ซ่งซูหลานเดินตามเด็กตัวจ้อยซึ่งจูงมือนางเอาไว้อย่างงุนงง ในที่สุดทั้งสองก็มายืนจังก้าที่หน้าเรือนหลังโอ่อ่า ทว่าดูเก่าคร่ำคร่าอยู่ทีเดียว นางลดสายตามองหยางเชาด้วยความใคร่รู้
"นี่บ้านของหนูหรือจ๊ะ"
เด็กน้อยส่ายหน้า จากนั้นจึงชี้นิ้วมาที่นาง "บ้านพี่ฉาว แต่ว่าท่านแม่เป็นคนดูแลที่นี่ขอรับ"
ซ่งซูหลานยอบกายนั่งยอง ฝ่ามือยกขึ้นลูบศีรษะเจ้าตัวเล็กด้วยความเอ็นดูยิ่ง ริมฝีปากผลิยิ้มอบอุ่น "นี่จะเป็นบ้านของพี่ได้ยังไง พี่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกเอง"
หยางเชาเอียงคอขณะเดียวกันก็ยกมือเกาแก้ม "พี่ฉาวลืมแล้วหรือ เช่นนั้นเข้าบ้านก่อนดีกว่า ท่านตัวเปียกเพียงนี้คงหนาวแย่แล้ว"
ซ่งซูหลานกะพริบตาถี่ นางกวาดสายตามองเรือนร่างที่เปียกชุ่มโชกของตน พร้อมกับเสื้อผ้าสีซีดมีรอยปะชุน หนำซ้ำยังราวกับสตรีหลงยุค จะว่าไปแล้วเด็กน้อยก็แต่งกายไม่ต่างจากนางเช่นกัน ซ้ำภาษาที่เอ่ยยังดูแปลกพิกล
ซ่งซูหลานใจเต้นระรัว เริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล นางคงไม่ได้เจอกับเรื่องอัศจรรย์พันลึกใดใช่หรือไม่ เดิมทีซ่งซูหลานทำการทดลองอยู่ที่ห้องแล็บในบ้านของตนเอง เหตุใดจึงมาโผล่ที่ไม่คุ้นตาเช่นนี้ได้กัน
ทว่าเมื่อนางมองผ่านความอนธการซึ่งมีเพียงแสงจากดวงจันทราที่สาดสะท้อนให้ความสว่าง นัยน์ตาดอกท้อก็พลันเปิดกว้างด้วยความตื่นตะลึง
นี่มันต้นสนหน้าบ้านเราไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมาโผล่ที่นี่ได้!
เพราะไม้ยืนต้นขนาดใหญ่นี้ถึงแม้อายุหลายร้อยปีทว่าลักษณะกลับไม่ได้แตกต่างจากหน้าบ้านของนางเลย ซ่งซูหลานผู้นี้หาใช่คุณหนูรองคนเดิม ทว่านางคือนักศึกษาคนหนึ่งที่มาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด เมื่อซ่งซูหลานฉุกนึกได้ดังนั้นนางจึงเร่งสับเท้าเป็นระวิงมายืนอยู่เบื้องหน้าสนต้นสูง
ต้นไม้คล้ายกันไม่ผิดเพี้ยน ทว่าบริเวณแห่งนี้กลับมีของเซ่นไหว้ซึ่งนางมิใช่คนทำเป็นแน่แท้ เมื่อหันหลังกลับไปมอง ก็พบกับเรือนทรงโบราณขณะเดียวกันบ้านของตนกลับซ้อนทับขึ้นดุจภาพสามมิติ ซ่งซูหลานซวนเซเล็กน้อยพลันยกมือกุมขมับ
"อย่าบอกนะว่า...เราข้ามมิติเข้ามายังโลกในสมัยโบราณ!"
ซ่งซูหลานยืนตัวแข็งทื่อประดุจดินปั้นไม้แกะสลัก เด็กน้อยวิ่งเตาะแตะเข้ามาหานางพร้อมทั้งเขย่าแขน "พี่ฉาว พี่ฉาวเป็นอะไรขอรับ"
ซ่งซูหลานยอบกายลง จากนั้นเอ่ยถามด้วยความประหม่า "เอ่อ...หนูจ๊ะ พี่ถามอะไรหน่อยได้ไหม พี่มีชื่อว่าอะไร แล้วตอนนี้เวลาไหนคะ"
หยางเชาทำหน้างุนงง ซ่งซูหลานทราบได้ทันทีว่าเพราะเหตุใด นางกระแอมหนหนึ่ง จากนั้นกล่าวถามใหม่ "คือว่า...นี่ยามใดแล้วหรือ"
หยางเชายิ้มแฉ่ง เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามราตรีพลางขบคิด แล้วจึงเหลียวกลับมาตอบคำถาม "ข้าก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าใด แต่โดยปกติพี่ฉาวเป็นคนสอนข้ามองดูโมงยาม ท่านอยากทดสอบข้างั้นหรือ อือ...นี่น่าจะเข้ายามฮ่าย [1] แล้วขอรับ"
ซ่งซูหลานขมวดคิ้ว นางยกนิ้วขึ้นนับเวลา เพราะเคยได้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์มาบ้าง นางจึงพอทราบเรื่องการนับโมงยามของบรรพบุรุษสมัยก่อน
"นะ...นี่มันเวลาเดียวกันกับช่วงที่เรากำลังทดลองเลยนี่ อย่าบอกว่าดินประสิวระเบิดใส่เรา จากนั้นดวงวิญญาณเลยมาติดอยู่ที่นี่ แต่ว่าทำไมเราจึงมีความรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ หากเป็นดวงวิญญาณจริง เราจะมีความรู้สึกได้ยังไง หรือฝัน กำลังฝันแน่ ๆ ซูหลาน!"
