งานเลี้ยงเลิกราแล้วหลายคนนัดไปเที่ยวต่อ มีเพียงโซดาที่ได้แต่ยืนโบกมือลาหน้าตึกเช่นเคย วันนี้ไม่มีใครมารับ ตั้มตาหยีติดช่วยงานที่อู่ซ่อมรถ พี่ชายก็ทำงานที่ร้านอาหาร เธอเองก็ไม่อยากเป็นภาระให้เขาที่ต้องทำงานเหนื่อยเผื่อส่งเสียให้เธอร่ำเรียน งานพ่อครัวในร้านอาหารหรูหราแบบนั้น ทำให้เบียร์มีเวลาหยุดพักผ่อนไม่เหมือนคนอื่น แต่ละสัปดาห์จะเข้างานเป็นกะ อาทิตย์เข้ากะเช้า อาทิตย์หน้าเข้ากะบ่าย เพราะอย่างนี้ละมั้งพี่ชายสุดหล่อมาดเข้มของโซดาถึงยังไม่มีแฟนเสียที
เอานะ!ไม่เป็นไรหรอก สายรถเมล์ที่ต้องนั่งกลับบ้านก็จดไว้เรียบร้อยแล้ว แต่วันนี้ขอแวะร้านหนังสือก่อนกลับบ้าน เพิ่งบ่ายสองโมงกว่า รถราไม่ติดมากนักเพราะช่วงนี้ยังปิดเทอมใหญ่อยู่ เอ๊ะ! นั้นซิอีกไม่กี่วันกี่เดือนนะมหาวิทยาลัยจะเปิด เธอยกนิ้วขึ้นนับ วันนี้สิ้นเดือนเมษายนพอดี มหา’ลัยเปิดเดือนมิถุนายน ถ้าอย่างนั้นก็เหลือเวลาให้เธอเขียนนิยายอย่างจริงจังแค่เดือนกว่าเท่านั้นเอง ยังไงก็ต้องรักษาสัญญากับพี่ชายว่าเปิดเทอมเมื่อไหร่ต้องทุ่มเทเวลาให้กับการเรียนให้มากที่สุด แถมวันจันทร์หน้าก็ต้องเริ่มไปทำงานพิเศษที่ร้านหมูหยองอินเตอร์เนทแล้วด้วย
“ฉันจะต้องกลับมาที่นี่อีกแน่ ๆ แต่จะมาในฐานะนักเขียนพร้อมต้นฉบับนิยายเรื่องแรกของฉัน”
ยังไม่ทันที่เท้าจะก้าวไปไหน สายตาก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง เขาสวมแว่นทรงกลมกรอบเงินยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเช่นทุกที โซดายิ้มให้นิดนึง ก่อนหมุนตัวกลับถึงจะหน้าตีดีแต่ไม่รู้เป็นพวกโรคจิตรึเปล่า เด็กสาวฝืนทำเป็นไม่ใส่ใจ นั้นซิใครจะมาใส่ใจผู้หญิงหน้าจืด ๆ อย่างเธอได้นะ เธอสะบัดหัวไปมาไล่ความคิดที่สับสนออกไป ก่อนถอนหายใจเฮือกและกระชับเป้ที่คล้องไหล่อยู่แล้วเดินไปสู่จุดหมายของวันนี้
ร้านหนังสือมีผู้คนเข้ามาเลือกหนังสือบางตา อาจเป็นเพราะยังเป็นช่วงเวลาทำงาน ผู้คนที่เข้ามาบ้างก็เข้ามาเพียงเพื่อหลบลมร้อนรับแอร์เย็นฉ่ำ บางคนเข้ามารอถึงเวลานัดหมายกับเพื่อนหรือคนรัก บางคนก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือเหมือนจะให้จบเล่มโดยไม่ต้องเสียเงินแม้แต่ค่าเช่าหนังสือก็ตาม
โซดาไล่สายตาดูหนังสือนิยายปกใหม่ของดุจตะวันเธอมีไม่ครบทุกเล่ม แต่อ่านมาเกือบหมดแล้วเพราะหาเช่ามาอ่านเมื่อครั้งที่อยู่ขอนแก่น หนังสือนิยายแบบนี้ในห้องสมุดของโรงเรียนไม่มีให้อ่าน พอเห็นหนังสือใบหน้าและรอยยิ้มอบอุ่นของเจ้าของนามปากกาที่เธอสุดปลื้ม ก็เผลอยิ้มคนเดียวอย่างไม่รู้ตัว เธอเลือกพลิกอ่านดูหนังสือเล่มใหม่ที่ออกมาอวดโฉมเรียงบนชั้น นึกอยากหาที่นั่งอ่านกับพื้นเหมือนทุกครั้ง แต่วันนี้เธอสวมกระโปรงยีนแต่งตัวตามที่พี่น้ำหวานแนะนำให้ทุกอย่าง ถึงแม้ตั้มจะชมว่าน่ารักแต่เธอกลับรู้สึกขัดเขินไม่เป็นตัวของตัวเองนัก
