“ขอบคุณนะคะ” โซดาส่งหมวกกันน็อคคือให้ พอดีกับที่พี่ชายกำลังไขกุญแจเข้าบ้าน“เที่ยวเพลินจนดึกเลยนะเรา” เบียร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามปกติ และตั้มก็เป็นเพื่อนที่เขาไว้ใจที่สุดและไว้ใจมากพอที่จะให้น้องสาวคนเดียวไปไหนมาไหนด้วยได้อย่างไม่เป็นกังวล“โชคดีนะคะขอให้พี่น้ำหวานใจอ่อนเร็ว ๆ นะ”“ขอบใจจ้า”หนุ่มหน้าตี่ยิ้มทะเล้นเหมือนเคยวันนี้เขาไม่มีอารมณ์จะหยอกเย้ากับใคร คงมีแต่เพื่อนรักเท่านั้นที่ดูออกถึงอาการของนายตั้ม รถเวสป้าแล่นออกไปไกลแล้วเบียร์จึงหันมาคุยกับน้องสาว“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”“เรื่องอะไรคะพี่เบียร์”“ก็วันนี้น้ำหวานทะเลาะกับนายตั้มอีกหรือเปล่า”“ก็ไม่เห็นมีนี่…พี่ตั้มก็ช่วยเรียกลูกค้าอย่างทุกทีอ่ะ พี่ตั้มก็หล่อแบบตี๋ ๆ นะทำไมพี่น้ำหวานเค้าไม่ชอบพี่ตั้มอ่ะ ถ้าโซดามีผู้ชายดีๆอย่างพี่ตั้มมาจีบคงรักหมดใจเลย”“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว” พี่ชายเฉไฉไปเรื่องอื่น “กลับดึกแบบนี้ได้อะไรมาบ้างละ”“บอกไม่ได้ค่ะ ความลับ”พี่ชายหันมาสบตากับน้องสาวที่ยิ้มทะเล้น แล้วส่ายหน้าไปมาเอือมระอากับนิสัยขี้เล่นที่ไม่รู้จักโตแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก รวมทั้งกระดาษปอนด์สีขาวที่ม้วนอย่างดีอยู
แต่พอมองเด็กสาวที่เดินผ่านมาและผ่านไป บางคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้น จนเธอแปลกใจว่าไม่กลัวผิวขาวจะเปลี่ยนสีบางเลยหรือ ? แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอหันหลังไปเธอจะมองเห็นชายร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน ที่มีดวงตาอ่อนโยนท่ามกลางผู้คนแปลกหน้าและทุกครั้งใบหน้านั้นจะมีรอยยิ้มให้เสมอ“คุณนี่ท่าจะรู้จักหนังสือประเภทเดียว มานี่ซิ ผมจะพาไปดูอะไร”มือของคุณวิญญาณยื่นมาจับที่ข้อมือของโซดา แต่มันก็ทะลุผ่านเหมือนลมพัดวูบหนึ่งเธอรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก เขาหัวเราะเก้อ ๆ ก่อนเดินนำเหมือนชำนาญเส้นทางอย่างดี คราวนี้เธอเป็นฝ่ายเดินตามแผ่นหลังของเขาบ้าง เขาเดินลัดเลาะรถหรูราคาแพงที่จอดเบียดฟุตปาธจนมาถึงร้านหนังสือแห่งหนึ่งคล้ายจะซ่อนตัวจากความวุ่นวายแห่งมหานคร จนไม่น่าเชื่อว่าชั้นสองของโรงหนังสยามจะมีร้านหนังสือเล็ก ๆ รวยรินด้วยกลิ่นกาแฟเช่นนี้“อย่างกับทะลุมิติมาแนะ” เด็กสาววัยสิบเจ็ดพึมพำเบา ๆ เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนแปลกประหลาดของสถานที่แห่งนี้ ในร้านนอกจากจะมีหนังสือมากมายเบียดกันแน่นบนชั้นหนังสือ ยังมีโต๊ะสำหรับนั่งดื่มชา-กาแฟอีกสามชุด มีล
