Share

Chapter 8.   หมายความว่า

            “ก็หมายความว่าไม่มีใครมองเห็นผมไงครับ  แบบเมื่อครู่ที่พี่ชายคุณยังไม่เห็นผมเดินทะลุตัวผมเฉยเลย”           

            “แล้วคุณเป็นใครล่ะ เราเคยรู้จักกันเหรอ หรือว่ารู้จักกันตั้งแต่ชาติที่แล้ว”

            “เอ่อ...ไม่ทราบครับ”

            “ไมทราบ? ไม่ทราบได้ยังไง”  โซดารู้สึกหงุดหงิดและคลายความรู้สึกกลัวผู้ชายตรงหน้าลงอย่างไม่รู้ตัว  

“แล้วชื่ออะไร”

            “ไม่ทราบครับ”

            “หา!…งั้นบ้านช่องอยู่ไหนเป็นอะไรตาย”

            “อันนี้ก็ไม่ทราบครับ”

            “เฮ้ย…อย่าตลกน่า ชื่อตัวเองก็ไม่รู้ นอกจากจะเป็นผีเร่ร่อนแล้วยังเป็นผีความจำเสื่อมอีกเหรอเนี่ย แล้วรู้อะไรบ้างเนี่ย”

            “ไม่ทราบครับ เอ่อ  ไม่แน่ใจ…เดี๋ยวนะครับ”   คุณผีไม่ได้รับเชิญยกนิ้วมือขึ้นนับ  โซดายกมือกุมขมับอยากจะกรี๊ด กับท่านับนิ้วเหมือนเด็กอนุบาล   “ผมรู้สึกตัวก็มายืนอยู่หน้าตึกที่คุณเดินเข้าเดินออกสองสามวันก่อนนะครับ  ก็น่าจะสามหรือสี่วันแล้วละ แต่เหมือนกับว่า...ต้องอยู่ตรงนั้นเผื่อทำอะไรสักอย่าง”

            “เหรอ”  โซดาพยักหน้าหงึกหงัก  “ก็น่าจะวันเดียวกับที่ฉันไปอบรมเขียนนิยาย”

            “ไม่ทราบครับ จำอะไรไม่ได้เลย รู้แต่ต้องคอยผู้หญิงคนหนึ่งที่ตรงนั้น”

            “คอยผู้หญิง คนไหน ชื่ออะไรเผื่อจะได้รู้ว่านายเป็นใคร”

            “ไม่ทราบครับ  มันเหมือนกับว่าผู้จะรู้จักแค่ผู้หญิงผมยาว ๆ ชอบใส่กระโปรงยาว ๆ ถือกล่องไวโอลิน ผมพยายามจะติดต่อกับเธอแต่เธอมองไม่เห็นผม แถมเวลาเธอมาที่ตึกนี่ก็มีคนขับรถรับส่งตลอด  ผมก็ไม่รู้จะตามเธอได้ยัง ผมวิ่งตามรถเก๋งคันใหญ่ของเธอไม่ทัน”

            “ถามอะไรก็ไม่ทราบ...แต่ก็น่าสงสาร”  โซดาเท้าค้างนั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อก่อนถอนหายใจ“ถ้าอย่างนั้นนายอาจจะเป็นชายผู้ต่ำต้อยหลงรักหญิงสาวสูงศักดิ์ผู้เลอโฉม ความรักถูกกีดกันจากผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง        และบังคับให้เธอแต่งงานคนที่มีฐานะเท่าเทียมกัน           นายเข้าไปหวังจะพาเธอหนีจากการคลุมถุงชนเผื่อใช้ชีวิตรักเรียบง่ายที่เกาะไร้ผู้คนห่างไกลความเจริญบนดินแดนที่ไม่มี   ยศถาบรรดาศักดิ์ แต่ปรากฏว่าพ่อฝ่ายหญิงจับได้เลย    ส่งคนมาทำร้ายนายจนเหลือเพียงวิญญาณที่เปี่ยมไปด้วยความรัก     เฝ้าวนเวียนดูแลหญิงคนรักด้วยหัวใจภักดีไม่เสื่อมคลาย…”

            “อ่า…ขนาดนั้นเลยหรือครับ” คน เอ๊ย! วิญญาณหนุ่ม ฟังแล้วทำหน้างุนงง

            “ต้องใช้แน่ ๆ เลย ฉันอ่านนิยายมาหลายเรื่องแล้วแบบนี้ทั้งนั้นแหละ”     โซดาระบายยิ้มกว้างรู้สึกปลื้มกับความคิดของตนเอง

