“เร็วหน่อยซินายตั้มเดี๋ยวตำรวจก็มาหรอก”
“เร็วแล้วเจ๊น้ำหวาน”
“นิ อย่ามาเรียกฉันว่าเจ๊นะ”
สาวโซดาเหลียวมองภาพชุลมุนหลังรถ สาวมั่นแต่งตัวเปรี้ยวด้วยเสื้อยืดตัวเล็กสีแดงสดกับกางเกงทรงทหารตัวใหญ่ กำลังเหวี่ยงถุงทะเลสี่ห้าถุงยัดใส่ท้ายรถและถุงใบเล็กใส่เบาะด้านหลังโดยมีคนขับรถหน้าตี่ลงไปช่วยก่อนรีบกระโดดขึ้นรถ เสียงแตรดังไล่หลังอยู่นานหลายนาที หญิงสาวที่นั่งเบาะหลังไขกระจกลงชะโงกหน้าออกไป
“รู้แล้วพี่...จะรีบไปรับเมียน้อยรึไง”
“เฮ้ย!เจ๊เดี๋ยวมันก็ไล่บี้ตูดรถผมหรอก”
“รถแกที่ไหนละ รีบ ๆ ออกรถเลย เดี๋ยวตำรวจมาไล่โดนใบสั่งอีกนะ ฉันไม่ช่วยจ่ายด้วยหรอก”
“อุตส่าห์มารับทั้งที พูดหวานๆสมชื่อน้ำหวานก็ไม่ได้”
“ช่วยไม่ได้ ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้ อ้าวหนูโซดาวันนี้ไปเที่ยวไหนมาเหรอจ๊ะ”
“เปล่าค่ะ ไปอบรมเขียนนิยายมาค่ะ” โซดาตอบแล้วยิ้มแหยเหมือนจะเกรงหญิงสาวที่นั่งอยู่เบาะด้านหลังของรถ
“อ้อ!ที่ค่ายเทปR&Mใช่ไหม”
“ไม่ใช่ค่ะสำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่ในเครือบริษัทR&Mต่างหากละค่ะ”
“ก็นั้นแหละ ตึกเดียวกันนิ เป็นไงเจอพี่ปลายศรรึเปล่าได้ขอลายเซ็นไหม”
“เจอค่ะ แต่ไม่ได้ขอลายเซ็น” ‘ไม่ได้ขอคะ แต่โดยยัดเหยียดให้’ ประโยคหลังตอบในใจ แต่ เอ๊ะ! แล้วเผลอเอาหมวกใบนั้นไปทิ้งที่ไหนแล้วหว่า
“โธ่ ทำไมไม่ขอมาละ นี่ ๆ คราวหน้าพี่ฝากเสื้อพี่ไปให้พี่ปลายศรเซ็นให้หน่อยนะ จะได้เอาไปแขวนที่ร้านนะจ๊ะ” คนพูดไม่พูดเปล่ารีบค้นเสื้อยืดออกจากถุงแล้วยื่นส่งให้สาวโซดา
เด็กสาวทำหน้าแหย เพิ่งจะทำหมวกหายไปใบหนึ่ง แล้วจะยังให้ไปเอาลายเซ็นอีกเหรอ เฮ้อออออ
“พวกบ้าดารา” ชายหนุ่มคนเดียวในรถเอ่ยอย่างประชดประชัน “แล้วเบอร์โทรสาวพีอาร์กะพริตตี้ที่ให้ขออะได้ม่ะ”
“ไม่ได้ขอคะ”
“ว่าแต่คนอื่น”
หญิงสาวชะโงกหน้าข้ามเบาะรถมาแลบลิ้นใส่ชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ขับรถ โซดาเผลอหัวเราะออกมา รถฮอนด้าซีวิคก็เคลื่อนฝ่าการจราจรติดขัดมาถึงที่หมายซึ่งเป็นห้องแถวเล็ก ๆ ย่านวงเวียนใหญ่ โซดาช่วยขนถุงทะเลที่ใส่เสื้อผ้าเผื่อจะนำไปขายลงจากรถ ตั้มต้องรีบเอารถกลับไปคืนที่อู่ก่อนจะนานผิดสังเกต จึงต้องเปลี่ยนแผนกันเล็กน้อย
“ไม่รีบกลับบ้านใช่ไหมโซดา”
“ค่ะ พี่ตั้มบอกพี่เบียร์แล้วว่าวันนี้โซดาจะอยู่กับพี่น้ำหวาน”
“ดีจ๊ะ เข้ามาบ้านก่อนนะ พี่ต้องเตรียมของอีกหลายอย่าง”
“ให้โซดาช่วยนะ”