“แพงจังเลย รอก่อนนะพี่ดุจตะวัน ได้เงินจากทำงานพิเศษเมื่อไหร่จะมาซื้อไปนอนกอดด้วยทั้งคืนเลย”
โซดาบนพึมพำเบา ๆ ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา เธอยังไม่มีโทรศัพท์มือถือเป็นของส่วนตัว ถึงเบียร์บอกให้รอเงินเดือนออกจะซื้อให้ แม้จะอยากได้มากแค่ไหนแต่เธอก็อดเกรงใจไม่ได้อยู่ดี เย็นนี้พี่ชายให้ไปหาที่ทำงานและรอกลับบ้านพร้อมกัน บางทีมีขนมอร่อย ๆ หรืออาหารห่อใส่ถุงกลับมากินด้วย โซดาเดินมาตรงเคาน์เตอร์รอรับเป้ที่ฝากไว้ สายตาเธอก็ปะทะกับร่างสูงโปรงที่เริ่มคุ้นตา
‘ผู้ชายที่เจอหน้าตึกบริษัทR&Mบ่อย ๆ นิน่า… เขามาทำอะไรแถวนี้…หรือว่าจะตามมา’
โซดาหลบสายตาของเขาวูบ คงบังเอิญเสียมากกว่า ร้านหนังสือใหญ่อย่างนี้ใครจะเข้ามาเลือกหนังสือดี ๆ สักเล่มสองเล่มไม่เห็นแปลก เราไม่รู้จักกันเขาจะตามมาทำไม
เด็กสาวรู้สึกใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เธอกอดกระเป๋าเป้แน่นอย่างไม่รู้จะทำอะไรได้มากกว่านี้ และรีบออกจากร้านหนังสือตรงดิ่งขึ้นรถเมล์สายที่จะพาเธอมาหาพี่ชายที่ร้านชื่นบุรี เมื่อมาถึงที่หมาย โซดาเดินหลบเข้าหลังร้าน เธอรู้จักพนักงานที่นี่แต่จำชื่อได้ไม่กี่คน แต่เมื่อพี่ชายเดินออกหาก็เห็นน้องสาวยืนหน้าซีดผิดสังเกต
“เป็นอะไรรึเปล่า”
“เปล่าค่ะ เอ่อ พี่เบียร์มีอะไรให้โซดาช่วยไหม” เธอตอบอย่างตะกุกตะกักและฝืนยิ้มให้เป็นปรกติ
“ไม่หรอก รอตรงนี้แหละ เดี๋ยวจะหาอะไรให้กิน จะอ่านหนังสือหรือทำอะไรค่อยพี่ก่อนก็ได้”
“พี่เบียร์ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
โซดาทำเป็นหยิบสมุดบันทึกออกมาเหมือนจะเขียนหนังสือ พี่ชายลูบผมเบา ๆ ก่อนเดินหายเข้าไปในห้องครัว เธอรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากเมื่อจิตใจกลับสู่สภาวะปกติ เธอก็นั่งดูสิ่งที่เคลื่อนไหวในห้องครัวที่กว้างเท่ากว่าห้องนอนของเธอด้วยซ้ำไป
ทุกคนดูวุ่นวายกับหน้าที่ของตนเองแต่ก็ทำงานกันอย่างเป็นระบบอย่างไม่น่าเชื่อ จวบจนถึงเวลาเลิกงาน ท่าทางเขาอ่อนเพลียอย่างมาก โซดาจึงอาสาช่วยหิ้วถุงขยะไปวางไว้ที่ถังขยะข้างหลังร้าน แต่ยังไม่ทันจะทำงานเสร็จ สายตาของเธอก็ผสานกับสายตาอ่อนโยนปนเหงาหลังแว่นตาทรงกลมคู่นั้น
“คุณตามฉันมาเหรอ” โซดาเผลอตะโกนออกมาด้วยความตกใจ
“เอ่อ...คือผม...ผม...คุณมองเห็นผมใช่ไหม”
“จะบ้าเหรอ ไม่ใช่แมวนะจะได้มองไม่เห็น”
“คุณมองเห็นผมจริง ๆ ด้วย” ชายหนุ่มแปลกหน้ายิ้มกว้างและสืบเท้าเข้ามาใกล้ แต่โซดาถอยหลังหนีจนตัวเธอชนถังขยะและล้มลง
“เอ๊ะ! รึว่าจะพวกโรคจิต อย่าเข้ามาใกล้ฉันนะ”
“เปล่าครับ ไม่ใช่ครับ คือ…ว่า ผม...ผม...”