            “…แล้ววิญญาณตนนั้นก็บังเอิญมาเจอหญิงสาวผู้มีพลังวิเศษสื่อสารกับวิญญาณได้ เธอจะเข้ามาช่วยคลี่คลายคดีฆาตกรรมด้วยวิธีนิติวิทยาศาสตร์” 

            “ขนาดนั้นเชียวเหรอครับ”

            “ใช่ซิ ฉันจำมาจากในหนัง CSI เพราะนายเป็นแค่วิญญาณ  ขึ้นให้การในศาลไม่ได้หรอกมันต้องมีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์เท่านั้นที่จะช่วยให้วิญญาณของนายพ้นความผิด”

            “ทำไมผมไม่รู้สึกว่ามันใกล้เคียงเลยละครับ”   วิญญาณหนุ่มทำหน้าเหรอหรา

            “ก็นายความจำเสื่อมไม่ใช่เหรอ ฉันนะอบรมเขียนนิยายกับพี่ปกรณ์เจ้าของนิยายดังที่เป็นละครหลังข่าวหลายเรื่องแล้วนะ”    โซดายืดอกแบนนอย่างภูมิใจ

            “มันเกี่ยวด้วยเหรอครับ”  คุณผีหนุ่มส่ายหน้าไปมา ‘นักเขียน’ ทำไมเขาคุ้นเคยกับคำนี้จัง

            “นี่...นายนี่มันวุ่นวายจริง ๆ เลย ถ้ามันเรื่องมากนักก็ไปที่ชอบ-ที่ชอบซิยะ มาอยู่รกบ้านฉันทำไม   ฉันก็ไม่ได้อยากเห็นหน้านายนักหรอกนะ”

            “อย่าไล่ผมไปเลยครับ นอกจากคุณผมก็ไม่สามารถสื่อสารกับใครได้เลยครับ”   วิญญาณหนุ่มทำหน้าอ้อนวอนดวงตาเป็นประกายวิบวับ

            “งั้นแปลว่าชะตาฟ้าลิขิตให้ฉันต้องมากอบกู้วิกฤตินี้เป็นแน่แท้” โซดาเผลอหัวเราะออกมา

            “เรียกฉันว่าโซดาก็ได้ แล้วนายล่ะจะให้เรียกว่าอะไรดี”

            “ก็ผมจำไม่ได้กระทั้งชื่อตัวเองไงครับ”

            “โทษที ลืมไป งั้นชื่อมารวยเป็นไง เป็นมงคลแก่บ้านฉันดี”

            “ผมว่ามันชื่อคล้ายสุนัขไปหน่อยนะครับ”

            “โอ๊ยวุ่นวายจริง เอ่อวุ่...นวาย อื้ม เรียกนายวุ่นวายนั้นแหละชอบไม่ชอบก็จะเรียกชื่อนี้แหละ”

            “ผมนะเหรอครับ ตัววุ่นวาย”   ผีหนุ่มเกาหัวแกรก ๆ  เขาว่าตัวเขาออกจะสุภาพ  สงบเสี่ยมเจียมตัวแล้วนะ

            “หรือจะชื่อเนื้องอก  อยากมาทำตัวเป็นเนื้องอกติดกับฉันทำไม”

            “เรียกอะไรก็ตามใจคุณโซดาเถอะครับ”

เอาวะ! ถูกตั้งข้อหาว่าวุ่นวายเข้าให้แล้ว  แต่ก็ดีกว่าเป็นทั้งมารวยและเนื้องอกแหละน่า!!!

            เสียงเคาะประตูดังขึ้น เด็กสาวกระโดดลุกจากเตียงไปเปิดประตูเบียร์เอี้ยวตัวเข้ามามองในห้องอย่างสงสัยก่อนหันมาสบตากับน้องสาวที่ยืนทำสีหน้างุนงง

            “คุยกับใครเหรอ”

            “เอ่อ…อ้อ...อ่านบทที่แต่งไว้นะคะ คือตอนที่ไปอบรมเขียนนิยายมาเค้าบอกว่าเขียนแล้วลองอ่านออกเสียงดัง ๆ จะได้รู้สึกถึงอารมณ์ของตัวละครไปด้วย”   โซดาแก้ตัวแล้วดันให้พี่ชายออกจากห้อง

            “พี่ทำข้าวต้มไว้ให้แล้วนะ   พี่จะไปทำงานก่อนถ้ามีอะไรก็โทรหาพี่ได้หรือจะไปหาพี่ตั้มที่อู่รถก็ได้”

