แสงแดดรำไรส่องผ่านเข้ามา ณ สถานที่แห่งหนึ่ง กลิ่นหอมเย็นของกำยานจันทน์หอมกำลังลอยอบอวลชวนให้ผ่อนคลาย
อลิษาค่อยๆ ลืมเปลือกตาขึ้นมา หรี่ตาสู้กับแสงเพื่อที่จะมองว่าภาพเบื้องหน้าของเธอนั้นคือสถานที่ใดกันแน่ เธอเข้ามาพักฟื้นที่โรงพยาบาล หรือว่าเสียชีวิตแล้วได้ขึ้นสวรรค์
ผนังห้องทั้งสี่ทิศเป็นลายไม้ดูโบราณมาก จะบอกว่าเป็นโรงพยาบาลมันก็แปลกมากทีเดียว หรือว่าเธอตายไปแล้วขึ้นสวรรค์กัน
แต่เธอก็ต้องตกใจเพราะบรรยากาศมันดูวินเทจแปลกตาเป็นอย่างมาก ราวกับว่ากำลังหลุดเข้าไปมินิซีรี่ย์จีนโบราณที่อยู่ตามแอพโทรศัพท์มือถือ
หลังจากนั้นภาพก็ไหลเข้ามาในสมองของอลิษา คล้ายกับว่าเป็นกระแสความทรงจำของใครคนหนึ่ง
“ไป๋ลู่...”
ดรุณีน้อยรูปงามย่างเท้าออกมานอกจวนในยามวิกาล พร้อมกับควันจางๆ ที่พรั่งพรูออกมาพร้อมกับลมหายใจ นางมองไปยังสระน้ำเบื้องหน้า แววตาคู่งามแลดูมีความเหยื่อยล้าอยู่ในนั้น
“ข้าจะทำอย่างไรดี ท่านโหวกำลังจะกลับมา...”
แม้จะบอกว่าให้ตัดใจจากบุรุษผู้นั้น แต่แววตาของนางช่างตรงข้ามกับสิ่งที่คิดเสียเหลือเกิน นางไม่อาจปล่อยวาง ไม่ว่าอย่างไร เขาก็คงไม่อนุญาตให้นางอยู่เคียงข้างเขาในฐานะภรรยาอีกแล้ว
“ตู้ม!”
ดรุณีน้อยนางนั้นหายวับไปท่ามกลางความมืดที่หนาวเย็น เหลือไว้แค่เพียงผิวน้ำที่แตกกระจายใต้เงาจันทร์ที่เลือนลาง
อย่าบอกนะว่าสาวน้อยแสนสวยคนนี้ฆ่าตัวตาย!
“ฮูหยิน ท่านฟื้นแล้ว!” เสียงที่ดังกังวานของใครคนหนึ่งเข้ามายังโสตประสามของเธอ เมื่อปรายตามองไปยังทิศทางของเสียง สาวใช้คนหนึ่งก็วิ่งปรี่เข้ามาในห้องด้วยความเร่งรีบ
“เจ้า ผิงผิง?” ในความทรงจำที่เข้ามาทำให้อลิษาได้รู้ว่าเด็กสาวตรงหน้ามีชื่อว่าผิงผิง ซึ่งเป็นสาวใช้ที่ติดตามร่างเดิมมาจากเมืองหลวง
ด้านหลังของผิงผิงนั้น ยังมีอีกชายสูงวัยคนหนึ่ง ดูจากท่าทางและย่ามใบใหญ่ที่สะพายแล้วน่าจะเป็นหมอ ทั้งสองคนนั้นสวมชุดประหลาดอย่างกับในซีรี่ย์จีนที่เคยดู อย่างกับทะลุมิติมาอย่างไรอย่างนั้น...
เดี๋ยวนะ ฉันทะลุมิติมา!!
