“คุณอลิษาใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ”
“กระผมสารวัตรสมเจตน์นะครับ ทางเรานั้นอยากจะมาแจ้งข่าวให้คุณทราบว่านายราเชนทร์นั้นได้ถูกทางตำรวจปล่อยตัวออกมาแล้ว เนื่องจากหลักฐานที่มีไม่เพียงพอที่จะเอาผิดได้”
“ค่ะ...”
“ถ้าเขามาป้วนเปี้ยนรอบตัวคุณหรือสร้างความรำคาญให้คนรอบข้างของคุณอีก สามารถโทรแจ้งผมที่เบอร์นี้ได้เลยนะครับ”
“ขอบคุณมากค่ะ คุณสารวัตร” ช่างเป็นบทสนทนาสั้นๆ ที่สามารถทำให้หนักใจได้เสียจริง
ในยามค่ำคืนที่เงียบสงบของกรุงเทพมหานคร ใครหลายคนกำลังหลับใหล แต่ทว่าหลายคนก็ยังวุ่นวายกับการทำงาน และอลิษาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ซ่าาา"
"เชค เชค เชค"
"แกร๊กๆ แกร๊กๆ"
เสียงเขย่าขึ้นลงของแก้วเชคที่มีน้ำแข็งและส่วนผสมของเหล้าอยู่ในนั้น กำลังถูกสร้างสรรค์โดยอลิษา มันเป็นเครื่องดื่มเมนูซิกเนจอร์ของผับเดอะริช สถานที่ท่องราตรีที่มีชื่อเสียงในขณะนี้
“ฉ่อก ฉ่อก” เครื่องดื่มซิกเนเจอร์กำลังถูกเทลงในแก้วค็อกเทลสีใส จังหวะการเขย่าของอลิษานั้นคลอเคลียไปกับเสียงเพลงมันส์ในยามค่ำคื่น
ท่ามกลางเสียงและบรรยากาศที่ดูสนุกและเมามันส์นั้น มือที่เขย่าอย่างเอาเป็นเอาตายนั้นกลับความอ่อนแรงเอาไว้ภายในใจ
เมื่อห้าปีก่อน หลังจากที่ออกจาสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ราเชนทร์เพื่อนที่โตมาด้วยกัน กลับกลายมาเป็นสตอรค์เกอร์ที่ตามวุ่นวาย แถมปีที่แล้วยังได้พยายามที่จะหาเรื่องและทำร้ายเพื่อนชายคนหนึ่งของเธอที่เช่าอพารท์เมนท์อยู่ที่ตึกเดียวกัน แต่ยังไม่ทันได้ก่อเหตุราเชนทร์ก็ถูกตำรวจคุมตัวไปเสียก่อน
นึกไม่ถึงว่าในที่สุดราเชนทร์จะพ้นโทษออกมาได้ อลิษาพลางนึกว่าหากราเชนทร์กลับมาวุ่นวายกับเธออีก เธอจะสามารถพึ่งพาใครได้บ้าง เพราะที่ผ่านมาเธอต้องสู้ชีวิตด้วยตัวคนเดียวอย่างโดดเดี่ยว ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยจนกลายเป็นคนที่ไม่มีเพื่อนคบ
“ขอวิสกี้ที่หนึ่งครับ” เสียงทุ้มนุ่มลึกเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นมา
“ได้ค่ะ นั่นวายุใช่ไหม?” อลิษาถามด้วยความประหลาดใจ ตรงหน้านั้นคือ “วายุ” หนุ่มฮอตที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยห้องเดียวกับเธอ ถึงแม้ว่าจะเคยเจอกันมาก่อนตอนเรียนมหาวิทยาลัย แต่อลิษากลับไม่เคยมีโอกาสได้พูดคุยกับเขาเลย
