นิ้วมือเล็ก ๆ ขยับพร่างพรมบนแป้นคีย์บอร์ดอย่างชำนาญ ชายหนุ่มหน้าตี๋ร่างสูงผมสั้นสีน้ำตาลแดงยืนมองอยู่ข้างคอมพิวเตอร์สีซีดด้วยแววตาชื่นชม เขาเหลียวมองบรรยากาศในร้าน “หมูหยองอินเตอร์เนท” ที่เห็นจนชินตาแต่ความรู้สึกกลับสดใสมากกว่าเมื่อครั้งที่เจ้าของร้านยังอยู่
ราวกับว่าร้านเนทเล็ก ๆ ที่มีคอมพิวเตอร์ให้บริการอยู่ประมาณสิบสองเครื่องได้รับความดูแลอย่างดี พื้นห้องก็สะอาด ถังขยะที่ไม่มีขยะล้นให้รำคาญลูกตา ประตูกระจกก็ใสสว่างไม่มีคราบฝุ่น หรือเป็นเพราะพนักงานดูแลร้านคนใหม่ที่เพิ่งประจำการได้เพียงอาทิตย์เศษคนนี้
“เรียบร้อยแล้วค่ะพี่ตั้ม”
“อ้อ!”
ตั้มหันมาตามเสียงเรียกของเด็กสาวที่ยิ้มหน้าแป้นอยู่หน้าคอมพ์เธอหมุนเก้าอี้เลื่อนมารอรับกระดาษที่ไหลออกมาจากเครื่องปริ๊ตเตอร์
“ใบเสนอราคาค่ะ ค่าปริ๊ตแผ่นละห้าบาท ส่วนค่าบริการเอาเป็นซามูไรเบอร์เกอร์ชิ้นหนึ่งนะคะ”
“โหนี่เหรอราคากันเอง งั้นพี่ขอราคาปกติดีกว่ามั้ง” ชายหนุ่มหัวเราะจนตาหยี
“เอ่อ…แล้วที่พี่ให้หาข้อมูลประกวดยังดีไซด์เนอร์อะไรนั่นละ”
“พรุ่งนี้ได้ไหมค่ะ โซดาsaveมาแล้วแต่มันต้องทำเป็นwordก่อนถึงจะปริ๊ตได้นะคะ”
ยังไม่ทันที่โซดาจะพูดจบประโยคเสียงโทรศัพท์มือถือของตั้มก็ดังขึ้น หนุ่มตาหยีก็หมุนตัวไปคุยโทรศัพท์อยู่มุมร้าน ภาพของเพื่อนพี่ชายคนนี้จะดูเหมือนชอบปะทะคารมกับสาวมั่นนามน้ำหวานทุกฉากทุกตอน แต่ไม่มีอะไรเลยที่ชายหนุ่มจะไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องราวของอีกฝ่าย รวมทั้งสิ่งที่เป็นความใฝ่ฝันของเธอคนนั้นอีกด้วย โซดาระบายยิ้มน้อย ๆ นึกอยากมีใครสักคนที่มาค่อยดูแลและห่วงใยแบบที่ตั้มทำให้น้ำหวานอย่างเสมอต้นเสมอปลาย จู่ ๆ ผีหนุ่มร่างโปร่งใสก็ก้าวทะลุประตูกระจกของร้านเนทเข้ามาสบตากับโซดา ที่นั่งใจลอยอยู่ใกล้ประตูแล้วโบกมือบกไม้ทักทาย
“ฮ่วย!” โซดาสะดุ้ง “นายวุ่นวาย! อย่าจู่ ๆ ก็โผล่มาอย่างนี้ซิ”
สาวโซดาเผลอตะคอกเสียงดัง จนลูกค้าที่อยู่ในร้านสามคนสะดุ้งรวมทั้งเพื่อนพี่ชายที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่หันมามองอย่างตกใจ
“เอ่อ...โซดาซ้อมร้องเพลงค่ะ เพลงใหม่โหลดจากเนทค่ะ...จู่ ๆ เธอก็มาโผล่ในหัวใจฉัน…เย้...เย่”