“ผิงผิง เจ้าช่วยบอกข้าที ว่าที่นี่คือที่ไหนกันแน่?” เสียงของเธอหลุดออกมาเอง ก่อนที่สมองจะทันคิด
อลิษาชะงักไป…
เดี๋ยวสิ เสียงนั้นมัน…จีน? เธอพูดภาษาจีนได้ตั้งแต่เมื่อไหร่!
“ฮูหยิน เกิดอะไรขึ้นกับท่าน”
“ฉัน เอ่อ ข้า”
“ท่านหมอบอกว่าอาการป่วยท่านกำเริบจากการจมน้ำ ตัวท่านนั้นสลบไปร่วมเจ็ดวันแล้วเจ้าค่ะ”
“จมน้ำ? สลบไปเจ็ดวัน?” อลิษาอ้าปากค้าง แม้สมองจะเต็มไปด้วยคำถามมากมายแต่คำพูดเหล่านั้นกลับจุกอยู่ในลำคอ
นี่มันเรื่องจริงหรือฝันกันแน่?
แม้จะอยากโวยวายกรีดร้องเหมือนในหนังมากเพียงใด แต่อลิษาก็เลือกที่จะไม่ทำ เพราะแต่เดิมเวลาที่เธอต้องเผชิญปัญหา ไม่ว่าจะหนักเบาเพียงใด ก็ไม่มีใครสักคนที่รับฟัง นานวันเข้าเธอจึงกลายเป็นคนนิ่งเงียบไปในที่สุด ครั้งนี้ก็เช่นกัน เธอได้แต่เก็บปัญหาที่แก้ไม่ตกไว้ในใจแต่เพียงผู้เดียว
“ได้เวลาที่ท่านต้องชำระกายแล้วนะเจ้าคะ เดี๋ยวท่านโหวรอนานแล้วจะพาลโมโหท่านเอา”
“ท่านโหวงั้นหรือ?”
“เจ้าค่ะ ท่านโหว สามีของท่านกลับมาแล้ว”
เดิมเจ้าของร่างนี้มีนามว่าไป่ลู่ เป็นบุตรสาวสุดที่รักของเสนาบดีกรมคลังไป๋เซียง และยังมีศักดิ์เป็นถึงหลานสาวของไทเฮา นางถูกมอบสมรสพระราชทานมาให้กับท่านโหวแห่งดินแดนเหนือ “หวังจิ่นหรง” เนื่องจากเขาได้สร้างคุณงามความดี ปกป้องหัวเมืองเหนือได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาจึงต้องรับนางมายังแดนเหนือเพื่อเป็นฮูหยินแห่งจวนโหวนี้
ในความทรงจำของร่างนี้ เหมือนว่าไป๋ลู่นั้นจะทั้งรักและกลัวท่านโหวคนนี้มาก เขาเป็นคนที่เผด็จการและโหดร้ายเป็นอย่างมาก ตั้งแต่แต่งงานกันมาสามปี เขาก้ไม่เคยพำนักที่จวนแห่งนี้เลย ต้องไปออกรบตั้งแต่คืนแรกที่เข้าหอ
เห็นว่าในวันมงคลนั้น กลับมีชนเผ่าที่ชื่อว่า “เซวียนหยา” ชนเผ่าที่ขึ้นชื่อว่าป่าเถื่อนบุกเข้ามาประชิดเมือง เพราะพวกเขาต้องทนกับสภาพภูมิอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปีและความแห้งแล้ง ทำให้พวกชนเผ่าเซวียนหยานั้นมุ่งมั่นที่จะยึดครองเมือง “หลิงเสวี่ย” ดินแดนสำคัญทางตอนเหนือ ซึ่งเป็นที่พำนักของท่านโหวและมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์อย่างยิ่ง
