หลี่ต้าเต๋อจ้องแม่ม่ายหลิว “นางหลิว เหตุใดเจ้าจึงจุดไฟเผาป้ายวิญญาณบรรพชน?”ฝูอวิ๋นทั้งสาปแช่งทั้งขอรับโทษ ทำให้แม่ม่ายหลิวตะลึงจนเหม่อลอย ลืมแก้ต่างให้ตัวเองเมื่อได้ยินคำพูดของหัวหน้าหมู่บ้าน นางถึงได้ตกใจตื่น ทันใดนั้นความผิดใหญ่หลวงก็บินมาหานางทันที“หัวหน้าหมู่บ้าน อย่าฟังหลิวชุ่ยฮวาพูดเหลวไหล” แม่ม่ายหลิวทั้งคำนับทั้งร้องไห้ “ต่อให้ข้าใจกล้าสักเพียงใด ข้าก็ไม่กล้าเผาป้ายวิญญาณบรรพชน! เป็นนาง เป็นหลี่ชุ่ยฮวา เมื่อกี้ข้า...”“เมื่อกี้ทำไมหรือ?” ฝูอวิ๋นเลิกคิ้วแล้วเอ่ยถามเมื่อเห็นท่าทางใจเย็นของฝูอวิ๋น แม่ม่ายหลิวถึงได้รู้สึกตัว นางตกหลุมพรางแล้วเมื่อกี้ ตอนที่ตีกันนางเอาแต่หลบไปทางแท่นบูชา จากนั้นปัดตะเกียงคว่ำ นางเห็นแล้ว แต่เพราะไฟโหมแรงเกินไป ตอนนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้รอให้นางได้สติ ปฏิกิริยาแรกคือรีบไปหาคน เพื่อฟ้องและใส่ร้ายหลี่ชุ่ยฮวา ไม่ให้นางมีโอกาสแก้ตัวแต่ใครจะคิด ใส่ร้ายไม่สำเร็จกลับถูกแว้งกัดตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าหัวหน้าหมู่บ้านเชื่ออีกฝ่ายไปแล้ว!เชอะ หญิงผู้นี้มักจะเลอะเลือนบ้าบอ เหตุใดวันนี้จึงพูดจาฉะฉานยิ่งนัก?แม่ม่ายหลิวกัดฟันจ้องฝูอวิ๋น “เพราะเจ
เห็นเรื่องราวดำเนินมาพอสมควร ฝูอวิ๋นลุกขึ้นยืน “หัวหน้าหมู่บ้าน หากไม่มีธุระใดข้าขอตัวก่อน ลูกถูกแม่เสี่ยวหู่ตีจนอยู่ในสภาพนั้น ข้าต้องรีบกลับไปดู”หลี่ต้าเต๋อพยักหน้า “ไปเถอะ เห็นแก่ที่เจ้าทำคุณไถ่โทษ จะปล่อยเจ้าไปก่อน ต่อไปทำตัวให้ดีละ นางหลิว เจ้าดูถูกคนสกุลหลี่อย่างนั้นหรือ?”แม่ม่ายหลิวลนลาน “หัวหน้าหมู่บ้าน ไม่ใช่นะ ข้าเปล่านะ...”“ไม่ใช่ เจ้าเปล่าทำ แล้วเจ้าหนีทำไม?”“ข้า...ข้าแค่ไปเรียกคนมา...” แม่ม่ายหลิวพูดอย่างไม่มั่นใจฝูอวิ๋นเพิ่งเดินพ้นฝูงชน เกือบจะหัวเราะเพราะแม่ม่ายหลิว นางพูดเช่นนี้กับยอมรับว่าไฟไหม้ก็หนีต่างกันตรงไหน?“อาจิ่ง กลับบ้าน” ฝูอวิ๋นเรียกโดยไม่หันกลับไปมองหลิงจิ่งตัวแข็งทื่อ วิ่งเหยาะๆ ตามหลังนางไปยังดีที่คืนนี้มีแสงจันทร์ ไม่อย่างนั้น ฝูอวิ๋นคงไปบ้านตัวเองไม่ถูก“คือว่า...” ระหว่างทาง หลิงจิ่งอดถามไม่ได้ “ท่านไม่ได้จุดไฟจริงหรือ?”“ไม่ใช่ แมวป่าทำตะเกียงคว่ำ แต่ป้ายบรรพชนเหล่านั้นข้าเป็นคนนำออกมาเอง” ฝูอวิ๋นตอบจริงจัง“ท่าน...” หลิงจิ่งเม้มปากเป็นเส้นตรง ดวงตาดำขลับจ้องมองแผ่นหลังของฝูอวิ๋นเมื่อครู่ที่ได้ยินนางพูดเช่นนั้น เขารู้สึกว่านางเหมือ
