เมิ่งเจียวซินเห็นเจ้าลูกกระรอกหันกลับมามองภาพวาดครอบครัวตามความรู้สึกของนาง ก่อนจะเงยใบหน้าที่คล้ายกับจะยังรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาจ้องหน้านาง จากนั้นเจ้าตัวก็อ้าปากราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่สุดท้ายก็สะบัดใบหน้ากลับไปจ้องภาพวาดครอบครัวตามความรู้สึกของเจ้าตัวอีกครั้ง
เมื่อเห็นเช่นนั้น เมิ่งเจียวซินก็นึกไปถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้
“กุยกุย ข้ามีเรื่องหนึ่งจะเล่าให้เจ้าฟัง ข้าเคยวาดวงกลมแบบนี้ให้กับเด็กสิบสองหนาวคนหนึ่ง...
เด็กคนนั้นสูญเสียมารดาไปได้ไม่ถึงปี ผู้เป็นบิดาก็หนีไปแต่งงานสร้างครอบครัวกับสตรีคนใหม่ โดยทิ้งให้เด็กคนนั้นอยู่กับลูกแมวน้อยหนึ่งตัวในเรือนหลังเก่า นาน ๆ ครั้งผู้เป็นบิดาถึงจะนำเงิน และของกินของใช้เข้ามาให้
เด็กคนนั้นเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของผู้เป็นบิดาและมารดา ซึ่งญาติคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะฝั่งมารดาหรือบิดา หลังจากจ
ช่วงบ่ายของวันถัดมา หมิงจิวได้พาสตรีในหมู่บ้านคนหนึ่งมาที่เรือน เพื่อขอให้เมิ่งเจียวซินช่วยรักษา ซึ่งนางก็ได้ตอบรับคำขอของอีกฝ่าย แล้วในระหว่างที่ทำการรักษาเจ้าลูกกระรอกก็ต้องเข้าไปหลบในห้องพักของนางเหมือนทุกครา หลี่อวิ้นกุยเมื่อกลับเข้ามาในห้อง เขาก็เรียกจิ่นสือเข้ามาสอบถามความคืบหน้าของงานที่สั่งไป แล้วเมื่อเขาได้ยินว่าบ่าวสตรีของเมิ่งเจียวซินยามออกไปนอกเรือน อีกฝ่ายได้เข้าไปทำงานในหอโคมเขียว เขาก็อดที่จะรู้สึกดูแคลนบ่าวสตรีนางนี้ขึ้นมาไม่ได้ เพราะถึงแม้ว่าบ่าวสตรีจะแทบไม่มีหนทางให้เลือกเดิน แต่การที่อีกฝ่ายได้เข้ามาเป็นบ่าวในเรือนหลังนี้ แล้วมีเมิ่งเจียวซินเป็นนาย แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับดิ้นรนพาตนเองเข้าไปอยู่ในสถานที่แห่งนั้น มันช่างเป็นการตัดสินใจที่แสนจะโง่เง่าสิ้นดี แล้วหลังจากนั้นหลี่อวิ้นกุยก็ได้รับรู้ว่า สตรีปีศาจที่มาพร้อมกับบ่าวสตรีนางนั้น ก็เป็นสตรีในหอโคมเขียวไม่ต่างกัน ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึ
หลังจากจัดการดูแลตัวเองเสร็จ เมิ่งเจียวซินก็เดินกลับเข้ามาในห้องพัก ยามนี้บนเตียงของนางมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งกำลังนั่งพิงหัวเตียงอ่านตำราอยู่ เมื่อเห็นเช่นนั้นนางจึงเดินไปหยิบตำราที่วางอยู่บนโต๊ะกลมกลางห้อง ก่อนจะขึ้นไปนั่งพิงหัวเตียงข้างเด็กหนุ่มผู้นั้น จากนั้นนางก็กล่าวขึ้นว่า “กุยกุย ในเมื่อยามนี้เจ้าสามารถกลับไปอยู่ในร่างตั้งต้นได้แล้ว ข้าว่า...” แค่ก แค่ก! แค่ก! “ซินซิน เมื่อหัวค่ำข้าลืมบอกเจ้า หลังจากที่ข้าอาบน้ำเสร็จ ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีเลย” พูดจบ หลี่อวิ้นกุยก็หันหน้ากลับไปทางฝั่งด้านในเตียง แล้วพยายามที่จะไอต่อ “จริงหรือ?” “อืม!” แค่ก! แค่ก! แค่ก!! “เช่นนั้นพรุ่
หลี่อวิ้นกุยยื่นขาหน้าทั้งสองข้างออกไปรับถังหูลู่มากัดกิน ยามนี้เขาอยากรู้ว่า ผลซานจาเคลือบน้ำตาลร้านนี้มันมีอะไรดี เหตุใดสตรีตรงหน้าจึงทำราวกับว่าไม่เคยกิน แล้วเมื่อเขากัด...พร้อมกับมองดวงหน้าของนาง ‘อืม...มันก็อร่อยดี’ หลังจากกินถังหูลู่หมด เมิ่งเจียวซินก็เดินเข้าไปถามพ่อค้าหาบเร่ “ท่านลุงเจ้าคะ คือ ข้าอยากได้ชุดบุรุษแบบสำเร็จรูปสักสองสามชุด ท่านลุงพอจะมีร้านแนะนำข้าบ้างหรือไม่เจ้าคะ?” “มีอยู่ร้านหนึ่งตรงหัวมุมถนน ร้านนี้ขายของในราคายุติธรรมขอรับ” “ขอบคุณเจ้าค่ะ” แล้วเมื่อเห็นเมิ่งเจียวซินเดินห่างออกมาพอสมควร หลี่อวิ้นกุยจึงเอ่ยถามอีกฝ่ายว่า “ซินซิน เจ้าจะซื้อชุดบุรุษให้ข้
“คุณหนู ข้าขอเสียมารยาทนะเจ้าคะ คือ...ข้าขอแนะนำเป็นกำไลหยกวงนี้ให้กับคุณหนู สตรีอย่างเราไม่ควรจะปล่อยแขนให้โล่งเช่นนี้นะเจ้าคะ” เมิ่งเจียวซินหันไปมองกำไลหยกสีเขียวในมือสตรีเจ้าของร้าน ซึ่งขนาดและความหนาของหยกพอ ๆ กับวงที่เจ้าของร่างนี้คนเดิมเคยสวมใส่ นางจึงหยิบจากมือของอีกฝ่ายขึ้นมาลองทาบกับข้อมือของตนเองด้วยความรู้สึกสนใจ หลี่อวิ้นกุยเพิ่งสังเกตเห็นว่า บนร่างกายของเมิ่งเจียวซินไม่มีเครื่องประดับเลยแม้แต่ชิ้นเดียว แล้วเมื่อเขาหันไปมองกำไลหยกที่สตรีเจ้าของร้านยื่นให้นางดู แม้ว่ากำไลหยกวงนั้นจะดูงดงามยามทาบลงบนข้อมือของนาง แต่เขากลับรู้สึกว่า กำไลหยกวงนั้นมันยังไม่เหมาะสมกับนาง เขาจึงหันไปมองกำไลหยกที่วางเรียงรายอยู่บนแผง... “ซินซิน ข้าว่า...กำไลหยกสีขาวที่วางอยู่ตรงหัวมุมโต๊ะด้านซ้ายมือของเจ้า มันน่าจะเหมาะกับเจ้ามากกว่านะ” หลี่อวิ้นกุยขยับเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของ
เมิ่งเจียวซินเมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสที่เกินพอดีของสตรีเจ้าของร้าน นางก็เริ่มสงสัยว่า หรือนางกำลังถูกหลอกให้ซื้อของ แต่ก็ช่างเถิด...เพราะที่จริงแล้ว เจ้าของร่างนี้คนเดิมก็มีเครื่องประดับทั้งจากสินเดิมของผู้เป็นมารดา และจากที่บิดาซื้อมาให้เป็นของฝาก แต่เพราะเจ้าของร่างนี้คนเดิมไม่ค่อยได้ออกจากเรือน เจ้าตัวจึงเลือกเก็บของทุกอย่างที่ได้มาไว้ในหีบ แล้วเลือกใส่เพียงกำไลหยกติดตัวแค่วงเดียวเท่านั้น จากนั้นเมิ่งเจียวซินก็สวมกำไลหยกขาวเข้าไปในข้อมือของตนเอง แล้วการที่นางเลือกสวมกำไลหยกในทันทีนั้น ก็เพราะว่าสตรีที่อยู่รอบกายต่างก็สวมกำไล หรือไม่ก็ใส่สร้อยข้อมือกันทุกคน ซึ่งทำให้เมิ่งเจียวซินรู้ว่า หลังจากนี้นางคงต้องทำตัวให้ชินกับการสวมกำไลหยกเอาไว้แบบนี้ตลอดเวลา แล้วเมื่อกำไลหยกสัมผัสถูกผิวหนังบริเวณข้อมือของนาง ก็ทำให้เมิ่งเจียวซินรู้สึกได้ถึงความเย็น ซึ่งในขณะที่นางกำลังสนใจกำไลหยกบนข้อมืออยู่นั้น นางก็ได้ยินเสียงเรียกนามของตนเองดังขึ้นมาจากทางด้านหลั
เมิ่งเจียวซินนึกไปถึงนิยายที่เคยอ่าน ซีรีส์จีนที่เคยดู รวมไปถึงเรื่องเล่าประวัติศาสตร์ที่นางเคยได้ยินมา... ถ้าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการแย่งชิงบัลลังก์ ส่วนใหญ่หากเกิดในราชวงศ์ หรือเกิดมามีสายเลือดของผู้ที่ปกครองแว่นแคว้น ชีวิตในวังของโอรสหรือธิดาบางคนก็หาได้สวยหรู หรือได้อยู่อย่างสุขสงบอย่างที่ผู้คนภายนอกคิดไม่ “หมิงจิว เจ้าอาจจะรู้สึกอิจฉาบรรดาผู้ที่ได้เกิดมาพร้อมกับอำนาจ วาสนา หรือยศถาบรรดาศักดิ์แต่ข้าขอบอกเจ้าว่า บ้างครั้งผู้ที่ได้เกิดมาพร้อมกับสิ่งเหล่านั้น อาจจะกำลังรู้สึกอิจฉาเจ้าอยู่ก็ได้นะ” “อิจฉาข้า!” “ใช่” เมิ่งเจียวซินเมื่อได้เห็นสีหน้า รวมไปถึงท่าทางของหมิงจิวที่คล้ายกับกำลังรู้สึกตกใจ และไม่เชื่อถือในสิ่งที่นางกล่าวเมื่อครู่ นางจึงอธิบายต่อว่า
หลังจากได้ยินคำถาม ซึ่งไม่มีที่มาที่ไปของหมิงจิว เมิ่งเจียวซินจึงหันกลับไปมองอีกฝ่าย เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกโมโหเรื่องเล่าจากในรั้วในวังอยู่หรอกหรือ? แต่เมื่อได้เห็นสายตาที่แสดงออกราวกับว่า อยากจะรู้จริง ๆ จากสหาย นางจึงหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวตอบไปว่า “หากถามว่าเคยคิดหรือไม่? ในวัยเด็กข้าก็เหมือนจะเคยคิดนะ คงอาจจะด้วยเพราะช่วงวัย แล้วก็อาจจะด้วยเพราะความคิดแบบเด็ก ๆ ที่ว่า ตนเองจะได้เข้าไปอยู่ในเรือนหลังใหญ่ จะได้แต่งกายด้วยชุดที่สวยหรู และก็จะได้ชิมอาหารอร่อย ๆ จากโรงเตี๊ยมดัง ๆ ทุกวัน แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความคิดในวัยเยาว์ เพราะข้าในยามนี้ไม่คิดจะนำความสุขที่ตนเองมี ไปแลกกับความสุขที่ได้มาเพียงชั่วคราวแน่นอน” “อะไรคือ ความสุขเพียงชั่วคราว?” หมิงจิวเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังแบบง่าย ๆ ให้เจ้าได้รับรู้ และได้เห็นภาพเลยนะ” พูดจบ เมิ่งเจียวซินก็เอ
เมิ่งเจียวซินก้มมองเจ้าลูกกระรอกบนตัก ตั้งแต่ช่วงบ่ายอีกฝ่ายได้กินเพียงแค่ขนมรองท้องเท่านั้น ไม่แน่ว่า ยามนี้เจ้าตัวอาจจะเริ่มรู้สึกหิวไม่น้อยแล้วก็ได้ นางจึงหยิบขนมในจานส่งไปให้เจ้าลูกกระรอกอีกหนึ่งชิ้น ซึ่งในขณะนั้นคนของโรงเตี๊ยมก็เข้ามาเติมน้ำชาให้กับพวกนางพอดี เมิ่งเจียวซินจึงหันไปสั่งอาหารกับอีกฝ่าย “เสี่ยวเอ้อร์ ข้าขอซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวานกับปลานึ่งซีอิ๊วอย่างละหนึ่งที่ และข้าวสวยจำนวนสองถ้วยด้วยเจ้าค่ะ ชุดนี้ข้ารบกวนจัดใส่ห่อนะเจ้าคะ แล้วก็...ข้ารบกวนห่อขนมแบบจานนี้เพิ่มให้ข้าในชุดอาหารด้วยเจ้าค่ะ” “ได้ขอรับ รอสักครู่นะขอรับ” “เจียวซิน เจ้าอย่าบอกนะว่า...เจ้าจะซื้อไปฝากบ่าวสตรีนางนั้น” หมิงลู่เอ่ยถามเสียงเข้ม “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้าซื้อไปกินเอง” “พี่ใหญ่ข้าขอซื้ออาหาร แล้วฝ
หลังจากเมิ่งเจียวซินกับหลี่อวิ้นกุยลงมือกินซาลาเปา สาลี่ และทับทิมจนหมดแล้ว เมิ่งเจียวซินจึงลุกขึ้นยืน เพื่อเก็บถาด และจานเปล่าใส่ลงไปในตะกร้าใบใหญ่ แล้วในขณะนั้นนางก็รับรู้ได้ถึงวงแขนที่สอดเข้ามาบริเวณรอบเอว ตอนนี้หลี่อวิ้นกุยกำลังโอบกอดนางจากทางด้านหลัง จากนั้นเจ้าตัวก็ซบใบหน้าลงมาที่ไหล่ข้างขวาของนาง “ซินซิน เจ้าไม่อยากรู้หรือว่า ข้าอธิษฐาน และฝากคำพูดถึงมารดาของข้าบนสวรรค์ว่าอย่างไร?” แต่ยังไม่ทันที่เมิ่งเจียวซินจะได้ตอบอะไรกลับไป หลี่อวิ้นกุยก็กล่าวต่อ “ข้าอธิษฐานว่า...ขอมีเจ้าอยู่ข้างกายข้าในทุกวันเกิดหลังจากนี้ และข้าก็กล่าวขอบคุณมารดาที่มอบชีวิตนี้ให้แก่ข้าซินซิน ขอบคุณนะ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา ขอบคุณที่เจ้าจัดเตรียมสิ่งเหล่านี้เพื่อข้า ยามนี้ข้ารู้สึกติดค้าง...” &n