โซดาอาสาด้วยไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์ น้ำหวานยิ้มให้แทนคำตอบก่อนที่ทั้งคู่จะช่วยขนถุงใส่เสื้อผ้าเข้าบ้านพัก เธอเคยมาที่นี้แค่สามสี่ครั้งตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับเบียร์ แต่เคยไปดูน้ำหวาน สาวมั่นแห่งแผงเสื้อโอเอซิส ณ สะพานพุทธแค่ครั้งเดียว
“น้ำหวาน” เป็นเพื่อนกับพี่ชายของเธออายุรุ่นราวคราวเดียวกับ “ตั้ม” ลูกชายคนเล็กแสนเกเรในสายตาของเจ้าของอู่รถผู้มีเชื้อสายเลือดมังกรจากแผ่นดินใหญ่ หญิงสาวเจ้าของบ้านหายไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
โซดาจึงเดินสำรวจข้าวของในห้องแม้จะรกด้วยเศษผ้าหลากสี แต่เสื้อผ้าที่แขวนอยู่บนราวเหล็กและที่อยู่บนหุ่นดูสวยงามแปลกตากว่าที่โซดาเคยเห็นมา เบียร์เคยเล่าให้โซดาฟังว่า น้ำหวานหยุดเรียนหลังจากจบปวส.และมุ่งมั่นเอาดีด้านออกแบบเสื้อผ้า ลงทุนเปิดแผงขายเสื้อผ้าที่สะพานพุทธ เอาเสื้อยืดสีพื้นธรรมดามาประดับตบแต่งหรือเพ้นท์ลายใหม่จนสวยเท่ห์เด่นกว่าใคร แต่แบบเสื้อที่ตัวเองดีไซด์กลับขายไม่ค่อยจะออกอาจเป็นเพราะ หลุดโลกอย่างที่ตั้มเคยบอกไว้
“โซดาเอาเสื้อพี่ไปใส่บ้างไหม”
“เอ่อ..เกรงใจจังค่ะ”
โซดาสะดุ้งเมื่อถูกเรียกแบบไม่ตั้งตัว เธอหันกลับมามองพี่น้ำหวานที่ล้างเครื่องสำอางออกจนหมดเหลือเพียงสีชมพูอ่อน ๆ บนริมฝีปาก น้ำหวานเป็นสาวสวยอายุยี่สิบสองที่มีบุคลิกมาดมั่น ไม่ว่าจะสวมเสื้อผ้าชุดไหนก็ดูดีไปหมด ผมยาวถึงกลางหลังถูกกัดสีเป็นน้ำตาลประกายทองดัดเป็นลอนเหมือนระลอกคลื่นของน้ำในทะเลดูรับกับผิวสีน้ำผึ้งนวลเนียน
“ทำไมมองพี่อย่างนั้นละ หรือว่าเราเป็นทอม”
“บ้าซิพี่น้ำหวาน โซดายังชอบผู้ชายอยู่นะ” โซดาทำเป็นงอนแต่เพื่อนพี่ชายหัวเราะร่า
“ก็พี่น้ำหวานสวย โซดาอยากสวยเหมือนพี่มั่ง” เด็กสาวเผลอคิดถึงรอยยิ้มอบอุ่นของนักเขียนในดวงใจ ถ้าเธอสวยหรือน่ารักกว่านี้ เขาต้องหันมามองเธอแน่ ๆ
“ใครว่าเราไม่สวยละ แค่…แต่งตัวไม่เป็นเท่านั้นเอง เอ๊ะถามแบบนี้แอบปิ๊งใครอยู่หรือเปล่า แบบคนกำลังมีความรัก”
“ไม่ใช่..คือ..โซดาอายนะ ไปอบรมมารู้สึกว่าตัวเองมอมแมมยังไงไม่รู้แบบ..บอกไม่ถูก มันมีแต่คนหรู ๆใช้มือถือดี ๆ เสื้อผ้าแพง ๆ ขับรถมาเรียนอะไรแบบนั้น”
“ไม่เอาซิ อย่าคิดแบบนั้น” น้ำหวานดึงแขนของโซดามานั่งใกล้ ๆ แล้วลูบผมช้าอย่างอ่อนโยนและเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
