“คุณหนู ข้าขอเสียมารยาทนะเจ้าคะ คือ...ข้าขอแนะนำเป็นกำไลหยกวงนี้ให้กับคุณหนู สตรีอย่างเราไม่ควรจะปล่อยแขนให้โล่งเช่นนี้นะเจ้าคะ”
เมิ่งเจียวซินหันไปมองกำไลหยกสีเขียวในมือสตรีเจ้าของร้าน ซึ่งขนาดและความหนาของหยกพอ ๆ กับวงที่เจ้าของร่างนี้คนเดิมเคยสวมใส่ นางจึงหยิบจากมือของอีกฝ่ายขึ้นมาลองทาบกับข้อมือของตนเองด้วยความรู้สึกสนใจ
หลี่อวิ้นกุยเพิ่งสังเกตเห็นว่า บนร่างกายของเมิ่งเจียวซินไม่มีเครื่องประดับเลยแม้แต่ชิ้นเดียว แล้วเมื่อเขาหันไปมองกำไลหยกที่สตรีเจ้าของร้านยื่นให้นางดู แม้ว่ากำไลหยกวงนั้นจะดูงดงามยามทาบลงบนข้อมือของนาง แต่เขากลับรู้สึกว่า กำไลหยกวงนั้นมันยังไม่เหมาะสมกับนาง เขาจึงหันไปมองกำไลหยกที่วางเรียงรายอยู่บนแผง...
“ซินซิน ข้าว่า...กำไลหยกสีขาวที่วางอยู่ตรงหัวมุมโต๊ะด้านซ้ายมือของเจ้า มันน่าจะเหมาะกับเจ้ามากกว่านะ” หลี่อวิ้นกุยขยับเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของ
เมิ่งเจียวซินเมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสที่เกินพอดีของสตรีเจ้าของร้าน นางก็เริ่มสงสัยว่า หรือนางกำลังถูกหลอกให้ซื้อของ แต่ก็ช่างเถิด...เพราะที่จริงแล้ว เจ้าของร่างนี้คนเดิมก็มีเครื่องประดับทั้งจากสินเดิมของผู้เป็นมารดา และจากที่บิดาซื้อมาให้เป็นของฝาก แต่เพราะเจ้าของร่างนี้คนเดิมไม่ค่อยได้ออกจากเรือน เจ้าตัวจึงเลือกเก็บของทุกอย่างที่ได้มาไว้ในหีบ แล้วเลือกใส่เพียงกำไลหยกติดตัวแค่วงเดียวเท่านั้น จากนั้นเมิ่งเจียวซินก็สวมกำไลหยกขาวเข้าไปในข้อมือของตนเอง แล้วการที่นางเลือกสวมกำไลหยกในทันทีนั้น ก็เพราะว่าสตรีที่อยู่รอบกายต่างก็สวมกำไล หรือไม่ก็ใส่สร้อยข้อมือกันทุกคน ซึ่งทำให้เมิ่งเจียวซินรู้ว่า หลังจากนี้นางคงต้องทำตัวให้ชินกับการสวมกำไลหยกเอาไว้แบบนี้ตลอดเวลา แล้วเมื่อกำไลหยกสัมผัสถูกผิวหนังบริเวณข้อมือของนาง ก็ทำให้เมิ่งเจียวซินรู้สึกได้ถึงความเย็น ซึ่งในขณะที่นางกำลังสนใจกำไลหยกบนข้อมืออยู่นั้น นางก็ได้ยินเสียงเรียกนามของตนเองดังขึ้นมาจากทางด้านหลั
เมิ่งเจียวซินนึกไปถึงนิยายที่เคยอ่าน ซีรีส์จีนที่เคยดู รวมไปถึงเรื่องเล่าประวัติศาสตร์ที่นางเคยได้ยินมา... ถ้าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการแย่งชิงบัลลังก์ ส่วนใหญ่หากเกิดในราชวงศ์ หรือเกิดมามีสายเลือดของผู้ที่ปกครองแว่นแคว้น ชีวิตในวังของโอรสหรือธิดาบางคนก็หาได้สวยหรู หรือได้อยู่อย่างสุขสงบอย่างที่ผู้คนภายนอกคิดไม่ “หมิงจิว เจ้าอาจจะรู้สึกอิจฉาบรรดาผู้ที่ได้เกิดมาพร้อมกับอำนาจ วาสนา หรือยศถาบรรดาศักดิ์แต่ข้าขอบอกเจ้าว่า บ้างครั้งผู้ที่ได้เกิดมาพร้อมกับสิ่งเหล่านั้น อาจจะกำลังรู้สึกอิจฉาเจ้าอยู่ก็ได้นะ” “อิจฉาข้า!” “ใช่” เมิ่งเจียวซินเมื่อได้เห็นสีหน้า รวมไปถึงท่าทางของหมิงจิวที่คล้ายกับกำลังรู้สึกตกใจ และไม่เชื่อถือในสิ่งที่นางกล่าวเมื่อครู่ นางจึงอธิบายต่อว่า
หลังจากได้ยินคำถาม ซึ่งไม่มีที่มาที่ไปของหมิงจิว เมิ่งเจียวซินจึงหันกลับไปมองอีกฝ่าย เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกโมโหเรื่องเล่าจากในรั้วในวังอยู่หรอกหรือ? แต่เมื่อได้เห็นสายตาที่แสดงออกราวกับว่า อยากจะรู้จริง ๆ จากสหาย นางจึงหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวตอบไปว่า “หากถามว่าเคยคิดหรือไม่? ในวัยเด็กข้าก็เหมือนจะเคยคิดนะ คงอาจจะด้วยเพราะช่วงวัย แล้วก็อาจจะด้วยเพราะความคิดแบบเด็ก ๆ ที่ว่า ตนเองจะได้เข้าไปอยู่ในเรือนหลังใหญ่ จะได้แต่งกายด้วยชุดที่สวยหรู และก็จะได้ชิมอาหารอร่อย ๆ จากโรงเตี๊ยมดัง ๆ ทุกวัน แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความคิดในวัยเยาว์ เพราะข้าในยามนี้ไม่คิดจะนำความสุขที่ตนเองมี ไปแลกกับความสุขที่ได้มาเพียงชั่วคราวแน่นอน” “อะไรคือ ความสุขเพียงชั่วคราว?” หมิงจิวเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังแบบง่าย ๆ ให้เจ้าได้รับรู้ และได้เห็นภาพเลยนะ” พูดจบ เมิ่งเจียวซินก็เอ
เมิ่งเจียวซินก้มมองเจ้าลูกกระรอกบนตัก ตั้งแต่ช่วงบ่ายอีกฝ่ายได้กินเพียงแค่ขนมรองท้องเท่านั้น ไม่แน่ว่า ยามนี้เจ้าตัวอาจจะเริ่มรู้สึกหิวไม่น้อยแล้วก็ได้ นางจึงหยิบขนมในจานส่งไปให้เจ้าลูกกระรอกอีกหนึ่งชิ้น ซึ่งในขณะนั้นคนของโรงเตี๊ยมก็เข้ามาเติมน้ำชาให้กับพวกนางพอดี เมิ่งเจียวซินจึงหันไปสั่งอาหารกับอีกฝ่าย “เสี่ยวเอ้อร์ ข้าขอซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวานกับปลานึ่งซีอิ๊วอย่างละหนึ่งที่ และข้าวสวยจำนวนสองถ้วยด้วยเจ้าค่ะ ชุดนี้ข้ารบกวนจัดใส่ห่อนะเจ้าคะ แล้วก็...ข้ารบกวนห่อขนมแบบจานนี้เพิ่มให้ข้าในชุดอาหารด้วยเจ้าค่ะ” “ได้ขอรับ รอสักครู่นะขอรับ” “เจียวซิน เจ้าอย่าบอกนะว่า...เจ้าจะซื้อไปฝากบ่าวสตรีนางนั้น” หมิงลู่เอ่ยถามเสียงเข้ม “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้าซื้อไปกินเอง” “พี่ใหญ่ข้าขอซื้ออาหาร แล้วฝ
