหลี่อวิ้นกุยกลับเข้ามาในห้องตำรา เขาก็รีบส่งองครักษ์เงาไปติดตามดูทุกความเคลื่อนไหวของหลี่อวิ้นเหมย รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในตำหนักของเด็กหญิงด้วย ในอดีตที่ผ่านมา อาจจะด้วยเพราะหลี่อวิ้นกุยมองว่า พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยมีสายเลือดฝั่งมารดาของเขาด้วย เขาจึงพยายามอดทน และไว้หน้า ยามที่คนทั้งคู่พยายามเข้าหา เพราะต้องการผลประโยชน์จากเขา แต่หลังจากที่คนทั้งคู่มีส่วนร่วมในการลอบวางยาพิษ และลอบทำร้ายหลี่อวิ้นกุยครั้งล่าสุด เขาก็ไม่คิดจะไว้หน้า หรืออดทนต่อการกระทำของคนทั้งคู่อีก หากไม่เพราะคำพูด และคำขอของเมิ่งเจียวซิน ไม่แน่ยามนี้แม้แต่ลมหายใจ...พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยก็อาจจะไม่มีเหลือแล้วกระมัง
พอเดินเข้าไปในห้องโถง เมิ่งเจียวซินก็เห็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่งหันมาส่งยิ้ม แล้วเดินตรงเข้ามาหาพวกนาง “อวิ้นเหมยน้อมทักพี่สาม” หลี่อวิ้นเหมยพูดพร้อมกับทำความเคารพหลี่อวิ้นกุย “ถวายพระพรองค์หญิงห้า หม่อมฉันเมิ่งเจียวซินเพคะ” เมิ่งเจียวซินทำความเคารพเด็กหญิงตรงหน้า “คุณหนูเมิ่งไม่ต้องมากพิธีกับ...” หลี่อวิ้นเหมยหยุดพูดกลางคัน เพราะในขณะที่เด็กหญิงเดินเข้าไปหมายจะจับมือเมิ่งเจียวซิน หลี่อวิ้นกุยที่ยืนอยู่ข้างกายสตรีตรงหน้า ก็เอื้อมมาจับไหล่แล้วดึงฝ่ายตรงข้ามให้ถอยห่าง “คุณหนูเมิ่งเป็นเหมือนกับข้า ที่ไม่ค่อยชินกับการให้ผู้ใดมาแตะเนื้อต้องตัว” “ข้า...เป็นข้าที่คิดน้อยเกินไป ขอพี่สามกับคุณหนูเมิ่งได้โปรดอย่าถือสา” &n
ผ่านไปเกือบสองเค่อที่ภายในห้องพักปกคลุมไปด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงขีดเขียนพู่กัน กับเสียงลมหายใจของสองคนที่อยู่ในนั้น แล้วในขณะที่ความรู้สึกประดักประเดิดเกิดขึ้นกับคนทั้งสองในห้อง เสียงของฝูกงกงก็ดังแว่วเข้ามาว่า “องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงห้าหลี่อวิ้นเหมยมาขอเข้าพบพระองค์ และขอเข้าเยี่ยมว่าที่พระชายา ยามนี้องค์หญิงห้านั่งรออยู่ที่ห้องโถงพ่ะย่ะค่ะ” “ไปบอกองค์หญิงห้า วันนี้ข้ากับว่าที่พระชายาไม่สะดวก...” ตอบมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วหันไปมองรอยแดงบนต้นคอของเมิ่งเจียวซิน ยามนี้ร่องรอยจากฝีมือของเขาได้จางหายไปเกือบหมดแล้ว หลี่อวิ้นกุยจึงเอ่ยถามเมิ่งเจียวซินว่า “ซินซิน พรุ่งนี้เจ้าสะดวกใจให้น้องห้าเข้าพบหรือไม่?” “สะดวก”
เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นมามองหลี่อวิ้นกุย นางยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ไม่ทันได้ตอบรับ หรือปฏิเสธ อีกฝ่ายก็กล่าวขึ้นมาต่อว่า “เรื่องยาบรรเทาอาการจากยาพิษค่ำคืนเหมันต์ ก็อย่างที่ข้าเคยรายงานผลให้เจ้าฟังว่า ยาของเจ้าบรรเทาอาการจากยาพิษได้ดีมาก ซึ่งตอนนี้ยาที่เจ้าให้ข้านำมาทดลองได้หมดจากร้านขายยา ที่ข้าให้คนนำไปปล่อยได้สักพักแล้ว ยามนี้เหล่าผู้ที่มียาพิษค่ำคืนเหมันต์อยู่ในกาย ก็เริ่มส่งคนไปตะเวนหาซื้อยา บางคนถึงขั้นจ้างคนไปตะเวนหาผู้ที่ปรุงยาตัวนี้ขึ้นมาแล้วด้วย ซินซิน ข้าจึงอยากถามเจ้าว่า หากข้าจะขอสูตรยาตัวนี้จากเจ้ามาปรุงขาย เจ้าจะสะดวกใจหรือไม่? ที่ข้าถามเช่นนี้ เพราะตอนนี้ข้ามีทั้งสถานที่ ผู้ที่มีความสามารถในการปรุงยา รวมไปถึงแหล่งหาสมุนไพรที่จะใช้ปรุง ซึ่งกำไรได้จากการขายยา ข้าจะยกให้เจ้าทั้งหมด แล้วเจ้าก็ไม่ต้องกลัวว่า ส
หลังจากนั้นบุรุษไร้ยางอายก็เดินออกไปจากห้องพักของเมิ่งเจียวซิน ผ่านไปไม่ถึงสองเค่อหลี่อวิ้นกุยก็กลับเข้ามาพร้อมกับเหล่าขันที และองครักษ์สตรีทั้งสองของนาง โดยผู้คนเหล่านั้นต่างก็ช่วยกันทยอยขนโต๊ะทำงาน หนังสือ หีบเอกสาร แท่นวางพู่กัน รวมไปถึงอุปกรณ์สำหรับเขียนอื่น ๆ เข้ามาวางในห้องพักของนาง เมิ่งเจียวซินรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่อันลี่กับอันเหมยยินยอมให้หลี่อวิ้นกุยทำเช่นนี้ได้ แล้วยังช่วยเหล่าขันทีทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ โดยไม่แม้แต่จะเอ่ยคัดค้าน หรือพยายามเข้ามาเกลี่ยกล่อมนาง แล้วในระหว่างที่ผู้คนช่วยกันทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ เข้ามา เมิ่งเจียวซินก็รับรู้ได้ถึงสายตาของสององครักษ์สตรีที่เหลือบมองมาทางนางอยู่บ่อยครั้ง พอหันกลับไปมอง...แล้วเห็นสีหน้า และท่าทีของคนทั้งสอง นางก็พอจะเดาได้ทันทีว่า คนทั้งคู่ต้องการให้นางทำสิ่งใด แต่เพราะเป็นตัวนางเองที่เอ่ยปากอนุญาต ยามนี้เมิ่งเจียวซินจึงทำได้เพ
รุ่งเช้า เมิ่งเจียวซินลืมตาขึ้นมา บุรุษที่นอนอยู่ข้างกายนางทั้งคืนได้แอบออกจากห้องพักไปแล้ว โดยหลี่อวิ้นกุยได้หยิบเอาชุดที่ขาดวิ่นของนางติดมือออกไปด้วย หลังจากเมิ่งเจียวซินจัดการดูแลตัวเองเสร็จ นางก็เดินมานั่งลงที่หน้ากระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นนางก็จัดแต่งทรงที่สามารถปล่อยผมลงมาครึ่งศีรษะ แล้วเดินไปรื้อหาอาภรณ์ที่คอตั้ง หรือคอสูงมาสวมใส่ แต่ไม่ว่าจะสวมใส่อาภรณ์ที่คอสูงขนาดไหน อย่างไรมันก็ไม่สามารถปกปิดรอยแดงช้ำ ที่ต้นคอของนางได้หมดทุกรอยอยู่ดี “เห็นทีข้าคงต้องแกล้งป่วยสักสามวัน!” เมิ่งเจียวซินนั่งวางแผนแกล้งป่วยให้กับตัวเอง พอคิดออก...นางก็รีบไปเอากลอนที่ประตูห้องพักลง จากนั้นจึงเดินกลับมาล้มตัวลงนอนบนเตียง พร้อมกับดึงผ้าขึ้นมาห่มจนถึงปลายคาง ตอนนี้เมิ่งเจียวซินรู้สึกว่า โชคดีที่นางขอความเป็นส่วนตัวในห้องพัก