เมิ่งเจียวซินนั่งกอด และคอยลูบหลังลูบไหล่ปลอบประโลมหลี่อวิ้นกุยอยู่เงียบ ๆ โดยนางปล่อยให้บุรุษในอ้อมแขนร้องไห้ระบายความเจ็บปวดที่อยู่ภายในใจออกมา จนเวลาผ่านล่วงเลยไปสักพัก เมิ่งเจียวซินได้ยินเสียงเคาะประตู จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียก เพื่อขออนุญาตเข้ามาในห้องพัก โดยเจ้าของเสียงน่าจะเป็นคนที่นางสั่งให้ไปอุ่นซาลาเปา และเอาสาลี่กับทับทิมออกไปหั่น เมิ่งเจียวซินจึงก้มลงไปมองบุรุษในอ้อมแขน พอเห็นว่ายามนี้อีกฝ่ายเริ่มสงบใจได้บ้างแล้ว นางจึงบอกให้หลี่อวิ้นกุยลุกไปล้างหน้าล้างตา ก่อนจะเอ่ยอนุญาตให้กลุ่มคนที่ยืนอยู่หน้าห้องพักเข้ามาได้ เมิ่งเจียวซินยืนมองคนของหลี่อวิ้นกุยทยอยลำเลียงของเข้ามาจัดวางลงบนโต๊ะกลม ยามนี้ซาลาเปาที่มีสภาพอุ่นร้อนจนหอมกรุ่นได้ถูกจัดวางเป็นรูปภูเขาตามคำสั่งของนาง ส่วนสาลี่กับทับทิมก็ถูกหั่นเรียงซ้อนกันอยู่บนจาน
เมิ่งเจียวซินมองบุรุษตรงหน้า ซึ่งยามนี้ได้ผินใบหน้าของเจ้าตัวไปทางฝั่งผนังห้อง เมื่อครู่นางคงทำถูกแล้วสินะ ที่ไม่ได้เอ่ยคำว่า ‘สุขสันต์วันเกิด’ออกไป เนื่องจากวันเกิดของอีกฝ่าย มันคือวันที่มารดาของเจ้าตัวสิ้นใจจากไป แล้วถ้าหากเป็นไปตามเนื้อหาในนิยาย...วันนี้หลี่อวิ้นกุยจะขังตัวเองอยู่แต่ในห้องพัก หากไม่นั่งดื่มสุรา อีกฝ่ายก็จะนั่งกอดเข่าซุกตัวอยู่ที่มุมใดมุมหนึ่งในห้องนี้ เมื่อเช้าตอนที่เมิ่งเจียวซินเห็นหลี่อวิ้นกุยไปหานางที่เรือนพักชั่วคราว ยามนั้นนางรู้สึกตกใจมาก แต่เมื่อสังเกตเห็นถึงความสั่นไหวในแววตาของอีกฝ่าย นางจึงตัดสินใจยอมทำตามที่หลี่อวิ้นกุยต้องการ แม้การตอบสนองต่อเหตุการณ์ในบางเรื่องของเจ้าตัว จะทำให้นางรู้สึกโมโหบ้าง แต่ก็ด้วยเพราะเมิ่งเจียวซินคอยเฝ้ามองบุรุษตรงหน้าแทบจะตลอดเวลา นางจึงรับรู้ และสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดใจที่ซุกซ่อนอยู่ในทุกการกระทำของหลี่อวิ้นกุย
เมิ่งเจียวซินเผลอมองท่าทียั่วยวนของหลี่อวิ้นกุยไปชั่วขณะ จากนั้นนางก็รีบดึงสติของตัวเองกลับมา แล้วกล่าวว่า “ไม่!” “เจ้าไม่ลองคิดก่อนตอบสักหน่อยหรือ...ซินซิน?” “กุยกุย เจ้านี่ช่าง!” เมิ่งเจียวซินพยายามปรับลมหายใจ และปรับอารมณ์ของตัวเองให้คงที่ แต่ทว่าในขณะนั้น... “หึ ๆ” “เจ้าหัวเราะ! กุยกุย นี่เป็นครั้งแรกเลยนะ ที่ข้าได้ยินเสียงหัวเราะของเจ้า” กล่าวจบ เมิ่งเจียวซินก็เห็นบุรุษตรงหน้านิ่งไปชั่วขณะ แล้วเจ้าตัวก็เบือนหน้าหลบสายตา จากนั้นนางก็ได้เห็นริ้วสีแดงพาดผ่านใบหน้า และใบหูของหลี่อวิ้นกุย ก่อนที่อีกฝ่ายก็กล่าวขึ้นว่า “ตั้งแต่เกิดมา ข้าก็เพิ่งเคยหัวเราะแบบนี้เป็นครั้งแรก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเมิ่งเจียวซินก็หยุดชะงักไปชั่วขณะ เพราะนางนึกไปถึงบทบรรยายในนิยายของอาหวง... ซึ่งเป็นช่วงที่หลี่อวิ้นกุยพระเอกของนิยายเรื่องนี้รู้ตัวแล้วว่า ไม่อาจถอนยาพิษค่ำคืนเหมันต์ออกจากร่างกายได้ แต่เขาก็โชคดีที่ในระหว่างการเดินทางกลับมายังวังราชาปีศาจ เขาได้พบกับหมอท่านหนึ่ง ซึ่งอีกฝ่ายสามารถปรุงยาที่มีฤทธิ์ช่วยลดอาการเจ็บปวดจากยาพิษให้กับเขาได้ หลี่อวิ้นกุยพระเอกของนิยายเรื่องนี้จึงเชิญหมอท่านนั้นเข้ามาพักที่ตำหนัก ในระหว่างที่เจ้าตัวลงมือปรุงยาให้กับเขา แต่ทว่าหมอท่านนั้นกลับถูกนักฆ่าลอบเข้ามาทำร้ายถึงในตำหนัก แล้วก่อนที่เจ้าตัวจะสิ้นใจจากไป ก็ได้มอบสูตรปรุงยาลดอาการเจ็บปวดจากยาพิษค่ำคืนเหมันต์ให้กับหลี่อวิ้นกุยพระเอกของนิยายเรื่องนี้ โดยแลกกับการที่อีกฝ่ายจะต้องรับบุตรเพียงคนเดียวของเจ้าตัวเข้ามาอยู่ในความดูแล โดยในยามนั้นหลี่อวิ้นกุยพระเอกของนิยายเรื่องนี้ก็ได้ตกปา
เมิ่งเจียวซินพอเดินเข้าไปในห้องพักของหลี่อวิ้นกุย นางก็เลือกไปนั่งที่เก้าอี้ของชุดโต๊ะกลมกลางห้อง จากนั้นหลี่อวิ้นกุยก็ตามมาคุกเข่าทั้งสองข้างลงอยู่ตรงหน้านาง แล้วยังไม่ทันที่เมิ่งเจียวซินจะได้เอ่ยห้าม อีกฝ่ายก็โน้มตัวเข้ามาโอบกอดช่วงเอวของนาง แล้วกล่าวว่า “ซินซิน ข้าขอโทษ...ข้าขอโทษที่ล่วงเกินเจ้าทั้งทางร่างกาย และทางวาจา ข้าขอโทษที่ตัดสินใจทำเรื่องต่าง ๆ โดยไม่ถามความสมัครใจของเจ้าก่อน แล้วข้าก็ขอโทษที่ยัดเยียดตัวเองให้กับเจ้าเช่นนั้น แต่ข้าต้องทำ เพราะข้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ อย่างที่เจ้ารับรู้ไปเมื่อครู่...ทางวังได้ฤกษ์วันทำพิธีอาบแสงจันทร์ของข้ามาแล้ว ซึ่งมันก็เท่ากับว่า ได้ฤกษ์วันมงคลสมรสของข้ามาด้วย ชีวิตนี้ข้าก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่า จะมีเพียงหนึ่งภรรยา ซึ่งภรรยาของข้าก็ต้องเป็นเจ้าเท่านั้น แล้วก็ด้วยเพราะคำพู
เมิ่งเจียวซินลอบถอนหายใจออกมาเล็กน้อย หลังจากได้ยินคำตอบของหลี่อวิ้นกุย แต่ทว่าคำตอบต่อมาของอีกฝ่าย ทำให้นางแทบอยากจะหายไปจากตรงนี้! “ส่วนเรื่องพิธีอาบแสงจันทร์ ที่ลูกยินยอมเข้าทำพิธี ก็เพียงเพราะต้องการทำให้เสด็จพ่อ และคนอื่น ๆ สบายใจเท่านั้น ลูกหาได้สนใจเรื่องเพิ่มพลังหยางจากพิธีนั้นไม่ อีกอย่างพลังที่ลูกมีอยู่ในกายยามนี้ มันก็เพียงพอที่จะใช้ปกป้องคุ้มครองคนที่ลูกรักได้แล้ว นี่ยังไม่รวมวรยุทธ และความสามารถด้านอื่น ๆ ของลูกนะพ่ะย่ะค่ะ ซึ่งลูกขอบอกกับเสด็จพ่อตามตรง หลังจากผ่านเหตุการณ์โดนวางยาพิษครั้งล่าสุด มันสอนให้ลูกรู้ว่า ไม่ควรทุ่มเวลาไปกับการเพิ่มฐานพลังในร่างกายเพียงอย่างเดียว เพราะยามที่เรียกใช้พลังไม่ได้ ลูกก็ไม่ต่างไปจากบุรุษมนุษย์ธรรมดา หลังจากนี้ลูกจึงคิดจะแบ่งเวลาให้กับการฝึกวรยุทธ และการฝึกความสามารถด้านอื่น ๆ เพิ่มพ่ะย่ะค่ะ แล้วที่จริงเมื่อครู่...หากคุณหน
หลังจากได้ยินคำพูดของสตรีตรงหน้า หลี่อวิ้นกุยก็หยุดชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะขยับเข้าไปถามนางใกล้ ๆ “ซินซิน เมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ?” เมิ่งเจียวซินมองไปที่หลี่อวิ้นกุย ก่อนจะยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ข้าบอกว่า ข้ายินดีแต่งงานกับเจ้า” คงด้วยเพราะคำถามเมื่อครู่ของหลี่อวิ้นกุย จึงทำให้เมิ่งเจียวซินนึกไปถึงช่วงเวลาที่นางเผชิญหน้ากับโรคระบาดในโลกใบเดิม... โดยช่วงแรกที่โรคระบาดแพร่เข้ามาในประเทศ ยามนั้นผู้ป่วยทุกคนต้องแยกจากคนรัก แยกจากคนในครอบครัว แล้วต้องไปกักตัวตามสถานพยาบาลต่าง ๆ ซึ่งสำหรับผู้ป่วยบางคนการแยกออกมากักตัวในครั้งนั้น มันคือ...การลาจากตลอดกาล ในช่วงเวลาสุดท้ายของผู้ป่วยบางคนนั้นไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้เห็นหน้า หรือบอกลาคนที่ตัวเองรักเลยด้วยซ้ำ พอเมิ่งเจียวซินมองย้อนกลับมาที่เรื่องของนางกั
หลี่อวิ้นกุยจ้องมองตะกร้าใบใหญ่ ก่อนจะเงยหน้ากลับขึ้นมามองเมิ่งเจียวซิน เมื่อคืนที่ไฟในห้องพักของนางไม่ดับ เป็นเพราะนางทำของที่อยู่ในตะกร้าให้เขาเช่นนั้นหรือ? ความรู้สึกหงุดหงิดใจที่ทำได้แค่เพียงเฝ้ามองห้องพักของนาง และความรู้สึกเจ็บปวดที่ถูกสตรีตรงหน้าทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับเขาเมื่อคืน ก็ดูเหมือนจะทุเลาลง แต่พอหลี่อวิ้นกุยนึกไปถึงองครักษ์ของโจวหลิวอิงที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก จนทำให้เขาไม่อาจลอบเข้าไปพูดคุยกับสตรีตรงหน้าได้ ถึงแม้ว่า...ในยามนี้จำนวนองครักษ์จะลดลงไปบ้างแล้ว เพราะส่วนหนึ่งต้องตามโจวหลิวอิงไปเข้าเฝ้าราชาปีศาจ ซึ่งที่จริงหลี่อวิ้นกุยได้วางแผนเอาไว้ว่า พอโจวหลิวอิงออกไปเข้าเฝ้าผู้เป็นบิดา ตัวเขาก็จะลอบเข้าไปหาเมิ่งเจียวซินในห้องพัก จากนั้นเขาก็จะ... แต่ในเมื่อคนที่หลี่อวิ้นกุยจะลอบเข้าไปหา ได้ออกมายืนอยู่ที่นี่กับเขาแล้ว