“ขอบคุณที่เดินมาส่งนะเจ้าคะ ข้าฝากบอกพี่ชายฟางด้วยว่า ขอให้หายเร็ว ๆ” “ได้” หมิงลู่ตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้กับเมิ่งเจียวซิน จากนั้นเขาก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาแปลก ๆ อีกครั้ง “ไว้เจอกันใหม่นะเจียวซิน” “อืม” “เจ้ารีบเข้าเรือนเถิด พวกข้าจะไปแล้ว” เมิ่งเจียวซินทำเพียงพยักหน้าตอบหมิงลู่ ก่อนจะหันหลัง แล้วเดินเข้าเรือนของตนเอง หมิงลู่ยืนมองส่งเมิ่งเจียวซิน แล้วเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินเข้าเรือนไปแล้ว เขาก็เดินนำน้องสาวไปทางเรือนของพวกตนต่อ “มองไม่วางตาเลยนะเจ้าคะ” หมิงจิวเอ่ยเย้าผู้เป็นพี่ชาย “เจ้านี่!” หมิงล
หลี่อวิ้นกุยลืมตาขึ้นมากลางดึก ยามนี้แม้ทุกสิ่งรอบกายจะยังคงตกอยู่ในความมืด แต่เหตุใดในสายตาของเขาจึงยังเห็นศีรษะ ใบหู เส้นผม ลำคอ ไหล่ ฯลฯ ของสตรีในอ้อมแขนได้อย่างชัดเจน มันช่างน่าแปลก! เพราะตั้งแต่จำความได้ทุกสิ่งที่อยู่รอบกายเขา มันมักจะเต็มไปด้วยความมืดมิดเสมอ ตั้งแต่ในวัยเยาว์ แม้หลี่อวิ้นกุยจะได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนในครอบครัวฝั่งมารดา แต่ชีวิตในสถานที่แห่งนั้นมันช่างเงียบเหงา และเดียวดาย ไร้ซึ่งคำว่า‘ความอบอุ่น’ จากผู้คนที่ได้นามว่าเป็นคนในครอบครัวของเขา แล้วเมื่อเขาเติบใหญ่พอรู้ความ จิ่นโซวก็เข้ามาพูดคุยเพื่อรับตัวเขาจากคนเหล่านั้น โดยหลี่อวิ้นกุยยังจำสีหน้าที่แสดงออกถึงความรู้สึกโล่งใจ ยินดีที่เขากำลังจะจากไป ในวันสุดท้ายที่เขาก้าวเท้าออกมาจากเรือนที่ตนเองถือกำเนิด และเติบโตมาของผู้คนที่ได้นามว่าเป็นคนในครอบครัวของเขาได้อย่างชัดเจน แล้วในวันที่หลี่อวิ้นกุย
เมื่อดึงสติกลับมาได้ หลี่อวิ้นกุยก็รีบขยับเอาร่างกายของตนเองถอยออกมา จากนั้นเขาก็เห็นริมฝีปากของคนตรงหน้ามีรอยช้ำเล็ก ๆ ซึ่งแน่นอนว่า มันเกิดขึ้นจากการถูกเขาจุมพิตเมื่อครู่ หลี่อวิ้นกุยรีบดีดตัวลุกขึ้นมานั่ง จากนั้นเขาก็คิดจะลงไปเอายามาทาบริเวณริมฝีปากตรงจุดที่เกิดรอยช้ำให้กับนาง แต่เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่า หากเมิ่งเจียวซินตื่นขึ้นมา แล้วรับรู้ได้ถึงยาที่เขาทาให้กับนางล่ะ? หลังจากนั่งชั่งใจมาสักพัก หลี่อวิ้นกุยก็ยื่นนิ้วมือเข้าไปลูบไล้และนวดคลึง พร้อมกับก้มลงไปมองริมฝีปากของเมิ่งเจียวซินอีกครั้ง แล้วเมื่อเห็นว่าไม่มีบาดแผล มีเพียงรอยช้ำเล็ก ๆ สี่ห้าจุดเท่านั้น เขาจึงตัดสินใจล้มตัวลงไปนอน แล้วจัดท่านอนให้เป็นท่าที่เขากับนางใช้นอนร่วมกันบนเตียงหลังนี้ทุกคืน โดยคิดเอาไว้ว่า...พรุ่งนี้เช้าเขาค่อยรอดูท่าทีของนางตอนเห็นรอยช้ำ ยามนั้นเขาค่อยคิดอีกทีว่า ควรจะทำเช่นไรต่อ? ซึ่งหลี่อวิ้นกุยไ