“จะเป็นนักร้องหรือนักเขียนกันแน่”
ตั้มหัวเราะไม่จริงตัง โซดาแสร้งยิ้มหัวเราะตามแต่หันไปทำหน้าดุใส่คุณวิญญาณเร่ร่อน คนถูกดุก้มศีรษะขอโทษก่อนจะเดินมานั่งใกล้ ๆ สาวโซดาโดยที่ไม่มีใครในร้านรู้สึกถึงการมาเยือนของเขาเลย
“เอ๊ะ พี่ตั้มเปลี่ยนมือถือใหม่อีกแล้วเหรอค่ะ” เด็กสาวถามพลางยื่นหน้าเข้าไปดูใกล้ ๆ
“ฮืม อันนี้ถ่ายรูปได้นะ ว่าแต่ทำไมเราไม่มีสักเครื่องละ ไอ้เบียร์ขี้เหนียวขนาดนี้เลยเหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น พี่เบียร์บอกว่ารอเงินเดือนออกก่อนนะค่ะ อีกอย่างโซดาก็ไม่ได้จำเป็นต้องใช้อะไรด้วย”
“นั่นนะซิ...งั้นพี่ขอลองมือถือหน่อยละกัน” ตั้มยกโทรศัพท์เครื่องเท่ห์ถ่ายรูปน้องสาวเพื่อนทันทีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายเก๊กหน้า
“พี่ตั้มอ่ะ จะถ่ายรูปก็บอกก่อนซิ ไหนดู ไม่เห็นสวยเลยหลับตาด้วย ถ่ายใหม่เดี๋ยวนี้นะ”
“ได้ขอรับคุณหนู”
ตั้มทำเสียงล้อเลียน โซดาเสยผมที่รุยร่ายขึ้นเธอมักจะรวบผมยาวเคลียบ่าขึ้นเป็นหางม้าดูทะมัดทะแมง เสี้ยววินาทีหนึ่ง เธอฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้จึงหันไปทางที่วิญญาณหนุ่มนั่งยิ้มหน้าจืดอยู่ไม่ห่างกันนัก
“เปลี่ยนมุมบ้างซิ ถ่ายตรง ๆ หน้าบานเป็นจานดาวเทียมแน่เลย”
“ครับ-ครับคุณหนู”
เด็กสาวขยับตัวลากเก้าอี้ไปใกล้เก้าอี้ว่างตัวหนึ่ง ไม่มีใครเห็นว่ามีร่างชายหนุ่มสวมแว่นตาทรงกลมนั่งอยู่ เธอเอียงคอเล็กน้อยทำท่าเก๋ แต่ใบหน้าไร้เครื่องสำอางเกือบชิดแก้มของอีกฝ่าย คุณผีวุ่นวายเหลียวมองอย่างตกใจ แต่ยังไม่ทันเบี่ยงตัวออก ชายหนุ่มหน้าตาหยีก็ยกนิ้วทำท่าโอเค
“สวยพอไหมครับคุณหนู”
ตั้มยืนโทรศัพท์มือถือให้ดูรูปภาพในจอเล็ก ๆ รอยยิ้มบนใบหน้าหวานสดใสกลับเลือนหายไปทันทีเมื่อในรูปนั้นมีเพียงเธอคนเดียว
“ขออีกรูปได้ไหมคะ เอาแบบเห็นวิวข้าง ๆ ด้วย อย่าถ่ายหน้าโซดาใกล้ ๆ เดี๋ยวเห็นเม็ดสิว”
“ครับ ได้ครับคุณหนู เอ้า! หนึ่ง สองสาม”
คราวนี้ภาพที่ได้มาก็ไม่ต่างจากเดิม แม้จะเป็นภาพถ่ายมุมกว้าง สีหน้าของโซดาไม่อาจซ่อนรอยเศร้าได้หมด ทำให้เพื่อนพี่ชายรู้สึกกังวลไปด้วยแม้จะไม่รู้สาเหตุก็ตาม
