คนที่มองเห็นผมเพียงคนเดียวกลับไปลมไปเสียแล้ว
เฮ้อ!
เรื่องมันเริ่มต้นเมื่อราวๆ ครึ่งเดือนก่อน ขณะที่ผมกำลังพิมพ์ต้นฉบับอย่างบ้าคลั่งเพื่อให้ทันส่งงานประกวดนิยายของเวบไซต์แห่งหนึ่ง เดดไลน์คือส่งงานภายในเที่ยงคืน ผมคิดว่า...เอ่อ...คิดว่านะ คิดว่าใช้เมาท์คลิกส่งเมล์งานเรียบร้อยแล้วก็ตั้งใจลุกขึ้นไปหาอะไรกินเสียหน่อยแต่เหมือนร่างกายไร้เรี่ยวแรงร่วงผล็อยลงไปกองกับพื้น เหมือนได้หลับไปเต็มอิ่มแต่พอลืมตาขึ้นกลับพบว่าตัวเองอยู่หน้าอาคารแห่งหนึ่ง ผมก็ไม่รู้ว่ามาได้ยังไง และที่สำคัญคือไม่มีใครมองเห็นผม แม้ว่าจะพยายามส่งเสียงหรือไปสัมผัสอีกฝ่าย พวกเขาต่างเดินทะลุร่างของผมราวกับผมเป็นเพียงอากาศธาตุ และเมื่อผมพยายามตั้งสติสังเกตุสิ่งรอบตัวก็พบว่ามันไม่คุ้นตา และเมื่อเห็นข่าวในจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่หน้าตึกนั้นก็พบว่ามันเป็นปีพ.ศ.2533 พระเจ้า! ผมเป็นคนในปี พ.ศ.2567 แต่กลับย้อนเวลาอยู่ในปี พ.ศ.2533 แล้วที่ผมงงหนักที่สุดก็คือ ผมไม่รู้ว่าผมชื่ออะไรและเป็นใครนะสิ!
ย้อนเวลามาทั้งที่แต่ดันความจำเสื่อม และที่จำไม่ได้ก็มีแค่เรื่องของตัวเองเท่านั้น ขอขยายความเข้าใจอีกนิด คือผมจำชื่อตัวเองไม่ได้ บ้านช่องห้องหับอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ ครอบครัวญาติพี่น้องก็ไม่รู้อีก เอ่อ มันเหมือนเงาจางๆ ในหัว แต่ผมรู้ว่าที่ๆผมเคยอยู่เป็นยังไง เคยใช้ชีวิตแบบไหนมาก่อนก่อน แต่ทักษะอื่นของผมยังใช้ได้ดี ก็ผมมีทักษะเดียวคือการเป็นนักเขียนนิยายออนไลน์นี่แหละ เหมือนว่าผมจะไม่ได้ทำอย่างอื่นเลยนอกจากเขียนนิยายออนไลน์
อ่านนิยายย้อนยุคทะลุมิติหรือแนวระบบมาก็เยอะ พอมาเจอกับตัวเองก็ไปไม่ถูกเหมือนกัน ผมไม่รู้ว่าจะเรียกสิ่งที่ตัวเองเผชิญอยู่ว่าอะไร ถ้าเป็นนิยายแนวระบบก็คงมีคำสั่งให้ผมต้องทำตาม แต่นี่ก็ไม่มีเลย หรือผมตายไปแล้วเพราะสภาพผมในตอนนี้ก็คือร่างโปร่งใสที่ไม่มีใครมองเห็น ผมไม่ได้ล่องลอยเหมือนวิญญาณที่เห็นในละครหรือซีรีย์ แต่ทำไมผมถึงกลับมาอยู่ในอดีตได้ล่ะ หรือผมมีอะไรติดค้างอยู่ แต่...ถึงผมจะจำไม่ได้ว่าตัวเองอายุเท่าไหร่ แต่ดูแล้วหน้าตาไม่ได้แย่ของผมมันน่าจะแค่21-22ปีเองนะ ในขณะที่ผมครุ่นคิดว่าจะใช้ชีวิตแบบนี้ยังไงต่อไป(ดี) สายตาคู่หนึ่งก็จ้องมาทางผม แรกๆ ผมนึกว่าเธอคงมองไปคนข้างหลังเหมือนที่ผมเคยเข้าใจผิด แต่เธอมองที่ผม!