เมิ่งเจียวซินนอนส่งมอบพลังหยินให้กับเจ้าลูกกระรอก ซึ่งภายในใจของนางยังคงมีความรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับท่าทีของเด็กหนุ่มติดค้างอยู่ เนื่องจากวันนี้ทั้งวันเจ้าตัวพยายามแย่งงานจากนางไปทำแทบจะทุกอย่าง แล้วก็ด้วยเพราะความอยากทำงานมาก ๆ ของอีกฝ่าย ตอนนี้ชุดสมุนไพร และยารักษาโรคทั่วไปที่นางตั้งใจจะจัดเตรียมให้กับเจ้าตัว รวมไปถึงผู้คนรอบกายนางได้ถูกจัดใส่ห่อรอที่จะส่งมอบเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตลอดทั้งวันเมิ่งเจียวซินก็พยายามเอ่ยถามเด็กหนุ่มว่าเป็นอะไร แต่ทว่าเจ้าตัวก็ใช้ความเงียบ หรือไม่ก็มักจะเอ่ยของานจากนางขัดขึ้นมาเสียก่อนทุกครั้ง จนผ่านล่วงเลยมาถึงยามนี้...แต่เมิ่งเจียวซินก็หาได้คิดที่จะยอมแพ้ไม่ นางจึงขยับร่างกาย แล้วเอนตัวไปทางด้านหลังเล็กน้อย พร้อมกับเอ่ยถามว่า “กุยกุย คือ...ข้ารู้สึกว่าวันนี้เจ้าขยันแปลก ๆ เจ้าเป็นอะไรหรือไม่? หรือว่า...มีเรื่องอะไรกวนใจเจ้า? เจ้าพอจะ...” ยังไม่ทันที่เมิ่งเจียวซินจะได้พูดจนจบประโยค อีกฝ่ายก็ขยับเข้ามาโอบกอดร่างกายขอ
หลังจากบอกเจ้าลูกกระรอกให้ออกเดินทางกลับไปหาครอบครัวในวันพรุ่งนี้เช้า เมิ่งเจียวซินก็แอบรู้สึกเป็นกังวลอยู่ไม่น้อยเกี่ยวกับเรื่องเสื้อผ้ารวมไปถึงรองเท้าที่เจ้าตัวจะใช้สวมใส่ยามออกเดินทาง เพราะนางไม่อาจพาอีกฝ่ายออกไปหาซื้อในตลาดอย่างที่นัดกันเอาไว้ได้แล้ว ดังนั้นก็เหลือเพียงต้องหยิบยืมของเมิ่งเจียวฉือไปใช้ก่อนเท่านั้น แล้วในขณะที่นางกำลังคิดไม่ตกว่า จะหาทางหลบจูมี่กับซุนเย่ผิงเข้ามาหาของให้อีกฝ่ายได้อย่างไร ซุนเย่ผิงก็หยิบยื่นโอกาสมาให้ด้วยการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ซึ่งในยามนั้นเมิ่งเจียวซินมั่นใจไปถึงแปดในสิบส่วนเลยว่า เจ้าตัวน่าจะต้องการขอออกไปข้างนอก นางจึงรีบเล่นตามน้ำไปกับซุนเย่ผิงทันที แล้วก็ด้วยเพราะการขอออกไปข้างนอกของซุนเย่ผิง ทำให้นางฉวยโอกาสจัดการเรื่องอาหารมื้อเย็นให้กับเจ้าลูกกระรอกไปได้ด้วย ซึ่งพอเหลือเพียงแค่ตัวนางกับจูมี่ เมิ่งเจียวซินก็รีบใช้ข้ออ้าง อย่างเรื่องการอยากให้อีกฝ่ายไปพักผ่อน ซึ่งกว่าที่นางจะส่งจูมี่เข้าห้องพักไปได้...
