“หลี่ชุ่ยฮวา! ปล่อยข้านะ เจ้าคิดจะขบถหรือ?” แม่ม่ายหลิวคล้ายวัวก็มิปาน ออกแรงบิดตัวไม่หยุด“บิดาคนนี้ก็ขบถอยู่ทุกวัน บ้าขึ้นมาแม้แต่ตัวเองก็ยังตี เจ้าน่าจะชินแล้วถึงจะถูก!”ขณะเดียวกันจู่ๆ ฝูอวิ๋นก็รู้สึกโชคดีที่ตนเองมีฉายา “คนบ้า” ไม่ว่าทำอันใดก็สามารถหาข้ออ้างที่ชอบธรรมได้เกิดเรื่องขึ้นก็ใช้ “เป็นบ้า” มาอธิบาย“ลูกชายของเจ้าเกือบบีบคอหลิงจิ่งตาย ทั้งยังผลักหลิงเสวี่ยตกแม่น้ำจนเกือบจนน้ำตาย สองชีวิต เจ้าพูดเถอะจะคิดบัญชีอย่างไร?” เสียงฝูอวิ๋นไม่ดังนัก กลับทำให้คนรู้สึกเย็นเยือกภายในใจอย่างอดไม่ได้“เจ้า เจ้าผายลม! เห็นชัดว่าลูกชายเจ้าแย่งปลาของลูกชายข้า ทั้งสองคนถึงต่อยตีกัน เด็กทะเลาะกัน เจ้ากลับเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก ตบหน้าลูกชายข้าจนบวม เจ้านั่นแหละที่ทำผิดก่อน!”ฝูอวิ๋นดุดันโหดเหี้ยม แม่ม่ายหลิวเองก็ไม่อ่อนแอ“ข้าเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก? เช่นนั้นเหตุใดเจ้าฉวยโอกาสตอนข้าไม่อยู่ วิ่งมาเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กที่บ้านข้ากันเล่า?”“ข้า ข้า...ข้ามาคิดบัญชีกับเจ้า! เป็นลูกชายของเจ้าถือมีดฟันข้า ข้าถึงลงมือ!” สมองแม่ม่ายหลิวทำงานเร็วรี่ผู้ใหญ่ลงมือตีเด็ก มากน้อยอย่างไรก็เสียเปรียบด้านเ
หลิงจิ่งมองฝูอวิ๋นอย่างระแวงแวบหนึ่ง ไม่รู้ทำไม เมื่อได้ยินคำนี้ของนาง เขาไม่มีความกังวลทันทีหมัดสาวใส่ใบหน้าของเสี่ยวหู่อย่างหนักหน่วงหลี่เสี่ยวหู่กำลังมองแม่ตัวเองเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ยังไม่ทันตั้งตัว ก็โดนต่อยเสียแล้วเขาทำหน้าผวา ยกหมัดขึ้นแล้วต่อยสวนกลับไปเด็กทั้งสองคนชกต่อยกันอีนุงตุงนังอย่างไรหลิงจิ่งก็เคยเรียนหมัดมวยมาบ้าง หนำซ้ำยังโกรธแค้น จึงปะทุกำลังที่แข็งแกร่งเพียงไม่นาน ก็คร่อมหลี่เสี่ยวหู่ไว้ใต้ร่าง กำหมัดน้อยแน่นแล้วสาวหมัดใส่หน้าเขาไม่ยั้งหลี่เสี่ยวหู่สู้ไม่ได้ จึงแหกปากร้องไห้เสียงดัง ตะโกนเรียกหาพ่อร้องหาแม่แม่ม่ายหลิวถูกฝูอวิ๋นบีบลำคอเอาไว้ จึงส่งเสียงครางแต่พูดไม่ออกพวกผู้ชมไม่เพียงไม่ห้าม แทบจะปรบมือดีใจด้วยซ้ำ!เจ้าเด็กเวรคนนี้ ในที่สุดก็ถูกสั่งสอนสักที ช่างสาแก่ใจยิ่งนัก!“หยุดนะ!”ขณะที่ทุกคนกำลังดูอย่างเมามัน ทันใดนั้น มีเสียงตะโกนดังขึ้น ทำให้รอบด้านเงียบสงัดหัวหน้าหมู่บ้านหลี่ต้าเต๋อสวมรองเท้าแตะ วิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบหลิงจิ่งลุกหนีพรวด ฝูอวิ๋นเองก็รีบปล่อยตัวแม่ม่ายหลิวพอแม่ม่ายหลิวลุกขึ้นก็จะเข้าไปถีบหลิงจิ่งทันที แต่ฝูอวิ๋นหูไ