“ไม่มีอะไรหรอก เอ่อ...โซดาคิดพล็อตนิยายอยู่ แบบว่านางเอกอยากถ่ายรูปผีที่ชอบทำตัววุ่นวายนะค่ะ” ไม่พูดเปล่าแต่ส่งสายตาประชดประชันไปยังผีหนุ่มที่ยืนตัวลีบอยู่ไม่ห่างนัก
“เฮ้ย! ถ้าถ่ายรูปผีติดก็มีแต่ชัตเตอร์กดติดวิญญาณแล้ว เออ...เดี๋ยวพี่ไปทำงานก่อน ที่อู่ไม่มีคนดูแล ขอบใจนะสำหรับใบเสนอราคาเนี่ย”
เด็กสาวโบกมือให้แทนคำลา เธอหันกลับมาสนใจคุณผีเร่ร่อนที่ชอบหน้าตาบ้องแบ๊วเหมือนลูกแมวหลงทาง เขาขยับเข้ามานั่งที่หน้าคอมพ์ใกล้ประตูทางเข้า-ออกร้าน ซึ่งเป็นที่ประจำของว่าที่นักเขียนดาวรุ่งที่มีความมุ่งมั่นแต่ยังเขียนนิยายไม่จบสักเรื่อง
“ฉันนึกว่าถ่ายรูปนายติดจะได้เอาไปประกาศหาคนหายได้”
“ผมอาจมีพลังงานในตัวเองไม่มากพอที่จะแสดงรูปร่างให้ใครเห็นมั่งครับ” เขาลังเลว่าจะบอกเธอดีไหมว่าเขาไม่ใช่คน เอ่อ วิญญาณในยุคนนี้
“นั่นนะซิ...เพราะนอกจากนายแล้วฉันก็ไม่เคยผีที่ไหนเลย”
“แต่ผมว่าตอนนี้มีคนมองคุณอยู่นะ”
โซดาหันไปทางที่นายวุ่นวายบุ้ยปากให้ ลูกค้าในร้านหันมามองอย่างงง ๆ เหมือนเห็นเธอสติไม่เต็ม
“เอ่อ...ซ้อมบทสนทนาที่จะใช้เขียนนิยายนะค่ะ แหะๆ”
เด็กสาวได้แต่ทำหน้างอรู้สึกอับอายครั้งแล้วครั้งเล่าที่เธอเผลอพูดคุยกับนายวุ่นวายต่อหน้าคนอื่นจนใครต่อใครคิดว่าเธอเริ่มมีอาการเพี้ยนเพราะอยากเป็นนักเขียน
กว่าสัปดาห์หนึ่งแล้วที่ชีวิตที่แสนธรรมดา ของเด็กสาวอายุสิบเจ็ดผู้เดินทางมาจากขอนแก่นเริ่มไม่ธรรมดาจนกลายเป็น “คนเพี้ยน”ในสายตาคนทั่วไป ก็ตั้งแต่มีวิญญาณเร่ร่อนที่แสนอาภัพจำไม่ได้แม้แต่ชื่อของตนเอง หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาไม่มีอะไรคืบหน้ากับการตามหาร่องรอยของนายวุ่นวายเลย
โซดาก็เริ่มทำงานพิเศษที่ร้าน “หมูหยองอินเตอร์เนท” ด้วยเหตุที่ว่าเจ้าของร้านกำลังจะแต่งงานและย้ายไปอยู่กับว่าที่ภรรยาช่วยกันทำกิจการหมูแผ่นแสนอร่อย แต่ตอนนี้ยังหาคนมาเซ็งกิจการต่อไม่ได้ เลยอยากได้พนักงานมาดูแลร้านที่มีคอมพิวเตอร์อยู่สิบสองเครื่องสักคนไปพลาง ๆ ก่อน ก็พอดีกับที่โซดาย้ายมาอยู่กับเบียร์ และกำลังหาหาพิเศษทำก่อนเปิดภาคเรียนในเดือนมิถุนายน