หลังจากที่นั่งและนอนทำใจอยู่หลายชั่วนาที อลิษาจึงตัดสินใจที่จะสวมรอยเป็นไป๋ลู่และใช้ชีวิตที่นี่ไปก่อน หากในวันหน้าสามารถหาหนทางไปได้ ค่อยว่ากันอีกทีสักวันเธออาจจะได้กลับไปยังโลกเดิมที่จากมาก็เป็นได้...อีกฟากฝั่งหนึ่งของจวน ในศาลาเล็กริมสวนใหญ่ที่มีดอกเหมยแดงบานสะพรั่งท้าลมหนาว เอกบุรุษผู้หนึ่งกำลังนั่งคอยฮูหยินของเขาอยู่บนโต๊ะหินทรงกลมที่มีอาหารวางอยู่เรียงรายดวงตาเฉี่ยวคมสีทองอร่าม เรือนผมสีน้ำตาลเข้มถูกมัดอย่างเป็นระเบียบในชุดสีแดง ซึ่งเป็นสีประจำตัวของโหวแห่งดินแดนเหนือ “หวังจิ่นหรง”คือแม่ทัพใหญ่หนึ่งในสี่ของแผ่นดิน ได้รับบรรดาศักดิ์โหวสืบต่อจากบิดาที่ล่วงลับไปเมื่อหลายปีก่อน“ท่านโหวขอรับ” ชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดเกราะก้าวเข้ามายังศาลาเล็ก เพื่อนำข่าวมาแจ้งแก่ผู้เป็นนายของเขา“ว่าอย่างไร หานชิง” หวังจิ่นหรงพียงปรายตามองไปยังคนสนิทของเขา โดยยังคงมองตรงไปยังทางด้านหน้า ราวกับกำลังจดจ่อรอคอยการมาถึงของใครบางคน“ภารกิจที่ท่านมอบหมายให้กองทัพ มีพลทหารคนหนึ่งทำผิดพลาดขอรับ เขาดื่มสุราจนเมาและเผลอแพร่งพรายแผนการออกไป”“ข้าเกลียดคำว่าผิดพลาดยิ่งนัก!” เสียงทุ้มต่ำดูนุ่มลึก แต่ทว่ามันกลับเจ
“นี่ก็ผ่านไปหลายเค่อแล้ว ฮูหยินของข้านั้นมีปัญหาอันใด ทำไมถึงยังไม่มาหาข้า”“ท่านโหวเจ้าคะ เดี๋ยวข้าจะไปตามฮูหยินมาให้ท่านเอง”บ่าวรับใช้สาวผู้มีใบหน้าสวยงามเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนหวานล้ำ“รบกวนเจ้าด้วย เหลียนฮวา”หวังจิ่นหรงกล่าวออกมาโดยที่ไม่หันไปมอง เสียงทุ้มต่ำนั้นเรียบนิ่งแต่ดุดันเหมือนกับสั่งงานพลทหารอย่างไรอย่างนั้น ราวกับว่าความงดงามของบ่าวคนนี้ไม่ได้ส่งผลตอ่หัวใจที่แข็งราวกับเหล็กกล้าของเขาเลยแม้แต่น้อยเมื่อก้าวเท้าถอยหลังออกมาจากศาลาเล็ก เหลียนฮวาหมุนตัวออกไป โดยที่มือเรียวกำลังกำจิกชายกระโปรงแน่น ราวกับคำว่า “ฮูหยิน” ที่หลุดออกมาจากปากนั้นเป็นราวกับหนอนแมลงวันที่น่ารังเกียจแต่ยังไม่ทันที่จะก้าวเท้าออกไป ฮูหยินที่นางจงเกลียดจงชังก็เข้ามายังบริเวณสวนสวยเป็นที่เรียบร้อยไป๋ลู่ย่างกรายเข้ามาอย่างอ่อนช้อย วันนี้นางสวมใส่อาภรณ์สีเขียวอ่อน ประดับเรือนผมสีปีกกาด้วยผ้าผูกผมสีแดงและเครื่องประดับผมที่มีรูปร่างคล้ายพัด สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ที่ได้พบเห็น โดยเฉพาะเจ้าของจวนใหญ่แห่งนี้ใบหน้าคมที่ดูเคร่งขรึมนั้นกลับขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ ราวกับว่าสตรีตรงหน้าเป็นคนแปลกหน้าสำหรับ