“อืมม ผมเอง” วายุก็ยังพูดน้อยเช่นเคย หลังจากที่ได้วิสกี้แล้วเขาก็นั่งอยู่คนเดียวลำพัง
ตั้งแต่มาถึง เขาก็เอาแต่นั่งจ้องมองมายังเคาน์เตอร์บาร์ที่อลิษาทำงาน แม้จะมีหญิงสาวมากมายพยายามเข้ามาชนแก้วหรือชวนเค้าไปเต้นด้วยกัน แต่วายุก็เอาแต่ปฏิเสธและยังคงนั่ง หลังตรง ราวกับกำลังรอคอยใครสักคนอยู่
จนในที่สุดก็ถึงเวลาเลิกงานของหญิงสาว อลิษาเดินออกจากประตูหลังของผับ ระหว่างที่กำลังเดินไปยังบันไดเหล็กแคบอยู่นั้น
“ว้าย!” ฝ่ามือเย็นเฉียบของใครบางคนได้ผลักเธอจนตกบันได อลิษาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ข้อเท้าเล็กพลิกไปตามแรงผลัก
ขณะที่ร่างของอลิษาจะตกกระทบถึงพื้นปูน แขนแกร่งของใครบางคนก้โอบอ้มเธอไว้ กลิ่นน้ำหอมราคาแพงจางๆ ผสมกับลมหายใจอุ่นของชายหนุ่มทำให้เธอหยุดชะงัก
“ระวังหน่อยสิ อลิษา...”
“วายุ ขอบคุณนะ... ว่าแต่นายมาทำอะไรที่ประตูหลังกัน ลุกค้าต้องออกางประตูหน้านะ”
“มาสูบบุหรี่น่ะ” เขาพูดพลางหลบสายตาคู่งามของอลิษา ทั้งสองตกนความเงียบ ไม่มีใครต่อบทสนทนา ราวกับมีกำแพงกั้นขวางคนทั้งคู่ไว้
แต่ความสงบก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงฝีเท้าที่วิ่งหนีไปอย่างเร่งรีบและหายไปในความมืดมิด
“ใช่หมอนั่นไหม ที่เคยตามตอแยคุณตอนเรียน”
“คุณยังจำได้อยู่หรือคะ วายุ”
ชายหนุ่มไม่ตอบคำถามใดๆ สักพักก็มีรถยนต์หรูคันหนึ่ง มาจอดที่ด้านหลังผับ วายุเดินขึ้นรถไปทันทีโดยไม่ได้หันกลับมาพูดคุยหรือล่าอลิษาแต่อย่างใด
“หมอนี่ยังคงพูดไม่เก่งเหมือนเดิมสินะ”
อลิษาเอ่ยขึ้นมาก่อนจะส่ายหัวเบาๆ และเดินกลับบ้านไป ระหว่างที่เธอเดินไปก็เอาแต่นึกถึงวายุ จำได้ว่าเขาเป็นคนที่ฮอตมากๆ สมัยที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน รอบตัวเขามักจะมีรุ่นพี่รุ่นน้องเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังมากมาย แต่หนึ่งในบรรดาสาวๆ นั้นไม่มีอลิษาอย่างแน่นอน
ด้วยความที่เติบโตมาอย่างโดดเดี่ยวในบ้านเด็กกำพร้า ทำให้อลิษาต้องทุ่มเทชีวิตให้กับการหาเงินมากกว่าการมีความรัก เพราะเธอเชื่อว่าไม่มีใครจะช่วยเหลือหรือเป็นที่พึ่งพิงได้นอกจากตัวเอง
โดยไม่ทันสังเกตุว่ามีใครบางคนที่สวมหมวกดำและแจ็คเก็ตซอมซ่อกำลังมองตามหลังเธอไป