ผมมั่นใจว่าเธอเห็นผม! ในเวลานี้ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นไปกว่านี้อีกแล้ว และนั้นแหละ ผมถึงได้พยายามเข้าใกล้เธอ แต่ดูว่าเธอเองไม่รู้ว่าผมเป็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น โธ่! อย่าเรียกผมว่าผีสิ คือแบบ ผมยังทำใจไม่ได้ว่าตัวเองตายแล้ว เอ๊ะ ผมอาจจะยังไม่ตายก็ได้นะ
“คุณตามฉันมาเหรอ”
“เอ่อ...คือผม...ผม...คุณมองเห็นผมใช่ไหม”
“จะบ้าเหรอ ไม่ใช่แมวนะจะได้มองไม่เห็น”
“คุณมองเห็นผมจริง ๆ ด้วย”
“เอ๊ะ! รึว่าจะพวกโรคจิต อย่าเข้ามาใกล้ฉันนะ”
“เปล่าครับ ไม่ใช่ครับ คือ…ว่า ผม...ผม...”
“ใครก็ได้ช่วยด้วยค่ะ คนโรคจิตจะลวนลามค่ะ พี่เบียร์ พี่เบียร์ช่วยโซดาด้วย”
ผมพยายามจะอธิบาย แต่คุณเธอไม่ฟังเอาเสียเลย พี่ชายเธอมาก็ไม่เห็นผมอีกเท่านั้นแหละ เธอถึงกับร้องกรี๊ดออกมาและเป็นลมไป
ความรู้สึกผิดแล่นพุ่งตรงหัวใจ เป็นวิญญาณแล้วทำไมยังรู้สึกอีก ผมได้ขอโทษเธอและมองพี่ชายเธอที่แตกตื่นอุ้มน้องสาวเข้าไปด้านใน ผมเกรงใจก็เลยรออยู่ด้านนอกปล่อยให้พี่ชายได้ดูแลน้องสาวจนคนเป็นพี่ที่ทำงานมาทั้งวันเหนื่อยล้าผล็อยหลับไป
การถูกห่วงใยนี่ดีจริงๆ
ผมเคยมีพี่น้องหรือเปล่านะ
ใจผมรู้สึกอิจฉาขึ้นมานิดๆ หรือว่าผมจะเป็นลูกคนเดียว หรือเพราะความเป็นนักเขียนของผมทำให้ผมไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนในครอบครัว การมีผมอยู่หรือไม่มีนั้น อาจไม่ได้ส่งผลอะไรกับพวกเขาเลยก็ได้
อ๊ะ! ผู้หญิงคนนั้นฟื้นแล้ว
เด็กสาวกระพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับโฟกัส เมื่อภาพรางๆ ของร่างสูงโปร่งยืนอยู่มุมห้องชัดเจนว่าเป็นใบหน้าของชายหนุ่มปริศนาผู้สวมแว่นทรงกลมกรอบสีเงิน โซดาอ้าปากเกือบส่งเสียงกรี๊ด แต่ชายหนุ่มยกมือจุ๊ปากเป็นสัญญาณให้เงียบ ๆ แล้วชี้นิ้วมายังร่างชายหนุ่มอีกคนที่นั่งหลับศีรษะพิงผนังห้องด้วยท่าทางอ่อนล้า
“พี่เบียร์”
“ฮืม...” คนเป็นพี่ทำพึมพำอย่างัวเงีย “อ้าว ตื่นแล้วเหรอโซดา เป็นยังไงบ้าง”
“พี่เบียร์นั่งเฝ้าโซดาทั้งคืนเลยเหรอ”
“ก็ทำไงได้ละมีน้องสาวคนเดียวให้เป็นห่วงนิน่า” ผู้เป็นพี่เอื้อมมือมาโยกศีรษะน้องสาวเบา ๆ
“พี่ไปนอนที่ห้องเถอะ เอ๊ะ เช้าแล้วนี่…พี่เบียร์ต้องไปทำงาน”
“ไม่เป็นไรวันนี้พี่อยู่เป็นเพื่อนเราก็ได้ เดี๋ยวโทรไปลางานสักวันคงไม่เป็นไร”
“พี่เบียร์…”
โซดารู้สึกผิดที่ทำให้พี่ชายต้องเป็นห่วงจนเสียงานเสียการขนาดนี้ เมื่อคืนเธอโวยวายเหมือนคนบ้าจนพี่ชายเป็นห่วง กระทั้งนั่งแท็กซี่กลับมาถึงบ้านเธอก็ไม่ยอมให้พี่ชายอยู่ห่างตัว จนไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่