“ไป๋ลู่!” ภรรยาคนนี้ชักจะเหิมเกริมเกินไปแล้ว ขนาดวันแรกที่ได้อยู่ร่วมชายคาเดียวกันในฐานะสามีภรรยายังเป็นได้ขนาดนี้ ถ้าเขาไม่ควบคุมนางให้อยู่หมัด มีหวังว่าในอนาคตนางจะต้องนำความยุ่งยากมาให้ที่จวนโหวแห่งนี้อย่างแน่นอน“วันหลังหากท่านหิวข้าวหรืออยากรับสำรับอาหารแจ้งกับบ่าวได้เลย ไม่ต้องรอข้าอีก เพราะข้าจะไม่ขอไม่ร่วมโต๊ะกับท่าน เกรงว่าข้าคงมารยาทไม่ดีพอที่จะอยู่ร่วมชายคากับท่าน”ไป๋ลู่กล่าวทิ้งท้าย ก่อนจะสะบัดหน้าหันหลังเดินจากไป ทิ้งท่านโหวแดนเหนือผู้ยิ่งใหญ่ให้ยืนนิ่งอึ้งอยู่ที่ศาลาโดยที่ไม่สนว่าเขาจะทำอย่างไรกับนางต่อไป“ลู่เอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้?”แววตาของหวังจิ่นหรงที่มองคล้อยหลังไป๋ลู่ไปนั้นกลับเกิดประกายวูบไหวอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินออกจากศาลาไปด้วยความขุ่นเคืองด้านท้ายของจวนโหว ฮูหยินคนงามกำลังนั่งปรับทุกข์กับต้นเหมยแดงต้นหนึ่ง แม้ในจวนแห่งนี้จะมีต้นเหมยแดงมากมาย แต่ว่าต้นไม้ต้นนี้ใหความรู้สึกที่แตกต่างออกไป ไม่รู้ว่าทำไมแต่นางรู้สึกคุ้นเคยกับเหมยแดงต้นนี้เป็นอย่างมากไม่แน่ใจว่าจะเกี่ยวกับความทรงจำของร่างเดิมหรือไม่ เพราะกระแสความทรงจำนั้นได้ฉายให้เห็นเ
“คุณอลิษาใช่ไหมครับ”“ใช่ค่ะ”“กระผมสารวัตรสมเจตน์นะครับ ทางเรานั้นอยากจะมาแจ้งข่าวให้คุณทราบว่านายราเชนทร์นั้นได้ถูกทางตำรวจปล่อยตัวออกมาแล้ว เนื่องจากหลักฐานที่มีไม่เพียงพอที่จะเอาผิดได้”“ค่ะ...”“ถ้าเขามาป้วนเปี้ยนรอบตัวคุณหรือสร้างความรำคาญให้คนรอบข้างของคุณอีก สามารถโทรแจ้งผมที่เบอร์นี้ได้เลยนะครับ”“ขอบคุณมากค่ะ คุณสารวัตร” ช่างเป็นบทสนทนาสั้นๆ ที่สามารถทำให้หนักใจได้เสียจริงในยามค่ำคืนที่เงียบสงบของกรุงเทพมหานคร ใครหลายคนกำลังหลับใหล แต่ทว่าหลายคนก็ยังวุ่นวายกับการทำงาน และอลิษาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น“ซ่าาา""เชค เชค เชค""แกร๊กๆ แกร๊กๆ"เสียงเขย่าขึ้นลงของแก้วเชคที่มีน้ำแข็งและส่วนผสมของเหล้าอยู่ในนั้น กำลังถูกสร้างสรรค์โดยอลิษา มันเป็นเครื่องดื่มเมนูซิกเนจอร์ของผับเดอะริช