“สิ่งของภายนอกอย่างนั่นมันก็เครื่องประดับที่ฉาบฉวย ตัวตนที่ดีงามของเราต่างหากที่จะ เปล่งประกายความเป็นตัวเราออกมา เพราะฉะนั้นต้องเรามั่นใจและภูมิใจในสิ่งที่เราเป็นต่างหาก แต่ไม่ต้องห่วงนะ อยู่กับดีไซด์เนอร์มือหนึ่งแห่งสะพานพุทธเจ้าของแผงเสื้อโอเอซิสสะอย่าง พี่น้ำหวานคนนี้จะเนรมิตให้หนูโซดาเป็นสาวสวยเอง”
“ขอบคุณค่ะ”
เด็กสาวยิ้มกว้าง นั้นซินะ สักวันหนึ่งคงมีใครมองเห็นตัวตนที่แท้จริงของเธอไม่ใช่เพียงแค่เสื้อผ้าเครื่องประดับภายนอก แต่เป็นตัวเธอที่แท้จริงต่างหาก แล้วโซดาก็นึกถึงเจ้าของสายตาอาวรณ์หลังแว่นทรงกลมกรอบเงินที่ได้สบตากัน หรือว่า เขาจะเห็นอะไรบางอย่างในตัวเธอที่พิเศษกว่าคนอื่นนะ
โซดาอยู่ในชุดเสื้อยืดสีน้ำตาลกับกระโปรงยีนยาวพอดีเข่าดูเข้ากับรองเท้าผ้าใบคู่เซอร์ที่สวมประจำ เธอยืนเหงา ๆ อยู่ในมิตติ้งเล็ก ๆ ที่จัดขึ้นหลังเสร็จการอบรม หลายคนต่างแลกเปลี่ยนเบอร์มือถือหรืออีเมล์กันสนุกสนาน คงมีแต่สาวน้อยโซดาที่ยืนอยู่มุมห้องตามลำพังกับจานคุกกี้ในมือ
...ไม่ว่ายังไงความรู้สึกเหงา ๆ มันก็ยังโอบกอดเธออยู่...
“ทำหน้าไม่สนุกเลยนะคะ”
“พี่ปกรณ์” โซดาถึงกับสะดุ้งเมื่อร่างสูงโปร่งของนักเขียนสุดปลื้มมาทักทายพร้อมยื่นแก้วน้ำหวานสีแดงสดใสให้เธอ
“คิดอะไรอยู่ มีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ โซดาคิดเรื่องงานที่พี่ปกรณ์ให้ทำค่ะ” พูดเอาหน้าไปอย่างนั้นแหละ อย่างน้อยเขาจะได้รู้ว่าเธอปลื้มเขามากแค่ไหน
“ไม่ต้องรีบร้อนหรอก ค่อย ๆ คิดค่อย ๆ ทำอย่าเค้นเผื่อจะเขียนงาน ให้รู้สึกจากภายในแล้วค่อยจรดปลายปากกาเขียนเป็นเรื่อง ไม่ต้องห่วงนะ พวกพี่ ๆ ที่นี่ยินดีและรออ่านผลงานของน้องโซดาว่าที่นักเขียนหน้ามือใหม่ในอนาคต”
“ค่ะพี่ปกรณ์”
โซดายิ้มปลื้มตัวแทบจะลอยติดเพดาน
ปกรณ์ขอตัวไปถ่ายรูปกับคนอื่น ๆ พอดีกับที่ประตูห้องเปิดต้อนรับร่างของไอดอลหนุ่มสุดฮิตแห่งยุค ปลายศรเดินเข้ามาทักทายกับคนอื่นด้วยท่าทางวางตัวเหมือนเคย โซดานึกอยากแหวะท่าทางแบบนี้ แต่พึ่งนึกอะไรบางสิ่งได้ ก็รีบหยิบเสื้อยืดในกระเป๋าเป้แล้วจำใจเดินเข้าไปขอลายเซ็น‘ขนาดหมวกยังทำหาย ไม่รู้เสื้อจะทำหายเพราะไม่ใส่ใจหรือเปล่านะ’
“นี่ถ้าน้องไม่ได้อบรมคอร์สนี่พี่คงไม่ให้ลายเซ็นของพี่อยู่บนเสื้อน้องแน่ ๆ ยกเว้นแต่บนปกซีดีหรือปกหนังสือของพี่เท่านั้น”
“ค่ะ ต้องขอบคุณพี่ปลายหักเอ๊ยปลายศรมาก ๆ ที่กรุณานะคะ”