ร้านเล็ก ๆ ไม่ได้มีอะไรต้องดูแลยุ่งยากนัก แถมเจ้าของร้านก็ไม่แวบไม่ตรวจงานเลย ทำให้โซดาเหมือนเจ้าของร้านไปทุกที แอบปิดร้านครึ่งวันหนีไปอยู่ร้านหนังสือก็ไม่มีใครว่าเพียงแค่ช่วงนี้ปิดเทอมจึงมีเด็ก ๆ มาเล่นเกมออนไลน์มากขึ้นกว่าปกติ เปิดร้านสิบโมงเช้าปิดร้านสองทุ่มเดินจากบ้านมาที่ร้านแค่สิบห้านาที พี่ชายจะทำข้าวกล่องไว้ให้ทุกเช้าก่อนไปทำงาน เรียกได้ว่าเธอแทบไม่ต้องเสียเงินค่าใช้จ่ายใด ๆ แต่งตัวยังไงก็ได้ตามแต่ความพอใจ บางวันก็มีลูกค้าเอางานมาจ้างปริ๊ต แต่เธอไม่รับพิมพ์รายงานหรือเอกสาร เพราะไม่ชอบทำงานแข่งกับเวลา ยกเว้นบางอย่างที่จำเป็น เจ้าของร้านก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไร แค่เธอทำบัญชีรายรับ-จ่ายในร้านและโอนเงินเข้าตามหมายเลขธนาคารที่เจ้าของร้านให้ไว้ก็หมดหน้าที่ของเธอแล้ว อะไรมันจะสบายไปกว่านี้คงไม่มีอีกแล้ว
แต่เรื่องที่มันยุ่งยากกว่านะคือจะจัดการยังไงกับเจ้าผีความจำเสื่อมตัว เอ๊ย คนนี้..ดีนะ
“ท่าทางคุณตั้มใส่ใจคุณน้ำหวานมากจังนะครับ”
เสียงคุณผีความจำเสื่อมเอ่ยขึ้นเบา ๆ โซดาเดินไปล๊อกประตูก่อนเดินกลับมานั่งนับเงินในลิ้นชักโต๊ะ นาฬิกาที่อยู่ข้างคอมพิวเตอร์บอกเวลาสองทุ่มเศษแล้ว
“ใช่...ถึงจะไม่ค่อยเห็นสองคนนี้พูดจาดี ๆ ใส่กัน แต่ก็ดูออกว่าพี่ตั้มห่วงพี่น้ำหวานขนาดไหน ตั้งแต่ตอนที่พ่อแม่ฉันยังอยู่ ฉันจำภาพพี่เบียร์ที่ชอบช่วยแม่ทำกับข้าวจนพี่ตั้มล้อเอาอยู่บ่อย ๆแล้วพี่น้ำหวานก็จะมาดุพี่ตั้มเสมอเลย บ้านพี่ตั้มเป็นอู่ซ่อมรถแล้วพี่ตั้มก็ชอบขโมยรถที่อู่มาขับอยู่บ่อย ๆ และโดนเตี่ยตีเป็นประจำ พี่เบียร์บอกว่าพี่ตั้มทำไปเพราะประชดพี่ชายคนโตเป็นหมอคนรองเป็นวิศวกร แต่พี่ตั้มเรียนไม่เก่งจบปวส.ก็ไม่เรียนต่อคลุกอยู่แต่ในอู่รถ ส่วนพี่น้ำหวานพ่อแม่พี่เค้าแยกทางตั้งแต่พี่น้ำหวานจำความได้ พี่น้ำหวานอยู่กับป้าญาติห่าง ๆ ป้าเค้าเย็บเสื้อผ้าโหลพี่น้ำหวานเลยอยากเป็นดีไซด์เนอร์แต่ว่าป้าไม่เข้าใจว่าดีไซด์เนอร์กับช่างเย็บผ้ามันต่างกันยังไง ป้าอยากให้ทำงานดี ๆ เป็นพนักงานกินเงินเดือน พี่น้ำหวานก็เลยหาเช่าแผงขายเสื้อผ้าที่สะพานพุทธ มีทั้งรับมาแล้วก็แบบที่ตัวเองดีไซด์เองด้วย” กว่าโซดาจะเล่าจบเธอก็นับเงินในกล่องเก็บเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว “ชีวิตพวกคุณนี่น่าสนุกจังเลยนะครับ” น้ำเสียงอ่อนโยนมากกว่าประชดประชัน โซดาระบายลมหายใจหนัก ๆ