เด็กน้อยมองซ่งซูหลานคุยกับตนเองเฉกเช่นคนเสียสติ หรือนางจมน้ำจนเลอะเลือนไปชั่วขณะ มือน้อยกระตุกแขนเสื้อที่ยังเปียกปอนอีกหน "พี่ฉาว พี่ฉาว รีบเข้าบ้านเถอะนะขอรับ อากาศยามค่ำเย็นมาก เดี๋ยวจะไม่ชาบายเอาได้"
ซ่งซูหลานหลุดจากภวังค์ ไม่น่าเชื่อว่านางกำลังทะลุมิติเข้ามาในช่วงยุคโบราณเข้าจริง ๆ หนำซ้ำยังอาศัยทับที่บ้านหลังปัจจุบันของตนเสียด้วย "เด็กน้อย เจ้ามีนามว่าอะไรหรือ แล้วข้ามีนามว่าอะไร"
"ว้า...พี่ฉาวถูกท่านแม่ใช้งานหนักจนกลายเป็นคนชาติเลอะเลือนเชียวหรือนี่" มือน้อย ๆ เอื้อมมายังเบื้องหน้า จากนั้นจึงใช้หลังมืออังบริเวณหน้าผากนูนเด่น
หยางเชาทำตาโต อ้าปากหวอ "โอ้...พี่ฉาวไม่ชาบายนี่เอง ไปเถอะขอรับ ไว้เดี๋ยวข้าจะบอกท่านอีกที ตอนนี้ต้องไปผลัดผ้าทานข้าวและทานยาก่อนนะขอรับ"
ซ่งซูหลานไม่อยากรบเร้าต่อ ขาเรียวเดินตามเด็กตัวเล็กอย่างว่าง่าย เด็กน้อยดันกายของนางเข้าไปยังห้องใต้บันได ทั้งที่บ้านหลังนี้ออกใหญ่โต เหตุใดที่พักจึงคับแคบนัก กระนั้นยังมีกลิ่นหอมจาง ๆ ลอยปะทะโสตประสาทให้ได้รู้สึกผ่อนคลาย เกรงว่าเจ้าของห้องเดิมคงรักสะอาดอยู่ไม่น้อย
^亥时 (haìshí | ยามฮ่าย) - 21:00 - 23:00 เดิมเรียก 人定 (réndìng | คนนิ่ง)
หยางเชายื่นโคมไฟให้นาง ซ่งซูหลานรับมาแบบงง ๆ จากนั้นจึงใช้สำรวจบรรยากาศโดยรอบ ด้านในมีโต๊ะเครื่องแป้งทำจากไม้สักเก่าซีด ส่วนเสื้อผ้าถูกแยกไว้เป็นสัดส่วน ที่มีกลิ่นหอมสดชื่นคงเพราะเหล่าถุงหอมที่วางพะเนินกองกันนี้จึงส่งผลให้การอาศัยอยู่ห้องใต้บันไดมิได้แย่เท่าใด ซ่งซูหลานกวาดสายตามองเสื้อผ้าในยุคโบราณด้วยความตื่นเต้น ถึงจะเก่าไปบ้างแต่ทว่ากลับมีบางตัวที่ยังดูสะอาดและใหม่เอี่ยมทีเดียว นางจึงตัดสินใจหยิบชุดนั้นขึ้นทาบบนกายของตน"พอดีเป๊ะเลย"หยางเชาเข้ามาด้านในพร้อมถ้วยอาหารสองสามอย่าง จากนั้นจึงวางลงบนโต๊ะข้างหัวเตียง ซ่งซูหลานผินหน้ามองตามอีกฝ่ายด้วยความสนใจ คาดไม่ถึงว่าเด็กตัวกะเปี๊ยกจะสามารถช่วยเหลือและปรนนิบัติผู้อื่นได้อย่างคล่องแคล่วเพียงนี้"พี่ฉาว ท่านจะฉวมชุดนี้หรือขอรับ เดิมทีท่านเคยบอกว่าไม่กล้าหยิบมาใช้ เพราะท่านต้องทำงานบ้านทุกวัน เกรงว่าจะเปื้อนเอาได้ เพราะเป็นอาภรณ์ตัวเดียวที่ท่านแม่ของท่านทิ้งเอาไว้ให้ดูต่างหน้า"ซ่งซูหลานส่งยิ้ม นางไม่รู้เช่นกันว่าตอนนี้ตนคือผู้ใด และอยู่ในสถานะไหนของบ้านหลังนี้ ในเมื่อไม่อาจหลีกหนีโชคชะตา เช่นนั้นก็คงต้องปล่อยเรือตามน้ำไปก่อน"ถ้างั้นวั
"ฝ่าบาทองค์รัชทายาทถูกลอบสังหารระหว่างงานล่าสัตว์ ยามนี้องครักษ์ทุกหน่วยออกค้นหาทว่ากลับไร้ร่องรอย เกรงว่า..." องครักษ์ม้าเร็วกล่าวรายงาน ฮ่องเต้แห่งแคว้นฮุ่ยเหอดีดกายขึ้นยืนจากบัลลังก์มังกร ม่านมุกสะบัดแกว่งไปตามองศาการขยับไหว บรรดาขุนนางซ้ายขวาต่างก้มหน้างุดเมื่ออารมณ์ผู้เป็นนายกราดเกรี้ยวจนแทบเผาผลาญท้องพระโรง"พวกเจ้าดูแลรัชทายาทอย่างไร! แล้วองค์ชายทั้งสองเล่า" นัยน์ตาที่ทอดมองเบื้องล่างขมึงทึง "ทูลฝ่าบาท องค์ชายสามปลอดภัย ทว่ามีเพียงองค์ชายใหญ่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เพราะว่าทั้งสองพระองค์ไล่ล่าพญาอินทรีเพลิงไปยังเส้นทางเดียวกัน