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วขยับเข้าไปนั่งพิงหัวเตียง จากนั้นก็ดึงสตรีข้างกายให้ลงมาซบที่แผงอกของตัวเอง ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบเส้นผมนุ่ม พร้อมกับเล่าต่อว่า “ซินซิน การที่ข้าต้องการปลดปีศาจทุกตนในตระกูลเฉินออกจากราชการ ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องความแค้นส่วนตัว แต่อีกส่วนก็เพราะตระกูลเฉินต่อหน้าทำเป็นสรรเสริญราชาปีศาจ แต่ลับหลังกลับคอยยุแยงปีศาจเผ่าอื่น ๆ ให้กระด้างกระเดื่องต่อการปกครองของคนเผ่ามาร แล้วหลังจากที่ข้าส่งคนไปคอยติดตาม เพื่อหาหลักฐานการกระทำผิดเพิ่มเติม ข้าก็ได้รู้ว่า ปีศาจตระกูลนี้ได้ลักลอบแลกเปลี่ยนอัญมณีต้องห้าม และยังมีความผิดซุกซ่อนอยู่อีกหลายอย่าง แต่...ถึงแม้ยามนี้จะมีหลักฐานเพียงพอให้เอาผิด ทว่าการที่จะปลดขุนนางระดับสูงออกจากตำแหน่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ เพราะมันเชื่อมโยงไปถึงขั้วอำนาจแล้วอีกอย่างไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ก็เพิ่งจะมีการแต่งตั้งที่มีผลต่อขั้วอำนาจไปแล้วถึงสองครั้ง
เมิ่งเจียวซินหลังจากต้องนั่งกดข่มความรู้สึกเจ็บ และข่มกลั้นความรู้สึกอาย จนการทายาที่ยาวนานสิ้นสุดลงไปได้ พอสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จ นางก็สังเกตเห็นว่า หลี่อวิ้นกุยยังคงนั่งมองมาที่รอยแดงบนต้นคอของนาง แล้วด้วยสีหน้า และสายตาของเจ้าตัว ทำให้นางรู้ว่า อีกฝ่ายยังรู้สึกผิดกับเรื่องที่เพิ่งผ่านมา เมื่อฝ่ายตรงข้ามเงยหน้าขึ้นมา แล้วเห็นว่า นางกำลังจ้องมองอยู่...เจ้าตัวก็รีบก้มหน้า หลบตา ซึ่งในขณะนั้นเมิ่งเจียวซินก็สังเกตเห็นว่า ริมฝีปากของหลี่อวิ้นกุยยังคงมีเลือดไหลซึมออกมา นางจึงกล่าวว่า “กุยกุย เงยหน้าขึ้นมา” พอเห็นบุรุษตรงหน้ายอมทำตามที่นางบอก เมิ่งเจียวซินจึงขยับเข้าไปใกล้ ก่อนจะจับปลายคางของหลี่อวิ้นกุยเอาไว้ แล้วเริ่มลงมือเช็ดคราบเลือด จากนั้นบาดแผลขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ก็ปรากฏสู่สายตาของนาง... แม้เมิ่งเจียวซินจะรู้ดีว่า ร่างกายของหลี่
หลี่อวิ้นกุยเงยหน้าขึ้นมองเมิ่งเจียวซิน เขาอยากดึงนางเข้ามาโอบกอด แต่ก็ไม่กล้า...จึงเอ่ยถามเสียงสั่นว่า “ซินซิน ข้า...ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้อยาก...” หลี่อวิ้นกุยพูดต่อไม่ออก เพราะถึงแม้เขาจะไร้ซึ่งสติ แต่ทุกสิ่งที่เขาทำกับเมิ่งเจียวซินล้วนเกิดขึ้นจากความปรารถนาที่ซุกซ่อนอยู่ภายในใจทั้งนั้น โชคดีที่เสียงร้องไห้ของนางหยุดเขาเอาไว้ได้ทัน ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด หากเขาจะแก้ตัวว่า...มันเกิดขึ้นเพราะยา จึงกลายเป็นเรื่องน่าขัน ยามนี้หลี่อวิ้นกุยรู้สึกหวาดกลัว เขากลัวเมิ่งเจียวซินจะเลิกให้ความรัก เลิกไว้ใจ และเลิกเชื่อใจกัน “ซินซิน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าจะตีข้า จะโกรธ หรือจะลงโทษข้าอย่างไรก็ได้ แต่เจ้า...อย่าเลิกรักข้า อย่าเกลียดข้าได้หรือไม่?” เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นไปมองหลี่อวิ้นกุย ยามนี้อีกฝ่ายกำลังนั่งคุกเข่าน้ำต