อาจารย์เว่ยย่อมทราบดีว่าหากเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในช่วงเวลานี้ จะต้องส่งผลกระทบอย่างแน่นอน จึงกราบทูลว่า“ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่าเวลานี้มิใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ทรงนิ่งพลางตรึกตรองครู่หนึ่ง “เช่นนั้นก็รอจนการสอบประจำฤดูใบไม้ผลิผ่านพ้นไปก่อน แล้วค่อยจัดการเรื่องนี้ พวกท่านทั้งสองอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเป็นอันขาด เราจะดูว่าเขาจะก่อความวุ่นวายอะไรขึ้นมาอีก”อัครเสนาบดีและอาจารย์เว่ยมองตากัน พลางรู้สึกกังวลแทนท่านแม่ทัพฉินในใจลึก ๆการมีบุตรชายเช่นนี้ ช่างเป็นเวรกรรมโดยแท้ท้องฟ้าสดใสอากาศบริสุทธิ์ แสงแดดส่องสว่างเจิดจ้าเมื่อซ่งรั่วเจินและซ่งอี้อันมาถึง สวีเฮ่ออันและคนอื่น ๆ ก็มาถึงก่อนแล้ว เพียงแต่ว่ากลับมีบุคคลที่ไม่คาดคิดเพิ่มมาอีกหนึ่งคน...อวิ๋นซีหว่านเมื่อเดินเข้าไปใกล้ ซ่งรั่วเจินก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ดูไม่ค่อยดีนัก“ข้าบอกแล้วว่าไม่อยากให้นางมา แต่นางก็ยังดึงดันจะตามมา!” อวิ๋นเนี่ยนชูลากซ่งรั่วเจินไปอีกทาง ใบหน้าของนางฉายชัดไปด้วยความรำคาญใจซ่งรั่วเจินปรายตามองอวิ๋นซีหว่าน นางพึ่งถูกน้ำแกงลวกที่ร้านอวิ๋นหย่าเมื่อไม่กี่วันก่อนและยังไม่หายดี แต่ถ
“นี่มิใช่สหายซ่งหรอกหรือ? ตั้งแต่เจ้าสูญเสียการมองเห็นก็ไม่เคยพบเจอกันอีกเลย ข้ายังคิดว่าเจ้าคงไม่อยากพบผู้คนไปตลอดชีวิตเสียแล้ว”“คุณชายรองซ่งเป็นผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ ช่างน่าเสียดายนัก ในยามนั้นท่านมีภารกิจมากมายจนเหล่าคนธรรมดาเช่นพวกข้าไม่มีแม้แต่โอกาสจะเอ่ยปากสนทนาด้วย”“แต่ตอนนี้เกรงว่าคงอยากให้พวกเราพูดด้วยสักคำสองคำบ้างกระมัง? อยู่ในจวนทั้งวันไม่มีผู้ใดพูดคุยคงน่าอึดอัดน่าดู!”เฉียนเหว่ยมองซ่งอี้อันด้วยสายตาเย็นชา ย้อนกลับไปในอดีต เขาเคยพยายามประจบสอพลอซ่งอี้อัน แต่อีกฝ่ายกลับทระนงในพรสวรรค์ของตนและไม่ยอมรับเขา ทำให้เฉียนเหว่ยต้องเก็บความขุ่นเคืองไว้ในใจมาโดยตลอดยามนี้เมื่อเห็นซ่งอี้อันตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เขาก็รู้สึกสะใจยิ่งนัก!“เป็นถึงบัณฑิต แต่กลับเอาแต่ประจบสอพลอผู้ที่มีอำนาจและเหยียดหยามสหายร่วมสำนัก หรือว่าเอาความรู้ในตำราไปให้สุนัขกินหมดแล้วหรืออย่างไร?”สวีเฮ่ออันที่เพิ่งจัดเตรียมทุกอย่างบนเรือเสร็จ เมื่อออกมารับซ่งอี้อันก็ได้ยินคำพูดเย้ยหยันเหล่านี้ ใบหน้าของเขาพลันเย็นชา“คุณ...คุณชายสวี?”เฉียนเหว่ยกับพรรคพวกไม่คาดคิดว่าวันนี้ซ่งอี้อันจะร่วมเดินทางมากับสวีเฮ่
“สหายฉิน ซ่งอี้อันเคยหยิ่งผยองในความสามารถของตนเอง พวกเราก็รู้กันดีอยู่แล้ว เจ้าจะเกรงใจเขาไปไย? คนตาบอดเช่นนี้ ไม่แน่ว่าเมื่อใดอาจจะสะดุดล้มตายไปเองก็เป็นได้!”“ซ่งอี้อัน สหายฉินต่างหากที่เป็นคนถ่อมตนจริง ๆ เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ทั้งเมืองหลวงกำลังชื่นชมเรียงความที่สหายฉินเขียน?”ซ่งอี้อันแสร้งทำเป็นงุนงง “เรียงความอะไรหรือ?”ฉินเซี่ยงเหิงกำลังจะห้ามเฉียนเหว่ย แต่แล้วก็ได้ยินเฉียนเหว่ยอ่านประโยคที่เป็นจุดสำคัญของเรียงความนั้นออกมาสีหน้าของซ่งอี้อันเปลี่ยนไปเล็กน้อย “นี่มันเรียงความที่ข้าเขียนชัดๆ!”เมื่อสิ้นประโยค ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา“ซ่งอี้อัน เจ้ายังมียางอายอยู่หรือไม่? นี่เป็นเรียงความที่สหายฉินเขียนชัด ๆ พวกเราเห็นกับตาว่าสหายฉินเขียนขึ้นเอง เจ้าคิดจะมาทึกทักว่าเป็นของตัวเองหรือ?”“ใช่แล้ว พวกเราทุกคนเห็นกันหมด หรือว่าสหายฉินท่องบทความของเจ้ามาแล้วค่อยเขียนใหม่อย่างนั้นหรือ?” เฉียนเหว่ยเย้ยหยันหัวใจของฉินเซี่ยงเหิงสะท้านขึ้นมา เขาอยากจะฉีกปากเฉียนเหว่ยให้ขาดเสียจริงไอ้โง่!“ใช่แล้ว”ซ่งอี้อันเผยใบหน้าสงบนิ่งและเ
จ้าวซูหว่านถูกสายตาของซ่งรั่วเจินจ้องมาก็รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาทันที ราวกับว่าถูกมองอย่างทะลุปรุโปร่ง“ตั้งสติหน่อย! เจ้าถอนหมั้นกับซ่งอี้อันแล้ว จะกลัวอะไรอีก?” ฉินเซี่ยงเหิงพูดด้วยเสียงต่ำจ้าวซูหว่านได้สติกลับมา ใบหน้าก็แสดงความไม่พอใจออกมา “รั่วเจิน เจ้าถอนหมั้นแล้วก็ยังออกมาล่องเรือชมทะเลสาบได้มิใช่หรือ แล้วเหตุใดข้าจะมาไม่ได้?”ซ่งรั่วเจินยิ้มเยาะ “ข้าถอนหมั้นแล้วก็จริง แต่ข้าไม่เสียใจ กลับเป็นเจ้าเสียอีก ที่ไม่กี่วันก่อนวิ่งแจ้นมาที่จวนของเรา ร้องห่มร้องไห้พร่ำบอกว่าเสียใจต่อพี่รองของข้า”“อย่าบอกนะว่าเจ้าแค่แสร้งทำ เพื่อที่จะได้เข้าไปขโมยเรียงความในห้องหนังสือของพี่ชายข้าน่ะ?”จ้าวซูหว่านตกใจ “ข้า...ข้าไม่ได้...”แต่คำพูดของนางยังไม่ทันจบก็ถูกซ่งรั่วเจินขัดขึ้น“ข้าเคยคิดว่าเจ้าเป็นเพียงคนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น ไม่คิดว่านิสัยใจคอของเจ้าจะเลวร้ายยิ่งกว่า โชคดีนักที่เจ้าไม่ได้แต่งกับพี่รองของข้า ไม่เช่นนั้นคงเป็นเคราะห์ร้ายของตระกูลข้าอย่างแท้จริง”พูดจบ ซ่งรั่วเจินก็พยุงซ่งอี้อันหันหลังเดินเข้าห้องโดยสารเรือไป ไม่แม้แต่จะชายตาแลอีกจ้าวซูหว่านโกรธจนขบฟันแน่น แต