“ใครก็ได้ช่วยด้วยค่ะ คนโรคจิตจะลวนลามค่ะ พี่เบียร์ พี่เบียร์ช่วยโซดาด้วย”
เด็กสาวตะโกนโหวกเหวกโวยวายลั่น พี่ชายเปิดประตูหลังร้านออกมาได้ยินเสียงน้องสาวพอดีจึงรีบวิ่งมาหาน้องที่นั่งหมดสวยอยู่ข้างถังขยะ
“พี่เบียร์ช่วยด้วย ไอ้โรคจิตนี่ตามโวดามาตั้งแต่เลิกเรียนแล้ว” โซดาผวาเข้ากอดพี่ชายแน่น
“อะไร ใครที่ไหนโซดา ทำใจดี ๆ ก่อน” พี่ชายโอบไหล่น้องสาวอย่างปกป้อง
“ก็ไอ้หมอนี่ไง” เธอชี้นิ้วไปที่ชายแปลกหน้ายืนอยู่ ต่หน้ายังซบอกพี่ชาย เพื่อนพนักงานสองสามคนที่ได้ยินเสียงออกมายืนดูด้วยความเป็นห่วง
“ใจเย็น ๆ มองหน้าพี่แล้วค่อย ๆ เล่าให้พี่ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น” น้ำเสียงของพี่ชายทำให้โซดาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นสบตา แววตาอาทรและห่วงใยทำให้เธอหายตื่นตระหนก
“มีคนตามโซดามาตั้งแต่เสร็จมิตติ้งแล้วค่ะ โซดาเห็นเค้าที่ร้านหนังสือก็ยังไม่แน่ใจแต่เมื่อกี้โซดาก็เห็นเขาตอนที่เอาขยะมาทิ้ง”
“แล้วไอ้หมอนั้นไปไหนแล้ว พี่จะจัดการมันปล่อยไว้ไม่ได้หรอกไอ้พวกนี้ ถึงโซดาจะปลอดภัยแต่มันอาจไปทำอันตรายคนอื่นได้ ภัยสังคมชัด ๆ” เบียร์ขบกรามแน่นด้วยความโมโห
“นั่น...นั่นไง มันยังยืนอยู่ตรงหน้าข้างหลังเพื่อนพี่ไง”
“ไหน ตรงไหน”
เพื่อนพนักงานของพี่ชายทำหน้างุนงงมองหน้ากัน เลิกลั่ก พี่ชายมองตามนิ้วมือของน้องสาวก็เห็นเพียงเพื่อนพนักงานในร้านอาหารด้วยกันที่เพิ่งเดินตามมาทีหลัง
“ไม่ใช่พี่สองคนนี่ ก็ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหลังไง คนที่ใส่แว่นกลม ๆ เสื้อฟ้า ๆ นะ” โซดาโวยวายเสียงดังทำไมเธอถูกมองด้วยสายตาประหลาดแบบนี้นะ
“พี่ไม่เห็นมีใครเลย”
“มีซิค่ะพี่เบียร์”
“ตรงนี้มีคนยืนอยู่แค่สี่คนเท่านั้น”
โซดาชี้หน้าผู้ชายที่ยืนยิ้มแหย ๆ ตรงนั้นแต่เหมือนเขาเป็นอากาศธาตุที่ไม่มีใครเห็น เอ๊ะ!ไม่มีใครเห็น ผู้ชายตัวโตออกปานนั้นไม่มีใครเห็น
“พี่ว่าเรามีกันแค่สี่คนเท่านั้นเหรอค่ะ” โซดาหันมาถามพี่ชายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ใช่ ก็มีพี่กับโซดาแล้วก็เพื่อนพี่ที่เป็นพนักงานเสิร์ฟอีกสองคนเท่านั้น”
“ไม่จริ๊งงง”
โซดาอ้าปากค้างแต่ไม่มีเสียงใดหลุดออกมา เอ๊ะสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็นแต่มีบางคนเท่านั้นที่มองเห็นแบบนี้ และที่สำคัญถ้าไม่ใช่คน..ก็ต้องเป็น…ผ...ผ..ผี