มือคู่นั้นเกาะสายไฟอย่างสั่นเทา มือกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดชัดเจน“ทำไมเธอจะต้องคอยทำเครื่องดื่มให้คนพวกนั้นด้วย ทำไมเป็นฉันไม่ได้...อลิษา”วัยเด็กของราเชนทร์ในบ้านเด็กกำพร้า เขามักจะถูกหมาง ด้วยความที่เป็นคนเก็บตัว เด็กคนอื่นมองว่าเขาเป็น "ตัวประหลาด" เพราะความเงียบขรึมและไม่เข้าหาใคร แม้คนที่ดูแลบ้านเด็กกำพร้าก็ไม่ได้ใส่เขามีเพียงอลิษาที่นึกสงสารในโชคชะตานั้น เธอคอยให้ความช่วยเหลือราเชนทร์ เป็นคนแรกที่ไม่หันหลังให้เขา ทำให้ความรักและคลั่งไคล้ที่ราเชนทร์ที่มีต่ออลิษานั้นดูรุนแรง เพราะเขากลัวว่าจะสูญเสียของสำคัญอย่างเธอไปหลายวันผ่านไปอลิสาก็ยังคงมาทำงานที่ผับเดอะริชเหมือนเช่นเคย ชงเครื่องดื่มเมนูแล้วเมนูเหล่าให้กับลูกค้า มีเพียงสิ่งหนึ่งที่อลิสารู้สึกได้ว่าเปลี่ยนไปวายุแวะเวียนมาที่นี่บ่อยขึ้น เขามักจะมานั่งที่เคาท์เตอร์บาร์ สั่งเครื่องดื่มวิสกี้เหมือนเดิมทุกวัน และแน่นอนว่าคนที่ต้องทำเครื่องดื่มให้กับวายุก็คืออลิษานั่นเองแม้จะมีสาวสวยมาขอชนแก้วครั้งแล้วครั้งเล่าแต่วายุก็ไม่สนใจ เขาเอาแต่นั่งตรงบาร์ตัวเดิมตำแหน่งเดิม ใกล้ๆ กับบริเวณที่อริสากำลังยืนทำงานอยู่ อลิษาที่วุ่นวายกับการทำงา
แสงแดดรำไรส่องผ่านเข้ามา ณ สถานที่แห่งหนึ่ง กลิ่นหอมเย็นของกำยานจันทน์หอมกำลังลอยอบอวลชวนให้ผ่อนคลายอลิษาค่อยๆ ลืมเปลือกตาขึ้นมา หรี่ตาสู้กับแสงเพื่อที่จะมองว่าภาพเบื้องหน้าของเธอนั้นคือสถานที่ใดกันแน่ เธอเข้ามาพักฟื้นที่โรงพยาบาล หรือว่าเสียชีวิตแล้วได้ขึ้นสวรรค์ผนังห้องทั้งสี่ทิศเป็นลายไม้ดูโบราณมาก จะบอกว่าเป็นโรงพยาบาลมันก็แปลกมากทีเดียว หรือว่าเธอตายไปแล้วขึ้นสวรรค์กันแต่เธอก็ต้องตกใจเพราะบรรยากาศมันดูวินเทจแปลกตาเป็นอย่างมาก ราวกับว่ากำลังหลุดเข้าไปมินิซีรี่ย์จีนโบราณที่อยู่ตามแอพโทรศัพท์มือถือหลังจากนั้นภาพก็ไหลเข้ามาในสมองของอลิษา คล้ายกับว่าเป็นกระแสความทรงจำของใครคนหนึ่ง“ไป๋ลู่...”ดรุณีน้อยรูปงามย่างเท้าออกมานอกจวนในยามวิกาล พร้อมกับควันจางๆ ที่พรั่งพรูออกมาพร้อมกับลมหายใจ นางมองไปยังสระน้ำเบื้องหน้า แววตาคู่งามแลดูมีความเหยื่อยล้าอยู่ในนั้น“ข้าจะทำอย่างไรดี ท่านโหวกำลังจะกลับมา...”แม้จะบอกว่าให้ตัดใจจากบุรุษผู้นั้น แต่แววตาของนางช่างตรงข้ามกับสิ่งที่คิดเสียเหลือเกิน นางไม่อาจปล่อยวาง ไม่ว่าอย่างไร เขาก็คงไม่อนุญาตให้นางอยู่เคียงข้างเขาในฐานะภรรยาอีกแล้ว“ตู้ม!”ดรุณ