ฝูอวิ๋นขากะเผลกตลอดกระบวนการ ตั้งแต่ทำความสะอาดปลา จนน้ำน้ำแกงปลาร้อนๆ ออกมาจากหม้อบางครั้งยังกระโดดขาเดียวต่อหน้าหลิงจิ่งหลายครั้งทุกครั้งที่กระโดด ล้วนสามารถมองเห็นใบหน้าที่ตื่นเต้นของหลิงจิ่งใบหน้าฝูอวิ๋นมีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏอยู่ตลอดเจ้าตัวเล็ก ข้าเป๋ขนาดนี้ ยังทำอาหารเย็นให้พวกเจ้า จงละอายใจให้ถึงที่สุดเถอะ ทางที่ดีเอาแบบนอนไม่หลับตลอดคืนจากนั้น รอให้พ่อของพวกเจ้ากลับมา ค่อยสาธยายให้เขาฟัง ให้ข้าได้มีที่อยู่อาศัย หรือให้เงินข้าจากไปสักแปดสิบหรือร้อยตำลึงก็ยังดีแม้อาหารเย็นจะมีแค่ปลา แต่โชคดีที่ตัวใหญ่ พอให้ทั้งสามคนกินหลิงเสวี่ยยังเด็ก ฝูอวิ๋นไม่อนุญาตให้นางคีบเอง แต่เอาก้างปลาออกก่อนค่อยใส่ในถ้วยนางแรกเริ่มทุกครั้งที่คีบให้นาง นางจะหันมองพี่ชายตัวเองก่อน เพื่อขอความเห็นชอบจากเขาต่อมา เอาแต่กินโดยไม่สนใจสิ่งใด“อาจิ่ง ตอนเจ้ากินช้าๆ หน่อย ต้องให้ข้าเอาก้างออกให้หรือไม่?” ฝูอวิ๋นมองหลิงจิ่ง“ไม่ต้อง ข้ากินเป็น” หลิงจิ่งตอบหน้าแดงพวกเขาเป็นครอบครัวนายพราน จึงคุ้นเคยกับเนื้อสัตว์หรือปลาอยู่แล้ว“ปลาที่ข้าทำกับปลาที่พ่อพวกเจ้าทำ อันไหนอร่อยกว่า?” ฝูอวิ๋นเอ่ยถามอีกค
เมื่อเด็กน้อยเอ่ยถึงหลี่หรูเยียน กลับเป็นการเตือนสติฝูอวิ๋นหลี่หรูเยียนมักยุยงหลี่ชุ่ยฮวาให้ไปตามหาความสุขของตัวเอง บอกหลี่ชุ่ยฮวา หากไม่มีลูกสองคนนี้ นางคงได้ไปอยู่ครองคู่กับเซียวหรานนานแล้วหากไม่ใช่เพราะมีลูก ด้วยรูปโฉมที่งดงามจนสามารถล่มเมืองของหลี่ชุ่ยฮวา สกุลเซียวจะไม่เห็นด้วยได้อย่างไร?แต่เดิมหลี่ชุ่ยฮวาก็โกรธเคืองหลิงหานโจวอยู่แล้ว และไม่ชอบลูกตัวเอง เมื่อถูกหลี่หรูเยียนล้างสมอง ยิ่งไปกันใหญ่มองลูกตัวเองเป็นเสี้ยนหนามตำตา แต่อย่างไรก็เป็นเนื้อที่ตกลงมาจากร่างกาย ตอนหลิงหานโจวไม่อยู่ นางก็ทำอาหารให้ลูก...แต่สภาพไม่ต่างจากอาหารหมูนอกจากนี้ หลี่หรูเยียนยังบอกนาง ที่ไม่ได้สมหวังกับเซียวหราน ต้องโทษปู่และย่าของนาง ที่จะให้นางแต่งกับหลิงหานโจวให้ได้ดังนั้น หลี่ชุ่ยฮวาก็ทำกับปู่และย่าเหมือนศัตรูอย่างไรอย่างนั้นแล้วยังบอกว่าหลิงหานโจวเป็นชายฉกรรจ์หยาบกระด้าง จะสู้หนุ่มหน้ามนอย่างเซียวหรานได้อย่างไร? ทั้งดำเมี่ยม ทั้งหน้าตาอัปลักษณ์ จะคู่ควรกับดอกไม้งามแห่งหมู่บ้านสกุลหลี่ได้อย่างไร?ไม่ว่าอย่างไร ล้วนคิดแทนหลี่ชุ่ยฮวาสารพัด ล้างสมองสารพัด ปล่อยให้นางมั่นใจอย่างผิดๆ รู้สึก
ฝูอวิ๋นพยายามลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก ภาพตรงหน้า ก็คือแผ่นกระเบื้องหลังคา รอบด้านทั้งสี่ทิศ คือกำแพงหิน หน้าต่างเป็นไม้เนื้อแข็งสลักลวดลาย ตะลึงงันอยู่ครู่ใหญ่นางค่อยตั้งสติกลับมาได้ เธอตายไปแล้วจริง ๆ เพียงแต่ดวงวิญญาณทะลุข้ามภพชาติมาอยู่ในร่างของหญิงชาวบ้านในยุคโบราณ และยังมีชีวิตอยู่ราวกับปาฏิหาริย์… นอนนิ่งอยู่นานแล้ว หัวใจยังคงเต้นตุบ ๆ เส้นโลหิตบนปรางแก้มขยายออก เต้นตามจังหวะหัวใจ ยามนี้ท้องฟ้ายังไม่สว่างดี ยังพอนอนต่อได้อีกสักหน่อย… …… บัดนี้ตะวันโด่งฟ้าแล้ว หลิงจิ่งยืนอยู่นอกประตูห้องของฝูอวิ๋น คอยอยู่นานพักใหญ่แล้ว ภายในห้องกลับไม่มีเสียงเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย “ท่านพี่ นางไม่ทำกับข้าวอร่อย ๆ ให้พวกข้าแล้วหรือ?” หลิงเสวี่ยถามขึ้น เมื่อคืนก่อนเข้านอนนางพูดไว้ดิบดี “วาจาของนางเจ้าเชื่อด้วยหรือ?” หลิงจิ่งหมุนตัวก็เดินไปยังลานบ้าน หยิบตะกร้าเก็บผักขึ้นมา เขาไม่ทันตระหนักได้ว่าภายในใจของตนเองก็มีคงความผิดหวังที่ยากจะสังเกตอยู่เช่นกัน กลางเดือนสอง บนคันนาเริ่มมีผักป่าทั้งสดและนุ่มผุดขึ้นมากมาย หลิงจิ่งพาหลิงเสวี่ย มาถึงแปลงนาร้างผืนหนึ่งทางใต้ของหมู่บ้าน ที่นาผืนน
ฝูอวิ๋นยามนี้ศีรษะหนักอึ้งเท้าเบาหวิว แต่กระนั้นก็ยังต้องฝืนสังขารรวบรวมกำลังวังชาทั้งหมดไปทำอาหารให้เด็ก ๆ ซาบซึ้งเลยสิ เจ้าพวกเด็กตัวแสบ ข้าถึงขั้นยอมเสียสละตนเองเพื่อไถ่โทษแทนแม่บังเกิดเกล้าของพวกเจ้าเชียวนะ ภายในเรือนเหลือเพียงแป้งหมี่สองชั่ง ฝูอวิ๋นตักมาหนึ่งถ้วย จากนั้นก็เติมน้ำผสมให้เป็นแป้งเหลวเตรียมเอาไว้ ตั้งหม้อก่อไฟต้มน้ำ จากนั้นก็ใส่น้ำมันหมูลงไปเล็กน้อย พอน้ำเริ่มเดือดก็ตักแป้งเปียกใส่ลงไปในหม้อ ไม่นาน ก้อนแป้งก็ลอยขึ้นมาทีละชิ้น นางจัดการล้างผักชีล้อมที่พวกเด็ก ๆ เก็บมาจนสะอาดดีแล้ว ก็หั่นเป็นชิ้นและใส่ลงไปในหม้อ พอผักสุกแล้ว ก็เติมเกลือเล็กน้อย และตักขึ้นจากหม้อ “ไปเล่นที่ใดมา?” ฝูอวิ๋นยกน้ำแกงก้อนแป้งร้อน ๆ มาวางบนโต๊ะอาหารในห้องโถง เห็นหลิงจิ่งวิ่งกลับมาจากด้านนอก ก็เอ่ยถามขึ้นประโยคหนึ่ง แต่กลับไม่ได้รับคำตอบ “รีบมากินข้าวเถิด” ฝูอวิ๋นแบ่งตะเกียบให้เรียบร้อย ภายในชามของเด็กทั้งสองเต็มแน่น ทว่าของนางมีเพียงครึ่งชาม หลิงจิ่งมองชามตรงหน้านาง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็ถามขึ้นว่า “ยังมีหน่อหลิวอีกหรือไม่?” ฝูอวิ๋นผงะไป “ข้าไปหยิบมาให้” กระทั่งนางกลับมา ก็พบ
“อ้าว น้องหญิงหรูเยียนมาแล้ว เปลี่ยนชุดตัวใหม่มาด้วยหรือ?” ฝูอวิ๋นแสร้งทำเป็นเพิ่งเห็นหลี่หรูเยียน “ข้าเพิ่งตัดมาใหม่ เป็นอย่างไรบ้าง?” หลี่หรูเยียนหมุนตัวหนึ่งรอบ กระโปรงผ้าบางพลิ้วตามสายลม ดูงดงามทีเดียว แม้ปากจะถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ทว่าดวงตาของนางกลับจ้องมองไปทางหลิงจิ่งพี่น้อง คล้ายกับกำลังถามพวกเขาว่าชอบหรือไม่ชอบ “พอใช้ได้ เพียงแต่สีเหลืองไปสักหน่อย ตอนนั่งยองเมื่อครู่ ข้าเผลอไม่ตั้งใจมอง คิดว่าเป็นสุนัขสีเหลืองตัวใหญ่ของหัวหน้าหมู่บ้านมาขออาหารกินเสียอีก” ฝูอวิ๋นพิงประตูเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “ท่าน!” หลี่หรูเยียนหน้าเขียวคล้ำทันที “ขอโทษที ๆ ข้าสายตาไม่ดีเลยมองผิดไป” ฝูอวิ๋นยิ้มกลบเลื่อน ก่อนจะมองไปทางหลิงจิ่ง “อาจิ่ง น้าเล็กของเจ้ามาหาเหตุใดไม่เชิญเข้าไปในเรือน?” หลิงจิ่งเม้มปากมิได้เอ่ยวาจา ทว่านัยน์ตากลมโตคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง เขาจ้องมองฝูอวิ๋นนิ่ง ๆ ดูเหมือนว่านางจะดูสดชื่นขึ้นกว่าเมื่อตอนเที่ยงอยู่เล็กน้อย ฝูอวิ๋นก้าวเท้าข้ามธรณีประตูออกไป ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยน “รู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้า ไม่อยากให้พวกวุ่นวายมารบกวนการพักผ่อนของข้า” “ข้า…ข้าเปล่าสักหน่อย!” หลิงจิ
“นึกออกแล้ว!” ฝูอวิ๋นกลอกตามองมา “หรูเยียน มิเช่นนั้นเจ้าก็ช่วยข้า?” “หา? ข้าจะช่วยท่านได้อย่างไร?” “รอให้หลิงหานโจวกลับมา เจ้าก็แสร้งทำทีหลับนอนกับเขา จากนั้นข้าก็เข้ามาจับชู้ได้ แบบนี้ ข้าก็จะได้หย่ากับเขาแล้วไปหาเซียวหราน” “จะทำแบบนั้นได้ที่ไหนกันเล่า?” หลี่หรูเยียนตกตะลึง เห็นนางท่าทางกระอึกกระอักขัดเขิน รอยยิ้มของฝูอวิ๋นยิ่งเจ้าเล่ห์มากขึ้นทุกที “น้องหญิงคนดี เจ้าบอกเองมิใช่หรือว่า เพื่อความสุขของข้า จะให้เจ้าทำอะไรล้วนได้เสมอ?” ในเมื่อเอาศีลธรรมมากดดันกันได้ใครเล่าจะไม่ทำ? ไว้นางปูเส้นทางอนาคตให้ตนเองเสร็จ ใช้หลี่หรูเยียนเป็นเครื่องมือเพื่อหย่าร้างกับสามีนายพรานคนนี้ เพียงเท่านี้ก็จะสามารถออกไปใช้ชีวิตอิสระของตนเองได้แล้ว ครอบครัวเขาจะวุ่นวายเพียงใดก็เรื่องของพวกเขาแล้ว ลงทุนครั้งเดียวได้ผลลัพธ์มหาศาล หลี่หรูเยียนแสร้งทำทีกระอึกกระอักลังเลอยู่สองสามหน สุดท้ายก็ผงกศีรษะรับอย่างเหนียมอาย “เฮ้อ ใครให้ท่านเป็นพี่หญิงที่แสนดีที่สุดของข้ากัน ขอเพียงท่านมีชีวิตที่ดีขึ้น ให้ข้าเสียสละตนเองสักหน่อยก็ย่อมได้” “เยี่ยม เช่นนี้แล้วก็เอาตามนี้แล้วกัน” ฝูอวิ๋นเฝ้าฝันถึงวันที่ง
ฝูอวิ๋นสัมผัสได้ถึงสายตาอันแรงกล้าที่จ้องตัวเองอยู่ก็ขมวดเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น จากนั้นหันตัวไป ได้พบกับเซียวหรานผู้เป็นตำนานมิน่าเล่า หลี่ชุ่ยฮวาจึงจำไม่ลืมเลือน เป็นความจริงที่เขารูปหล่อมาก มีกลิ่นอายของบัณฑิตผู้สุภาพและให้ความรู้สึกเหมือนคุณชายผู้สง่างามเซียวหรานขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจเมื่อเห็นฝูอวิ๋นมองมา “หลี่ชุ่ยฮวา วันก่อนข้าก็พูดกับเจ้าอย่างชัดเจนแล้วนะว่าข้ามีภรรยาแล้ว ส่วนเจ้าก็แต่งงานแล้วเช่นกัน อย่าตามตื๊อข้าอีก”จู่ๆ ฝูอวิ๋นก็หัวเราะออกมา ดวงตาเย็นชาถึงขีดสุด“คุณชายเซียวพูดอันใด? ข้าเพียงนำของมาจำนำเท่านั้น ท่านก็รีบเดินเข้ามาพูดคุยกับข้าแล้ว หากไม่รู้มาก่อนคงคิดว่าท่านยังหลงเหลือความรู้สึกต่อข้า”ฝูอวิ๋นลูบใบหน้าตัวเองพูดอย่างน่าสงสาร “แต่ท่านจะลืมข้าไม่ได้ก็ไม่แปลก ผู้ใดใช้ให้ข้ามีใบหน้าที่งดงามจนสรรพชีวิตต้องเกลียดชังกันล่ะ?”