เมิ่งเจียวซินเดินออกมาถึงห้องโถง คนขับเกวียนกับบุรุษที่มาด้วยกันก็ได้ลำเลียงตะกร้าของฝากเสร็จพอดี นางจึงเดินไปหาคนทั้งคู่ เพื่อจ่ายค่าแรง แต่ทว่าจูมี่ก็รีบขยับเข้ามาขวาง เพราะเจ้าตัวได้จ่ายค่าจ้างพร้อมกับค่าแรงที่ช่วยยกของไปแล้ว เมื่อรู้เช่นนั้นนางจึงเดินนำจูมี่ออกไปส่งบุรุษทั้งสองที่ประตูรั้วด้านหน้าเรือน ในขณะที่ยืนมองเกวียนขับออกไป พวกนางก็เห็นซุนเย่ผิงวิ่งสวนเข้ามาหา จูมี่จึงเอ่ยถามอีกฝ่ายว่า “อาซุนเจ้าไปไหนมา?” “ข้า... คือ ข้าไป...” แม้เมิ่งเจียวซินจะรู้สึกแปลกใจ...ซุนเย่ผิงรู้ได้เช่นไรว่าจูมี่กลับมาแล้ว? แต่พอได้เห็นท่าทีละล่ำละลักคิดหาคำตอบไม่ทันของอีกฝ่าย นางจึงกล่าวสิ่งที่ตนช่วยคิดแก้ต่างแทนเจ้าตัวเอาไว้เมื่อครู่ออกมา “พอดี
หลี่อวิ้นกุยนั่งปรับอารมณ์ตัวเองอยู่สักพัก จากนั้นเขาก็หันไปส่งสัญญาณเรียกจิ่นสือเข้ามาสั่งการ ทว่าผู้ที่เข้ามารับคำสั่งหาได้มีเพียงแค่จิ่นสือ แต่ยังมีจิ่นตั้งที่เข้ามาพร้อมกับผู้เป็นน้องชายด้วย หลังจากสอบถามหลี่อวิ้นกุยก็ได้รู้ว่า จิ่นสือส่งสารไปบอกจิ่นตั้งเรื่องที่เขาสั่งย้ายเจ้าตัวไปเป็นองครักษ์เงาให้กับเมิ่งเจียวซิน จิ่นตั้งจึงรีบออกเดินทางมาเป็นองครักษ์ข้างกายของเขาแทนผู้เป็นน้องชายต่อทันที ซึ่งจิ่นตั้งเพิ่งจะเดินทางมาถึงเมื่อเช้านี้ และกำลังหาจังหวะเข้ามารายงานตัวกับเขาอยู่ แล้วเมื่อได้รับสัญญาณเรียก...จิ่นตั้งเลยตามผู้เป็นน้องชายเข้ามาด้วย จากนั้นคนทั้งสองก็เริ่มรายงานเรื่องที่เขาสั่งให้ไปทำ... เรื่องการแก้แค้น...หลี่อวิ้นกุยได้เลือกทำตามที่เมิ่งเจียวซินเคยขอ โดยเริ่มจากการส่งคนไปสืบหาข้อมูลให้แน่ชัดก่อน จากนั้นเขาก็เลือกลงมือเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้อง และมีส่วนร่วมกับการวางยาพิษเขาครั้งล่าสุดจริง ๆ เท่านั้น ซึ่งยามนี้จิ่นตั
เมิ่งเจียวซินนอนส่งมอบพลังหยินให้กับเจ้าลูกกระรอก ซึ่งภายในใจของนางยังคงมีความรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับท่าทีของเด็กหนุ่มติดค้างอยู่ เนื่องจากวันนี้ทั้งวันเจ้าตัวพยายามแย่งงานจากนางไปทำแทบจะทุกอย่าง แล้วก็ด้วยเพราะความอยากทำงานมาก ๆ ของอีกฝ่าย ตอนนี้ชุดสมุนไพร และยารักษาโรคทั่วไปที่นางตั้งใจจะจัดเตรียมให้กับเจ้าตัว รวมไปถึงผู้คนรอบกายนางได้ถูกจัดใส่ห่อรอที่จะส่งมอบเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตลอดทั้งวันเมิ่งเจียวซินก็พยายามเอ่ยถามเด็กหนุ่มว่าเป็นอะไร แต่ทว่าเจ้าตัวก็ใช้ความเงียบ หรือไม่ก็มักจะเอ่ยของานจากนางขัดขึ้นมาเสียก่อนทุกครั้ง จนผ่านล่วงเลยมาถึงยามนี้...