เธอหันไปมองร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่มุมห้องราวกับอากาศธาตุ ขณะที่พี่ชายลุกขึ้นบิดตัวไปมาไล่ความเมื่อยล้าจากการหลับผิดที่ผิดท่า สายตาอ่อนโยนหลังแว่นตาทรงกลมผสานกับเด็กสาวผู้เป็นคนเดียวที่มองเห็นชายแปลกหน้าคนนี้
“บ่เป็นหยัง!!! โซดาไม่เป็นไรแล้ว พี่ไม่ต้องห่วงหรอก สงสัยโซดาจะเพี้ยนคิดพล็อตนิยายฆาตกรรมจนเพ้อนะคะ ก็...แนวฆาตกรรมสยองขวัญ แบบว่าแนวพระเอกเป็นฆาตกรกำลังมาแรง”
เด็กสาวเท้าสะเอวอ้าปากกว้างหัวเราะเสียงดังด้วยมาดที่คิดว่าพี่ชายเห็นจะนึกขำ
“จริงนะ ถ้าไม่เป็นอะไรพี่จะได้ไปทำงาน”
“จริงค่ะ ขอโทษนะคะที่ทำให้พี่เบียร์เป็นห่วง”
เบียร์พยักหน้ารับก่อนลุกขึ้น เดินทะลุผ่านร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนไปเปิดประตูห้องและก้าวเท้าออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ทันเห็นสายตาตกตะลึงของน้องสาวที่นั่งตัวแข็งหมดแรงอยู่บนเตียงจนไม่กล้าขยับไปไหน
โซดาหลับหูหลับตายกมือไหว้ไม่สนใจอะไรแล้ว ก็เธอไม่อยากให้พี่ชายเป็นห่วงมากกว่า ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่เธอยืนยันว่าเห็นชายหนุ่มคนนี้ยืนอยู่ต่อหน้าต่อตา แต่ใครต่อใครกลับมองไม่เห็นจนเหมือนเธอเองนั้นแหละที่เหมือน “ผีเข้า”เสียเอง
“เอ่อ...คุณครับ…คุณ”
“ไปที่ชอบ ๆ เด๋อคะ หนูจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลถวายสังฆทานไปให้ นะโมนะสะ..อ่า..อะไรหว่า อัตตาหิอัตโนนาโธ”
“คุณครับที่คุณท่องมันแปลว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนะครับ”
โซดาสะดุ้งแล้วเงยหน้าขึ้นมองผู้บุกรุก เขายิ้มบางแล้วสืบเท้าเข้ามาใกล้ ก่อนทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงนอน ที่เมื่อครู่เบียร์ใช้เป็นที่นั่งหลับเฝ้าน้องสาวคนเดียวที่แสนห่วงใย
“น่าอิจฉาจังนะครับ...ที่มีพี่ชายที่รักและห่วงใยคุณมากขนาดนี้”
น้ำเสียงอ่อนโยนทำให้โซดารู้สึกผ่อนคลายลง ดู ๆ ไปแล้วก็ไม่มีท่าทางมีพิษมีภัยอะไร ถ้าเจอกันในสภาพปกติกว่านี้เขาคงเป็นชายหนุ่มที่ดูดีกว่านี้ไม่น้อยทีเดียว
“ผมต้องขอโทษมาก ๆ ที่ทำให้คุณตกใจขนาดนี้ แต่ผมไม่มีเจตนาร้ายอะไรนะครับ”
“แล้วมาเฮ็ดหยัง เอ๊ย!” เวลาตกใจเผลอออกซาวด์แทรกทุกที “ฉันไม่ใช่คนมีเซนส์ทางวิญญาณนะ หรือจะให้ฉันเป็นร่างทรง”