“ขนาดสามีของข้าก็ยังมองข้าด้วยความหลงใหลเหมือนท่านตอนนี้ในทุกๆ วัน”ภายในถ้อยคำของฝูอวิ๋น นอกจากประโยคที่ว่าสามีชอบมากนางแล้ว เรื่องอื่นล้วนแต่เป็นความจริงสกุลหลิงหาเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ ไม่ได้ทำการเกษตร ประกอบกับเดิมทีหลี่ชุ่ยฮว
จากหมู่บ้านสกุลหลี่มาถึงตำบลผิงไม่ถือว่าไกล หากใช้เส้นทางที่ตัดผ่านป่าจะมีระยะทางไม่ถึงสิบห้าลี้ ด้วยฝีเท้าของฝูอวิ๋นแล้ว เดินเพียงครึ่งชั่วยามก็ถึงตำบลผิงตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลและค่อนข้างล้าหลัง มีตลาดนัดแค่เดือนละสามครั้ง แบ่งเป็นวันที่ห้า วันที่สิบห้า และวันที่ยี่สิบห้า หรือก็คือทุกครั้งที่ในวันมีเลขห้านั่นเองวันนี้เป็นวันที่สิบห้า ตรงกับวันที่มีตลาดนัดพอดีเวลานี้บนถนนมีผู้คนขวักไขว่ไปมาคับคั่ง เสียงเชิญชวนให้ซื้อสินค้า เสียงพูด และเสียงโต้เถียงดังผสมปนเปกัน บรรยากาศคึกคักมีชีวิตชีวามากฝูอวิ๋นเดินไปทางโรงรับจำนำโดยอาศัยจากความทรงจำ ทำการจำนำเครื่องประดับทั้งสองชิ้นแต่นางเพิ่งจะก้าวเข้าไปยังโรงรับจำนำก็คือหญิงสาวหน้าตาหยาดเยิ้มนางหนึ่งยกมือขวางไว้“หืม นี่มันนังบ้าหลี่ชุ่ยฮวาผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมิใช่หรือ? เซียวหรานของข้าเพิ่งจะก้าวเข้ามาที่นี่ เจ้าก็ตามเข้ามาทันที จมูกสุนัขดีไม่เลวเลยนี่”หญิงสาวนางนี้คืออนุของเซียวหราน มีนามว่าเจี่ยอิ๋งอิ๋ง ทั้งที่รูปโฉมงดงาม ทว่าเอ่ยปากพูดแล้วกลับมีแต่ความเหน็บแนมประชดประชัน ทำให้อดที่จะรู้สึกรังเกียจไม่ได้“หลีกไป” ฝูอวิ๋นเม้มริมฝี
หลิงจิ่งยกน้ำหนึ่งชามมาให้อย่างรวดเร็ว ฝูอวิ๋นเงยหน้าดื่มหมดในอึกเดียวนางลูบศีรษะน้อยๆ ของหลิงจิ่ง “เมื่อก่อนข้าทำแบบนั้นกับเจ้า ไม่เกลียดข้าหรือ?”ความจริงแล้วนางอยากจะสลัดตัวเองทิ้งและถามหลี่ชุ่ยฮวาเพียงผู้เดียวหลิงจิ่งเม้มปากแน่น ดวงตาคู่กลมส่องประกายระยิบระยับภายใต้แสงตะเกียงขนาดเท่าเม็ดถั่วฝูอวิ๋นยิ้มแล้วถามอีกครั้ง “เจ้าทำดีกับข้าเช่นนี้ คงไม่ได้กำลังวางแผนทำข้าตายกระมัง?”“ข้า…” หลิงจิ่งมองฝูอวิ๋น รู้ว่าค่ำคืนนี้นางแปลกประหลาดมาก“ช่างเถอะ นอนดีกว่า พรุ่งนี้ข้าจะปูเตียงแล้วให้พวกเจ้ากลับไปนอนที่เดิม มิเช่นนั้นข้ากลัวว่าเจ้าจะลอบฆ่าในยามที่ข้าหลับ”ดวงตาของทอประกายเหมือนคนที่ผ่านโลกมาโชกโชน ค่ำคืนนี้ นางรู้สึกซึมเศร้าหลิงจิ่งขมวดคิ้ว เนิ่นนานก่อนจะพูดขึ้นว่า “ท่านตกใจจนเสียขวัญไปแล้วหรือ?”“ก็คงใช่กระมัง” ฝูอวิ๋นใช้นิ้วสางผมไปไว้ด้านหลัง เผยให้เห็นใบหน้าขาวซีดจู่ๆ หลิงจิ่งก็เข้ามากอดเอวนางฝูอวิ๋นตกใจผงะ นางยิ้มขมขื่นว่า “ข้าทำให้เจ้ากลัวหรือ?”“ท่านกลับไปทุบตีพวกข้าเหมือนเดิมเถิด” หลิงจิ่งพูดแบบนี้ออกมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเหตุใดจึงพูดเ
หลิงจิ่งชอบตบหมอนก่อนเข้านอน เนื่องจากหมอนที่พวกเขาใช้แข็งทื่อมาก ทำจากฝ้ายคุณภาพต่ำจึงมักจะราบเรียบไม่เสมอกัน ตบแล้วจะช่วยให้หนอนหนุนสบายยิ่งขึ้นคืนนี้เขาลืมตัวจึงเผลอยกหมอนขึ้นมาตบ เมื่อยกหมอนขึ้นมาแล้วก็ได้พบกับปิ่นเงิน กำไลหยก และเงินทองแดงอีกสิบกว่าเหรียญที่อยู่ใต้หมอนเขาตกใจผงะเขาไม่ได้รู้สึกแปลกตากับของสองชิ้นนี้กำไลหยกนั่นเป็นของน้าเล็ก น้าเล็กสวมไว้ที่ข้อมืออยู่ตลอด ส่วนปิ่นเงินนั่น ได้ยินมาว่าเป็นของแทนใจที่ชายชู้มอบให้หลี่ชุ่ยฮวานางเก็บไว้ใต้หมอนเช่นนี้เพื่อไว้คะนึงหาเวลาเห็นของอย่างนั้นหรือ?สีหน้าของหลิงจิ่งหมองหม่นลงเล็กน้อยหลิงเสวี่ยเห็นเขาแน่นิ่งก็หันมามอง เมื่อเห็นของสองสิ่งที่อยู่ใต้หมอนก็ร้องออกมาว่า “เอ๋” จากนั้นหยิบกำไลหยกขึ้นมา “นี่มันกำไลของน้าเล็กมิใช่หรือ? เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้?”ฝูอวิ๋นถอดชุดตัวนอกไปพาดไว้ที่เก้าอี้ ครั้นได้ยินถ้อยคำของหลิงเสวี่ยถึงค่อยนึกขึ้นได้ว่านี่เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่นางตอบว่า “นี่เป็นของที่ข้าเคยให้น้าเล็กของพวกเจ้ายืมไปใส่ เมื่อวานนางนำมาคืน ตอนนี้จึงเป็นของข้าแล้ว”“อ้อ คืนให้ท่าน” หลิงเสวี่ยยื่นกำไลหยกใ
ฝูอวิ๋นเห็นสีหน้าหวาดกลัวลนลานของแม่ม่ายหลิวก็เกิดความคิดชั่วร้ายบางอย่าง ใช้ปลายเท้าเตะก้อนหินให้กระเด็นไปที่น่องของอีกฝ่าย“โอ๊ย! ผู้ใดกัน!”ความเจ็บปวดที่ขาทำให้แม่ม่ายหลิวกรีดร้องเสียงดังทว่ารอบข้างกลับไม่มีผู้ใด ส่วนพวกฝูอวิ๋นก็เดินห่างออกไปค่อนข้างไกลแล้วแม่ม่ายหลิวตัวแข็งทื่อ ใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากเขียวซีด พูดพึมพำไม่หยุด “อมิตตาพุทธ พระ พระโพธิสัตว์โปรดคุ้มครอง…”“บะ บะ บาปมีผู้ก่อ นะ นะ หนี้มีเจ้าหนี้ ข้าเป็นคนดี ข้าเป็นคนดี…ข้าเป็นคนดีจริงๆ นะ…”หลิงจิ่งกุมท้องหัวเราะลั่นเมื่อเห็นแม่ม่ายหลิววิ่งกรีดร้องกลับบ้านไปหลิงเสวี่ยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น “ท่านพี่ ท่านหัวเราะอะไรหรือ?”“ฮ่าๆๆ…แม่ของเสี่ยวหู่ตกใจฉี่ราดกางเกงแล้ว!” หลิงจิ่งพูดเสียงดังอย่างไม่เกรงกลัวแม่ม่ายหลิวที่เพิ่งจะวิ่งไปได้ไม่ไกลสะดุดล้มหน้าคะมำ นางรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งต่อโดยไม่หันกลับไปมองสายลมช่างเป็นอะไรที่อัศจรรย์ยิ่ง ทั้งที่ตอนนี้รอบข้างไม่มีผู้ใด ทว่าถ้อยคำของหลิงจิ่งกลับถูกผู้ใดก็ไม่รู้ได้ยินเข้าโดยปกติแล้วชาวหมู่บ้านสกุลหลี่ก็เป็นคนใจดี กระตือรือร้น และชอบใส่ใจผู้อื่นไม่ช้า คนทั้งหมู่บ้านก