เพียงแต่องค์รัชทายาทถูกไล่ต้อนและเป็นเป้าหมายของมือสังหาร จึงทำให้พระองค์พลัดหลงไปโดยลำพังพ่ะย่ะค่ะ" "บัดซบ!" ขุนนางในท้องพระโรงล้วนสะดุ้งโหยง"เจ้า!" ฮ่องเต้กู้ฮ่าวเทียนชี้ปลายนิ้วไปยังองครักษ์ม้าเร็ว"พ่ะย่ะค่ะ" "เร่งกลับไปแจ้งทางลานพิธีให้พาองค์ชายทั้งสองกลับมาโดยเร็ว ส่วนเรื่องรัชทายาท มอบหน้าที่ให้องครักษ์เย่เป็นฝ่ายจัดการ รวบรวมกำลังพลให้มากที่สุด รอดต้องเจอตัว ตายต้องพบศพ" "พ่ะย่ะค่ะ" ชายร่างกำยำในชุดเกราะเร่งสะบัดกายจากไปทันควัน เดิมทีท้องพระ
"คุณหนู นี่ท่านคิดเช่นไรจึงลุกขึ้นมาแต่งหน้าแต่งกายเยี่ยงนี้"ซ่งซูหลานช้อนตามองอีกฝ่าย ตะเกียบยกค้างกลางอากาศ นางเหลียวมองหน้าหยางเชาแวบหนึ่ง จากนั้นเอื้อมมือปาดเศษอาหารที่เกาะขอบปากหยางเชาออก เด็กน้อยคลี่ยิ้มอวดเหงือกชมพู ลี่ถังมองท่าทีราวหูทวนลมของนางก็พลอยหงุดหงิด"นะ...นี่ ท่านไม่ได้ยินที่ข้าพูดรึ""คุณแม่บ้าน จะเสียงดังทำไมคะ" ซ่งซูหลานถอนหายใจ นางวางตะเกียบในมือลงตั้งแต่ตะวันยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า ห้องที่นางใช้หลับนอนก็ถูกเคาะเรียกเสียงดังสนั่น เมื่อตกตะกอนความคิดเรื่องที่หยางเชาเล่าให้ฟัง นางจึงพอทำใจและปะติดปะต่อเรื่องราวได้บ้างแล้ว แม้ความจริงอาจยอมรับได้ยากว่าซ่งซูหลานนั้นข้ามมิติเข้ามายังอีกศตวรรษให้หลังจริง ๆ คิดเสียว่าบ้านหลังนี้ก็คือบ้านในอดีตของตนก็แล้วกัน"พูดจาไม่รู้ความสักนิด กลับดึกกลับดื่นจนกลายเป็นคนวิปลาสเชียวรึ เสื้อผ้าก็ทิ้งเกลื่อนอยู่ริมลำธาร เหอะ!" ลี่ถังค้อนควักซ่งซูหลานยิ้มเยาะ พลางยกแขนทั้งสองขึ้นกอดอก "ผู้ใดกันแน่วิปลาส เอาล่ะ ๆ เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามสินะ"ลี่ถังโมโหแทบประสาทเสีย "นะ...นี่ ๆ ไยท่านจึงปีกกล้าขาแข็งขึ้น เถียงคำไม่ตกฟาก""เหอะ...ประส
"แม่บ้านลี่เราต้องไปตักน้ำเช่นนี้ตลอดเลยหรือ" ซ่งซูหลานเอ่ยถาม เสียงหอบหายใจดังเป็นระยะ พวกนางกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่เกือบเท่าตัวซึ่งตักน้ำมาเกินครึ่งเพื่อเติมให้เต็มอ่างของที่บ้านในทุก ๆ วัน หนำซ้ำระยะทางก็สุดแสนทรหด "เจ้าค่ะ...คุณหนู หากท่านไม่ไหวก็ไปพักเถิด ที่เหลือข้าทำเอง" นับตั้งแต่พวกนางได้เปิดใจคุยกันครั้งแรก นิสัยและอารมณ์ของลี่ถังก็เปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือราวแผ่นฟ้าพลิกกลับ "เอ่อ...ไม่ดีกว่า ไหน ๆ ก็อาศัยชายคาเดียวกันอยู่ จะให้ท่านทำคนเดียวได้อย่างไร" ซ่งซูหลานส่งยิ้มละไม ความรู้สึกกระดากอายพลันโหมกระหน่ำเข้ามากระทบจิตใจของลี่ถังดุจเกลียวคลื่น นางเคี่ยวเข็ญซ่งซูหลานให้โหมงานอย่างหนักมาโดยตลอด แม้แต่ความห่วงใยก็ยังมิเคยปริปากถามไถ่อีกฝ่ายด้วยซ้ำ ดีแต่พูดจากระทบกระเทียบอีกทั้งยังให้นางกินอาหารคุณภาพต่ำ อยู่ห้องแสนอับชื้นขณะที่บ้านหลังนี้ออกจะใหญ่โต ทว่าลี่ถังจำใจต้องทำเช่นนั้นจริง ๆ หาไม่แล้วหากฮูหยินรองจับได้ขึ้นมา เงินสักอีแปะนางก็คงไม่ได้รับแน่แท้ ยามนี้ลี่ถังมิสนใจแล้ว ต่อให้ต้องกัดก้อนเกลือกินก็ตาม นางจะไม่ยินยอมกลับไปเป็นพวกไร้มโนธรรมนั่นอีกเป็นอันขาด นางเลี้ยงดู