“ปกติฉันอ่านแค่หนังสือเรียน หรือหนังสือที่ถูกบังคับให้อ่านประกอบการทำรายงานอะไรเท่านั้น มีอยู่วันหนึ่งฉันดูละครก่อนข่าว นางเอกเป็นลูกกำพร้าต้องทำงานพิเศษส่งตัวเองเรียนแล้วได้พบรักกับพระเอกหนุ่มหล่อร่ำรวยแต่ก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคกว่าจะได้แต่งงานกัน ฉันชอบมากเลย บางทีฉันก็เคยน้อยใจว่า ทำไมมีฉันเพียงคนเดียวที่ต้องทำงานพิเศษไปด้วยเรียนไปด้วย” เด็กสาวระบายรอยิ้มเหงา ๆ ให้กับผีหนุ่มที่ตั้งใจฟังเรื่องราวของเธอ“คุณป้าที่ฉันไปอาศัยอยู่ด้วย ก็มีลูกหลายคนฐานะเราก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ฉันทำงานพิเศษในห้างสรรพสินค้าช่วงปิดเทอม ฉันไม่เคยไปเรียนพิเศษ ไม่ค่อยได้กินขนมฝรั่งนั่งตากแอร์เย็น ๆ ไม่เคยได้ไปเที่ยวต่างประเทศจะแค่ญี่ปุ่นหรือเกาหลีก็ไม่เคย ฉันไม่เคยมีชีวิตแบบนั้นเลย ชีวิตแบบที่เห็นเมื่อกลางวัน แต่พอฉันดูละครเรื่องนั้นแล้วประทับใจ ฉันก็เลยจำชื่อเจ้าของบทประพันธ์ไว้และตามอ่านผลงานของเขาเกือบทุกเรื่องเท่าที่หาได้ แล้วฉันก็รู้สึกว่าการเป็นนักเขียนนี่วิเศษเหลือเกินเราจะขีดเขียนชีวิตให้เป็นยังก็ได้ ฉันก็เลยมุ่งมั่นว่าวันหนึ่งฉันจะต้องเป็นนักเขียนที่ดีอย่างพี่ดุจตะวันให้ได้”โซดาเงยห
โซดาขยับตัวไปนั่งที่เก้าอี้ว่างข้าง ๆ ผีหนุ่มร่างโปร่งใส เขาเบี่ยงตัวหลบเมื่อเธอเอนตัวมาดูที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ปลายจมูกคลอเคลียเส้นผมจนได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ อดไม่ได้ที่จะสูดกลิ่นหอมนั่น “อ้อ...เวบนี้ที่มีนักเขียนเอาเรื่องที่แต่งมาโพสไว้นี่น่า” โซดาหันมาเพื่อจะเรียกคุณผี แต่เธอไม่รู้ว่าเมื่อหันมาก็รู้สึกเหมือนแก้มเธอโดนปลายจมูกของเขาแตะเบา ๆ “นายยื่นหน้ามาทำอะไร” แก้มเนียนแดงระเรื่ออย่างน่ารัก ด้วยความเขินโซดาขว้างหมัดเล็ก ๆ ใส่แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นเพียงอากาศธาตุ ร่างเธอจึงเสียหลักเซถลาลงไปกลิ้งอยู่กับพื้น “เพราะนายแท้ ๆ เลย” ไม่รู้ว่าอายหรือว่าเขิน โซดานั่งจุ้มปุกอยู่กับพื้นเสียอย่างนั้น “ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ” คุณผีหัวเราะน้อย ๆ ก่อนทรุดตัวนั่งข้าง ๆ “คุณทำตัวเองน๊า!” “อย่ามาเยาะเย้ยฉันนะ! ถ้านายไม่ยื่นหน้ามาใกล้ฉันละก็!!” “คุณก็รู้ว่าผมทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วนี่ครับ จะหยิบจับอะไรก็ไม่ได้เลย เป็นผีที่ใช้อะไรไม่ได้เลย” เขายืมคำพูดเธอมาใช้พยายามทำให้เธอขำมากกว่า เวลาที่เขินและอายแบบนี้ทำไมถึงไ