แต่เมิ่งเจียวซินก็หาได้คิดที่จะยอมแพ้ไม่ นางจึงขยับร่างกาย แล้วเอนตัวไปทางด้านหลังเล็กน้อย พร้อมกับเอ่ยถามว่า “กุยกุย คือ...ข้ารู้สึกว่าวันนี้เจ้าขยันแปลก ๆ เจ้าเป็นอะไรหรือไม่? หรือว่า...มีเรื่องอะไรกวนใจเจ้า? เจ้าพอจะ...” ยังไม่ทันที่เมิ่งเจียวซินจะได้พูดจนจบประโยค อีกฝ่ายก็ขยับเข้ามาโอบกอดร่างกายขอ
เมื่อดึงสติกลับมาได้ หลี่อวิ้นกุยก็รีบขยับเอาร่างกายของตนเองถอยออกมา จากนั้นเขาก็เห็นริมฝีปากของคนตรงหน้ามีรอยช้ำเล็ก ๆ ซึ่งแน่นอนว่า มันเกิดขึ้นจากการถูกเขาจุมพิตเมื่อครู่ หลี่อวิ้นกุยรีบดีดตัวลุกขึ้นมานั่ง จากนั้นเขาก็คิดจะลงไปเอายามาทาบริเวณริมฝีปากตรงจุดที่เกิดรอยช้ำให้กับนาง แต่เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่า หากเมิ่งเจียวซินตื่นขึ้นมา แล้วรับรู้ได้ถึงยาที่เขาทาให้กับนางล่ะ? หลังจากนั่งชั่งใจมาสักพัก หลี่อวิ้นกุยก็ยื่นนิ้วมือเข้าไปลูบไล้และนวดคลึง พร้อมกับก้มลงไปมองริมฝีปากของเมิ่งเจียวซินอีกครั้ง แล้วเมื่อเห็นว่าไม่มีบาดแผล มีเพียงรอยช้ำเล็ก ๆ สี่ห้าจุดเท่านั้น เขาจึงตัดสินใจล้มตัวลงไปนอน แล้วจัดท่านอนให้เป็นท่าที่เขากับนางใช้นอนร่วมกันบนเตียงหลังนี้ทุกคืน โดยคิดเอาไว้ว่า...พรุ่งนี้เช้าเขาค่อยรอดูท่าทีของนางตอนเห็นรอยช้ำ ยามนั้นเขาค่อยคิดอีกทีว่า ควรจะทำเช่นไรต่อ? ซึ่งหลี่อวิ้นกุยไ
หลี่อวิ้นกุยลืมตาขึ้นมากลางดึก ยามนี้แม้ทุกสิ่งรอบกายจะยังคงตกอยู่ในความมืด แต่เหตุใดในสายตาของเขาจึงยังเห็นศีรษะ ใบหู เส้นผม ลำคอ ไหล่ ฯลฯ ของสตรีในอ้อมแขนได้อย่างชัดเจน มันช่างน่าแปลก! เพราะตั้งแต่จำความได้ทุกสิ่งที่อยู่รอบกายเขา มันมักจะเต็มไปด้วยความมืดมิดเสมอ ตั้งแต่ในวัยเยาว์ แม้หลี่อวิ้นกุยจะได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนในครอบครัวฝั่งมารดา แต่ชีวิตในสถานที่แห่งนั้นมันช่างเงียบเหงา และเดียวดาย ไร้ซึ่งคำว่า‘ความอบอุ่น’ จากผู้คนที่ได้นามว่าเป็นคนในครอบครัวของเขา แล้วเมื่อเขาเติบใหญ่พอรู้ความ จิ่นโซวก็เข้ามาพูดคุยเพื่อรับตัวเขาจากคนเหล่านั้น โดยหลี่อวิ้นกุยยังจำสีหน้าที่แสดงออกถึงความรู้สึกโล่งใจ ยินดีที่เขากำลังจะจากไป ในวันสุดท้ายที่เขาก้าวเท้าออกมาจากเรือนที่ตนเองถือกำเนิด และเติบโตมาของผู้คนที่ได้นามว่าเป็นคนในครอบครัวของเขาได้อย่างชัดเจน แล้วในวันที่หลี่อวิ้นกุย