โซดาใช้นิ้วหยิบเสื้อยืดขึ้นมาด้วยท่าทางขยะแขยงนิด ๆ เมื่อดารานักร้องหนุ่มเจ้าของหนังสือเบสเซลเลอร์ของร้านหนังสือชั้นนำ ในเครือสำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่เป็นสายส่งหนังสือเดินจากไปแล้ว
‘อย่าทำหายอีกนะโซดา ไม่งั้นแกโดนพี่น้ำหวานดุแน่ ๆ’
งานเลี้ยงเลิกราแล้วหลายคนนัดไปเที่ยวต่อ มีเพียงโซดาที่ได้แต่ยืนโบกมือลาหน้าตึกเช่นเคย วันนี้ไม่มีใครมารับ ตั้มตาหยีติดช่วยงานที่อู่ซ่อมรถ พี่ชายก็ทำงานที่ร้านอาหาร เธอเองก็ไม่อยากเป็นภาระให้เขาที่ต้องทำงานเหนื่อยเผื่อส่งเสียให้เธอร่ำเรียน งานพ่อครัวในร้านอาหารหรูหราแบบนั้น ทำให้เบียร์มีเวลาหยุดพักผ่อนไม่เหมือนคนอื่น แต่ละสัปดาห์จะเข้างานเป็นกะ อาทิตย์เข้ากะเช้า อาทิตย์หน้าเข้ากะบ่าย เพราะอย่างนี้ละมั้งพี่ชายสุดหล่อมาดเข้มของโซดาถึงยังไม่มีแฟนเสียที เอานะ!ไม่เป็นไรหรอก สายรถเมล์ที่ต้องนั่งกลับบ้านก็จดไว้เรียบร้อยแล้ว แต่วันนี้ขอแวะร้านหนังสือก่อนกลับบ้าน เพิ่งบ่ายสองโมงกว่า รถราไม่ติดมากนักเพราะช่วงนี้ยังปิดเทอมใหญ่อยู่ เอ๊ะ! นั้นซิอีกไม่กี่วันกี่เดือนนะมหาวิทยาลัยจะเปิด เธอยกนิ้วขึ้นนับ วันนี้สิ้นเดือนเมษายนพอดี มหา’ลัยเปิดเดือนมิถุนายน ถ้าอย่างนั้นก็เหลือเวลาให้เธอเขียนนิยายอย่างจริงจังแค่เดือนกว่าเท่านั้นเอง ยังไงก็ต้องรักษาสัญญากับพี่ชายว่าเปิดเทอมเมื่อไหร่ต้องทุ่มเทเวลาให้กับการเรียนให้มากที่สุด แถมวันจันทร์หน้าก็ต้องเริ่มไปทำงานพิเศษที่ร้านหมูหยองอินเตอ
คนที่มองเห็นผมเพียงคนเดียวกลับไปลมไปเสียแล้ว เฮ้อ! เรื่องมันเริ่มต้นเมื่อราวๆ ครึ่งเดือนก่อน ขณะที่ผมกำลังพิมพ์ต้นฉบับอย่างบ้าคลั่งเพื่อให้ทันส่งงานประกวดนิยายของเวบไซต์แห่งหนึ่ง เดดไลน์คือส่งงานภายในเที่ยงคืน ผมคิดว่า...เอ่อ...คิดว่านะ คิดว่าใช้เมาท์คลิกส่งเมล์งานเรียบร้อยแล้วก็ตั้งใจลุกขึ้นไปหาอะไรกินเสียหน่อยแต่เหมือนร่างกายไร้เรี่ยวแรงร่วงผล็อยลงไปกองกับพื้น เหมือนได้หลับไปเต็มอิ่มแต่พอลืมตาขึ้นกลับพบว่าตัวเองอยู่หน้าอาคารแห่งหนึ่ง ผมก็ไม่รู้ว่ามาได้ยังไง และที่สำคัญคือไม่มีใครมองเห็นผม แม้ว่าจะพยายามส่งเสียงหรือไปสัมผัสอีกฝ่าย พวกเขาต่างเดินทะลุร่างของผมราวกับผมเป็นเพียงอากาศธาตุ และเมื่อผมพยายามตั้งสติสังเกตุสิ่งรอบตัวก็พบว่ามันไม่คุ้นตา และเมื่อเห็นข่าวในจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่หน้าตึกนั้นก็พบว่ามันเป็นปีพ.ศ.2533 พระเจ้า! ผมเป็นคนในปี พ.ศ.2567 แต่กลับย้อนเวลาอยู่ในปี พ.ศ.2533 แล้วที่ผมงงหนักที่สุดก็คือ ผมไม่รู้ว่าผมชื่ออะไรและเป็นใครนะสิ! ย้อนเวลามาทั้งที่แต่ดันความจำเสื่อม และที่จำไม่ได้ก็มีแค่เรื่องของตัวเองเท่านั้น ขอขยายความเข้าใ