ฝูอวิ๋นโล่งอก คุกเข่าสองชั่วยามแลกกับความสะใจ นางยินดีเมื่อเห็นสายตากังวลของหลิงจิ่ง นางใจอ่อนโดยไม่มีสาเหตุ เจ้าตัวเล็กเป็นห่วงนางหรือ?นางเก็บสมุนไพรที่ตกตรงกำแพง แล้วยื่นให้หลิงจิ่ง “นี่เป็นสมุนไพรรักษาไข้หวัด เจ้าใช้น้ำสองถ้วย ต้มเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป เป่าให้เย็นแล้วป้อนเสี่ยวเสวี่ย ไม่งั้นจะไม่สบาย”นางหันมองหลิงเสวี่ย “เสี่ยวเสวี่ยรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่?”หลิงเสวี่ยร้องไห้จนหน้าลายเหมือนแมว เห็นนางมองตัวเอง ตัวสั่นสะท้าน จับเสื้อหลิงจิ่งไว้แน่นเด็กกลัวแม่มาตั้งหลายปี ฝูอวิ๋นไม่ได้หวังว่าภายในหนึ่งวันจะสามารถกำจัดความกลัวในใจพวกเขาได้นางรีบลุกขึ้น “อาจิ่ง พวกเจ้าใส่กลอนประตูให้ดี นอกจากข้า ห้ามให้ใครเข้าไปทั้งนั้น ในไม่ช้าข้าจะกลับมา หากเสี่ยวเสวี่ยมีสิ่งใดผิดปกติ ให้รีบไปตามข้าที่ศาลบรรพชน”หลิงจิ่งเม้มปากแน่น ในดวงตามีมีประกายน้ำตาคลอเบ้า“อย่าร้องไห้ เรื่องนี้ข้าเองก็มีความผิด มีความผิดก็ต้องรับโทษ แต่ว่าขอแค่ได้แก้แค้นให้เจ้าก็คุ้มค่าแล้ว”ล้วนบอกว่าใจแลกใจ นางไม่เชื่อว่าเด็กน้อยสองคนนี้ จะต้านทานการโจมตีของนางได้พูดจบ ฝูอวิ๋นหันหลังจากไปแม่ม่ายหลิวอยากพาลูก
“นางผลักข้าชนกำแพง แล้วก็เหยียบมือพี่ชาย” หลิงเสวี่ยเอ่ยอย่างรันทด“น่าโมโหนัก! อีกเดี๋ยวน้าเล็กจะด่านางให้หนักเลย! เสี่ยวเสวี่ยยังไม่ได้กินข้าวสินะ? น้าเล็กเอาหมั่นโถวขาวลูกใหญ่มาให้เจ้ากับพี่ชายด้วย”หญิงชั่ว คือสรรพนามของหลี่ชุ่ยฮวามาตลอด ดังนั้น หลี่หรูเยียนจึงทึกทักไปเอง ว่าหญิงชั่วที่หลิงเสวี่ยเอ่ยถึงคือหลี่ชุ่ยฮวานางหยิบหมั่นโถวออกมาจากตะกร้าสองลูก ซึ่งยังอุ่นอยู่ แบ่งให้เด็กทั้งสองคน“ขอบคุณน้าเล็ก” หลิงจิ่งเช็ดมือแล้วรับหมั่นโถวไป จากนั้นลงกลอนประตู กลับไปที่ห้องครัวหลี่หรูเยียนพาหลิงเสวี่ยเข้าไปคุยกันในห้องรับแขก “เสี่ยวเสวี่ย เจ้าชอบน้าเล็กหรือไม่?”“ข้าชอบน้าเล็กที่สุดเลย”“แล้วแม่เจ้าล่ะ?”“ตีคนชั่ว ไปศาลบรรพชนแล้ว”“เฮ้อ...บอกว่าไปศาลบรรพชน ใครจะไปรู้ว่านางจะสงบเสงี่ยมหรือไม่?ท่านพ่อของพวกเจ้าไม่อยู่ ไม่แน่วันใดวันหนึ่งแม่ของพวกเจ้าอาจทิ้งพวกเจ้าไปหาชายชู้ก็ได้น้าเล็กได้ยินมาว่า ชายชู้นั่นร่ำรวยมาก แม่ของเจ้ารังเกียจที่พ่อเจ้ายากจน จึงอยากหาคนรวยสักคน จะได้มีชีวิตสุขสบายเพียงแต่สงสารพวกเจ้าทั้งสอง ที่ต้องมามีแม่อย่างนี้ จึงมีแต่ความลำบาก” หลี่หรูเยียนทำหน