สถานที่ท่องราตรีที่มีชื่อเสียงในขณะนี้“ฉ่อก ฉ่อก” เครื่องดื่มซิกเนเจอร์กำลังถูกเทลงในแก้วค็อกเทลสีใส จังหวะการเขย่าของอลิษานั้นคลอเคลียไปกับเสียงเพลงมันส์ในยามค่ำคื่นท่ามกลางเสียงและบรรยากาศที่ดูสนุกและเมามันส์นั้น มือที่เขย่าอย่างเอาเป็นเอาตายนั้นกลับความอ่อนแรงเอาไว้ภายในใจเมื่อห้าปีก่อน หลังจากที่ออกจาส
มือคู่นั้นเกาะสายไฟอย่างสั่นเทา มือกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดชัดเจน“ทำไมเธอจะต้องคอยทำเครื่องดื่มให้คนพวกนั้นด้วย ทำไมเป็นฉันไม่ได้...อลิษา”วัยเด็กของราเชนทร์ในบ้านเด็กกำพร้า เขามักจะถูกหมาง ด้วยความที่เป็นคนเก็บตัว เด็กคนอื่นมองว่าเขาเป็น "ตัวประหลาด" เพราะความเงียบขรึมและไม่เข้าหาใคร แม้คนที่ดูแลบ้านเด็กกำพร้าก็ไม่ได้ใส่เขามีเพียงอลิษาที่นึกสงสารในโชคชะตานั้น เธอคอยให้ความช่วยเหลือราเชนทร์ เป็นคนแรกที่ไม่หันหลังให้เขา ทำให้ความรักและคลั่งไคล้ที่ราเชนทร์ที่มีต่ออลิษานั้นดูรุนแรง เพราะเขากลัวว่าจะสูญเสียของสำคัญอย่างเธอไปหลายวันผ่านไปอลิสาก็ยังคงมาทำงานที่ผับเดอะริชเหมือนเช่นเคย ชงเครื่องดื่มเมนูแล้วเมนูเหล่าให้กับลูกค้า มีเพียงสิ่งหนึ่งที่อลิสารู้สึกได้ว่าเปลี่ยนไปวายุแวะเวียนมาที่นี่บ่อยขึ้น เขามักจะมานั่งที่เคาท์เตอร์บาร์ สั่งเครื่องดื่มวิสกี้เหมือนเดิมทุกวัน และแน่นอนว่าคนที่ต้องทำเครื่องดื่มให้กับวายุก็คืออลิษานั่นเองแม้จะมีสาวสวยมาขอชนแก้วครั้งแล้วครั้งเล่าแต่วายุก็ไม่สนใจ เขาเอาแต่นั่งตรงบาร์ตัวเดิมตำแหน่งเดิม ใกล้ๆ กับบริเวณที่อริสากำลังยืนทำงานอยู่ อลิษาที่วุ่นวายกับการทำงา
“ไป๋ลู่!” ภรรยาคนนี้ชักจะเหิมเกริมเกินไปแล้ว ขนาดวันแรกที่ได้อยู่ร่วมชายคาเดียวกันในฐานะสามีภรรยายังเป็นได้ขนาดนี้ ถ้าเขาไม่ควบคุมนางให้อยู่หมัด มีหวังว่าในอนาคตนางจะต้องนำความยุ่งยากมาให้ที่จวนโหวแห่งนี้อย่างแน่นอน“วันหลังหากท่านหิวข้าวหรืออยากรับสำรับอาหารแจ้งกับบ่าวได้เลย ไม่ต้องรอข้าอีก เพราะข้าจะไม่ขอไม่ร่วมโต๊ะกับท่าน เกรงว่าข้าคงมารยาทไม่ดีพอที่จะอยู่ร่วมชายคากับท่าน”ไป๋ลู่กล่าวทิ้งท้าย ก่อนจะสะบัดหน้าหันหลังเดินจากไป ทิ้งท่านโหวแดนเหนือผู้ยิ่งใหญ่ให้ยืนนิ่งอึ้งอยู่ที่ศาลาโดยที่ไม่สนว่าเขาจะทำอย่างไรกับนางต่อไป“ลู่เอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้?”