“ก็หมายความว่าไม่มีใครมองเห็นผมไงครับ แบบเมื่อครู่ที่พี่ชายคุณยังไม่เห็นผมเดินทะลุตัวผมเฉยเลย” “แล้วคุณเป็นใครล่ะ เราเคยรู้จักกันเหรอ หรือว่ารู้จักกันตั้งแต่ชาติที่แล้ว” “เอ่อ...ไม่ทราบครับ” “ไมทราบ? ไม่ทราบได้ยังไง” โซดารู้สึกหงุดหงิดและคลายความรู้สึกกลัวผู้ชายตรงหน้าลงอย่างไม่รู้ตัว “แล้วชื่ออะไร” “ไม่ทราบครับ” “หา!…งั้นบ้านช่องอยู่ไหนเป็นอะไรตาย” “อันนี้ก็ไม่ทราบครับ” “เฮ้ย…อย่าตลกน่า ชื่อตัวเองก็ไม่รู้ นอกจากจะเป็นผีเร่ร่อนแล้วยังเป็นผีความจำเสื่อมอีกเหรอเนี่ย แล้วรู้อะไรบ้างเนี่ย” “ไม่ทราบครับ เอ่อ ไม่แน่ใจ…เดี๋ยวนะครับ” คุณผีไม่ได้รับเชิญยกนิ้วมือขึ้นนับ โซดายกมือกุมขมับอยากจะกรี๊ด กับท่านับนิ้วเหมือนเด็กอนุบาล “ผมรู้สึกตัวก็มายืนอยู่หน้าตึกที่คุณเดินเข้าเดินออกสองสามวันก่อนนะครับ ก็น่าจะสามหรือสี่วันแล้วละ แต่เหมือนกับว่า...ต้องอยู่ตรงนั้นเผื่อทำอะไรสักอย่าง” “เหรอ” โซดาพยักหน้าหงึกหงัก “ก็น่าจะวันเดียวกับที่ฉันไปอบรมเขียนนิยาย”
นิ้วมือเล็ก ๆ ขยับพร่างพรมบนแป้นคีย์บอร์ดอย่างชำนาญ ชายหนุ่มหน้าตี๋ร่างสูงผมสั้นสีน้ำตาลแดงยืนมองอยู่ข้างคอมพิวเตอร์สีซีดด้วยแววตาชื่นชม เขาเหลียวมองบรรยากาศในร้าน “หมูหยองอินเตอร์เนท” ที่เห็นจนชินตาแต่ความรู้สึกกลับสดใสมากกว่าเมื่อครั้งที่เจ้าของร้านยังอยู่ ราวกับว่าร้านเนทเล็ก ๆ ที่มีคอมพิวเตอร์ให้บริการอยู่ประมาณสิบสองเครื่องได้รับความดูแลอย่างดี พื้นห้องก็สะอาด ถังขยะที่ไม่มีขยะล้นให้รำคาญลูกตา ประตูกระจกก็ใสสว่างไม่มีคราบฝุ่น หรือเป็นเพราะพนักงานดูแลร้านคนใหม่ที่เพิ่งประจำการได้เพียงอาทิตย์เศษคนนี้ “เรียบร้อยแล้วค่ะพี่ตั้ม” “อ้อ!” ตั้มหันมาตามเสียงเรียกของเด็กสาวที่ยิ้มหน้าแป้นอยู่หน้าคอมพ์เธอหมุนเก้าอี้เลื่อนมารอรับกระดาษที่ไหลออกมาจากเครื่องปริ๊ตเตอร์ “ใบเสนอราคาค่ะ ค่าปริ๊ตแผ่นละห้าบาท ส่วนค่าบริการเอาเป็นซามูไรเบอร์เกอร์ชิ้นหนึ่งนะคะ” “โหนี่เหรอราคากันเอง งั้นพี่ขอราคาปกติดีกว่ามั้ง” ชายหนุ่มหัวเราะจนตาหยี “เอ่อ…แล้วที่พี่ให้หาข้อมูลประกวดยังดีไซด์เนอร์อะไรนั่นละ”“พรุ่งนี้ได้ไหมค่ะ โซดาsaveมาแล้ว