หลังจากที่นั่งและนอนทำใจอยู่หลายชั่วนาที อลิษาจึงตัดสินใจที่จะสวมรอยเป็นไป๋ลู่และใช้ชีวิตที่นี่ไปก่อน หากในวันหน้าสามารถหาหนทางไปได้ ค่อยว่ากันอีกทีสักวันเธออาจจะได้กลับไปยังโลกเดิมที่จากมาก็เป็นได้...อีกฟากฝั่งหนึ่งของจวน ในศาลาเล็กริมสวนใหญ่ที่มีดอกเหมยแดงบานสะพรั่งท้าลมหนาว เอกบุรุษผู้หนึ่งกำลังนั่งคอยฮูหยินของเขาอยู่บนโต๊ะหินทรงกลมที่มีอาหารวางอยู่เรียงรายดวงตาเฉี่ยวคมสีทองอร่าม เรือนผมสีน้ำตาลเข้มถูกมัดอย่างเป็นระเบียบในชุดสีแดง ซึ่งเป็นสีประจำตัวของโหวแห่งดินแดนเหนือ “หวังจิ่นหรง”คือแม่ทัพใหญ่หนึ่งในสี่ของแผ่นดิน ได้รับบรรดาศักดิ์โหวสืบต่อจากบิดาที่ล่วงลับไปเมื่อหลายปีก่อน“ท่านโหวขอรับ” ชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดเกราะก้าวเข้ามายังศาลาเล็ก เพื่อนำข่าวมาแจ้งแก่ผู้เป็นนายของเขา“ว่าอย่างไร หานชิง” หวังจิ่นหรงพียงปรายตามองไปยังคนสนิทของเขา โดยยังคงมองตรงไปยังทางด้านหน้า ราวกับกำลังจดจ่อรอคอยการมาถึงของใครบางคน“ภารกิจที่ท่านมอบหมายให้กองทัพ มีพลทหารคนหนึ่งทำผิดพลาดขอรับ เขาดื่มสุราจนเมาและเผลอแพร่งพรายแผนการออกไป”“ข้าเกลียดคำว่าผิดพลาดยิ่งนัก!” เสียงทุ้มต่ำดูนุ่มลึก แต่ทว่ามันกลับเจ
“นี่ก็ผ่านไปหลายเค่อแล้ว ฮูหยินของข้านั้นมีปัญหาอันใด ทำไมถึงยังไม่มาหาข้า”“ท่านโหวเจ้าคะ เดี๋ยวข้าจะไปตามฮูหยินมาให้ท่านเอง”บ่าวรับใช้สาวผู้มีใบหน้าสวยงามเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนหวานล้ำ“รบกวนเจ้าด้วย เหลียนฮวา”หวังจิ่นหรงกล่าวออกมาโดยที่ไม่หันไปมอง เสียงทุ้มต่ำนั้นเรียบนิ่งแต่ดุดันเหมือนกับสั่งงานพลทหารอย่างไรอย่างนั้น ราวกับว่าความงดงามของบ่าวคนนี้ไม่ได้ส่งผลตอ่หัวใจที่แข็งราวกับเหล็กกล้าของเขาเลยแม้แต่น้อยเมื่อก้าวเท้าถอยหลังออกมาจากศาลาเล็ก เหลียนฮวาหมุนตัวออกไป โดยที่มือเรียวกำลังกำจิกชายกระโปรงแน่น ราวกับคำว่า “ฮูหยิน” ที่หลุดออกมาจากปากนั้นเป็นราวกับหนอนแมลงวันที่น่ารังเกียจแต่ยังไม่ทันที่จะก้าวเท้าออกไป ฮูหยินที่นางจงเกลียดจงชังก็เข้ามายังบริเวณสวนสวยเป็นที่เรียบร้อยไป๋ลู่ย่างกรายเข้ามาอย่างอ่อนช้อย วันนี้นางสวมใส่อาภรณ์สีเขียวอ่อน ประดับเรือนผมสีปีกกาด้วยผ้าผูกผมสีแดงและเครื่องประดับผมที่มีรูปร่างคล้ายพัด สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ที่ได้พบเห็น โดยเฉพาะเจ้าของจวนใหญ่แห่งนี้ใบหน้าคมที่ดูเคร่งขรึมนั้นกลับขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ ราวกับว่าสตรีตรงหน้าเป็นคนแปลกหน้าสำหรับ
“ไป๋ลู่!” ภรรยาคนนี้ชักจะเหิมเกริมเกินไปแล้ว ขนาดวันแรกที่ได้อยู่ร่วมชายคาเดียวกันในฐานะสามีภรรยายังเป็นได้ขนาดนี้ ถ้าเขาไม่ควบคุมนางให้อยู่หมัด มีหวังว่าในอนาคตนางจะต้องนำความยุ่งยากมาให้ที่จวนโหวแห่งนี้อย่างแน่นอน“วันหลังหากท่านหิวข้าวหรืออยากรับสำรับอาหารแจ้งกับบ่าวได้เลย ไม่ต้องรอข้าอีก เพราะข้าจะไม่ขอไม่ร่วมโต๊ะกับท่าน เกรงว่าข้าคงมารยาทไม่ดีพอที่จะอยู่ร่วมชายคากับท่าน”ไป๋ลู่กล่าวทิ้งท้าย ก่อนจะสะบัดหน้าหันหลังเดินจากไป ทิ้งท่านโหวแดนเหนือผู้ยิ่งใหญ่ให้ยืนนิ่งอึ้งอยู่ที่ศาลาโดยที่ไม่สนว่าเขาจะทำอย่างไรกับนางต่อไป“ลู่เอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้?”แววตาของหวังจิ่นหรงที่มองคล้อยหลังไป๋ลู่ไปนั้นกลับเกิดประกายวูบไหวอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินออกจากศาลาไปด้วยความขุ่นเคืองด้านท้ายของจวนโหว ฮูหยินคนงามกำลังนั่งปรับทุกข์กับต้นเหมยแดงต้นหนึ่ง แม้ในจวนแห่งนี้จะมีต้นเหมยแดงมากมาย แต่ว่าต้นไม้ต้นนี้ใหความรู้สึกที่แตกต่างออกไป ไม่รู้ว่าทำไมแต่นางรู้สึกคุ้นเคยกับเหมยแดงต้นนี้เป็นอย่างมากไม่แน่ใจว่าจะเกี่ยวกับความทรงจำของร่างเดิมหรือไม่ เพราะกระแสความทรงจำนั้นได้ฉายให้เห็นเ
“ไป๋ลู่!” ภรรยาคนนี้ชักจะเหิมเกริมเกินไปแล้ว ขนาดวันแรกที่ได้อยู่ร่วมชายคาเดียวกันในฐานะสามีภรรยายังเป็นได้ขนาดนี้ ถ้าเขาไม่ควบคุมนางให้อยู่หมัด มีหวังว่าในอนาคตนางจะต้องนำความยุ่งยากมาให้ที่จวนโหวแห่งนี้อย่างแน่นอน“วันหลังหากท่านหิวข้าวหรืออยากรับสำรับอาหารแจ้งกับบ่าวได้เลย ไม่ต้องรอข้าอีก เพราะข้าจะไม่ขอไม่ร่วมโต๊ะกับท่าน เกรงว่าข้าคงมารยาทไม่ดีพอที่จะอยู่ร่วมชายคากับท่าน”ไป๋ลู่กล่าวทิ้งท้าย ก่อนจะสะบัดหน้าหันหลังเดินจากไป ทิ้งท่านโหวแดนเหนือผู้ยิ่งใหญ่ให้ยืนนิ่งอึ้งอยู่ที่ศาลาโดยที่ไม่สนว่าเขาจะทำอย่างไรกับนางต่อไป“ลู่เอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้?”