คนที่มองเห็นผมเพียงคนเดียวกลับไปลมไปเสียแล้ว เฮ้อ! เรื่องมันเริ่มต้นเมื่อราวๆ ครึ่งเดือนก่อน ขณะที่ผมกำลังพิมพ์ต้นฉบับอย่างบ้าคลั่งเพื่อให้ทันส่งงานประกวดนิยายของเวบไซต์แห่งหนึ่ง เดดไลน์คือส่งงานภายในเที่ยงคืน ผมคิดว่า...เอ่อ...คิดว่านะ คิดว่าใช้เมาท์คลิกส่งเมล์งานเรียบร้อยแล้วก็ตั้งใจลุกขึ้นไปหาอะไรกินเสียหน่อยแต่เหมือนร่างกายไร้เรี่ยวแรงร่วงผล็อยลงไปกองกับพื้น เหมือนได้หลับไปเต็มอิ่มแต่พอลืมตาขึ้นกลับพบว่าตัวเองอยู่หน้าอาคารแห่งหนึ่ง ผมก็ไม่รู้ว่ามาได้ยังไง และที่สำคัญคือไม่มีใครมองเห็นผม แม้ว่าจะพยายามส่งเสียงหรือไปสัมผัสอีกฝ่าย พวกเขาต่างเดินทะลุร่างของผมราวกับผมเป็นเพียงอากาศธาตุ และเมื่อผมพยายามตั้งสติสังเกตุสิ่งรอบตัวก็พบว่ามันไม่คุ้นตา และเมื่อเห็นข่าวในจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่หน้าตึกนั้นก็พบว่ามันเป็นปีพ.ศ.2533 พระเจ้า! ผมเป็นคนในปี พ.ศ.2567 แต่กลับย้อนเวลาอยู่ในปี พ.ศ.2533 แล้วที่ผมงงหนักที่สุดก็คือ ผมไม่รู้ว่าผมชื่ออะไรและเป็นใครนะสิ! ย้อนเวลามาทั้งที่แต่ดันความจำเสื่อม และที่จำไม่ได้ก็มีแค่เรื่องของตัวเองเท่านั้น ขอขยายความเข้าใ
“ก็หมายความว่าไม่มีใครมองเห็นผมไงครับ แบบเมื่อครู่ที่พี่ชายคุณยังไม่เห็นผมเดินทะลุตัวผมเฉยเลย” “แล้วคุณเป็นใครล่ะ เราเคยรู้จักกันเหรอ หรือว่ารู้จักกันตั้งแต่ชาติที่แล้ว” “เอ่อ...ไม่ทราบครับ” “ไมทราบ? ไม่ทราบได้ยังไง” โซดารู้สึกหงุดหงิดและคลายความรู้สึกกลัวผู้ชายตรงหน้าลงอย่างไม่รู้ตัว “แล้วชื่ออะไร” “ไม่ทราบครับ” “หา!…งั้นบ้านช่องอยู่ไหนเป็นอะไรตาย” “อันนี้ก็ไม่ทราบครับ” “เฮ้ย…อย่าตลกน่า ชื่อตัวเองก็ไม่รู้ นอกจากจะเป็นผีเร่ร่อนแล้วยังเป็นผีความจำเสื่อมอีกเหรอเนี่ย แล้วรู้อะไรบ้างเนี่ย” “ไม่ทราบครับ เอ่อ ไม่แน่ใจ…เดี๋ยวนะครับ” คุณผีไม่ได้รับเชิญยกนิ้วมือขึ้นนับ โซดายกมือกุมขมับอยากจะกรี๊ด กับท่านับนิ้วเหมือนเด็กอนุบาล “ผมรู้สึกตัวก็มายืนอยู่หน้าตึกที่คุณเดินเข้าเดินออกสองสามวันก่อนนะครับ ก็น่าจะสามหรือสี่วันแล้วละ แต่เหมือนกับว่า...ต้องอยู่ตรงนั้นเผื่อทำอะไรสักอย่าง” “เหรอ” โซดาพยักหน้าหงึกหงัก “ก็น่าจะวันเดียวกับที่ฉันไปอบรมเขียนนิยาย”