ไม่ต้องหันไปมอง ฟังจากแค่น้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรนี้ ฝูอวิ๋นก็รู้ว่าแม่ม่ายหลิวมาหาเรื่องอีกแล้ว จะด่านางก็ตามสบาย แต่การที่ใช้ถ้อยคำเช่นนั้นกับเด็กๆ นี่มัน…น่าโมโหเกินไป!ฝูอวิ๋นโยนเสื้อผ้าที่บิดเสร็จแล้วลงในถัง ยืดเอวที่ปวดร้าวลุกขึ้นพูดว่า “เจ้าคนโสโครกด่าใคร?”“ยังจะว่าผู้ใดได้อีก ก็ต้องสองคนนี้…” เสียงของแม่ม่ายหลิวขาดหายอย่างฉับพลัน ใบหน้ากลายเป็นสีดำทะมึน “หลี่ชุ่ยฮวา อยู่ดีๆ ก็มาด่ากันมันหมายความว่าอย่างไร?”หา!ฝูอวิ๋นแทบจะกระอักเลือดผู้ใดกันแน่ที่อยู่ดีๆ ก็มาด่า?นางกัดฟันกรอดพร้อมกับยิ้มบางๆ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ข้าก็หมายความตามนั้นแหละ”“หมายความว่าอยากมีเรื่องสินะ?” แม่ม่ายหลิววางท่าทันที “ปล่อยม้ามาเลย[1]อย่าคิดว่าข้าจะกลัวเจ้า!”“ขออภัย เมื่อวานนี้ม้าของข้ากลายเป็นหมูไปแล้ว และตอนนี้ก็กำลังอยู่เบื้องหน้าข้า”แม่ม่ายหลิวมองซ้ายแลขวาด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่เห็นหมูสักตัว ครั้นเห็นฝูอวิ๋นหัวเราะคิกคักถึงค่อยเข้าใจว่าตัวเองกำลังถูกด่า!“หลี่ชุ่ยฮวา เจ้า เจ้า เจ้า!” แม่ม่ายหลิวชี้หน้าฝูอวิ๋น อึกอักอยู่นานแต่กลับด่าอะไรไม่ออกฝูอวิ๋นยิ้มหวาน “ท่าทีที่เจ้า เจ้า เจ้า
“งานวันนี้ต้องเสร็จวันนี้ ไปเถิด พวกเราไปซักผ้าที่ริมแม่น้ำ พรุ่งนี้ยังต้องทำอย่างอื่นอีก” ฝูอวิ๋นถือถังไว้ในมือข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งจูงมือหลิงเสวี่ย ร้องเรียกหลิงจิ่งแล้วเดินออกไปด้านนอก“พรุ่งนี้ต้องทำอะไรหรือ?” หลิงจิ่งถาม“มีเรื่องต้องทำมากมาย”เรื่องที่เร่งด่วนที่สุดก็คือซื้อเสบียงอาหารเสบียงอาหารอันน้อยนิดที่บ้านเพียงพอแค่สำหรับคืนนี้เท่านั้นพรุ่งนี้ก็จะไม่มีอาหารกินแล้วลองนับวันดูแล้ว นับตั้งแต่ที่หลิงหานโจวออกจากบ้านเป็นครั้งแรก จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาสี่วันแล้วตอนนั้นเขาบอกว่าครั้งจะใช้เวลาอย่างน้อยเจ็ดวัน มากสุดก็ครึ่งเดือน…จากไปนานขนาดนั้นแต่กลับทิ้งเสบียงไว้แค่นี้ กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?ตอนนี้เป็นเวลาหลังเที่ยง หลายคนในหมู่บ้านสกุลหลี่จะซักผ้าตั้งแต่ช่วงสาย เวลานี้ริมแม่น้ำจึงไม่มีผู้ใด ฝูอวิ๋นหาตำแหน่งที่พื้นค่อนข้างเรียบมานั่งลงแล้วเริ่มทำงานนางตักน้ำจากในแม่น้ำมาหนึ่งกะละมัง ใส่จ้าวเจี่ยวลงไปและบดให้ละเอียด ยิ่งละเอียดมากเท่าใดก็ยิ่งดี ตามด้วยขยี้เบาๆ ให้เกิดฟอง เท่านี้ก็เป็นอันใช้ได้แล้วนางเรียนรู้วิธีนี้จากความทรงจำของหลี่ชุ่ยฮวา ฝูอวิ๋นไม่เคยใช้เจ้าสิ่