แววตาของหวังจิ่นหรงที่มองคล้อยหลังไป๋ลู่ไปนั้นกลับเกิดประกายวูบไหวอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินออกจากศาลาไปด้วยความขุ่นเคืองด้านท้ายของจวนโหว ฮูหยินคนงามกำลังนั่งปรับทุกข์กับต้นเหมยแดงต้นหนึ่ง แม้ในจวนแห่งนี้จะมีต้นเหมยแดงมากมาย แต่ว่าต้นไม้ต้นนี้ใหความรู้สึกที่แตกต่างออกไป ไม่รู้ว่าทำไมแต่นางรู้สึกคุ้นเคยกับเหมยแดงต้นนี้เป็นอย่างมากไม่แน่ใจว่าจะเกี่ยวกับความทรงจำของร่างเดิมหรือไม่ เพราะกระแสความทรงจำนั้นได้ฉายให้เห็นเ
“นี่ก็ผ่านไปหลายเค่อแล้ว ฮูหยินของข้านั้นมีปัญหาอันใด ทำไมถึงยังไม่มาหาข้า”“ท่านโหวเจ้าคะ เดี๋ยวข้าจะไปตามฮูหยินมาให้ท่านเอง”บ่าวรับใช้สาวผู้มีใบหน้าสวยงามเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนหวานล้ำ“รบกวนเจ้าด้วย เหลียนฮวา”หวังจิ่นหรงกล่าวออกมาโดยที่ไม่หันไปมอง เสียงทุ้มต่ำนั้นเรียบนิ่งแต่ดุดันเหมือนกับสั่งงานพลทหารอย่างไรอย่างนั้น ราวกับว่าความงดงามของบ่าวคนนี้ไม่ได้ส่งผลตอ่หัวใจที่แข็งราวกับเหล็กกล้าของเขาเลยแม้แต่น้อยเมื่อก้าวเท้าถอยหลังออกมาจากศาลาเล็ก เหลียนฮวาหมุนตัวออกไป โดยที่มือเรียวกำลังกำจิกชายกระโปรงแน่น ราวกับคำว่า “ฮูหยิน” ที่หลุดออกมาจากปากนั้นเป็นราวกับหนอนแมลงวันที่น่ารังเกียจแต่ยังไม่ทันที่จะก้าวเท้าออกไป ฮูหยินที่นางจงเกลียดจงชังก็เข้ามายังบริเวณสวนสวยเป็นที่เรียบร้อยไป๋ลู่ย่างกรายเข้ามาอย่างอ่อนช้อย วันนี้นางสวมใส่อาภรณ์สีเขียวอ่อน ประดับเรือนผมสีปีกกาด้วยผ้าผูกผมสีแดงและเครื่องประดับผมที่มีรูปร่างคล้ายพัด สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ที่ได้พบเห็น โดยเฉพาะเจ้าของจวนใหญ่แห่งนี้ใบหน้าคมที่ดูเคร่งขรึมนั้นกลับขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ ราวกับว่าสตรีตรงหน้าเป็นคนแปลกหน้าสำหรับ