นิ้วมือเล็ก ๆ ขยับพร่างพรมบนแป้นคีย์บอร์ดอย่างชำนาญ ชายหนุ่มหน้าตี๋ร่างสูงผมสั้นสีน้ำตาลแดงยืนมองอยู่ข้างคอมพิวเตอร์สีซีดด้วยแววตาชื่นชม เขาเหลียวมองบรรยากาศในร้าน “หมูหยองอินเตอร์เนท” ที่เห็นจนชินตาแต่ความรู้สึกกลับสดใสมากกว่าเมื่อครั้งที่เจ้าของร้านยังอยู่ ราวกับว่าร้านเนทเล็ก ๆ ที่มีคอมพิวเตอร์ให้บริการอยู่ประมาณสิบสองเครื่องได้รับความดูแลอย่างดี พื้นห้องก็สะอาด ถังขยะที่ไม่มีขยะล้นให้รำคาญลูกตา ประตูกระจกก็ใสสว่างไม่มีคราบฝุ่น หรือเป็นเพราะพนักงานดูแลร้านคนใหม่ที่เพิ่งประจำการได้เพียงอาทิตย์เศษคนนี้ “เรียบร้อยแล้วค่ะพี่ตั้ม” “อ้อ!” ตั้มหันมาตามเสียงเรียกของเด็กสาวที่ยิ้มหน้าแป้นอยู่หน้าคอมพ์เธอหมุนเก้าอี้เลื่อนมารอรับกระดาษที่ไหลออกมาจากเครื่องปริ๊ตเตอร์ “ใบเสนอราคาค่ะ ค่าปริ๊ตแผ่นละห้าบาท ส่วนค่าบริการเอาเป็นซามูไรเบอร์เกอร์ชิ้นหนึ่งนะคะ” “โหนี่เหรอราคากันเอง งั้นพี่ขอราคาปกติดีกว่ามั้ง” ชายหนุ่มหัวเราะจนตาหยี “เอ่อ…แล้วที่พี่ให้หาข้อมูลประกวดยังดีไซด์เนอร์อะไรนั่นละ”“พรุ่งนี้ได้ไหมค่ะ โซดาsaveมาแล้ว
“ใช่...ถึงจะไม่ค่อยเห็นสองคนนี้พูดจาดี ๆ ใส่กัน แต่ก็ดูออกว่าพี่ตั้มห่วงพี่น้ำหวานขนาดไหน ตั้งแต่ตอนที่พ่อแม่ฉันยังอยู่ ฉันจำภาพพี่เบียร์ที่ชอบช่วยแม่ทำกับข้าวจนพี่ตั้มล้อเอาอยู่บ่อย ๆแล้วพี่น้ำหวานก็จะมาดุพี่ตั้มเสมอเลย บ้านพี่ตั้มเป็นอู่ซ่อมรถแล้วพี่ตั้มก็ชอบขโมยรถที่อู่มาขับอยู่บ่อย ๆ และโดนเตี่ยตีเป็นประจำ พี่เบียร์บอกว่าพี่ตั้มทำไปเพราะประชดพี่ชายคนโตเป็นหมอคนรองเป็นวิศวกร แต่พี่ตั้มเรียนไม่เก่งจบปวส.ก็ไม่เรียนต่อคลุกอยู่แต่ในอู่รถ ส่วนพี่น้ำหวานพ่อแม่พี่เค้าแยกทางตั้งแต่พี่น้ำหวานจำความได้ พี่น้ำหวานอยู่กับป้าญาติห่าง ๆ ป้าเค้าเย็บเสื้อผ้าโหลพี่น้ำหวานเลยอยากเป็นดีไซด์เนอร์แต่ว่าป้าไม่เข้าใจว่าดีไซด์เนอร์กับช่างเย็บผ้ามันต่างกันยังไง ป้าอยากให้ทำงานดี ๆ เป็นพนักงานกินเงินเดือน พี่น้ำหวานก็เลยหาเช่าแผงขายเสื้อผ้าที่สะพานพุทธ มีทั้งรับมาแล้วก็แบบที่ตัวเองดีไซด์เองด้วย” กว่าโซดาจะเล่าจบเธอก็นับเงินในกล่องเก็บเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว “ชีวิตพวกคุณนี่น่าสนุกจังเลยนะครับ” น้ำเสียงอ่อนโยนมากกว่าประชดประชัน โซดาระบายลมหายใจหนัก ๆ