“ข้ามองเห็นท่าทีคนถ่อยลำพองใจของเฉียนเหว่ยแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าอยากจะเหยียบมันให้จมดิน!”“ท่านเป็นญาติผู้พี่ของข้า เป็นคุณชายของตระกูลอวิ๋น อีกทั้งยังเปี่ยมด้วยความสามารถ การสอบประจำฤดูใบไม้ผลิครั้งนี้ ชื่อของท่านต้องติดอยู่ในรายชื่อผู้สอบผ่านเป็นแน่!”อวิ๋นเนี่ยนชูโกรธเกรี้ยว นางรู้ดีว่าญาติผู้พี่ของตนนั้นขยันหมั่นเพียรในการทบทวนตำราเพียงใด เทียบกับพวกที่ใช้เล่ห์กลแล้ว เขาเหนือกว่ามากนัก“ข้าเห็นกับตาว่าคุณชายฉินเป็นคนเขียนบทกวีออกมาเอง หรือว่ามีเรื่องเข้าใจผิดอะไรกันหรือไม่?” อวิ๋นซีหว่านอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นนางเห็นจ้าวซูหว่านยังคงตามติดฉินเซี่ยงเหิงอยู่ไม่ห่าง ในใจรู้สึกขุ่นเคืองยิ่งนักหญิงผู้นั้นโชคดีอย่างไม่น่าเชื่อที่ได้หมั้นหมายกับซ่งอี้อัน แต่บัดนี้พอเพิ่งถอนหมั้นเสร็จ ก็มาเกาะติดกับคุณชายฉินอีก คนอย่างนางก็คู่ควรงั้นหรือ?อวิ๋นเนี่ยนชูเหลือบมองอวิ๋นซีหว่านแวบหนึ่ง “เจ้าไม่ได้มีใจให้ฉินเซี่ยงเหิงหรอกหรือ? เหตุใดไม่ไปอยู่กับพวกเขา แต่กลับมานั่งกับพวกเราที่นี่เล่า?”อวิ๋นซีหว่านถึงกับพูดไม่ออก ที่จริงแล้วนางก็อยากไปอยู่เหมือนกัน แต่จะทำอย่างไรได้เล่า บาดแผลบนใบหน้ายังไม่ห
“ข้าว่าตระกูลซ่งช่างโหดเหี้ยมเหลือเกิน ไม่ใช่แค่ซ่งอี้อันเท่านั้น พวกเจ้าเห็นแม่นางซ่งผู้นั้นหรือไม่?”“หลินจือเยว่เพียงต้องการแต่งงานกับแม่นางฉิน แต่นางกลับปฏิเสธหมั้นหมายทันที แถมยังไปฟ้องร้องต่อหน้าพระพักตร์ ทำให้หลินจือเยว่ต้องเสียบรรดาศักดิ์โหวไป ทั้งยังทำให้แม่นางฉินถูกขังคุกอีกด้วย”“เจ้าคิดดูสิ สตรีเช่นนี้ไม่ใช่จิตใจชั่วร้ายดั่งอสรพิษหรอกหรือ?”เหล่าคนฟังยิ่งฟังก็ยิ่งโกรธเคืองกันถ้วนหน้า “ตระกูลซ่งช่างโหดร้ายเหลือเกิน ตั้งใจจะเล่นงานครอบครัวของสหายฉินชัดๆ”“ข้าว่าคนพวกนี้ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ต่อไปเลย ตายไปเสียยังดีกว่า”เฉียนเหว่ยยิ่งพูดยิ่งเดือดดาล ขณะที่ท้องฟ้าเริ่มมืดลงและระยะห่างระหว่างเรือสองลำนั้นใกล้เข้ามา ในใจเขาก็พลันผุดแผนการบางอย่างขึ้นเฉียนเหว่ยล้วงเอาพับไฟ[1]ที่ซ่อนไว้ในอกเสื้อโยนข้ามไปยังเรือลำตรงข้ามทันที“แม่นางซ่ง ฟ้ามืดแล้ว ยังยืนชมทิวทัศน์ทะเลสาบอยู่อีกหรือ?”สวีเฮ่ออันเห็นซ่งรั่วเจินยืนอยู่ด้านนอกเรือ ปล่อยให้สายลมยามค่ำคืนพัดผมสีดำของนางพลิ้วไหวไปมา ราวกับภาพวาดในห้วงฝันกลางรัตติกาลที่ชวนให้หัวใจเต้นแรงซ่งรั่วเจินเหลือบมองไปยังผู้มาใหม่ ก่อนจะคิดใน