“หลี่ชุ่ยฮวา เจ้ามันคนชั่วช้า เจ้าทำความผิดคนเดียว ทำไมข้าต้องมารับผิดพร้อมเจ้าด้วย?”ศาลบรรพชนแม่ม่ายหลิวด่าทออย่างไม่พอใจ“ไม่อยากคุกเข่าเจ้าก็ไปสิ” ฝูอวิ๋นหลับตา ไม่อยากพูดด้วยแม้แต่คำเดียว หญิงคนนี้พูดมาเหลือเกิน“ไปหรือ? เจ้าพูดง่ายเหลือเกินนะ!”เมื่อพูดออกไป แม่ม่ายหลิวรู้สึกว่าบรรยากาศผิดปกติ จึงรีบทำหน้าตึง แล้วด่าออกไปอย่างหนักหน่วง“เจ้ามันตัวซวย เจ้ามันคนบ้า! ใครใช้ให้เจ้าตีลูกชายข้า สมน้ำหน้าที่โดนลงโทษ! เจ้าว่ามาสิ หลิงหานโจวเจ้าคนไม่เอาไหนนั่น มาเจอคนบ้าอย่างเจ้าแล้ว ทำไมยังไม่หย่ากับเจ้าอีก?”ฝูอวิ๋นยังคงทำไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ขี้เกียจสนใจนางแม่ม่ายหลิวเห็นนางไม่สนใจ ยิ่งโมโหกว่าเดิม จึงพูดเสียงดัง “หรือเจ้าไปฝึกวิชามาจากข้างนอกจริงๆ แล้วปรนนิบัติเขาจนสบายอารมณ์ ดังนั้นเขายอมถูกสวมเขาก็ยังไม่ยอมหย่ากับเจ้า?”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ แม่ม่ายหลิวแผ่ซ่านความอยากรู้อยากเห็นออกมาตั้งแต่หัวจรดเท้าฝูอวิ๋นเหนื่อยใจ จึงเหลือบมองนาง “ทำไม? อิจฉาที่ข้ามีสามีหรือ? ก็ใช่ อย่างเจ้าต่อให้อยากปรนนิบัติ ก็ไม่มีให้ปรนนิบัติ”เมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนั้น สีหน้าแม
กว่าแม่ม่ายหลิวจะรู้สึกตัว โต๊ะบูชาติดไฟไปนานแล้วสีหน้านางเปลี่ยน รีบวิ่งออกไปอย่างลนลานมุมปากฝูอวิ๋นยกขึ้น หันหน้าแล้วพุ่งไปที่แท่นบูชา จากนั้นรีบเก็บป้ายวิญญาณอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเก็บบันทึกลำดับญาติไปด้วยเพียงไม่นาน ได้ยินเสียงฝีเท้าวุ่นวายที่ดังมาจากด้านนอก และเสียงกรีดร้องของแม่ม่ายหลิว“หัวหน้าหมู่บ้านท่านดูสิ หลี่ชุ่ยฮวาเป็นบ้าอีกแล้ว! เมื่อกี้นางคุกเข่าลงไปก็ไม่พอใจ ด่าท่านไปด้วยพลางเผาป้ายวิญญาณไปด้วย นี่คงอยากสาปแช่งให้ทุกคนในหมู่บ้านสกุลหลี่ไม่ได้ตายดี”ท้องฟ้าเริ่มมืดสลัว แสงไฟสีแดงฉานโดดเด่นสะดุดตา ฝูอวิ๋นหอบเอาป้ายวิญญารบรรพชนเดินออกมากลางกองไฟ ดูแล้วเหมือนจะเป็นดังที่แม่ม่ายหลิวบอกแม่ม่ายหลิวอยู่ใกล้หลี่ต้าเต๋อ ได้ยินเสียงเขากัดฟันอย่างชัดเจนแววตานางมีความได้ใจแวบผ่าน หลี่ชุ่ยฮวา กล้าใส่ร้ายข้าหรือ ข้าจะจัดการเจ้าให้เข็ดหลาบ!“เร็ว! ดับไฟเร็ว!” ฝูอวิ๋นตะโกนเสียงดัง วางป้ายวิญญาณบรรพชนลง จากนั้นหันไปทางแท่นบูชาโดยไม่ลังเล เพื่อไปขนป้ายวิญญาณบรรพชนที่เหลือหลี่ต้าเต๋อไม่มีเวลาเอาเรื่อง รีบสั่งให้คนไปดับไฟบ้าง สั่งให้คนไปเอาป้ายบรรพชนบ้างศาลบรรพชนราวกับเกิ
“หัวหน้าหมู่บ้าน หากให้ไปลงที่ท่าน นางคงขึ้นไปอึบนโต๊ะอาหารของบ้านท่าน!” แม่ม่ายหลิวเอ่ยพร้อมหัวเราะ“...”เผาศาลบรรพชนเป็นเรื่องที่รุนแรงมาก ไม่มีใครหัวเราะไปกับนาง รอยยิ้มของนางจึงค้างอยู่บนใบหน้าอย่างกระอักกระอ่วนฝูอวิ๋นขยับร่างกาย แล้วบิดขี้เกียจ หันหลังกวาดมองหนึ่งรอบไม่เลว มากันเกือบจะทั้งหมู่บ้านแล้วเมื่อเห็นหลิงจิ่งที่เบียดเสียดท่ามกลางฝูงชน ในใจนางอบอุ่น จึงยิ้มให้เขาหลิงจิ่งตะลึงทันทีหญิงคนนี้ไม่เคยยิ้มให้เขามาก่อน...