ตลาดสะพานพุทธมีเสน่ห์อย่างประหลาดในสายตาของโซดา แต่เธอก็รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า,เครื่องประดับ,ตุ๊กตา,นาฬิกาหรือของขวัญน่ารัก ๆ ต่างมีดีไซด์เก๋ ๆ ออกมาเรียกเงินในกระเป๋าของนักช้อปได้เป็นอย่างดี เธอเองก็เคยซื้อที่หนีบกระดาษน่ารัก ๆ ไปไว้หลายอันโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร เด็กสาวซื้อน้ำผลไม้ปั่น ก่อนจะเดินเลาะไปตามถนนที่ผู้คนผลุพล่าน ฉุกคิดได้จึงหันหลังไปมองชายร่างสูงโปร่งสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน ร่างสูงโปร่งและไหล่กว้างที่ทำให้เขาดูโดดเด่นเหลือเชื่อ เส้นผมสีดำสลวยแม้จะเป็นรองทรงสั้น ๆ รับใบหน้าคมเข้ม เคยมีใครบอกเขาไหมนะ ว่าแว่นตาทรงกลมที่เขาสวมอยู่มันดูเท่รับกับใบหน้าเขาเหลือเกิน โอ๊ย! ทำไมหล่อกระชากใจเกย์อย่างนี้นะ!!!! นี่ถ้ามีใครคนอื่นมองเห็นคุณผีความจำเสื่อมเช่นเดียวกับเธอ ความรู้สึกกับภาพที่มองเห็นในขณะนี้คงไม่ต่างกัน เขาก้าวเดินช้า ๆ ดูข้าวของที่ร้านริมถนนราวกับไม่เคยมาเดินตลาดเช่นนี้มาก่อน นั้นซิ เขาดูแปลกและแตกต่างจากคนอื่น อย่างเห็นได้ชัดเหมือนกับอยู่โลกคนละใบหรือมาจากที่อื่น…ไม่ใช
“ขอบคุณนะคะ” โซดาส่งหมวกกันน็อคคือให้ พอดีกับที่พี่ชายกำลังไขกุญแจเข้าบ้าน“เที่ยวเพลินจนดึกเลยนะเรา” เบียร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามปกติ และตั้มก็เป็นเพื่อนที่เขาไว้ใจที่สุดและไว้ใจมากพอที่จะให้น้องสาวคนเดียวไปไหนมาไหนด้วยได้อย่างไม่เป็นกังวล“โชคดีนะคะขอให้พี่น้ำหวานใจอ่อนเร็ว ๆ นะ”“ขอบใจจ้า”หนุ่มหน้าตี่ยิ้มทะเล้นเหมือนเคยวันนี้เขาไม่มีอารมณ์จะหยอกเย้ากับใคร คงมีแต่เพื่อนรักเท่านั้นที่ดูออกถึงอาการของนายตั้ม รถเวสป้าแล่นออกไปไกลแล้วเบียร์จึงหันมาคุยกับน้องสาว“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”“เรื่องอะไรคะพี่เบียร์”“ก็วันนี้น้ำหวานทะเลาะกับนายตั้มอีกหรือเปล่า”“ก็ไม่เห็นมีนี่…พี่ตั้มก็ช่วยเรียกลูกค้าอย่างทุกทีอ่ะ พี่ตั้มก็หล่อแบบตี๋ ๆ นะทำไมพี่น้ำหวานเค้าไม่ชอบพี่ตั้มอ่ะ ถ้าโซดามีผู้ชายดีๆอย่างพี่ตั้มมาจีบคงรักหมดใจเลย”“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว” พี่ชายเฉไฉไปเรื่องอื่น “กลับดึกแบบนี้ได้อะไรมาบ้างละ”“บอกไม่ได้ค่ะ ความลับ”พี่ชายหันมาสบตากับน้องสาวที่ยิ้มทะเล้น แล้วส่ายหน้าไปมาเอือมระอากับนิสัยขี้เล่นที่ไม่รู้จักโตแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก รวมทั้งกระดาษปอนด์สีขาวที่ม้วนอย่างดีอยู