หลังจากที่นั่งและนอนทำใจอยู่หลายชั่วนาที อลิษาจึงตัดสินใจที่จะสวมรอยเป็นไป๋ลู่และใช้ชีวิตที่นี่ไปก่อน หากในวันหน้าสามารถหาหนทางไปได้ ค่อยว่ากันอีกทีสักวันเธออาจจะได้กลับไปยังโลกเดิมที่จากมาก็เป็นได้...อีกฟากฝั่งหนึ่งของจวน ในศาลาเล็กริมสวนใหญ่ที่มีดอกเหมยแดงบานสะพรั่งท้าลมหนาว เอกบุรุษผู้หนึ่งกำลังนั่งคอยฮูหยินของเขาอยู่บนโต๊ะหินทรงกลมที่มีอาหารวางอยู่เรียงรายดวงตาเฉี่ยวคมสีทองอร่าม เรือนผมสีน้ำตาลเข้มถูกมัดอย่างเป็นระเบียบในชุดสีแดง ซึ่งเป็นสีประจำตัวของโหวแห่งดินแดนเหนือ “หวังจิ่นหรง”คือแม่ทัพใหญ่หนึ่งในสี่ของแผ่นดิน ได้รับบรรดาศักดิ์โหวสืบต่อจากบิดาที่ล่วงลับไปเมื่อหลายปีก่อน“ท่านโหวขอรับ” ชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดเกราะก้าวเข้ามายังศาลาเล็ก เพื่อนำข่าวมาแจ้งแก่ผู้เป็นนายของเขา“ว่าอย่างไร หานชิง” หวังจิ่นหรงพียงปรายตามองไปยังคนสนิทของเขา โดยยังคงมองตรงไปยังทางด้านหน้า ราวกับกำลังจดจ่อรอคอยการมาถึงของใครบางคน“ภารกิจที่ท่านมอบหมายให้กองทัพ มีพลทหารคนหนึ่งทำผิดพลาดขอรับ เขาดื่มสุราจนเมาและเผลอแพร่งพรายแผนการออกไป”“ข้าเกลียดคำว่าผิดพลาดยิ่งนัก!” เสียงทุ้มต่ำดูนุ่มลึก แต่ทว่ามันกลับเจ
แสงแดดรำไรส่องผ่านเข้ามา ณ สถานที่แห่งหนึ่ง กลิ่นหอมเย็นของกำยานจันทน์หอมกำลังลอยอบอวลชวนให้ผ่อนคลายอลิษาค่อยๆ ลืมเปลือกตาขึ้นมา หรี่ตาสู้กับแสงเพื่อที่จะมองว่าภาพเบื้องหน้าของเธอนั้นคือสถานที่ใดกันแน่ เธอเข้ามาพักฟื้นที่โรงพยาบาล หรือว่าเสียชีวิตแล้วได้ขึ้นสวรรค์ผนังห้องทั้งสี่ทิศเป็นลายไม้ดูโบราณมาก จะบอกว่าเป็นโรงพยาบาลมันก็แปลกมากทีเดียว หรือว่าเธอตายไปแล้วขึ้นสวรรค์กันแต่เธอก็ต้องตกใจเพราะบรรยากาศมันดูวินเทจแปลกตาเป็นอย่างมาก ราวกับว่ากำลังหลุดเข้าไปมินิซีรี่ย์จีนโบราณที่อยู่ตามแอพโทรศัพท์มือถือหลังจากนั้นภาพก็ไหลเข้ามาในสมองของอลิษา คล้ายกับว่าเป็นกระแสความทรงจำของใครคนหนึ่ง“ไป๋ลู่...”ดรุณีน้อยรูปงามย่างเท้าออกมานอกจวนในยามวิกาล พร้อมกับควันจางๆ ที่พรั่งพรูออกมาพร้อมกับลมหายใจ นางมองไปยังสระน้ำเบื้องหน้า แววตาคู่งามแลดูมีความเหยื่อยล้าอยู่ในนั้น“ข้าจะทำอย่างไรดี ท่านโหวกำลังจะกลับมา...”แม้จะบอกว่าให้ตัดใจจากบุรุษผู้นั้น แต่แววตาของนางช่างตรงข้ามกับสิ่งที่คิดเสียเหลือเกิน นางไม่อาจปล่อยวาง ไม่ว่าอย่างไร เขาก็คงไม่อนุญาตให้นางอยู่เคียงข้างเขาในฐานะภรรยาอีกแล้ว“ตู้ม!”ดรุณ