แต่ว่าเวลานางยิ้ม สวยงามมากจริงๆทำให้หลิงจิ่งหน้าแดงอย่างลืมตัวทันใดนั้น เขาทำหน้าตึง พร้อมทำหน้าไม่แยแสเผาศาลบรรพชน ดีไม่ดีอาจถูกถ่วงน้ำในเล้าหมู นางยังมีแก่ใจยิ้มอีก!หมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก!หลี่ต้าเต๋อตำหนิ “หลี่ชุ่ยฮวา เจ้ายังยิ้มออกหรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งของในศาลบรรพชนสำคัญเพียงใด?”“รู้สิ” ฝูอวิ๋นตอบเสียงเรียบ“รู้แล้วเจ้ายังวางเพลิงอีก!” หลี่ต้าเต๋อโกรธจนตัวสั่นไปหมด ฝูอวิ๋นกลัวเขาจะกระแทกไม้เท้าจนหัก อีกเดี๋ยวจะกลับบ้านไม่ได้“ใครว่าข้าเป็นคนวางเพลิง?” ฝูอวิ๋นย้อนถามทุกคนอย่างเย็นชา “คำพูดของแม่เสี่ยวหู่พวกท่านก็เชื่อหรือ?”
หลี่ต้าเต๋อจ้องแม่ม่ายหลิว “นางหลิว เหตุใดเจ้าจึงจุดไฟเผาป้ายวิญญาณบรรพชน?”ฝูอวิ๋นทั้งสาปแช่งทั้งขอรับโทษ ทำให้แม่ม่ายหลิวตะลึงจนเหม่อลอย ลืมแก้ต่างให้ตัวเองเมื่อได้ยินคำพูดของหัวหน้าหมู่บ้าน นางถึงได้ตกใจตื่น ทันใดนั้นความผิดใหญ่หลวงก็บินมาหานางทันที“หัวหน้าหมู่บ้าน อย่าฟังหลิวชุ่ยฮวาพูดเหลวไหล” แม่ม่ายหลิวทั้งคำนับทั้งร้องไห้ “ต่อให้ข้าใจกล้าสักเพียงใด ข้าก็ไม่กล้าเผาป้ายวิญญาณบรรพชน! เป็นนาง เป็นหลี่ชุ่ยฮวา เมื่อกี้ข้า...”“เมื่อกี้ทำไมหรือ?” ฝูอวิ๋นเลิกคิ้วแล้วเอ่ยถามเมื่อเห็นท่าทางใจเย็นของฝูอวิ๋น แม่ม่ายหลิวถึงได้รู้สึกตัว นางตกหลุมพรางแล้วเมื่อกี้ ตอนที่ตีกันนางเอาแต่หลบไปทางแท่นบูชา จากนั้นปัดตะเกียงคว่ำ นางเห็นแล้ว แต่เพราะไฟโหมแรงเกินไป ตอนนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้รอให้นางได้สติ ปฏิกิริยาแรกคือรีบไปหาคน เพื่อฟ้องและใส่ร้ายหลี่ชุ่ยฮวา ไม่ให้นางมีโอกาสแก้ตัวแต่ใครจะคิด ใส่ร้ายไม่สำเร็จกลับถูกแว้งกัดตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าหัวหน้าหมู่บ้านเชื่ออีกฝ่ายไปแล้ว!เชอะ หญิงผู้นี้มักจะเลอะเลือนบ้าบอ เหตุใดวันนี้จึงพูดจาฉะฉานยิ่งนัก?แม่ม่ายหลิวกัดฟันจ้องฝูอวิ๋น “เพราะเจ
ฝูอวิ๋นสัมผัสได้ถึงสายตาอันแรงกล้าที่จ้องตัวเองอยู่ก็ขมวดเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น จากนั้นหันตัวไป ได้พบกับเซียวหรานผู้เป็นตำนานมิน่าเล่า หลี่ชุ่ยฮวาจึงจำไม่ลืมเลือน เป็นความจริงที่เขารูปหล่อมาก มีกลิ่นอายของบัณฑิตผู้สุภาพและให้ความรู้สึกเหมือนคุณชายผู้สง่างามเซียวหรานขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจเมื่อเห็นฝูอวิ๋นมองมา “หลี่ชุ่ยฮวา วันก่อนข้าก็พูดกับเจ้าอย่างชัดเจนแล้วนะว่าข้ามีภรรยาแล้ว ส่วนเจ้าก็แต่งงานแล้วเช่นกัน อย่าตามตื๊อข้าอีก”จู่ๆ ฝูอวิ๋นก็หัวเราะออกมา ดวงตาเย็นชาถึงขีดสุด“คุณชายเซียวพูดอันใด? ข้าเพียงนำของมาจำนำเท่านั้น ท่านก็รีบเดินเข้ามาพูดคุยกับข้าแล้ว หากไม่รู้มาก่อนคงคิดว่าท่านยังหลงเหลือความรู้สึกต่อข้า”ฝูอวิ๋นลูบใบหน้าตัวเองพูดอย่างน่าสงสาร “แต่ท่านจะลืมข้าไม่ได้ก็ไม่แปลก ผู้ใดใช้ให้ข้ามีใบหน้าที่งดงามจนสรรพชีวิตต้องเกลียดชังกันล่ะ?”