“ไม่ใช่ครับ คือ…ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง” วิญญาณหนุ่มเกาหัวแกรก ๆ นี่ถ้าเจอในสภาวะปกติกว่านี้ มีหวังโซดาใจละลายแล้ว
“เอาเป็นว่าคุณเป็นคนเดียวที่มองเห็นผมก็แล้วกัน”
“หมายความว่าไง ฉันเป็นคนเดียวที่มองเห็นคุณ”
“ก็หมายความว่าไม่มีใครมองเห็นผมไงครับ แบบเมื่อครู่ที่พี่ชายคุณยังไม่เห็นผมเดินทะลุตัวผมเฉยเลย” “แล้วคุณเป็นใครล่ะ เราเคยรู้จักกันเหรอ หรือว่ารู้จักกันตั้งแต่ชาติที่แล้ว” “เอ่อ...ไม่ทราบครับ” “ไมทราบ? ไม่ทราบได้ยังไง” โซดารู้สึกหงุดหงิดและคลายความรู้สึกกลัวผู้ชายตรงหน้าลงอย่างไม่รู้ตัว “แล้วชื่ออะไร” “ไม่ทราบครับ” “หา!…งั้นบ้านช่องอยู่ไหนเป็นอะไรตาย” “อันนี้ก็ไม่ทราบครับ” “เฮ้ย…อย่าตลกน่า ชื่อตัวเองก็ไม่รู้ นอกจากจะเป็นผีเร่ร่อนแล้วยังเป็นผีความจำเสื่อมอีกเหรอเนี่ย แล้วรู้อะไรบ้างเนี่ย” “ไม่ทราบครับ เอ่อ ไม่แน่ใจ…เดี๋ยวนะครับ” คุณผีไม่ได้รับเชิญยกนิ้วมือขึ้นนับ โซดายกมือกุมขมับอยากจะกรี๊ด กับท่านับนิ้วเหมือนเด็กอนุบาล “ผมรู้สึกตัวก็มายืนอยู่หน้าตึกที่คุณเดินเข้าเดินออกสองสามวันก่อนนะครับ ก็น่าจะสามหรือสี่วันแล้วละ แต่เหมือนกับว่า...ต้องอยู่ตรงนั้นเผื่อทำอะไรสักอย่าง” “เหรอ” โซดาพยักหน้าหงึกหงัก “ก็น่าจะวันเดียวกับที่ฉันไปอบรมเขียนนิยาย”
นิ้วมือเล็ก ๆ ขยับพร่างพรมบนแป้นคีย์บอร์ดอย่างชำนาญ ชายหนุ่มหน้าตี๋ร่างสูงผมสั้นสีน้ำตาลแดงยืนมองอยู่ข้างคอมพิวเตอร์สีซีดด้วยแววตาชื่นชม เขาเหลียวมองบรรยากาศในร้าน “หมูหยองอินเตอร์เนท” ที่เห็นจนชินตาแต่ความรู้สึกกลับสดใสมากกว่าเมื่อครั้งที่เจ้าของร้านยังอยู่ ราวกับว่าร้านเนทเล็ก ๆ ที่มีคอมพิวเตอร์ให้บริการอยู่ประมาณสิบสองเครื่องได้รับความดูแลอย่างดี พื้นห้องก็สะอาด ถังขยะที่ไม่มีขยะล้นให้รำคาญลูกตา ประตูกระจกก็ใสสว่างไม่มีคราบฝุ่น หรือเป็นเพราะพนักงานดูแลร้านคนใหม่ที่เพิ่งประจำการได้เพียงอาทิตย์เศษคนนี้ “เรียบร้อยแล้วค่ะพี่ตั้ม” “อ้อ!” ตั้มหันมาตามเสียงเรียกของเด็กสาวที่ยิ้มหน้าแป้นอยู่หน้าคอมพ์เธอหมุนเก้าอี้เลื่อนมารอรับกระดาษที่ไหลออกมาจากเครื่องปริ๊ตเตอร์ “ใบเสนอราคาค่ะ ค่าปริ๊ตแผ่นละห้าบาท ส่วนค่าบริการเอาเป็นซามูไรเบอร์เกอร์ชิ้นหนึ่งนะคะ” “โหนี่เหรอราคากันเอง งั้นพี่ขอราคาปกติดีกว่ามั้ง” ชายหนุ่มหัวเราะจนตาหยี “เอ่อ…แล้วที่พี่ให้หาข้อมูลประกวดยังดีไซด์เนอร์อะไรนั่นละ”“พรุ่งนี้ได้ไหมค่ะ โซดาsaveมาแล้ว