แต่พอมองเด็กสาวที่เดินผ่านมาและผ่านไป บางคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้น จนเธอแปลกใจว่าไม่กลัวผิวขาวจะเปลี่ยนสีบางเลยหรือ ? แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอหันหลังไปเธอจะมองเห็นชายร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน ที่มีดวงตาอ่อนโยนท่ามกลางผู้คนแปลกหน้าและทุกครั้งใบหน้านั้นจะมีรอยยิ้มให้เสมอ“คุณนี่ท่าจะรู้จักหนังสือประเภทเดียว มานี่ซิ ผมจะพาไปดูอะไร”มือของคุณวิญญาณยื่นมาจับที่ข้อมือของโซดา แต่มันก็ทะลุผ่านเหมือนลมพัดวูบหนึ่งเธอรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก เขาหัวเราะเก้อ ๆ ก่อนเดินนำเหมือนชำนาญเส้นทางอย่างดี คราวนี้เธอเป็นฝ่ายเดินตามแผ่นหลังของเขาบ้าง เขาเดินลัดเลาะรถหรูราคาแพงที่จอดเบียดฟุตปาธจนมาถึงร้านหนังสือแห่งหนึ่งคล้ายจะซ่อนตัวจากความวุ่นวายแห่งมหานคร จนไม่น่าเชื่อว่าชั้นสองของโรงหนังสยามจะมีร้านหนังสือเล็ก ๆ รวยรินด้วยกลิ่นกาแฟเช่นนี้“อย่างกับทะลุมิติมาแนะ” เด็กสาววัยสิบเจ็ดพึมพำเบา ๆ เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนแปลกประหลาดของสถานที่แห่งนี้ ในร้านนอกจากจะมีหนังสือมากมายเบียดกันแน่นบนชั้นหนังสือ ยังมีโต๊ะสำหรับนั่งดื่มชา-กาแฟอีกสามชุด มีล
“ปกติฉันอ่านแค่หนังสือเรียน หรือหนังสือที่ถูกบังคับให้อ่านประกอบการทำรายงานอะไรเท่านั้น มีอยู่วันหนึ่งฉันดูละครก่อนข่าว นางเอกเป็นลูกกำพร้าต้องทำงานพิเศษส่งตัวเองเรียนแล้วได้พบรักกับพระเอกหนุ่มหล่อร่ำรวยแต่ก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคกว่าจะได้แต่งงานกัน ฉันชอบมากเลย บางทีฉันก็เคยน้อยใจว่า ทำไมมีฉันเพียงคนเดียวที่ต้องทำงานพิเศษไปด้วยเรียนไปด้วย” เด็กสาวระบายรอยิ้มเหงา ๆ ให้กับผีหนุ่มที่ตั้งใจฟังเรื่องราวของเธอ“คุณป้าที่ฉันไปอาศัยอยู่ด้วย ก็มีลูกหลายคนฐานะเราก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ฉันทำงานพิเศษในห้างสรรพสินค้าช่วงปิดเทอม ฉันไม่เคยไปเรียนพิเศษ ไม่ค่อยได้กินขนมฝรั่งนั่งตากแอร์เย็น ๆ ไม่เคยได้ไปเที่ยวต่างประเทศจะแค่ญี่ปุ่นหรือเกาหลีก็ไม่เคย ฉันไม่เคยมีชีวิตแบบนั้นเลย ชีวิตแบบที่เห็นเมื่อกลางวัน แต่พอฉันดูละครเรื่องนั้นแล้วประทับใจ ฉันก็เลยจำชื่อเจ้าของบทประพันธ์ไว้และตามอ่านผลงานของเขาเกือบทุกเรื่องเท่าที่หาได้ แล้วฉันก็รู้สึกว่าการเป็นนักเขียนนี่วิเศษเหลือเกินเราจะขีดเขียนชีวิตให้เป็นยังก็ได้ ฉันก็เลยมุ่งมั่นว่าวันหนึ่งฉันจะต้องเป็นนักเขียนที่ดีอย่างพี่ดุจตะวันให้ได้”โซดาเงยห