“ใช่...ถึงจะไม่ค่อยเห็นสองคนนี้พูดจาดี ๆ ใส่กัน แต่ก็ดูออกว่าพี่ตั้มห่วงพี่น้ำหวานขนาดไหน ตั้งแต่ตอนที่พ่อแม่ฉันยังอยู่ ฉันจำภาพพี่เบียร์ที่ชอบช่วยแม่ทำกับข้าวจนพี่ตั้มล้อเอาอยู่บ่อย ๆแล้วพี่น้ำหวานก็จะมาดุพี่ตั้มเสมอเลย บ้านพี่ตั้มเป็นอู่ซ่อมรถแล้วพี่ตั้มก็ชอบขโมยรถที่อู่มาขับอยู่บ่อย ๆ และโดนเตี่ยตีเป็นประจำ พี่เบียร์บอกว่าพี่ตั้มทำไปเพราะประชดพี่ชายคนโตเป็นหมอคนรองเป็นวิศวกร แต่พี่ตั้มเรียนไม่เก่งจบปวส.ก็ไม่เรียนต่อคลุกอยู่แต่ในอู่รถ ส่วนพี่น้ำหวานพ่อแม่พี่เค้าแยกทางตั้งแต่พี่น้ำหวานจำความได้ พี่น้ำหวานอยู่กับป้าญาติห่าง ๆ ป้าเค้าเย็บเสื้อผ้าโหลพี่น้ำหวานเลยอยากเป็นดีไซด์เนอร์แต่ว่าป้าไม่เข้าใจว่าดีไซด์เนอร์กับช่างเย็บผ้ามันต่างกันยังไง ป้าอยากให้ทำงานดี ๆ เป็นพนักงานกินเงินเดือน พี่น้ำหวานก็เลยหาเช่าแผงขายเสื้อผ้าที่สะพานพุทธ มีทั้งรับมาแล้วก็แบบที่ตัวเองดีไซด์เองด้วย” กว่าโซดาจะเล่าจบเธอก็นับเงินในกล่องเก็บเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว “ชีวิตพวกคุณนี่น่าสนุกจังเลยนะครับ” น้ำเสียงอ่อนโยนมากกว่าประชดประชัน โซดาระบายลมหายใจหนัก ๆ
ตลาดสะพานพุทธมีเสน่ห์อย่างประหลาดในสายตาของโซดา แต่เธอก็รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า,เครื่องประดับ,ตุ๊กตา,นาฬิกาหรือของขวัญน่ารัก ๆ ต่างมีดีไซด์เก๋ ๆ ออกมาเรียกเงินในกระเป๋าของนักช้อปได้เป็นอย่างดี เธอเองก็เคยซื้อที่หนีบกระดาษน่ารัก ๆ ไปไว้หลายอันโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร เด็กสาวซื้อน้ำผลไม้ปั่น ก่อนจะเดินเลาะไปตามถนนที่ผู้คนผลุพล่าน ฉุกคิดได้จึงหันหลังไปมองชายร่างสูงโปร่งสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน ร่างสูงโปร่งและไหล่กว้างที่ทำให้เขาดูโดดเด่นเหลือเชื่อ เส้นผมสีดำสลวยแม้จะเป็นรองทรงสั้น ๆ รับใบหน้าคมเข้ม เคยมีใครบอกเขาไหมนะ ว่าแว่นตาทรงกลมที่เขาสวมอยู่มันดูเท่รับกับใบหน้าเขาเหลือเกิน โอ๊ย! ทำไมหล่อกระชากใจเกย์อย่างนี้นะ!!!! นี่ถ้ามีใครคนอื่นมองเห็นคุณผีความจำเสื่อมเช่นเดียวกับเธอ ความรู้สึกกับภาพที่มองเห็นในขณะนี้คงไม่ต่างกัน เขาก้าวเดินช้า ๆ ดูข้าวของที่ร้านริมถนนราวกับไม่เคยมาเดินตลาดเช่นนี้มาก่อน นั้นซิ เขาดูแปลกและแตกต่างจากคนอื่น อย่างเห็นได้ชัดเหมือนกับอยู่โลกคนละใบหรือมาจากที่อื่น…ไม่ใช