“ใช่...ถึงจะไม่ค่อยเห็นสองคนนี้พูดจาดี ๆ ใส่กัน แต่ก็ดูออกว่าพี่ตั้มห่วงพี่น้ำหวานขนาดไหน ตั้งแต่ตอนที่พ่อแม่ฉันยังอยู่ ฉันจำภาพพี่เบียร์ที่ชอบช่วยแม่ทำกับข้าวจนพี่ตั้มล้อเอาอยู่บ่อย ๆแล้วพี่น้ำหวานก็จะมาดุพี่ตั้มเสมอเลย บ้านพี่ตั้มเป็นอู่ซ่อมรถแล้วพี่ตั้มก็ชอบขโมยรถที่อู่มาขับอยู่บ่อย ๆ และโดนเตี่ยตีเป็นประจำ พี่เบียร์บอกว่าพี่ตั้มทำไปเพราะประชดพี่ชายคนโตเป็นหมอคนรองเป็นวิศวกร แต่พี่ตั้มเรียนไม่เก่งจบปวส.ก็ไม่เรียนต่อคลุกอยู่แต่ในอู่รถ ส่วนพี่น้ำหวานพ่อแม่พี่เค้าแยกทางตั้งแต่พี่น้ำหวานจำความได้ พี่น้ำหวานอยู่กับป้าญาติห่าง ๆ ป้าเค้าเย็บเสื้อผ้าโหลพี่น้ำหวานเลยอยากเป็นดีไซด์เนอร์แต่ว่าป้าไม่เข้าใจว่าดีไซด์เนอร์กับช่างเย็บผ้ามันต่างกันยังไง ป้าอยากให้ทำงานดี ๆ เป็นพนักงานกินเงินเดือน พี่น้ำหวานก็เลยหาเช่าแผงขายเสื้อผ้าที่สะพานพุทธ มีทั้งรับมาแล้วก็แบบที่ตัวเองดีไซด์เองด้วย” กว่าโซดาจะเล่าจบเธอก็นับเงินในกล่องเก็บเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว “ชีวิตพวกคุณนี่น่าสนุกจังเลยนะครับ” น้ำเสียงอ่อนโยนมากกว่าประชดประชัน โซดาระบายลมหายใจหนัก ๆ
ตลาดสะพานพุทธมีเสน่ห์อย่างประหลาดในสายตาของโซดา แต่เธอก็รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า,เครื่องประดับ,ตุ๊กตา,นาฬิกาหรือของขวัญน่ารัก ๆ ต่างมีดีไซด์เก๋ ๆ ออกมาเรียกเงินในกระเป๋าของนักช้อปได้เป็นอย่างดี เธอเองก็เคยซื้อที่หนีบกระดาษน่ารัก ๆ ไปไว้หลายอันโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร เด็กสาวซื้อน้ำผลไม้ปั่น ก่อนจะเดินเลาะไปตามถนนที่ผู้คนผลุพล่าน ฉุกคิดได้จึงหันหลังไปมองชายร่างสูงโปร่งสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน ร่างสูงโปร่งและไหล่กว้างที่ทำให้เขาดูโดดเด่นเหลือเชื่อ เส้นผมสีดำสลวยแม้จะเป็นรองทรงสั้น ๆ รับใบหน้าคมเข้ม เคยมีใครบอกเขาไหมนะ ว่าแว่นตาทรงกลมที่เขาสวมอยู่มันดูเท่รับกับใบหน้าเขาเหลือเกิน โอ๊ย! ทำไมหล่อกระชากใจเกย์อย่างนี้นะ!!!! นี่ถ้ามีใครคนอื่นมองเห็นคุณผีความจำเสื่อมเช่นเดียวกับเธอ ความรู้สึกกับภาพที่มองเห็นในขณะนี้คงไม่ต่างกัน เขาก้าวเดินช้า ๆ ดูข้าวของที่ร้านริมถนนราวกับไม่เคยมาเดินตลาดเช่นนี้มาก่อน นั้นซิ เขาดูแปลกและแตกต่างจากคนอื่น อย่างเห็นได้ชัดเหมือนกับอยู่โลกคนละใบหรือมาจากที่อื่น…ไม่ใช
“ขอบคุณนะคะ” โซดาส่งหมวกกันน็อคคือให้ พอดีกับที่พี่ชายกำลังไขกุญแจเข้าบ้าน“เที่ยวเพลินจนดึกเลยนะเรา” เบียร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามปกติ และตั้มก็เป็นเพื่อนที่เขาไว้ใจที่สุดและไว้ใจมากพอที่จะให้น้องสาวคนเดียวไปไหนมาไหนด้วยได้อย่างไม่เป็นกังวล“โชคดีนะคะขอให้พี่น้ำหวานใจอ่อนเร็ว ๆ นะ”“ขอบใจจ้า”หนุ่มหน้าตี่ยิ้มทะเล้นเหมือนเคยวันนี้เขาไม่มีอารมณ์จะหยอกเย้ากับใคร คงมีแต่เพื่อนรักเท่านั้นที่ดูออกถึงอาการของนายตั้ม รถเวสป้าแล่นออกไปไกลแล้วเบียร์จึงหันมาคุยกับน้องสาว“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”“เรื่องอะไรคะพี่เบียร์”“ก็วันนี้น้ำหวานทะเลาะกับนายตั้มอีกหรือเปล่า”“ก็ไม่เห็นมีนี่…พี่ตั้มก็ช่วยเรียกลูกค้าอย่างทุกทีอ่ะ พี่ตั้มก็หล่อแบบตี๋ ๆ นะทำไมพี่น้ำหวานเค้าไม่ชอบพี่ตั้มอ่ะ ถ้าโซดามีผู้ชายดีๆอย่างพี่ตั้มมาจีบคงรักหมดใจเลย”“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว” พี่ชายเฉไฉไปเรื่องอื่น “กลับดึกแบบนี้ได้อะไรมาบ้างละ”“บอกไม่ได้ค่ะ ความลับ”พี่ชายหันมาสบตากับน้องสาวที่ยิ้มทะเล้น แล้วส่ายหน้าไปมาเอือมระอากับนิสัยขี้เล่นที่ไม่รู้จักโตแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก รวมทั้งกระดาษปอนด์สีขาวที่ม้วนอย่างดีอยู
แต่พอมองเด็กสาวที่เดินผ่านมาและผ่านไป บางคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้น จนเธอแปลกใจว่าไม่กลัวผิวขาวจะเปลี่ยนสีบางเลยหรือ ? แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอหันหลังไปเธอจะมองเห็นชายร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน ที่มีดวงตาอ่อนโยนท่ามกลางผู้คนแปลกหน้าและทุกครั้งใบหน้านั้นจะมีรอยยิ้มให้เสมอ“คุณนี่ท่าจะรู้จักหนังสือประเภทเดียว มานี่ซิ ผมจะพาไปดูอะไร”มือของคุณวิญญาณยื่นมาจับที่ข้อมือของโซดา แต่มันก็ทะลุผ่านเหมือนลมพัดวูบหนึ่งเธอรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก เขาหัวเราะเก้อ ๆ ก่อนเดินนำเหมือนชำนาญเส้นทางอย่างดี คราวนี้เธอเป็นฝ่ายเดินตามแผ่นหลังของเขาบ้าง เขาเดินลัดเลาะรถหรูราคาแพงที่จอดเบียดฟุตปาธจนมาถึงร้านหนังสือแห่งหนึ่งคล้ายจะซ่อนตัวจากความวุ่นวายแห่งมหานคร จนไม่น่าเชื่อว่าชั้นสองของโรงหนังสยามจะมีร้านหนังสือเล็ก ๆ รวยรินด้วยกลิ่นกาแฟเช่นนี้“อย่างกับทะลุมิติมาแนะ” เด็กสาววัยสิบเจ็ดพึมพำเบา ๆ เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนแปลกประหลาดของสถานที่แห่งนี้ ในร้านนอกจากจะมีหนังสือมากมายเบียดกันแน่นบนชั้นหนังสือ ยังมีโต๊ะสำหรับนั่งดื่มชา-กาแฟอีกสามชุด มีล