“ขนาดสามีของข้าก็ยังมองข้าด้วยความหลงใหลเหมือนท่านตอนนี้ในทุกๆ วัน”ภายในถ้อยคำของฝูอวิ๋น นอกจากประโยคที่ว่าสามีชอบมากนางแล้ว เรื่องอื่นล้วนแต่เป็นความจริงสกุลหลิงหาเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ ไม่ได้ทำการเกษตร ประกอบกับเดิมทีหลี่ชุ่ยฮว
จากหมู่บ้านสกุลหลี่มาถึงตำบลผิงไม่ถือว่าไกล หากใช้เส้นทางที่ตัดผ่านป่าจะมีระยะทางไม่ถึงสิบห้าลี้ ด้วยฝีเท้าของฝูอวิ๋นแล้ว เดินเพียงครึ่งชั่วยามก็ถึงตำบลผิงตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลและค่อนข้างล้าหลัง มีตลาดนัดแค่เดือนละสามครั้ง แบ่งเป็นวันที่ห้า วันที่สิบห้า และวันที่ยี่สิบห้า หรือก็คือทุกครั้งที่ในวันมีเลขห้านั่นเองวันนี้เป็นวันที่สิบห้า ตรงกับวันที่มีตลาดนัดพอดีเวลานี้บนถนนมีผู้คนขวักไขว่ไปมาคับคั่ง เสียงเชิญชวนให้ซื้อสินค้า เสียงพูด และเสียงโต้เถียงดังผสมปนเปกัน บรรยากาศคึกคักมีชีวิตชีวามากฝูอวิ๋นเดินไปทางโรงรับจำนำโดยอาศัยจากความทรงจำ ทำการจำนำเครื่องประดับทั้งสองชิ้นแต่นางเพิ่งจะก้าวเข้าไปยังโรงรับจำนำก็คือหญิงสาวหน้าตาหยาดเยิ้มนางหนึ่งยกมือขวางไว้“หืม นี่มันนังบ้าหลี่ชุ่ยฮวาผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมิใช่หรือ? เซียวหรานของข้าเพิ่งจะก้าวเข้ามาที่นี่ เจ้าก็ตามเข้ามาทันที จมูกสุนัขดีไม่เลวเลยนี่”หญิงสาวนางนี้คืออนุของเซียวหราน มีนามว่าเจี่ยอิ๋งอิ๋ง ทั้งที่รูปโฉมงดงาม ทว่าเอ่ยปากพูดแล้วกลับมีแต่ความเหน็บแนมประชดประชัน ทำให้อดที่จะรู้สึกรังเกียจไม่ได้“หลีกไป” ฝูอวิ๋นเม้มริมฝี
หลิงจิ่งยกน้ำหนึ่งชามมาให้อย่างรวดเร็ว ฝูอวิ๋นเงยหน้าดื่มหมดในอึกเดียวนางลูบศีรษะน้อยๆ ของหลิงจิ่ง “เมื่อก่อนข้าทำแบบนั้นกับเจ้า ไม่เกลียดข้าหรือ?”ความจริงแล้วนางอยากจะสลัดตัวเองทิ้งและถามหลี่ชุ่ยฮวาเพียงผู้เดียวหลิงจิ่งเม้มปากแน่น ดวงตาคู่กลมส่องประกายระยิบระยับภายใต้แสงตะเกียงขนาดเท่าเม็ดถั่วฝูอวิ๋นยิ้มแล้วถามอีกครั้ง “เจ้าทำดีกับข้าเช่นนี้ คงไม่ได้กำลังวางแผนทำข้าตายกระมัง?”“ข้า…” หลิงจิ่งมองฝูอวิ๋น รู้ว่าค่ำคืนนี้นางแปลกประหลาดมาก“ช่างเถอะ นอนดีกว่า พรุ่งนี้ข้าจะปูเตียงแล้วให้พวกเจ้ากลับไปนอนที่เดิม มิเช่นนั้นข้ากลัวว่าเจ้าจะลอบฆ่าในยามที่ข้าหลับ”ดวงตาของทอประกายเหมือนคนที่ผ่านโลกมาโชกโชน ค่ำคืนนี้ นางรู้สึกซึมเศร้าหลิงจิ่งขมวดคิ้ว เนิ่นนานก่อนจะพูดขึ้นว่า “ท่านตกใจจนเสียขวัญไปแล้วหรือ?”“ก็คงใช่กระมัง” ฝูอวิ๋นใช้นิ้วสางผมไปไว้ด้านหลัง เผยให้เห็นใบหน้าขาวซีดจู่ๆ หลิงจิ่งก็เข้ามากอดเอวนางฝูอวิ๋นตกใจผงะ นางยิ้มขมขื่นว่า “ข้าทำให้เจ้ากลัวหรือ?”“ท่านกลับไปทุบตีพวกข้าเหมือนเดิมเถิด” หลิงจิ่งพูดแบบนี้ออกมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเหตุใดจึงพูดเ
หลิงจิ่งชอบตบหมอนก่อนเข้านอน เนื่องจากหมอนที่พวกเขาใช้แข็งทื่อมาก ทำจากฝ้ายคุณภาพต่ำจึงมักจะราบเรียบไม่เสมอกัน ตบแล้วจะช่วยให้หนอนหนุนสบายยิ่งขึ้นคืนนี้เขาลืมตัวจึงเผลอยกหมอนขึ้นมาตบ เมื่อยกหมอนขึ้นมาแล้วก็ได้พบกับปิ่นเงิน กำไลหยก และเงินทองแดงอีกสิบกว่าเหรียญที่อยู่ใต้หมอนเขาตกใจผงะเขาไม่ได้รู้สึกแปลกตากับของสองชิ้นนี้กำไลหยกนั่นเป็นของน้าเล็ก น้าเล็กสวมไว้ที่ข้อมืออยู่ตลอด ส่วนปิ่นเงินนั่น ได้ยินมาว่าเป็นของแทนใจที่ชายชู้มอบให้หลี่ชุ่ยฮวานางเก็บไว้ใต้หมอนเช่นนี้เพื่อไว้คะนึงหาเวลาเห็นของอย่างนั้นหรือ?สีหน้าของหลิงจิ่งหมองหม่นลงเล็กน้อยหลิงเสวี่ยเห็นเขาแน่นิ่งก็หันมามอง เมื่อเห็นของสองสิ่งที่อยู่ใต้หมอนก็ร้องออกมาว่า “เอ๋” จากนั้นหยิบกำไลหยกขึ้นมา “นี่มันกำไลของน้าเล็กมิใช่หรือ? เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้?”ฝูอวิ๋นถอดชุดตัวนอกไปพาดไว้ที่เก้าอี้ ครั้นได้ยินถ้อยคำของหลิงเสวี่ยถึงค่อยนึกขึ้นได้ว่านี่เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่นางตอบว่า “นี่เป็นของที่ข้าเคยให้น้าเล็กของพวกเจ้ายืมไปใส่ เมื่อวานนางนำมาคืน ตอนนี้จึงเป็นของข้าแล้ว”“อ้อ คืนให้ท่าน” หลิงเสวี่ยยื่นกำไลหยกใ
ฝูอวิ๋นเห็นสีหน้าหวาดกลัวลนลานของแม่ม่ายหลิวก็เกิดความคิดชั่วร้ายบางอย่าง ใช้ปลายเท้าเตะก้อนหินให้กระเด็นไปที่น่องของอีกฝ่าย“โอ๊ย! ผู้ใดกัน!”ความเจ็บปวดที่ขาทำให้แม่ม่ายหลิวกรีดร้องเสียงดังทว่ารอบข้างกลับไม่มีผู้ใด ส่วนพวกฝูอวิ๋นก็เดินห่างออกไปค่อนข้างไกลแล้วแม่ม่ายหลิวตัวแข็งทื่อ ใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากเขียวซีด พูดพึมพำไม่หยุด “อมิตตาพุทธ พระ พระโพธิสัตว์โปรดคุ้มครอง…”“บะ บะ บาปมีผู้ก่อ นะ นะ หนี้มีเจ้าหนี้ ข้าเป็นคนดี ข้าเป็นคนดี…ข้าเป็นคนดีจริงๆ นะ…”หลิงจิ่งกุมท้องหัวเราะลั่นเมื่อเห็นแม่ม่ายหลิววิ่งกรีดร้องกลับบ้านไปหลิงเสวี่ยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น “ท่านพี่ ท่านหัวเราะอะไรหรือ?”“ฮ่าๆๆ…แม่ของเสี่ยวหู่ตกใจฉี่ราดกางเกงแล้ว!” หลิงจิ่งพูดเสียงดังอย่างไม่เกรงกลัวแม่ม่ายหลิวที่เพิ่งจะวิ่งไปได้ไม่ไกลสะดุดล้มหน้าคะมำ นางรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งต่อโดยไม่หันกลับไปมองสายลมช่างเป็นอะไรที่อัศจรรย์ยิ่ง ทั้งที่ตอนนี้รอบข้างไม่มีผู้ใด ทว่าถ้อยคำของหลิงจิ่งกลับถูกผู้ใดก็ไม่รู้ได้ยินเข้าโดยปกติแล้วชาวหมู่บ้านสกุลหลี่ก็เป็นคนใจดี กระตือรือร้น และชอบใส่ใจผู้อื่นไม่ช้า คนทั้งหมู่บ้านก