ตลาดสะพานพุทธมีเสน่ห์อย่างประหลาดในสายตาของโซดา แต่เธอก็รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า,เครื่องประดับ,ตุ๊กตา,นาฬิกาหรือของขวัญน่ารัก ๆ ต่างมีดีไซด์เก๋ ๆ ออกมาเรียกเงินในกระเป๋าของนักช้อปได้เป็นอย่างดี เธอเองก็เคยซื้อที่หนีบกระดาษน่ารัก ๆ ไปไว้หลายอันโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร เด็กสาวซื้อน้ำผลไม้ปั่น ก่อนจะเดินเลาะไปตามถนนที่ผู้คนผลุพล่าน ฉุกคิดได้จึงหันหลังไปมองชายร่างสูงโปร่งสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน ร่างสูงโปร่งและไหล่กว้างที่ทำให้เขาดูโดดเด่นเหลือเชื่อ เส้นผมสีดำสลวยแม้จะเป็นรองทรงสั้น ๆ รับใบหน้าคมเข้ม เคยมีใครบอกเขาไหมนะ ว่าแว่นตาทรงกลมที่เขาสวมอยู่มันดูเท่รับกับใบหน้าเขาเหลือเกิน โอ๊ย! ทำไมหล่อกระชากใจเกย์อย่างนี้นะ!!!! นี่ถ้ามีใครคนอื่นมองเห็นคุณผีความจำเสื่อมเช่นเดียวกับเธอ ความรู้สึกกับภาพที่มองเห็นในขณะนี้คงไม่ต่างกัน เขาก้าวเดินช้า ๆ ดูข้าวของที่ร้านริมถนนราวกับไม่เคยมาเดินตลาดเช่นนี้มาก่อน นั้นซิ เขาดูแปลกและแตกต่างจากคนอื่น อย่างเห็นได้ชัดเหมือนกับอยู่โลกคนละใบหรือมาจากที่อื่น…ไม่ใช
“ขอบคุณนะคะ” โซดาส่งหมวกกันน็อคคือให้ พอดีกับที่พี่ชายกำลังไขกุญแจเข้าบ้าน“เที่ยวเพลินจนดึกเลยนะเรา” เบียร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามปกติ และตั้มก็เป็นเพื่อนที่เขาไว้ใจที่สุดและไว้ใจมากพอที่จะให้น้องสาวคนเดียวไปไหนมาไหนด้วยได้อย่างไม่เป็นกังวล“โชคดีนะคะขอให้พี่น้ำหวานใจอ่อนเร็ว ๆ นะ”“ขอบใจจ้า”หนุ่มหน้าตี่ยิ้มทะเล้นเหมือนเคยวันนี้เขาไม่มีอารมณ์จะหยอกเย้ากับใคร คงมีแต่เพื่อนรักเท่านั้นที่ดูออกถึงอาการของนายตั้ม รถเวสป้าแล่นออกไปไกลแล้วเบียร์จึงหันมาคุยกับน้องสาว“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”“เรื่องอะไรคะพี่เบียร์”“ก็วันนี้น้ำหวานทะเลาะกับนายตั้มอีกหรือเปล่า”“ก็ไม่เห็นมีนี่…พี่ตั้มก็ช่วยเรียกลูกค้าอย่างทุกทีอ่ะ พี่ตั้มก็หล่อแบบตี๋ ๆ นะทำไมพี่น้ำหวานเค้าไม่ชอบพี่ตั้มอ่ะ ถ้าโซดามีผู้ชายดีๆอย่างพี่ตั้มมาจีบคงรักหมดใจเลย”“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว” พี่ชายเฉไฉไปเรื่องอื่น “กลับดึกแบบนี้ได้อะไรมาบ้างละ”“บอกไม่ได้ค่ะ ความลับ”พี่ชายหันมาสบตากับน้องสาวที่ยิ้มทะเล้น แล้วส่ายหน้าไปมาเอือมระอากับนิสัยขี้เล่นที่ไม่รู้จักโตแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก รวมทั้งกระดาษปอนด์สีขาวที่ม้วนอย่างดีอยู
แต่พอมองเด็กสาวที่เดินผ่านมาและผ่านไป บางคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้น จนเธอแปลกใจว่าไม่กลัวผิวขาวจะเปลี่ยนสีบางเลยหรือ ? แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอหันหลังไปเธอจะมองเห็นชายร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน ที่มีดวงตาอ่อนโยนท่ามกลางผู้คนแปลกหน้าและทุกครั้งใบหน้านั้นจะมีรอยยิ้มให้เสมอ“คุณนี่ท่าจะรู้จักหนังสือประเภทเดียว มานี่ซิ ผมจะพาไปดูอะไร”มือของคุณวิญญาณยื่นมาจับที่ข้อมือของโซดา แต่มันก็ทะลุผ่านเหมือนลมพัดวูบหนึ่งเธอรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก เขาหัวเราะเก้อ ๆ ก่อนเดินนำเหมือนชำนาญเส้นทางอย่างดี คราวนี้เธอเป็นฝ่ายเดินตามแผ่นหลังของเขาบ้าง เขาเดินลัดเลาะรถหรูราคาแพงที่จอดเบียดฟุตปาธจนมาถึงร้านหนังสือแห่งหนึ่งคล้ายจะซ่อนตัวจากความวุ่นวายแห่งมหานคร จนไม่น่าเชื่อว่าชั้นสองของโรงหนังสยามจะมีร้านหนังสือเล็ก ๆ รวยรินด้วยกลิ่นกาแฟเช่นนี้“อย่างกับทะลุมิติมาแนะ” เด็กสาววัยสิบเจ็ดพึมพำเบา ๆ เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนแปลกประหลาดของสถานที่แห่งนี้ ในร้านนอกจากจะมีหนังสือมากมายเบียดกันแน่นบนชั้นหนังสือ ยังมีโต๊ะสำหรับนั่งดื่มชา-กาแฟอีกสามชุด มีล
“ปกติฉันอ่านแค่หนังสือเรียน หรือหนังสือที่ถูกบังคับให้อ่านประกอบการทำรายงานอะไรเท่านั้น มีอยู่วันหนึ่งฉันดูละครก่อนข่าว นางเอกเป็นลูกกำพร้าต้องทำงานพิเศษส่งตัวเองเรียนแล้วได้พบรักกับพระเอกหนุ่มหล่อร่ำรวยแต่ก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคกว่าจะได้แต่งงานกัน ฉันชอบมากเลย บางทีฉันก็เคยน้อยใจว่า ทำไมมีฉันเพียงคนเดียวที่ต้องทำงานพิเศษไปด้วยเรียนไปด้วย” เด็กสาวระบายรอยิ้มเหงา ๆ ให้กับผีหนุ่มที่ตั้งใจฟังเรื่องราวของเธอ“คุณป้าที่ฉันไปอาศัยอยู่ด้วย ก็มีลูกหลายคนฐานะเราก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ฉันทำงานพิเศษในห้างสรรพสินค้าช่วงปิดเทอม ฉันไม่เคยไปเรียนพิเศษ ไม่ค่อยได้กินขนมฝรั่งนั่งตากแอร์เย็น ๆ ไม่เคยได้ไปเที่ยวต่างประเทศจะแค่ญี่ปุ่นหรือเกาหลีก็ไม่เคย ฉันไม่เคยมีชีวิตแบบนั้นเลย ชีวิตแบบที่เห็นเมื่อกลางวัน แต่พอฉันดูละครเรื่องนั้นแล้วประทับใจ ฉันก็เลยจำชื่อเจ้าของบทประพันธ์ไว้และตามอ่านผลงานของเขาเกือบทุกเรื่องเท่าที่หาได้ แล้วฉันก็รู้สึกว่าการเป็นนักเขียนนี่วิเศษเหลือเกินเราจะขีดเขียนชีวิตให้เป็นยังก็ได้ ฉันก็เลยมุ่งมั่นว่าวันหนึ่งฉันจะต้องเป็นนักเขียนที่ดีอย่างพี่ดุจตะวันให้ได้”โซดาเงยห
โซดาขยับตัวไปนั่งที่เก้าอี้ว่างข้าง ๆ ผีหนุ่มร่างโปร่งใส เขาเบี่ยงตัวหลบเมื่อเธอเอนตัวมาดูที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ปลายจมูกคลอเคลียเส้นผมจนได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ อดไม่ได้ที่จะสูดกลิ่นหอมนั่น “อ้อ...เวบนี้ที่มีนักเขียนเอาเรื่องที่แต่งมาโพสไว้นี่น่า” โซดาหันมาเพื่อจะเรียกคุณผี แต่เธอไม่รู้ว่าเมื่อหันมาก็รู้สึกเหมือนแก้มเธอโดนปลายจมูกของเขาแตะเบา ๆ “นายยื่นหน้ามาทำอะไร” แก้มเนียนแดงระเรื่ออย่างน่ารัก ด้วยความเขินโซดาขว้างหมัดเล็ก ๆ ใส่แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นเพียงอากาศธาตุ ร่างเธอจึงเสียหลักเซถลาลงไปกลิ้งอยู่กับพื้น “เพราะนายแท้ ๆ เลย” ไม่รู้ว่าอายหรือว่าเขิน โซดานั่งจุ้มปุกอยู่กับพื้นเสียอย่างนั้น “ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ” คุณผีหัวเราะน้อย ๆ ก่อนทรุดตัวนั่งข้าง ๆ “คุณทำตัวเองน๊า!” “อย่ามาเยาะเย้ยฉันนะ! ถ้านายไม่ยื่นหน้ามาใกล้ฉันละก็!!” “คุณก็รู้ว่าผมทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วนี่ครับ จะหยิบจับอะไรก็ไม่ได้เลย เป็นผีที่ใช้อะไรไม่ได้เลย” เขายืมคำพูดเธอมาใช้พยายามทำให้เธอขำมากกว่า เวลาที่เขินและอายแบบนี้ทำไมถึงไ