พี่ชายถามพลางชูหนังสือขึ้นให้เห็นปก ปกติจะเห็นอ่านแค่แนวหวานแหววกับผลงานเจ้าของนามปากกาดุจตะวันเท่านั้น“ค่ะ เพิ่งเริ่มอ่านทำไมคะพี่เบียร์ว่ามันไม่ดีเหรอ” น้องสาวถามด้วยแววตาสงสัย“ไม่หรอก พี่นึกว่าโซดาไม่ชอบอ่าน ในห้องพี่ก็มี”“อ้าว…” เธออ้าปากค้างนึกเสียดายเงินร้อยกว่าบาทที่ซื้อหนังสือไป“ถ้าชอบอ่านแนวนี้ไปดูในห้องพี่นะ” พี่โยกหัวน้องสาวเล่นขณะที่เดินกลับบ้านพร้อมกัน “พี่ก็อยากให้เราอ่านหนังสือหลากหลาย อ่านหนังสือเยอะๆ จะได้มีวัตถุดิบในสมองเวลาเขียนจะได้ลื่นไหลไม่ติดขัดมีความสมจริงในงานเขียน” โซดาแหงนหน้ามองดูหน้าพี่ชายที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ รู้สึกเหมือนจะมีบางประโยคที่คุ้นหูเหมือนเคยได้ยินจากปากคุณผีจอมวุ่นวายเทศนาให้ฟังบ่อย ๆ จู่ ๆ เธอก็หยุดเดินหยิบรูปในกระเป๋าสตางค์ส่งให้พี่ชายดู“พี่เบียร์รู้จักผู้ชายในรูปนี่ไหมคะ เค้าเป็นนักเขียนรึเปล่า”ผีหนุ่มร่างโปร่งใส่ที่เดินตามหลังมาช้า ๆ ได้ยินเข้าถึงกับสะดุ้งรีบก้าวเข้าไปยืนข้างหลังก้มมองข้ามไหล่ของเบียร์ที่ก้มหน้ามองรูปในมือของน้องสาวอย่างพินิจพิจารณา ทั้งโซดาและคุณวิญญาณพเนจรต่างก็ลุ้นคำตอบของพี่เบียร์จนแท
“นายก็พูดได้ซิเพราะตอนนี้นายจำไม่ได้ ถ้าเกิดนายจำได้ว่านายเคยเป็นใคร นายอาจจะเสียใจที่อยู่ลำบากกับฉันอย่างนี้”เขาจะบอกเธอยังไงว่าไม่ใช่คนยุคนี้ ถ้าบอกไปเธออาจถามเลขรางวัลที่1 ซึ่งเขาก็ไม่รู้อีกนั้นแหละ“โธ่! อย่าลืมนะว่าผมเป็นวิญญาณเร่ร่อน เป็นแค่เนื้องอกของโซดา ผมรู้แล้วจะไปทำอะไรได้ แต่การที่ผมได้ใช้ชีวิตแบบนี้ ได้เจอโซดา อยู่กับเบียร์ ได้รู้จักตั้มกับน้ำหวาน ผมว่ามันอาจเป็นของขวัญที่คนบนฟ้ามอบให้ผมก่อนที่ผมจะไปเกิดใหม่ก็ได้ ถ้าเกิดผมจะสลายหายไปวันนี้หรือพรุ่งนี้ ก็ขอให้โซดารู้ว่าทุกเวลาที่ได้อยู่กับโซดาผมมีความสุขมาก ยิ่งได้เห็นโซดาวิ่งตามความฝันผมกลับรู้สึกสุขใจมากกว่า” “นายวุ่นวาย...” “ผมไม่อยากรู้แล้วว่าผมเป็นใคร แต่อยากเห็นโซดาเป็นนักเขียนใหญ่มากกว่า” เขากลับมายิ้มทะเล้น ดวงตาหลังแว่นทรงกลมเป็นประกายจนคนถูกมองต้องหลบตา “งานเสวนาเปิดตัวนักเขียนรุ่นใหม่นี่น่าสนใจนะ เล่มที่โซดาซื้อไปจำได้ไหม จัดที่ร้าน Underground Book ด้วยนะ ” เขาเปลี่ยนเรื่องแล้วชี้นิ้วไปที่จอคอมพ์ โซดาลุกขึ้นเดินกลับไปนั่งที่เดิม ยังแอบเอาทิชชู่เช็ดน้ำตาที่เลอะเทอะใบหน้า