            “เดี๋ยวโซดาอาบน้ำแล้วจะลงไปค่ะ พี่เบียร์ไปทำงานเถอะไม่ต้องห่วง”

            ผู้เป็นพี่พยักหน้ารับแต่ยังไม่คลายกังวล  เมื่อประตูห้องปิดลงเธอก็รีบลงกลอนแล้วเดินตรงดิ่งมานั่งข้างหน้าคุณผีความจำเสื่อม

            “ฉันจะช่วยสืบประวัตินายเอง   ถ้านายตายอย่างหมดห่วงวิญญาณนายคงไม่ต้องเร่ร่อนแบบนี้แน่ ๆ งั้นเรามาตั้งชื่อปฏิบัติการนี้ดีกว่า”

            “ขอบคุณครับแต่ว่า…ผมรู้สึกว่ามันเวอร์ ๆ ไปหน่อยนะครับ”   ผีเร่ร่อนขยับแว่นสายตาทำหน้าแหย

            “ไม่ได้มันต้องตั้งชื่อเรื่องก่อนซิ  ก่อนจะเขียนนิยายสักเรื่องถ้าตั้งชื่อเรื่องดีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง บก.อ่านชื่อปุ๊บก็อยากพลิกอ่านหน้าต่อไป    มันต้องใช้วิธีนี้แหละสำหรับนักเขียนโนเนมอย่างฉัน”

            คุณผีความจำเสื่อมรู้สึกมึนตึบ  กับความคิดของอีกฝ่ายแต่ก็ทำได้เพียงแค่นั่งก้มหน้ารับฟังอีกฝ่ายที่ทำท่าครุ่นคิด

            “Ghost”

            “ครับ?”    คุณผีสะดุ้งเมื่อเสียงอีกฝ่ายเรียกจู่ๆก็ตะโกนเสียงดังออกมา

            “ชื่อปฏิบัติการครั้งนี้ไง เท่ไหม Ghost”

            “ยังไงก็ได้ครับตามแต่คุณจะเมตตาผีเร่ร่อนแถมความจำเสื่อมอย่างผม”

            “กตัญญูรู้คุณอย่างนี่ค่อยน่ารักหน่อย แล้วห้ามแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกฉันหรือพี่ชายฉันเด็ดขาดนะ”

            “โธ่คุณ แค่มีคนมองเห็นผม...ก็เป็นบุญของผมแล้วครับ”

            “หิวคิดอะไรไม่ออก นายล่ะ จะกินอะไรไหมฉันจะจัดถวายให้ปักธูปดอกหนึ่งใช่ป่ะ”

            “ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกครับ ตั้งแต่ผมรู้สึกตัวก็ไม่รู้สึกหิวอะไรเลย”

            “ดีจังเลยเลี้ยงง่าย ๆ จะได้โตไว ๆ ”    เธอหัวเราะเสียงดัง จนทำให้อีกฝ่ายเผลอยิ้มตามอย่างไม่รู้ตัว

เด็กสาวยิ้มทะเล้นแล้วลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูห้อง คุณผีเร่ร่อนทำหน้างง

            “ฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำ นายไปอยู่ไหนก่อนก็ไป ห้ามแอบดูเด็ดขาด”

            “รับทราบแล้วครับ”  ‘ทำอย่างกับมีอะไรให้ดู’  ชายหนุ่มในร่างวิญญาณเดินออกมาจากห้อง      เสียงร้องเพลงผิดคีย์ดังขึ้นอย่างอารมณ์ดีเมื่อประตูห้องปิดลง   เขาเผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัวคล้ายว่าใบหน้าของเขาไม่เคยมีรอยยิ้มมานานแสนนาน

            เอาเถอะ...ถึงเวลานี้แล้ว เขาผ่านการอยู่อย่างเคว้งคว้างแสนทรมาน  ความรู้สึกโดดเดี่ยวท่ามกลางผู้คนมากมายที่รายล้อม            เจ็บปวดที่ไม่รู้แม้กระทั้งชื่อของตนเอง        จนเมื่อร่างเพรียวบางก้าวเดินออกมาจากตึกสูงตระหง่าน  เพียงแค่สายตาที่สบประสานกันจนเหมือนเขาเห็นเงาตัวเองสะท้อนอยู่ในแววตาของเธอ

 ความอบอุ่นก็เอ่อล้นขึ้นในใจอีกครั้ง เพียงแค่ใครสักคนที่ทำให้เรารู้สึกว่า “มีตัวตน” อยู่บนโลกใบนี้ มันก็เป็นความรู้สึกที่แสนวิเศษเหลือเกิน

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status