ไม่ต้องหันไปมอง ฟังจากแค่น้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรนี้ ฝูอวิ๋นก็รู้ว่าแม่ม่ายหลิวมาหาเรื่องอีกแล้ว จะด่านางก็ตามสบาย แต่การที่ใช้ถ้อยคำเช่นนั้นกับเด็กๆ นี่มัน…น่าโมโหเกินไป!ฝูอวิ๋นโยนเสื้อผ้าที่บิดเสร็จแล้วลงในถัง ยืดเอวที่ปวดร้าวลุกขึ้นพูดว่า “เจ้าคนโสโครกด่าใคร?”“ยังจะว่าผู้ใดได้อีก ก็ต้องสองคนนี้…” เสียงของแม่ม่ายหลิวขาดหายอย่างฉับพลัน ใบหน้ากลายเป็นสีดำทะมึน “หลี่ชุ่ยฮวา อยู่ดีๆ ก็มาด่ากันมันหมายความว่าอย่างไร?”หา!ฝูอวิ๋นแทบจะกระอักเลือดผู้ใดกันแน่ที่อยู่ดีๆ ก็มาด่า?นางกัดฟันกรอดพร้อมกับยิ้มบางๆ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ข้าก็หมายความตามนั้นแหละ”“หมายความว่าอยากมีเรื่องสินะ?” แม่ม่ายหลิววางท่าทันที “ปล่อยม้ามาเลย[1]อย่าคิดว่าข้าจะกลัวเจ้า!”“ขออภัย เมื่อวานนี้ม้าของข้ากลายเป็นหมูไปแล้ว และตอนนี้ก็กำลังอยู่เบื้องหน้าข้า”แม่ม่ายหลิวมองซ้ายแลขวาด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่เห็นหมูสักตัว ครั้นเห็นฝูอวิ๋นหัวเราะคิกคักถึงค่อยเข้าใจว่าตัวเองกำลังถูกด่า!“หลี่ชุ่ยฮวา เจ้า เจ้า เจ้า!” แม่ม่ายหลิวชี้หน้าฝูอวิ๋น อึกอักอยู่นานแต่กลับด่าอะไรไม่ออกฝูอวิ๋นยิ้มหวาน “ท่าทีที่เจ้า เจ้า เจ้า
“งานวันนี้ต้องเสร็จวันนี้ ไปเถิด พวกเราไปซักผ้าที่ริมแม่น้ำ พรุ่งนี้ยังต้องทำอย่างอื่นอีก” ฝูอวิ๋นถือถังไว้ในมือข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งจูงมือหลิงเสวี่ย ร้องเรียกหลิงจิ่งแล้วเดินออกไปด้านนอก“พรุ่งนี้ต้องทำอะไรหรือ?” หลิงจิ่งถาม“มีเรื่องต้องทำมากมาย”เรื่องที่เร่งด่วนที่สุดก็คือซื้อเสบียงอาหารเสบียงอาหารอันน้อยนิดที่บ้านเพียงพอแค่สำหรับคืนนี้เท่านั้นพรุ่งนี้ก็จะไม่มีอาหารกินแล้วลองนับวันดูแล้ว นับตั้งแต่ที่หลิงหานโจวออกจากบ้านเป็นครั้งแรก จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาสี่วันแล้วตอนนั้นเขาบอกว่าครั้งจะใช้เวลาอย่างน้อยเจ็ดวัน มากสุดก็ครึ่งเดือน…จากไปนานขนาดนั้นแต่กลับทิ้งเสบียงไว้แค่นี้ กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?ตอนนี้เป็นเวลาหลังเที่ยง หลายคนในหมู่บ้านสกุลหลี่จะซักผ้าตั้งแต่ช่วงสาย เวลานี้ริมแม่น้ำจึงไม่มีผู้ใด ฝูอวิ๋นหาตำแหน่งที่พื้นค่อนข้างเรียบมานั่งลงแล้วเริ่มทำงานนางตักน้ำจากในแม่น้ำมาหนึ่งกะละมัง ใส่จ้าวเจี่ยวลงไปและบดให้ละเอียด ยิ่งละเอียดมากเท่าใดก็ยิ่งดี ตามด้วยขยี้เบาๆ ให้เกิดฟอง เท่านี้ก็เป็นอันใช้ได้แล้วนางเรียนรู้วิธีนี้จากความทรงจำของหลี่ชุ่ยฮวา ฝูอวิ๋นไม่เคยใช้เจ้าสิ่