ซ่งซูหลานอุ้มหยางเชาไปส่งด้านใน จากนั้นจึงออกมาสนทนากับลี่ถัง"แม่บ้านลี่""เจ้าคะ""ป่าไผ่แห่งนี้มีเจ้าของหรือไม่"ลี่ถังกะพริบตาถี่ "เดิมทีก็ไม่มีหรอกเจ้าค่ะ ทว่าไม่นานมานี้นายท่านกว้านซื้อพื้นที่บริเวณนี้ไว้หมดแล้ว ป่าไผ่รกร้างพวกนั้นไม่ค่อยมีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ ก็คงนับว่าอยู่ในเขตพื้นที่ของนายท่านด้วยกระมัง เอ่อ...ว่าแต่ คุณหนูลืมหรือเจ้าคะ"ซ่งซูหลานส่งยิ้มฝืดฝืน "เปล่า ๆ ข้าถามดูเฉย ๆ เอาอย่างนี้แล้วกัน ไหน ๆ ต้นไผ่พวกนั้นก็มีมากโข ข้าตัดมาใช้งานสักต้นสองต้นคงไม่เสียหายกระมัง""ย่อมได้แน่นอน ว่าแต่คุณหนูจะทำอะไรหรือเจ้าคะ"คิ้วสวยยึกยักขึ้นลงสองสามครา ลี่ถังถึงกับยกมือขึ้นทาบอก "คุณหนู ท่านเป็นสตรีไยทำท่าทางเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ ไม่งามเอาเสียเลย"ซ่งซูหลานขำพรืด "โถแม่บ้านลี่ หัวโบราณนัก""หา...ก็...""เอาล่ะ ๆ ต่อไปไม่ทำแล้ว ไม่ทำแล้ว พอใจหรือยัง"ลี่ถังตอบรับเสียงค่อย "เจ้าค่ะ หากท่านทำกิริยาเมื่อครู่ แล้วอยู่ ๆ นายท่านเรียกตัวกลับ นิสัยม้าดีดกะโหลกเช่นนี้ ข้าต้องหลังลายเป็นแน่""แหม ที่แท้ก็กลัวหลังลาย จากที่ข้ารู้มาบิดาของข้าเกลียดข้าจะตายไป ชาตินี้ข้าคงไม่ได้กลับไปตระกูลซ่งนั่นอ
ย่ำรุ่งก่อนตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า ซ่งซูหลานและลี่ถังตื่นขึ้นมาเพื่อจัดระเบียบเรือนให้ดูสะอาดตา เดิมทีสภาพแวดล้อมของที่นี่น่าอยู่และเรียบร้อยยิ่ง ทว่ายังขาดการดูแลรักษาเพียงหน่อยเดียว ส่วนเด็กทั้งสองยังนอนฝันหวานอยู่ด้านใน เรือนนี้โอ่อ่ามากเกินไปสำหรับสตรีสองนางกับเด็กตัวเล็กจริง ๆ มองไปมุมใดล้วนดูบางตาไม่น่าอบอุ่น "คุณหนู ข้าจะออกไปตลาดครู่หนึ่ง ท่านต้องการสิ่งใดหรือไม่" ซ่งซูหลานครุ่นคิด "อืม...เช่นนั้นที่ตลาดของยุคนี้ เอ่อ...ไม่ใช่สิ ที่ตลาดมียางรักหรือไม่" "ยางรัก หมายถึงสิ่งใดเจ้าคะ" ลี่ถังงุนงง "เดิมทีเวลาที่เราทำเครื่องใช้ตกแต่งบ้านจะต้องมีการเคลือบหรือลงสีเพื่อความสวยงามอีกทั้งยังรักษาสภาพให้คงทน ยางรักคือน้ำยางที่เก็บได้จากไม้ประเภทยืนต้น หากข้าเก็บเองกว่าจะได้ลงมือทำเครื่องใช้คงต้องรอหลายวันนัก เช่นนั้นเจ้าลองไปสอบถามร้านที่ขายเก้าอี้ โต๊ะ ตู้ พวกนี้ดูได้หรือไม่" ลี่ถังพยักหน้า "ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นฝากท่านดูแลเด็ก ๆ ก่อนนะเจ้าคะ แล้วข้าจะรีบกลับ" ซ่งซูหลานส่งยิ้มละไม "ได้สิ ไม่ต้องเป็นห่วง ตลาดไกลหรือไม่" "ไม่ไกลมากเจ้าค่ะ ไม่เกินหนึ่งชั่วยามข้าจะรีบกลับนะเจ้าคะ" "โอเค"