แววตาของหวังจิ่นหรงที่มองคล้อยหลังไป๋ลู่ไปนั้นกลับเกิดประกายวูบไหวอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินออกจากศาลาไปด้วยความขุ่นเคืองด้านท้ายของจวนโหว ฮูหยินคนงามกำลังนั่งปรับทุกข์กับต้นเหมยแดงต้นหนึ่ง แม้ในจวนแห่งนี้จะมีต้นเหมยแดงมากมาย แต่ว่าต้นไม้ต้นนี้ใหความรู้สึกที่แตกต่างออกไป ไม่รู้ว่าทำไมแต่นางรู้สึกคุ้นเคยกับเหมยแดงต้นนี้เป็นอย่างมากไม่แน่ใจว่าจะเกี่ยวกับความทรงจำของร่างเดิมหรือไม่ เพราะกระแสความทรงจำนั้นได้ฉายให้เห็นเ
“นี่ก็ผ่านไปหลายเค่อแล้ว ฮูหยินของข้านั้นมีปัญหาอันใด ทำไมถึงยังไม่มาหาข้า”“ท่านโหวเจ้าคะ เดี๋ยวข้าจะไปตามฮูหยินมาให้ท่านเอง”บ่าวรับใช้สาวผู้มีใบหน้าสวยงามเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนหวานล้ำ“รบกวนเจ้าด้วย เหลียนฮวา”หวังจิ่นหรงกล่าวออกมาโดยที่ไม่หันไปมอง เสียงทุ้มต่ำนั้นเรียบนิ่งแต่ดุดันเหมือนกับสั่งงานพลทหารอย่างไรอย่างนั้น ราวกับว่าความงดงามของบ่าวคนนี้ไม่ได้ส่งผลตอ่หัวใจที่แข็งราวกับเหล็กกล้าของเขาเลยแม้แต่น้อยเมื่อก้าวเท้าถอยหลังออกมาจากศาลาเล็ก เหลียนฮวาหมุนตัวออกไป โดยที่มือเรียวกำลังกำจิกชายกระโปรงแน่น ราวกับคำว่า “ฮูหยิน” ที่หลุดออกมาจากปากนั้นเป็นราวกับหนอนแมลงวันที่น่ารังเกียจแต่ยังไม่ทันที่จะก้าวเท้าออกไป ฮูหยินที่นางจงเกลียดจงชังก็เข้ามายังบริเวณสวนสวยเป็นที่เรียบร้อยไป๋ลู่ย่างกรายเข้ามาอย่างอ่อนช้อย วันนี้นางสวมใส่อาภรณ์สีเขียวอ่อน ประดับเรือนผมสีปีกกาด้วยผ้าผูกผมสีแดงและเครื่องประดับผมที่มีรูปร่างคล้ายพัด สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ที่ได้พบเห็น โดยเฉพาะเจ้าของจวนใหญ่แห่งนี้ใบหน้าคมที่ดูเคร่งขรึมนั้นกลับขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ ราวกับว่าสตรีตรงหน้าเป็นคนแปลกหน้าสำหรับ
หลังจากที่นั่งและนอนทำใจอยู่หลายชั่วนาที อลิษาจึงตัดสินใจที่จะสวมรอยเป็นไป๋ลู่และใช้ชีวิตที่นี่ไปก่อน หากในวันหน้าสามารถหาหนทางไปได้ ค่อยว่ากันอีกทีสักวันเธออาจจะได้กลับไปยังโลกเดิมที่จากมาก็เป็นได้...