“ขอบคุณที่เดินมาส่งนะเจ้าคะ ข้าฝากบอกพี่ชายฟางด้วยว่า ขอให้หายเร็ว ๆ” “ได้” หมิงลู่ตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้กับเมิ่งเจียวซิน จากนั้นเขาก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาแปลก ๆ อีกครั้ง “ไว้เจอกันใหม่นะเจียวซิน” “อืม” “เจ้ารีบเข้าเรือนเถิด พวกข้าจะไปแล้ว” เมิ่งเจียวซินทำเพียงพยักหน้าตอบหมิงลู่ ก่อนจะหันหลัง แล้วเดินเข้าเรือนของตนเอง หมิงลู่ยืนมองส่งเมิ่งเจียวซิน แล้วเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินเข้าเรือนไปแล้ว เขาก็เดินนำน้องสาวไปทางเรือนของพวกตนต่อ “มองไม่วางตาเลยนะเจ้าคะ” หมิงจิวเอ่ยเย้าผู้เป็นพี่ชาย “เจ้านี่!” หมิงล
เมิ่งเจียวซินก้มมองเจ้าลูกกระรอกบนตัก ตั้งแต่ช่วงบ่ายอีกฝ่ายได้กินเพียงแค่ขนมรองท้องเท่านั้น ไม่แน่ว่า ยามนี้เจ้าตัวอาจจะเริ่มรู้สึกหิวไม่น้อยแล้วก็ได้ นางจึงหยิบขนมในจานส่งไปให้เจ้าลูกกระรอกอีกหนึ่งชิ้น ซึ่งในขณะนั้นคนของโรงเตี๊ยมก็เข้ามาเติมน้ำชาให้กับพวกนางพอดี เมิ่งเจียวซินจึงหันไปสั่งอาหารกับอีกฝ่าย “เสี่ยวเอ้อร์ ข้าขอซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวานกับปลานึ่งซีอิ๊วอย่างละหนึ่งที่ และข้าวสวยจำนวนสองถ้วยด้วยเจ้าค่ะ ชุดนี้ข้ารบกวนจัดใส่ห่อนะเจ้าคะ แล้วก็...ข้ารบกวนห่อขนมแบบจานนี้เพิ่มให้ข้าในชุดอาหารด้วยเจ้าค่ะ” “ได้ขอรับ รอสักครู่นะขอรับ” “เจียวซิน เจ้าอย่าบอกนะว่า...เจ้าจะซื้อไปฝากบ่าวสตรีนางนั้น” หมิงลู่เอ่ยถามเสียงเข้ม “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้าซื้อไปกินเอง” “พี่ใหญ่ข้าขอซื้ออาหาร แล้วฝ
หลังจากได้ยินคำถาม ซึ่งไม่มีที่มาที่ไปของหมิงจิว เมิ่งเจียวซินจึงหันกลับไปมองอีกฝ่าย เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกโมโหเรื่องเล่าจากในรั้วในวังอยู่หรอกหรือ? แต่เมื่อได้เห็นสายตาที่แสดงออกราวกับว่า อยากจะรู้จริง ๆ จากสหาย นางจึงหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวตอบไปว่า “หากถามว่าเคยคิดหรือไม่? ในวัยเด็กข้าก็เหมือนจะเคยคิดนะ คงอาจจะด้วยเพราะช่วงวัย แล้วก็อาจจะด้วยเพราะความคิดแบบเด็ก ๆ ที่ว่า ตนเองจะได้เข้าไปอยู่ในเรือนหลังใหญ่ จะได้แต่งกายด้วยชุดที่สวยหรู และก็จะได้ชิมอาหารอร่อย ๆ จากโรงเตี๊ยมดัง ๆ ทุกวัน แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความคิดในวัยเยาว์ เพราะข้าในยามนี้ไม่คิดจะนำความสุขที่ตนเองมี ไปแลกกับความสุขที่ได้มาเพียงชั่วคราวแน่นอน” “อะไรคือ ความสุขเพียงชั่วคราว?” หมิงจิวเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังแบบง่าย ๆ ให้เจ้าได้รับรู้ และได้เห็นภาพเลยนะ” พูดจบ เมิ่งเจียวซินก็เอ