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา ลี่ถังเดินถือตะกร้าผักและเนื้อสัตว์ที่มีเพียงหยิบมือเดียวเข้ามาด้านใน เดิมทีนางไม่ค่อยออกไปจ่ายตลาดและซื้อของดี ๆ กลับมาเท่าใดนัก ด้วยเพราะงบที่มีจำกัด"อาเชา ได้ทีเจ้าเอาใหญ่เชียวนะ" ลี่ถังหยอกล้อหยางเชารีบสับเท้าไปยืนขนาบข้างร่างบอบบาง กระตุกชายเสื้ออีกฝ่ายยิก ๆ ราวต้องการความช่วยเหลือซ่งซูหลานหัวเราะร่วน "เอาน่าแม่บ้านลี่ เด็กน้อยก็พูดไปตามประสามิใช่หรือ"ลี่ถังยิ้มและส่ายศีรษะ "คุณหนู ข้าเห็นท่านเตรียมอุปกรณ์เข้าป่า ต้องการทำสิ่งใดหรือ ให้ข้าช่วยท่านหรือไม่"ซ่งซูหลานมองเด็กน้อยบนอ้อมแขนก็พลอยส่ายศีรษะ "ไม่ต้องหรอก ท่านอยู่ดูลูกน้อยเถิด จัดแจงที่นี่ให้เรียบร้อยน่าอยู่ก็พอ เรื่องนั้นข้าจัดการเองได้ สบายมาก""พี่ฉาวข้าไปด้วย"ชายเสื้อของนางยังคงกระตุกไม่หยุด ซ่งซูหลานลดมองหยางเชา พลางวกสายตากลับไปยังลี่ถังเพื่อเป็นเชิงขออนุญาต ลี่ถังผ่อนหายใจ นางพยักหน้าตอบรับลี่ถัง "อาเชา หากเจ้าติดตามคุณหนูเข้าไปในป่าก็อย่าซนเดินเล่นสุ่มสี่สุ่มห้าเล่า อย่าสร้างความลำบากใจให้คุณหนู"เด็กน้อยแย้มยิ้มลิงโลด "อาเชาเข้าใจแล้วขอรับ อาเชาจะไม่ดื้อ ไม่ชน""เช่นนั้นข้าจะทำอาหารให้กิน
"คุณหนู ท่านพาใครมาเจ้าคะ ท่าทางเฉกเช่นคนไร้บ้าน เขายังมีลมหายใจอยู่แน่หรือ" ลี่ถังกะพริบตาถี่ มองหน้าบุรุษที่นอนสลบไสลเนื้อตัวเปื้อนเขรอะ ร่างกายมอซอจนดูไม่จืดซ่งซูหลานสบดวงตากับหยางเชา "ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ว่าเห็นคนใกล้ตายอยู่ตรงหน้า ก็มิอาจใจจืดใจดำลง""นั่นฉิท่านแม่ พี่ฉาวไปเจอพี่ชายท่านนี้นอนเล่นอยู่ในป่า""หา...นอนเล่น อาเชาพูดอันใดของเจ้า หากนอนเล่นเขาจะอยู่ในสภาพนี้รึ" ลี่ถังเอ็ดบุตรชายของตนไปหนึ่งครั้ง จากนั้นจึงผินหน้ากลับเพื่อมองซ่งซูหลาน"บุรุษตัวโตเพียงนี้ เขาคงมิใช่โจรป่ากระมัง หากไม่ทำความผิดคงไม่บาดเจ็บร่อแร่ขนาดนี้"ทั้งสองก้มหน้างุดประดุจกำลังถูกมารดาสั่งสอน ตามที่ลี่ถังเอ่ยก็จริงอยู่ เนื่องจากซ่งซูหลานอยากเข้าไปตัดต้นไผ่เพื่อทำกังหันลมเพื่อช่วยในการลำเลียงน้ำมาไว้ใช้ในเรือน คาดไม่ถึงภารกิจยังไม่แล้วเสร็จก็พบเข้ากับชายปริศนานอนบาดเจ็บจมกองโลหิต จากต้องทำกังหันลมก็ได้มานั่งทำรถลากเพื่อเข็นตัวของเขาออกจากป่าแทนเสียได้"ขออภัยแม่บ้านลี่ คือ... ข้าเองก็จนใจ เห็นคนขอความช่วยเหลืออยู่เบื้องหน้าไ
ซ่งซูหลานเดินทางมาจนถึงตำบลเลี่ยงหลินแล้ว นางมิได้ให้รถม้าไปส่งจนถึงจวนทว่าเพียงต้องการเดินชมท้องตลาดดูก่อน บางทีอาจได้อะไรติดมือไปฝากลี่ถังและเด็ก ๆ ร่างบอบบางในอาภรณ์บุรุษเดินสอดส่ายสายตาไม่นานก็พบกับทหารกลุ่มหนึ่ง และชาวบ้านที่เรียงแถวกันเป็นระเบียบ บางคนถือข้าวสาร บางคนถือถุงเงินด้วยสีหน้าเศร้าสลดซ่งซูหลานเกิดความใคร่รู้จึงสาวเท้าเข้าไปกระซิบถามผู้ที่อยู่หางแถว "พี่ชาย เหตุใดชาวบ้านจึงถืออาหารแห้งพวกนี้มายืนเรียงแถวกันเล่า"ชายหนุ่มร่างกายผ่ายผอม สูงกว่านางครึ่งช่วงหัวกระซิบตอบ "น้องชาย เจ้าไม่ได้อยู่ตำบลเลี่ยงหลินสิท่า หลายปีมาแล้วตำบลเลี่ยงหลินแห้งแล้งนัก การช่วยเหลือก็มีเพียงหยิบมือ ยามนี้ข้าวยากหมากแพง เข้าสู่ช่วงสงคราม เห็นว่ากองกำลังทหารขององค์รัชทายาทมาลาดตระเวน จำต้องให้ชาวบ้านส่งมอบส่วย หากใครมีเงินไม่มากพอก็ต้องไปรื้อค้นบ้านช่องเพื่อนำอาหารแห้งมาสมทบอย่างไรเล่า เฮ้อ...เดิมทีพวกข้าก็อดอยากใกล้ตายกันอยู่แล้ว คาดไม่ถึงว่ารัชทายาทจะเป็นเช่นนี้""หา...มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน" ซ่งซูหลานครุ่นคิดเรื่องน