“ปกติฉันอ่านแค่หนังสือเรียน หรือหนังสือที่ถูกบังคับให้อ่านประกอบการทำรายงานอะไรเท่านั้น มีอยู่วันหนึ่งฉันดูละครก่อนข่าว นางเอกเป็นลูกกำพร้าต้องทำงานพิเศษส่งตัวเองเรียนแล้วได้พบรักกับพระเอกหนุ่มหล่อร่ำรวยแต่ก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคกว่าจะได้แต่งงานกัน ฉันชอบมากเลย บางทีฉันก็เคยน้อยใจว่า ทำไมมีฉันเพียงคนเดียวที่ต้องทำงานพิเศษไปด้วยเรียนไปด้วย” เด็กสาวระบายรอยิ้มเหงา ๆ ให้กับผีหนุ่มที่ตั้งใจฟังเรื่องราวของเธอ“คุณป้าที่ฉันไปอาศัยอยู่ด้วย ก็มีลูกหลายคนฐานะเราก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ฉันทำงานพิเศษในห้างสรรพสินค้าช่วงปิดเทอม ฉันไม่เคยไปเรียนพิเศษ ไม่ค่อยได้กินขนมฝรั่งนั่งตากแอร์เย็น ๆ ไม่เคยได้ไปเที่ยวต่างประเทศจะแค่ญี่ปุ่นหรือเกาหลีก็ไม่เคย ฉันไม่เคยมีชีวิตแบบนั้นเลย ชีวิตแบบที่เห็นเมื่อกลางวัน แต่พอฉันดูละครเรื่องนั้นแล้วประทับใจ ฉันก็เลยจำชื่อเจ้าของบทประพันธ์ไว้และตามอ่านผลงานของเขาเกือบทุกเรื่องเท่าที่หาได้ แล้วฉันก็รู้สึกว่าการเป็นนักเขียนนี่วิเศษเหลือเกินเราจะขีดเขียนชีวิตให้เป็นยังก็ได้ ฉันก็เลยมุ่งมั่นว่าวันหนึ่งฉันจะต้องเป็นนักเขียนที่ดีอย่างพี่ดุจตะวันให้ได้”โซดาเงยห
โซดาขยับตัวไปนั่งที่เก้าอี้ว่างข้าง ๆ ผีหนุ่มร่างโปร่งใส เขาเบี่ยงตัวหลบเมื่อเธอเอนตัวมาดูที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ปลายจมูกคลอเคลียเส้นผมจนได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ อดไม่ได้ที่จะสูดกลิ่นหอมนั่น “อ้อ...เวบนี้ที่มีนักเขียนเอาเรื่องที่แต่งมาโพสไว้นี่น่า” โซดาหันมาเพื่อจะเรียกคุณผี แต่เธอไม่รู้ว่าเมื่อหันมาก็รู้สึกเหมือนแก้มเธอโดนปลายจมูกของเขาแตะเบา ๆ “นายยื่นหน้ามาทำอะไร” แก้มเนียนแดงระเรื่ออย่างน่ารัก ด้วยความเขินโซดาขว้างหมัดเล็ก ๆ ใส่แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นเพียงอากาศธาตุ ร่างเธอจึงเสียหลักเซถลาลงไปกลิ้งอยู่กับพื้น “เพราะนายแท้ ๆ เลย” ไม่รู้ว่าอายหรือว่าเขิน โซดานั่งจุ้มปุกอยู่กับพื้นเสียอย่างนั้น “ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ” คุณผีหัวเราะน้อย ๆ ก่อนทรุดตัวนั่งข้าง ๆ “คุณทำตัวเองน๊า!” “อย่ามาเยาะเย้ยฉันนะ! ถ้านายไม่ยื่นหน้ามาใกล้ฉันละก็!!” “คุณก็รู้ว่าผมทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วนี่ครับ จะหยิบจับอะไรก็ไม่ได้เลย เป็นผีที่ใช้อะไรไม่ได้เลย” เขายืมคำพูดเธอมาใช้พยายามทำให้เธอขำมากกว่า เวลาที่เขินและอายแบบนี้ทำไมถึงไ