อีกฟากฝั่งหนึ่งของจวน ในศาลาเล็กริมสวนใหญ่ที่มีดอกเหมยแดงบานสะพรั่งท้าลมหนาว เอกบุรุษผู้หนึ่งกำลังนั่งคอยฮูหยินของเขาอยู่บนโต๊ะหินทรงกลมที่มีอาหารวางอยู่เรียงรายดวงตาเฉี่ยวคมสีทองอร่าม เรือนผมสีน้ำตาลเข้มถูกมัดอย่างเป็นระเบียบในชุดสีแดง ซึ่งเป็นสีประจำตัวของโหวแห่งดินแดนเหนือ “หวังจิ่นหรง”คือแม่ทัพใหญ่หนึ่งในสี่ของแผ่นดิน ได้รับบรรดาศักดิ์โหวสืบต่อจากบิดาที่ล่วงลับไปเมื่อหลายปีก่อน“ท่านโหวขอรับ” ชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดเกราะก้าวเข้ามายังศาลาเล็ก เพื่อนำข่าวมาแจ้งแก่ผู้เป็นนายของเขา“ว่าอย่างไร หานชิง” หวังจิ่นหรงพียงปรายตามองไปยังคนสนิทของเขา โดยยังคงมองตรงไปยังทางด้านหน้า ราวกับกำลังจดจ่อรอคอยการมาถึงของใครบางคน“ภารกิจที่ท่านมอบหมายให้กองทัพ มีพลทหารคนหนึ่งทำผิดพลาดขอรับ เขาดื่มสุราจนเมาและเผลอแพร่งพรายแผนการออกไป”“ข้าเกลียดคำว่าผิดพลาดยิ่งนัก!” เสียงทุ้มต่ำดูนุ่มลึก แต่ทว่ามันกลับเจ
แสงแดดรำไรส่องผ่านเข้ามา ณ สถานที่แห่งหนึ่ง กลิ่นหอมเย็นของกำยานจันทน์หอมกำลังลอยอบอวลชวนให้ผ่อนคลายอลิษาค่อยๆ ลืมเปลือกตาขึ้นมา หรี่ตาสู้กับแสงเพื่อที่จะมองว่าภาพเบื้องหน้าของเธอนั้นคือสถานที่ใดกันแน่ เธอเข้ามาพักฟื้นที่โรงพยาบาล หรือว่าเสียชีวิตแล้วได้ขึ้นสวรรค์ผนังห้องทั้งสี่ทิศเป็นลายไม้ดูโบราณมาก จะบอกว่าเป็นโรงพยาบาลมันก็แปลกมากทีเดียว หรือว่าเธอตายไปแล้วขึ้นสวรรค์กันแต่เธอก็ต้องตกใจเพราะบรรยากาศมันดูวินเทจแปลกตาเป็นอย่างมาก ราวกับว่ากำลังหลุดเข้าไปมินิซีรี่ย์จีนโบราณที่อยู่ตามแอพโทรศัพท์มือถือหลังจากนั้นภาพก็ไหลเข้ามาในสมองของอลิษา คล้ายกับว่าเป็นกระแสความทรงจำของใครคนหนึ่ง“ไป๋ลู่...”ดรุณีน้อยรูปงามย่างเท้าออกมานอกจวนในยามวิกาล พร้อมกับควันจางๆ ที่พรั่งพรูออกมาพร้อมกับลมหายใจ นางมองไปยังสระน้ำเบื้องหน้า แววตาคู่งามแลดูมีความเหยื่อยล้าอยู่ในนั้น“ข้าจะทำอย่างไรดี ท่านโหวกำลังจะกลับมา...”แม้จะบอกว่าให้ตัดใจจากบุรุษผู้นั้น แต่แววตาของนางช่างตรงข้ามกับสิ่งที่คิดเสียเหลือเกิน นางไม่อาจปล่อยวาง ไม่ว่าอย่างไร เขาก็คงไม่อนุญาตให้นางอยู่เคียงข้างเขาในฐานะภรรยาอีกแล้ว“ตู้ม!”ดรุณ