หลิงจิ่งเข้าห้องมาพบกับความว่างเปล่าก็ตกใจดวงตาแทบถลน จะอ้าปากร้องเรียกนางแต่ก็ไม่รู้ว่าควรเรียกอย่างไรฝูอวิ๋นเปิดหน้าต่างและปัดฝุ่นออกกวาดหยากไย่ใต้เตียงให้สะอาดและกวาดฝุ่นผงจำนวนมากออกมาหลิงจิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “คือว่า…ท่านเผาฟางเช่นนี้ คืนนี้ข้ากับน้องหญิงจะนอนอย่างไร…”“ไม่ต้องถามมาก ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าห้องนี้มีแต่เหา อุตส่าห์อาบน้ำพวกเจ้าจนสะอาดทั้งที ย่อมนอนเตียงที่มีเหาไม่ได้อีก”ฝูอวิ๋นมองไปที่ขอบเตียง เอาแต่รู้สึกว่าปกคลุมไปด้วยเหาเช่นกันเมื่อหลับตาลงก็ราวกับเห็นเหาที่คลานยั้วเยี้ยเต็มเตียง นางรู้สึกขนลุกซู่ รีบตักน้ำมาเช็ดให้ทั่ว แม้แต่โต๊ะหนังสือก็ไม่เว้นบนพื้นเป็นดินเปลือยเปล่า ไม่อาจเช็ดทำความสะอาด ทำได้เพียงกวาดให้ทั่วกว่าจะทำทุกอย่างเสร็จก็เลยเวลาเที่ยงไปโดยไม่รู้ตัวฝูอวิ๋นปวดเอวปวดหลังไปหมด เพิ่งจะนั่งพักหายใจก็ถามตัวเองว่าเหตุใดทำงานแค่เล็กน้อยก็หมดแรงแล้ว?จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อเช้าตัวเองกินไข่ไก่แค่สองฟองและอยู่มาจนถึงตอนนี้นางเดินไปทำอาหารที่ห้องครัวโดยพลันเนื่องจากตอนนี้ทั้งเหนื่อยทั้งหิว นางจึงไม่มีเวลามาทำอาหารที่ซับซ้อนเก
หลังจากอาบน้ำให้หลิงเสวี่ยเสร็จเรียบร้อย ฝูอวิ๋นก็ทำการเช็ดผมให้กับนาง ครั้นตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีเหาอีกก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อผมขึ้นมานางห่อตัวเด็กหญิงด้วยผ้าฝ้ายที่เตรียมไว้ก่อนแล้ว อุ้มนางกลับไปที่ห้องตัวเอง นำเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ออกมาให้ใส่“หนาวเหลือเกิน หนาวเหลือเกิน…” หลิงเสวี่ยสั่นเทิ้มไปทั้งตัว“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดจึงรู้สึกหนาวหลังจากอาบน้ำ?” ฝูอวิ๋นสวมเสื้อผ้าให้นางไปพลาง ถามไปพลาง“เพราะเหตุใดหรือ?”“เพราะว่า…ในอากาศมีปีศาจที่ชอบดูดน้ำ เมื่อมีหยาดน้ำเกาะบนร่างกาย เจ้าปีศาจก็จะเป่าน้ำบนตัวเรา แบบนี้...”ฝูอวิ๋นเป่าไอเย็นไปที่คอของเด็กหญิง เย็นจนอีกฝ่ายต้องหดคอ“น่ากลัวเหลือเกิน!”“เร็วเข้า รีบเข้าไปใต้ผ้าห่ม เช่นนั้นเจ้าปีศาจก็จะเป่าเจ้าไม่ได้แล้ว”“คิกๆๆ…”“นังหนู ตอนนี้ยังกลัวการอาบน้ำอีกหรือไม่?”“ไม่กลัวแล้ว การอาบน้ำของท่านแม่สบายตัว ไม่เจ็บเหมือนท่านพ่อ” เด็กหญิงยิ้มตาหยี ส่วนนี้เหมือนฝูอวิ๋นมาก“เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?” ฝูอวิ๋นถามด้วยความประหลาดใจเ“เปล่า…” เด็กหญิงเม้มปากแล้วมุดตัวเข้าผ้าห่มอย่างเขินอายฝูอวิ๋นส่ายหน้าด้วยความจนใจ เด็กคนนี้เปลี่ยนหน้