หลิงจิ่งเข้าห้องมาพบกับความว่างเปล่าก็ตกใจดวงตาแทบถลน จะอ้าปากร้องเรียกนางแต่ก็ไม่รู้ว่าควรเรียกอย่างไรฝูอวิ๋นเปิดหน้าต่างและปัดฝุ่นออกกวาดหยากไย่ใต้เตียงให้สะอาดและกวาดฝุ่นผงจำนวนมากออกมาหลิงจิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “คือว่า…ท่านเผาฟางเช่นนี้ คืนนี้ข้ากับน้องหญิงจะนอนอย่างไร…”“ไม่ต้องถามมาก ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าห้องนี้มีแต่เหา อุตส่าห์อาบน้ำพวกเจ้าจนสะอาดทั้งที ย่อมนอนเตียงที่มีเหาไม่ได้อีก”ฝูอวิ๋นมองไปที่ขอบเตียง เอาแต่รู้สึกว่าปกคลุมไปด้วยเหาเช่นกันเมื่อหลับตาลงก็ราวกับเห็นเหาที่คลานยั้วเยี้ยเต็มเตียง นางรู้สึกขนลุกซู่ รีบตักน้ำมาเช็ดให้ทั่ว แม้แต่โต๊ะหนังสือก็ไม่เว้นบนพื้นเป็นดินเปลือยเปล่า ไม่อาจเช็ดทำความสะอาด ทำได้เพียงกวาดให้ทั่วกว่าจะทำทุกอย่างเสร็จก็เลยเวลาเที่ยงไปโดยไม่รู้ตัวฝูอวิ๋นปวดเอวปวดหลังไปหมด เพิ่งจะนั่งพักหายใจก็ถามตัวเองว่าเหตุใดทำงานแค่เล็กน้อยก็หมดแรงแล้ว?จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อเช้าตัวเองกินไข่ไก่แค่สองฟองและอยู่มาจนถึงตอนนี้นางเดินไปทำอาหารที่ห้องครัวโดยพลันเนื่องจากตอนนี้ทั้งเหนื่อยทั้งหิว นางจึงไม่มีเวลามาทำอาหารที่ซับซ้อนเก
หลังจากอาบน้ำให้หลิงเสวี่ยเสร็จเรียบร้อย ฝูอวิ๋นก็ทำการเช็ดผมให้กับนาง ครั้นตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีเหาอีกก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อผมขึ้นมานางห่อตัวเด็กหญิงด้วยผ้าฝ้ายที่เตรียมไว้ก่อนแล้ว อุ้มนางกลับไปที่ห้องตัวเอง นำเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ออกมาให้ใส่“หนาวเหลือเกิน หนาวเหลือเกิน…” หลิงเสวี่ยสั่นเทิ้มไปทั้งตัว“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดจึงรู้สึกหนาวหลังจากอาบน้ำ?” ฝูอวิ๋นสวมเสื้อผ้าให้นางไปพลาง ถามไปพลาง“เพราะเหตุใดหรือ?”“เพราะว่า…ในอากาศมีปีศาจที่ชอบดูดน้ำ เมื่อมีหยาดน้ำเกาะบนร่างกาย เจ้าปีศาจก็จะเป่าน้ำบนตัวเรา แบบนี้...”ฝูอวิ๋นเป่าไอเย็นไปที่คอของเด็กหญิง เย็นจนอีกฝ่ายต้องหดคอ“น่ากลัวเหลือเกิน!”“เร็วเข้า รีบเข้าไปใต้ผ้าห่ม เช่นนั้นเจ้าปีศาจก็จะเป่าเจ้าไม่ได้แล้ว”“คิกๆๆ…”“นังหนู ตอนนี้ยังกลัวการอาบน้ำอีกหรือไม่?”“ไม่กลัวแล้ว การอาบน้ำของท่านแม่สบายตัว ไม่เจ็บเหมือนท่านพ่อ” เด็กหญิงยิ้มตาหยี ส่วนนี้เหมือนฝูอวิ๋นมาก“เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?” ฝูอวิ๋นถามด้วยความประหลาดใจเ“เปล่า…” เด็กหญิงเม้มปากแล้วมุดตัวเข้าผ้าห่มอย่างเขินอายฝูอวิ๋นส่ายหน้าด้วยความจนใจ เด็กคนนี้เปลี่ยนหน้