มือคู่นั้นเกาะสายไฟอย่างสั่นเทา มือกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดชัดเจน“ทำไมเธอจะต้องคอยทำเครื่องดื่มให้คนพวกนั้นด้วย ทำไมเป็นฉันไม่ได้...อลิษา”วัยเด็กของราเชนทร์ในบ้านเด็กกำพร้า เขามักจะถูกหมาง ด้วยความที่เป็นคนเก็บตัว เด็กคนอื่นมองว่าเขาเป็น "ตัวประหลาด" เพราะความเงียบขรึมและไม่เข้าหาใคร แม้คนที่ดูแลบ้านเด็กกำพร้าก็ไม่ได้ใส่เขามีเพียงอลิษาที่นึกสงสารในโชคชะตานั้น เธอคอยให้ความช่วยเหลือราเชนทร์ เป็นคนแรกที่ไม่หันหลังให้เขา ทำให้ความรักและคลั่งไคล้ที่ราเชนทร์ที่มีต่ออลิษานั้นดูรุนแรง เพราะเขากลัวว่าจะสูญเสียของสำคัญอย่างเธอไปหลายวันผ่านไปอลิสาก็ยังคงมาทำงานที่ผับเดอะริชเหมือนเช่นเคย ชงเครื่องดื่มเมนูแล้วเมนูเหล่าให้กับลูกค้า มีเพียงสิ่งหนึ่งที่อลิสารู้สึกได้ว่าเปลี่ยนไปวายุแวะเวียนมาที่นี่บ่อยขึ้น เขามักจะมานั่งที่เคาท์เตอร์บาร์ สั่งเครื่องดื่มวิสกี้เหมือนเดิมทุกวัน และแน่นอนว่าคนที่ต้องทำเครื่องดื่มให้กับวายุก็คืออลิษานั่นเองแม้จะมีสาวสวยมาขอชนแก้วครั้งแล้วครั้งเล่าแต่วายุก็ไม่สนใจ เขาเอาแต่นั่งตรงบาร์ตัวเดิมตำแหน่งเดิม ใกล้ๆ กับบริเวณที่อริสากำลังยืนทำงานอยู่ อลิษาที่วุ่นวายกับการทำงา
“คุณอลิษาใช่ไหมครับ”“ใช่ค่ะ”“กระผมสารวัตรสมเจตน์นะครับ ทางเรานั้นอยากจะมาแจ้งข่าวให้คุณทราบว่านายราเชนทร์นั้นได้ถูกทางตำรวจปล่อยตัวออกมาแล้ว เนื่องจากหลักฐานที่มีไม่เพียงพอที่จะเอาผิดได้”“ค่ะ...”“ถ้าเขามาป้วนเปี้ยนรอบตัวคุณหรือสร้างความรำคาญให้คนรอบข้างของคุณอีก สามารถโทรแจ้งผมที่เบอร์นี้ได้เลยนะครับ”“ขอบคุณมากค่ะ คุณสารวัตร” ช่างเป็นบทสนทนาสั้นๆ ที่สามารถทำให้หนักใจได้เสียจริงในยามค่ำคืนที่เงียบสงบของกรุงเทพมหานคร ใครหลายคนกำลังหลับใหล แต่ทว่าหลายคนก็ยังวุ่นวายกับการทำงาน และอลิษาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น“ซ่าาา""เชค เชค เชค""แกร๊กๆ แกร๊กๆ"เสียงเขย่าขึ้นลงของแก้วเชคที่มีน้ำแข็งและส่วนผสมของเหล้าอยู่ในนั้น กำลังถูกสร้างสรรค์โดยอลิษา มันเป็นเครื่องดื่มเมนูซิกเนจอร์ของผับเดอะริช สถานที่ท่องราตรีที่มีชื่อเสียงในขณะนี้“ฉ่อก ฉ่อก” เครื่องดื่มซิกเนเจอร์กำลังถูกเทลงในแก้วค็อกเทลสีใส จังหวะการเขย่าของอลิษานั้นคลอเคลียไปกับเสียงเพลงมันส์ในยามค่ำคื่นท่ามกลางเสียงและบรรยากาศที่ดูสนุกและเมามันส์นั้น มือที่เขย่าอย่างเอาเป็นเอาตายนั้นกลับความอ่อนแรงเอาไว้ภายในใจเมื่อห้าปีก่อน หลังจากที่ออกจาส