ชายหนุ่มไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดจากฝ่ามือที่มากระทบซีกหน้าอย่างแรงแต่เขากลับปวดร้าวไปทั้งดวงใจ “ใช่...คนอย่างนายตั้มไม่มีวันเทียบพี่ต้องได้เลยแม้แต่ปลายเล็บ” ตั้มพึมพำเผชิญสายตากับหญิงสาว เธอสะบัดหน้าแล้วรีบเดินไปโบกแท็กซี่ที่แล่นผ่านมาจอดพอดี โดยไม่สนใจความรู้สึกของคนที่ยืนอยู่ริมฟุตปาธ และสายตาใครต่อใครที่มองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เบียร์ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ยางรถยนต์ ตกใจกับภาพที่เห็นอย่างไม่คาดคิด เพื่อนหนุ่มหน้าตี่เดินเข้ามาในอู่ท่าทางพลุกพล่านเหมือนระเบิดที่ใกล้เวลาจะปะทุ “ใจเย็นก่อนมีเรื่องอะไรกัน” “ไอ้เบียร์นายเห็นไหม เห็นสิ่งที่เราทำมั้ย ทุกคนสรรเสริญยกยองพี่โตที่เป็นหมอ พี่ต้องที่เป็นวิศวกรแต่คนแสนดีทั้งสองไม่เคยมาช่วยเหลืออะไรครอบครัว แค่เราไม่ได้ร่ำเรียนจบปริญญาเหมือนพวกเขามันทำให้ความเป็นคนลดคุณค่าไปเลยรึไง” “ไอ้ตั้มใจเย็นก่อน” ตั้มหันซ้ายหันขวาเตะกระป๋องน้ำมันที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ ล้มกลิ้งเสียงดังโครมคราม จนลูกน้องในอู่เข้ามามุ่งดู หนุ่มเชื้อจีนเสยผมสั้
วิญญาณหนุ่มร่างโปร่งใสยืนอยู่ใกล้ ๆ เขาทำได้เพียงแค่ยิ้มบางๆ และบันทึกภาพเหตุการณ์และความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลของวันนี้ การได้รู้จักชีวิตของพวกเขาเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกว่ามันเป็นการคุ้มค่า ที่จะได้รู้จักใครสักคนในแง่มุมที่ลึกซึ้ง ยิ่งกว่าการอ่านนิยายเล่มไหน ๆ เพราะนี่คือชีวิตจริง ความเจ็บปวดแท้จริง ๆ ประสบการณ์ตรงที่ไม่มีใครสอนสั่งได้ นอกจากจะเผชิญด้วยตนเอง ในกล่องความทรงจำที่ไม่อาจรู้ได้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า เขาจะจำเหตุการณ์เหล่านี้ได้ไหม เขาถอนแว่นสายตาทรงกลมออก เพ่งมองภาพตรงหน้า เท่านี้ก็พอแล้ว.... เขาไม่อยากรับรู้แล้วว่าก่อนที่เขาจะเหลือเพียงอากาศธาตุเช่นนี้เขาเป็นใคร เขาปล่อยใจคิดถึงดวงตากลมโตของโซดาแล้วเผลอยิ้มออกมา ขอเพียงได้อยู่ใกล้ ๆ ได้เห็นเธอหัวเราะ ร้องไห้ และมุ่งมั่นกับสิ่งที่ฝัน แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่วิญญาณ มันก็พอแล้ว...พอแล้วจริง ๆ เขาชื่นชมกับมิตรภาพที่เห็น คล้ายกับว่าความรู้สึกแบบนี้เคยเกิดขึ้นกับเขามานานแล้ว แต่มันถูกทรยศหักหลัง!! “โอ๊ย!” เขาก็เกิดเจ็บแปลบที่ท้ายทอย เหมือนถูกฟาดด้วยของแข็งอย่างแรง จนไม่อาจควบคุมร่างกายไว้ได้ แข็งข