“อวิ๋นซีหว่าน เจ้าพูดจาเหลวไหลสิ้นดี! รั่วเจินเป็นสตรีจะให้ไปช่วยบุรุษเช่นนี้ได้อย่างไร? หากเรื่องนี้แพร่ออกไปนางจะเสียชื่อเสียงแค่ไหน เจ้าคิดบ้างหรือไม่?” อวิ๋นเนี่ยนชูเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธอวิ๋นซีหว่านรีบแก้ต่าง “ก็ญาติผู้พี่กับคุณชายสวีว่ายน้ำไม่เป็น ข้าจึงเสนอเช่นนี้”ส่วนซ่งอี้อัน ตอนนี้การช่วยเหลือตัวเองยังเป็นเรื่องลำบาก เรื่องช่วยผู้อื่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอวิ๋นเนี่ยนชูถึงกับหมดคำพูด “ถ้าเจ้าอยากช่วยนัก เหตุใดไม่ไปช่วยเองเล่า? ไม่แน่หากเจ้าช่วยชีวิตเขาไว้ เจ้าคงได้แต่งกับฉินเซี่ยงเหิงสมใจ”ทว่าหลังนางฟังคำพูดนั้นแล้วกลับทำให้อวิ๋นซีหว่านนิ่งคิดและไตร่ตรองหากนางช่วยฉินเซี่ยงเหิงไว้ได้ นางก็จะกลายเป็นผู้มีพระคุณของเขา!ภายใต้สายตาของผู้คนมากมาย หากนางสามารถช่วยชีวิตฉินเซี่ยงเหิงได้ เรื่องหมั้นหมายนี้อาจเกิดขึ้นจริงก็เป็นได้!ทุกคนในเมืองหลวงต่างพากันยกย่องในความสามารถของฉินเซี่ยงเหิง อีกทั้งเมื่อการสอบในฤดูใบไม้ผลิสิ้นสุดลง ไม่แน่ว่าเขาอาจได้เป็นจอหงวน[1]ก็ได้ เช่นนั้นแล้วนางก็จะกลายเป็นฮูหยินของจอหงวนน่ะสิ!ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ขณะที่ทุกคนยังไม่ทันได้สังเกต อวิ๋นซีหว่าน
“แค่กๆ”ฉินเซี่ยงเหิงสำลักน้ำออกมาเป็นจำนวนมากก่อนจะค่อย ๆ รู้สึกตัวขึ้นมาเมื่อเขาลืมตาขึ้นก็เห็นสตรีสองนางกำลังตบตีกันอย่างดุเดือดราวกับแม่ค้าร้านตลาด ทำให้เขารู้สึกมึนงงอย่างมาก“คุณชายฉิน ท่านไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว!”อวิ๋นซีหว่านเมื่อเห็นฉินเซี่ยงเหิงฟื้นคืนสติ ก็รีบผละจากการตบตีกับจ้าวซูหว่านทันที นางกล่าวด้วยน้ำเสียงน้อยใจ “โชคดีที่ท่านไม่เป็นไรแล้ว ข้าเพียงตั้งใจจะช่วยชีวิตท่าน แต่จ้าวซูหว่านตบตีข้าราวกับว่าเสียสติไปแล้ว...”ใบหน้าขาวของหญิงสาวยิ่งดูซีดเผือดกว่าเดิมหลังจากถูกแช่ในน้ำเย็น ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิงจากการตบตีกัน จนดูราวกับผีสาวประกอบกับสีหน้าที่ดูน่าเวทนานั่น...ยิ่งทำให้ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้“เจ้าช่วยข้าไว้หรือ?” ฉินเซี่ยงเหิงถามด้วยความสงสัย “แล้วเหตุใดพวกเจ้าจึงต้องตบตีกันเล่า?”“พี่เซี่ยงเหิง นางไม่รู้จักอาย กล้าทำเรื่องบัดสีเช่นนั้นกับท่านต่อหน้าธารกำนัล ข้าจึง...”จ้าวซูหว่านเอ่ยด้วยใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากไร้สีเลือด นางพยายามจะก้าวเข้าไปหาเขา แต่กลับถูกอวิ๋นซีหว่านผลักจนล้มลงกับพื้น“โอ๊ย!” จ้าวซูหว่านร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด“คุณชายฉิน ท่านอย่าไปฟังนา