มือคู่นั้นเกาะสายไฟอย่างสั่นเทา มือกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดชัดเจน“ทำไมเธอจะต้องคอยทำเครื่องดื่มให้คนพวกนั้นด้วย ทำไมเป็นฉันไม่ได้...อลิษา”วัยเด็กของราเชนทร์ในบ้านเด็กกำพร้า เขามักจะถูกหมาง ด้วยความที่เป็นคนเก็บตัว เด็กคนอื่นมองว่าเขาเป็น "ตัวประหลาด" เพราะความเงียบขรึมและไม่เข้าหาใคร แม้คนที่ดูแลบ้านเด็กกำพร้าก็ไม่ได้ใส่เขามีเพียงอลิษาที่นึกสงสารในโชคชะตานั้น เธอคอยให้ความช่วยเหลือราเชนทร์ เป็นคนแรกที่ไม่หันหลังให้เขา ทำให้ความรักและคลั่งไคล้ที่ราเชนทร์ที่มีต่ออลิษานั้นดูรุนแรง เพราะเขากลัวว่าจะสูญเสียของสำคัญอย่างเธอไปหลายวันผ่านไปอลิสาก็ยังคงมาทำงานที่ผับเดอะริชเหมือนเช่นเคย ชงเครื่องดื่มเมนูแล้วเมนูเหล่าให้กับลูกค้า มีเพียงสิ่งหนึ่งที่อลิสารู้สึกได้ว่าเปลี่ยนไปวายุแวะเวียนมาที่นี่บ่อยขึ้น เขามักจะมานั่งที่เคาท์เตอร์บาร์ สั่งเครื่องดื่มวิสกี้เหมือนเดิมทุกวัน และแน่นอนว่าคนที่ต้องทำเครื่องดื่มให้กับวายุก็คืออลิษานั่นเองแม้จะมีสาวสวยมาขอชนแก้วครั้งแล้วครั้งเล่าแต่วายุก็ไม่สนใจ เขาเอาแต่นั่งตรงบาร์ตัวเดิมตำแหน่งเดิม ใกล้ๆ กับบริเวณที่อริสากำลังยืนทำงานอยู่ อลิษาที่วุ่นวายกับการทำงา
“คุณอลิษาใช่ไหมครับ”“ใช่ค่ะ”“กระผมสารวัตรสมเจตน์นะครับ ทางเรานั้นอยากจะมาแจ้งข่าวให้คุณทราบว่านายราเชนทร์นั้นได้ถูกทางตำรวจปล่อยตัวออกมาแล้ว เนื่องจากหลักฐานที่มีไม่เพียงพอที่จะเอาผิดได้”“ค่ะ...”“ถ้าเขามาป้วนเปี้ยนรอบตัวคุณหรือสร้างความรำคาญให้คนรอบข้างของคุณอีก สามารถโทรแจ้งผมที่เบอร์นี้ได้เลยนะครับ”“ขอบคุณมากค่ะ คุณสารวัตร” ช่างเป็นบทสนทนาสั้นๆ ที่สามารถทำให้หนักใจได้เสียจริงในยามค่ำคืนที่เงียบสงบของกรุงเทพมหานคร ใครหลายคนกำลังหลับใหล แต่ทว่าหลายคนก็ยังวุ่นวายกับการทำงาน และอลิษาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น“ซ่าาา""เชค เชค เชค""แกร๊กๆ แกร๊กๆ"เสียงเขย่าขึ้นลงของแก้วเชคที่มีน้ำแข็งและส่วนผสมของเหล้าอยู่ในนั้น กำลังถูกสร้างสรรค์โดยอลิษา มันเป็นเครื่องดื่มเมนูซิกเนจอร์ของผับเดอะริช สถานที่ท่องราตรีที่มีชื่อเสียงในขณะนี้“ฉ่อก ฉ่อก” เครื่องดื่มซิกเนเจอร์กำลังถูกเทลงในแก้วค็อกเทลสีใส จังหวะการเขย่าของอลิษานั้นคลอเคลียไปกับเสียงเพลงมันส์ในยามค่ำคื่นท่ามกลางเสียงและบรรยากาศที่ดูสนุกและเมามันส์นั้น มือที่เขย่าอย่างเอาเป็นเอาตายนั้นกลับความอ่อนแรงเอาไว้ภายในใจเมื่อห้าปีก่อน หลังจากที่ออกจาส