"ข้าให้เจ้ารับไปสิ นั่นมันสกปรกแล้วกินไม่ได้"เด็กชายช้อนตาขึ้น ก็พบกับเด็กผู้หญิงแต่งกายมอซอ ทว่าใบหน้าเปื้อนเปรอะกระนั้นกลับดูจิ้มลิ้มน่ารัก ริมฝีปากบางส่งยิ้มแฉ่งพลางยื่นถังหูลู่แบ่งให้เขาโดยไม่คิดเสียดาย เจ้าผลสีแดงเคลือบน้ำตาลแวววาวยังไม่พร่องสักลูกเดียวด้วยซ้ำจากวันนั้นกู้เจียฮ่านเฝ้าติดตามหานางมาโดยตลอด ผิดที่เขาปากหนักไม่ยอมเอ่ยถามกระทั่งชื่อแซ่ เหลียวหน้าขึ้นอีกคราเด็กหญิงตัวเล็กก็หายลับตาไปท่ามกลางฝูงชนเสียแล้วเขาได้แต่นึกสมน้ำหน้าตัวเองในใจ ที่ปล่อยอีกฝ่ายไปโดยไม่คิดทำสิ่งใดเลย แม้แต่คำขอบคุณก็ยังไม่ทันได้เอ่ย คาดไม่ถึงว่าอยู่ ๆ เด็กคนนั้นที่เขาเฝ้าตามหาจะปรากฏกายอีกครั้ง ทว่าน่าเสียดายยิ่งที่เขาได้พบนางในสถานะพี่สะใภ้ เขาไม่อาจยื้อแย่งนางมาจากกู้หย่งเฟิงได้ แต่เขายังสามารถช่วยเหลือและปกป้องนางได้ อย่างน้อย ๆ เขาก็ได้พบนางอีกหน ซ้ำยังได้เห็นรอยยิ้มที่เฝ้าคะนึงถึงก็นับว่าคุ้มค่าแล้วนัยน์ตาดอกท้อแหงนมองอีกฝ่ายตาปริบ ๆเหตุใดเขาต้องช่วยข้า"พี่สะใภ้ ท่านจะไปที่ใดเล่ากลับจวนสกุลซ่งหรือ"ซ่งซูห
กลางดึกอันเงียบสงัดมีเพียงเสียงลมหายใจที่ดังเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ ซ่งซูหลานเปิดปรือเปลือกตาขึ้นด้วยอาการอ่อนล้านางเหลียวมองบุรุษข้างกายที่ยามนี้หลับสนิทเพราะใช้พละกำลังไปจนหมดสิ้น แขนแกร่งพาดวางกกกอดเอวคอดเปลือยเปล่าไว้แน่นประดุจกลัวอีกฝ่ายจะหายตัวไปร่างบอบบางขยับกายเนิบนาบ ทั่วสรรพางค์ร้าวระบมไปเสียหมด ซ่งซูหลานหยัดกายขึ้นด้วยความระมัดระวัง ค่อย ๆ หยิบแขนแกร่งออกให้พ้นตัวหนักชะมัดยามเขาหลับเช่นนี้ช่างดูหล่อเหลาไร้พิษสงเหมาะสมกับการเป็นโอรสแห่งสวรรค์ ทว่าสิ่งที่เขาเพิ่งกระทำกับนางไปไม่นานกลับเฉกเช่นจอมปีศาจแสนดุร้าย ซ่งซูหลานโกรธเขา อยากจะบดขยี้อีกฝ่ายให้เจ็บปวดเช่นเขาทำกับนาง ทว่าซ่งซูหลานมิอาจหลีกหนีความเป็นจริงที่ว่า นางรักเขา!เท้าเรียวหย่อนลงเบื้องล่าง ซ่งซูหลานสูดหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกความเข้มแข็ง หยาดน้ำตาที่เอ่อคลอถูกปัดทิ้งไปเอาเถิดซูหลาน กลับไปตั้งหลักก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันไม่นานสตรีร่างบอบบางก็พลันอยู่ในอาภรณ์บุรุษสีเข้มทะมัดทะแมง เพราะซ่งซูหลานอาศัยอยู่ที่ตำหนักรั
ไยเขาจึงกระทำรุนแรงกับนางนัก กำปั้นน้อย ๆ พยายามทุบตีผลักไสกระนั้นดุจดั่งมดขย่มต้นไม้ใหญ่เขาไม่สะทกสะท้านสักนิด หนำซ้ำยังยึดแขนทั้งสองด้านของนางเอาไว้เหนือศีรษะ ร่างกำยำโถมเข้าหากายบอบบางจนต้องเอนราบลู่ลงบนฟูกนอนอื้อ...ซ่งซูหลานหอบกระชั้น ลิ้นด้านในกระหวัดเกี่ยวดูดกลืนลมหายใจนางไปแทบหมดสิ้นเขาเป็นบ้าใดกัน!นางก่นด่าเขาในใจ โพรงปากชุ่มฉ่ำถูกเขาย่ำยีเสียจนเจ็บปวด ฟันเรียงสวยกัดลิ้นที่ดื้อดึงด้วยความกรุ่นโกรธ"โอ๊ย!"กู้หย่งเฟิงผละห่างทันควัน นัยน์ตาคมเข้มเขม้นมองด้วยความเคียดขึง เสียงทุ้มแหบพร่าเย็นเยียบ "หลานเอ๋อร์ เจ้ากำลังทำอะไร ที่เป็นแบบนี้เพราะบุรุษอื่นงั้นหรือ"ซ่งซูหลานโมโหจนตัวสั่นเทา หยาดน้ำตาปริ่มรื้นคั่งค้างบริเวณขอบตาเพียะ!ซ่งซูหลานตวัดมือตบเขาเสียจนหน้าหัน "ท่านเป็นบ้าอะไรกันแน่ ข้าน่ะหรือมีชายอื่น มีแต่ท่านที่ยามนี้กำลังใกล้ชิดกับสตรีนางอื่น ท่านไม่แยแสข้าสักนิด ข้ามีค่าแค่เพียงยามค่ำคืนงั้นหรือ คนโลเล!"กู้หย่งเฟิงหลับตาลงเพื่อระงับอารมณ์ ทว่าเขาไม่อาจทานทนสิ่งที่กำลังหมุนเวียนในกระแสโล