“ขอบคุณนะคะ” โซดาส่งหมวกกันน็อคคือให้ พอดีกับที่พี่ชายกำลังไขกุญแจเข้าบ้าน“เที่ยวเพลินจนดึกเลยนะเรา” เบียร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามปกติ และตั้มก็เป็นเพื่อนที่เขาไว้ใจที่สุดและไว้ใจมากพอที่จะให้น้องสาวคนเดียวไปไหนมาไหนด้วยได้อย่างไม่เป็นกังวล“โชคดีนะคะขอให้พี่น้ำหวานใจอ่อนเร็ว ๆ นะ”“ขอบใจจ้า”หนุ่มหน้าตี่ยิ้มทะเล้นเหมือนเคยวันนี้เขาไม่มีอารมณ์จะหยอกเย้ากับใคร คงมีแต่เพื่อนรักเท่านั้นที่ดูออกถึงอาการของนายตั้ม รถเวสป้าแล่นออกไปไกลแล้วเบียร์จึงหันมาคุยกับน้องสาว“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”“เรื่องอะไรคะพี่เบียร์”“ก็วันนี้น้ำหวานทะเลาะกับนายตั้มอีกหรือเปล่า”“ก็ไม่เห็นมีนี่…พี่ตั้มก็ช่วยเรียกลูกค้าอย่างทุกทีอ่ะ พี่ตั้มก็หล่อแบบตี๋ ๆ นะทำไมพี่น้ำหวานเค้าไม่ชอบพี่ตั้มอ่ะ ถ้าโซดามีผู้ชายดีๆอย่างพี่ตั้มมาจีบคงรักหมดใจเลย”“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว” พี่ชายเฉไฉไปเรื่องอื่น “กลับดึกแบบนี้ได้อะไรมาบ้างละ”“บอกไม่ได้ค่ะ ความลับ”พี่ชายหันมาสบตากับน้องสาวที่ยิ้มทะเล้น แล้วส่ายหน้าไปมาเอือมระอากับนิสัยขี้เล่นที่ไม่รู้จักโตแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก รวมทั้งกระดาษปอนด์สีขาวที่ม้วนอย่างดีอยู
แต่พอมองเด็กสาวที่เดินผ่านมาและผ่านไป บางคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้น จนเธอแปลกใจว่าไม่กลัวผิวขาวจะเปลี่ยนสีบางเลยหรือ ? แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอหันหลังไปเธอจะมองเห็นชายร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน ที่มีดวงตาอ่อนโยนท่ามกลางผู้คนแปลกหน้าและทุกครั้งใบหน้านั้นจะมีรอยยิ้มให้เสมอ“คุณนี่ท่าจะรู้จักหนังสือประเภทเดียว มานี่ซิ ผมจะพาไปดูอะไร”มือของคุณวิญญาณยื่นมาจับที่ข้อมือของโซดา แต่มันก็ทะลุผ่านเหมือนลมพัดวูบหนึ่งเธอรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก เขาหัวเราะเก้อ ๆ ก่อนเดินนำเหมือนชำนาญเส้นทางอย่างดี คราวนี้เธอเป็นฝ่ายเดินตามแผ่นหลังของเขาบ้าง เขาเดินลัดเลาะรถหรูราคาแพงที่จอดเบียดฟุตปาธจนมาถึงร้านหนังสือแห่งหนึ่งคล้ายจะซ่อนตัวจากความวุ่นวายแห่งมหานคร จนไม่น่าเชื่อว่าชั้นสองของโรงหนังสยามจะมีร้านหนังสือเล็ก ๆ รวยรินด้วยกลิ่นกาแฟเช่นนี้“อย่างกับทะลุมิติมาแนะ” เด็กสาววัยสิบเจ็ดพึมพำเบา ๆ เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนแปลกประหลาดของสถานที่แห่งนี้ ในร้านนอกจากจะมีหนังสือมากมายเบียดกันแน่นบนชั้นหนังสือ ยังมีโต๊ะสำหรับนั่งดื่มชา-กาแฟอีกสามชุด มีล