พี่ชายถามพลางชูหนังสือขึ้นให้เห็นปก ปกติจะเห็นอ่านแค่แนวหวานแหววกับผลงานเจ้าของนามปากกาดุจตะวันเท่านั้น“ค่ะ เพิ่งเริ่มอ่านทำไมคะพี่เบียร์ว่ามันไม่ดีเหรอ” น้องสาวถามด้วยแววตาสงสัย“ไม่หรอก พี่นึกว่าโซดาไม่ชอบอ่าน ในห้องพี่ก็มี”“อ้าว…” เธออ้าปากค้างนึกเสียดายเงินร้อยกว่าบาทที่ซื้อหนังสือไป“ถ้าชอบอ่านแนวนี้ไปดูในห้องพี่นะ” พี่โยกหัวน้องสาวเล่นขณะที่เดินกลับบ้านพร้อมกัน “พี่ก็อยากให้เราอ่านหนังสือหลากหลาย อ่านหนังสือเยอะๆ จะได้มีวัตถุดิบในสมองเวลาเขียนจะได้ลื่นไหลไม่ติดขัดมีความสมจริงในงานเขียน” โซดาแหงนหน้ามองดูหน้าพี่ชายที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ รู้สึกเหมือนจะมีบางประโยคที่คุ้นหูเหมือนเคยได้ยินจากปากคุณผีจอมวุ่นวายเทศนาให้ฟังบ่อย ๆ จู่ ๆ เธอก็หยุดเดินหยิบรูปในกระเป๋าสตางค์ส่งให้พี่ชายดู“พี่เบียร์รู้จักผู้ชายในรูปนี่ไหมคะ เค้าเป็นนักเขียนรึเปล่า”ผีหนุ่มร่างโปร่งใส่ที่เดินตามหลังมาช้า ๆ ได้ยินเข้าถึงกับสะดุ้งรีบก้าวเข้าไปยืนข้างหลังก้มมองข้ามไหล่ของเบียร์ที่ก้มหน้ามองรูปในมือของน้องสาวอย่างพินิจพิจารณา ทั้งโซดาและคุณวิญญาณพเนจรต่างก็ลุ้นคำตอบของพี่เบียร์จนแท
“นายก็พูดได้ซิเพราะตอนนี้นายจำไม่ได้ ถ้าเกิดนายจำได้ว่านายเคยเป็นใคร นายอาจจะเสียใจที่อยู่ลำบากกับฉันอย่างนี้”เขาจะบอกเธอยังไงว่าไม่ใช่คนยุคนี้ ถ้าบอกไปเธออาจถามเลขรางวัลที่1 ซึ่งเขาก็ไม่รู้อีกนั้นแหละ“โธ่! อย่าลืมนะว่าผมเป็นวิญญาณเร่ร่อน เป็นแค่เนื้องอกของโซดา ผมรู้แล้วจะไปทำอะไรได้ แต่การที่ผมได้ใช้ชีวิตแบบนี้ ได้เจอโซดา อยู่กับเบียร์ ได้รู้จักตั้มกับน้ำหวาน ผมว่ามันอาจเป็นของขวัญที่คนบนฟ้ามอบให้ผมก่อนที่ผมจะไปเกิดใหม่ก็ได้ ถ้าเกิดผมจะสลายหายไปวันนี้หรือพรุ่งนี้ ก็ขอให้โซดารู้ว่าทุกเวลาที่ได้อยู่กับโซดาผมมีความสุขมาก ยิ่งได้เห็นโซดาวิ่งตามความฝันผมกลับรู้สึกสุขใจมากกว่า” “นายวุ่นวาย...” “ผมไม่อยากรู้แล้วว่าผมเป็นใคร แต่อยากเห็นโซดาเป็นนักเขียนใหญ่มากกว่า” เขากลับมายิ้มทะเล้น ดวงตาหลังแว่นทรงกลมเป็นประกายจนคนถูกมองต้องหลบตา “งานเสวนาเปิดตัวนักเขียนรุ่นใหม่นี่น่าสนใจนะ เล่มที่โซดาซื้อไปจำได้ไหม จัดที่ร้าน Underground Book ด้วยนะ ” เขาเปลี่ยนเรื่องแล้วชี้นิ้วไปที่จอคอมพ์ โซดาลุกขึ้นเดินกลับไปนั่งที่เดิม ยังแอบเอาทิชชู่เช็ดน้ำตาที่เลอะเทอะใบหน้า