"พี่รอง..." กู้เจียฮ่านเอ่ยทักทว่ากู้หย่งเฟิงตวัดเพียงหางตามองเขา ซ้ำยังไม่ตอบกลับ จากนั้นคว้าหมับไปที่ต้นแขนของซ่งซูหลาน เขาแบกสตรีร่างบางขึ้นบนบ่าด้วยสีหน้าและดวงตาแดงก่ำซ่งซูหลานตะลึงลานเบิกตากว้าง "อ๊ะ!...ท่านทำอะไร ปล่อยข้าลงนะ"ขาเล็กดีดไปมากลางอากาศ เย่จงเทียน เฉินซู่ และกู้เจียฮ่านต่างจดจ้องภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าด้วยอารมณ์แตกต่างกัน เย่จงเทียนเหลียวมองกู้เจียฮ่านแล้วจึงค้อมศีรษะลง "องค์ชายสาม"กู้หย่งเฟิงแบกซ่งซูหลานเดินห่างออกไปแล้ว กู้เจียฮ่านผินหน้าถาม "เกิดอะไรขึ้น"เย่จงเทียนกระอักกระอ่วน"เอ่อ...เมื่อครู่รัชทายาททรงงานอยู่ จากนั้นกระหม่อมได้ยินเสียงถ้วยชาแตก คุณหนูเจี่ยนั่งตัวสั่นร่ำไห้พักใหญ่ ดูเหมือนองค์รัชทายาทควบคุมสติของตนไม่อยู่ จากนั้นวิ่งเตลิดมาหาพระชายาพ่ะย่ะค่ะ"กู้เจียฮ่านหรี่นัยน์ตามองตามพวกเขาทั้งสองที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ ขาเล็กดีดดิ้นขัดขืน เขาอยากวิ่งเข้าไปช่วยซ่งซูหลานแต่ดูเหมือนเรื่องสามีภรรยาคนนอกเช่นเขามิอาจก้าวก่าย กู้เจียฮ่านผ่อนหายใจแผ่วคิ้วเข้มขมวดมุ่น แขนแกร่งยกขึ้
บทสนทนาที่นางได้ยินช่างคลุมเครือยิ่ง ซ่งซูหลานและกู้หย่งเฟิงหารู้ไม่ว่าเจี่ยอีหนิงลอบเห็นนางมาสักพักแล้ว เมื่อซ่งซูหลานมุ่งหน้ามาทางนี้ อีกฝ่ายจึงแสร้งแขนขาอ่อนเปลี้ยเพื่อให้กู้หย่งเฟิงรับตนเอาไว้ หนำซ้ำยังสาดชาร้อน ๆ เสียจนอาภรณ์ตัวที่สองซึ่งเพิ่งผลัดเปลี่ยนไม่นานเปรอะเปื้อนอีกหนซ่งซูหลานไม่อาจทนเห็นภาพบาดตาได้อีกต่อไป นางเดินดุ่ม ๆ ไปยังสระสัตตบงกชโดยไม่ได้เข้าไปด้านในดังที่ตนมาดมั่นแต่คราแรก จากนั้นขว้างกล้องส่องทางไกลที่ห้อยติดคอทิ้งลงน้ำเพื่อระบายโทสะอย่างไม่ไยดีเฉินซู่เบิกตากว้าง "พระชายาโยนทิ้งทำไมเพคะ มิใช่กว่าท่านจะทำมันได้""ช่างมัน! ข้าว่าคงไม่จำเป็นแล้ว ทุกอย่างชัดเจนเพียงนี้" กระบอกตาคู่งามร้อนรื้นแดงก่ำ ซ่งซูหลานคว้ากล้องอีกตัวมาจากมือของเฉินซู่ หมายปาลงน้ำทิ้งให้หมด ทว่าเสียงทุ้มกลับดังขึ้นจากทางเบื้องหลังเสียก่อน"ผู้ใดรังแกพี่สะใภ้ให้ต้องเดือดดาลปานนี้หรือ"ซ่งซูหลานหมุนกายเนิบช้า พร้อมกับมือที่ยังชูง้างกลางอากาศอยู่เช่นนั้น บุรุษร่างสูงเยื้องย่างเข้าใกล้สตรีร่างเล็ก เขามองสิ่งที่ซ่งซูหลานเตรียมเขวี้ยงออกไปด้วยความสนใจใคร่รู้
ซ่งซูหลานลอบส่องห้องทรงงานของรัชทายาทด้วยความใคร่รู้ เหตุใดพ่อลูกคู่นี้จึงได้แวะเวียนเข้ามาทุกวัน กระนั้นวันนี้นางเห็นผู้เป็นบิดาออกจากห้องไปด้านนอก ท่าทางเร่งร้อนคล้ายจงใจนัก"มาอีกแล้ว คราวนี้ปล่อยให้ลูกสาวตัวเองอยู่กับสวามีข้าสองต่อสองเชียวรึ" มือเรียวยกกล้องส่องทางไกลที่ตนประดิษฐ์ขึ้นมาหมาด ๆ สอดส่ายสายตาสำรวจอย่างถ้วนทั่ว อุปกรณ์ชิ้นนี้จะทำให้นางสามารถจับพิรุธสวามีได้อย่างดียิ่ง ร่างบอบบางชะเง้อมองข้างต้นไม้ใหญ่ เบื้องหลังมีสาวใช้ข้างกายยืนเป็นลูกคู่ ทว่าท่าทีของนางยังคงงุ่นง่านกับสิ่งประดิษฐ์ในมือพลางเกาแก้มเกาหัวด้วยความฉงน"เฉินซู่เจ้าเห็นอะไรหรือไม่"ซ่งซูหลานเหลียวมองสาวใช้ของตนกำลังยกกล้องส่องทางไกลขึ้นด้วยท่าทีเงอะงะ "พระชายาหม่อมฉันมองไม่เห็นอะไรเลยเพคะ มืดไปหมด"ซ่งซูหลานยกมือกุมขมับ "เจ้าทำอะไร ผิดด้านแล้ว"นางช่วยหันด้านที่ถูกต้องให้สาวใช้ข้างกาย เฉินซู่ยิ้มแหย "ขอประทานอภัยเพคะ"คลาดสายตาครู่เดียวด้านในห้องก็หลงเหลือเพียงกู้หย่งเฟิงกับเจี่ยอีหนิงเสียแล้ว ซ่งซูหลานกระฟัดกระเฟียด "จงเทียนไปไหน!"&n
"เฉินซู่ เจ้าว่า…" ซ่งซูหลานนิ่วหน้าขบคิด ผินหน้ามองสาวใช้ จากนั้นเอ่ยต่อด้วยความฉงน "…ไยสตรีนางนั้นต้องติดตามบิดาของตนมาด้วยหรือ"เฉินซู่เองก็ไม่รู้จะตอบเช่นไร นางได้ยินเรื่องเล่าจากนางกำนัลต้นห้องมามาก ว่ายามนี้คุณหนูตระกูลเจี่ยถูกสนับสนุนให้เป็นสนมเอกของรัชทายาท "เอ่อ...พระชายาเพคะ เกรงว่านางอาจต้องการตำแหน่งพระสนม"ซ่งซูหลานเลิกคิ้ว "พระสนมงั้นหรือ"หัวใจของซ่งซูหลานกระเพื่อมไหว หลายเดือนแล้วที่นางเป็นชายาของเขา เรื่องอย่างว่าก็หาได้ว่างเว้นเพียงแต่มิได้ประกอบกิจกันเสียทุกวัน ทว่านางกลับไม่ตั้งครรภ์เสียที ดูเหมือนต้องตามหมอหลวงมาตรวจหน่อยหรือไม่ หรือว่าซ่งซูหลานในยุคนี้ก็เป็นโรคเดียวกันกับนางในยุคที่จากมานางมีบุตรไม่ได้เช่นนั้นหรือ!ทว่าเขารับปากนางแล้วว่าจะไม่มีสนม แล้วเหตุใดยามนี้ต้องปล่อยให้ผู้อื่นเข้ามาชิดใกล้อย่างไม่ควร คิดไปแล้วอารมณ์น้อยใจก็ผุดขึ้นเป็นริ้ว พานให้ต้องหัวร้อนดุจถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิง..ราตรีกาลคืบคลานมาถึง เป็นอีกคืนที่ซ่งซูหลานเริ่มรู้สึกหนาวเหน็บสะท้านไปถึงจิตใจ นางกำลังนอนไม่หลับรู้สึกระส่ำระสายย
เวลาล่วงเลยมาสองเดือนแล้ว ทว่าพระชายากลับไม่มีทีท่าจะตั้งครรภ์ บรรดาขุนนางจึงเร่งเสนอเรื่องแต่งตั้งพระสนมให้แก่รัชทายาท ฮ่องเต้เองก็ลำบากใจเพราะกู้หย่งเฟิงประกาศกร้าวว่าตนไม่ประสงค์รับสนม"ฝ่าบาทแม้ยามนี้รัชทายาทยังมิได้ครองบัลลังก์ ทว่าเรื่องการมีโอรสหาละเลยได้ไม่" เจี่ยเหวยเจินกราบทูลเขากำลังคิดหาหนทางเสริมส่งให้บุตรสาวขึ้นเป็นสนมของรัชทายาท เพราะอย่างน้อยหากตนมีความเกี่ยวดองกับราชวงศ์อำนาจและตำแหน่งล้วนมั่นคงตามไปด้วย แม้จะนับว่ายังห่างชั้นกับตระกูลซ่งมากโข ทว่าการขึ้นเป็นสนมของผู้ที่รอรับบัลลังก์มังกรต่อนับว่าดีกว่าเป็นชายาองค์ชายที่ไร้ยศถาเป็นไหน ๆขุนนางคนอื่นก็พลอยเรียกร้องให้ระเบ็งเซ็งแซ่ไปตามกันกู้หย่งเฟิงยืนฟังข้อถกเถียงของเหล่าขุนนางมานานก็ให้รู้สึกรำคาญใจนัก เดิมทีเขาเองก็มิได้ละเลยซ่งซูหลานสักนิด เพียงแต่ผู้มีบุญญาธิการช่างถือกำเนิดยากยิ่ง หรือว่ามีบางอย่างผิดปกติกัน"ทูลฝ่าบาท ถึงข้าจะเป็นรัชทายาท ทว่าการมีโอรสก็หาได้ต้องเร่งร้อนถึงเพียงนั้น"ขุนนางนายหนึ่งสาวเท้ามาเบื้องหน้า เขาค้อมศีรษะลง "ทูลฝ่า