อีกฟากฝั่งหนึ่งของจวน ในศาลาเล็กริมสวนใหญ่ที่มีดอกเหมยแดงบานสะพรั่งท้าลมหนาว เอกบุรุษผู้หนึ่งกำลังนั่งคอยฮูหยินของเขาอยู่บนโต๊ะหินทรงกลมที่มีอาหารวางอยู่เรียงราย
ดวงตาเฉี่ยวคมสีทองอร่าม เรือนผมสีน้ำตาลเข้มถูกมัดอย่างเป็นระเบียบในชุดสีแดง ซึ่งเป็นสีประจำตัวของโหวแห่งดินแดนเหนือ “หวังจิ่นหรง”คือแม่ทัพใหญ่หนึ่งในสี่ของแผ่นดิน ได้รับบรรดาศักดิ์โหวสืบต่อจากบิดาที่ล่วงลับไปเมื่อหลายปีก่อน
“ท่านโหวขอรับ” ชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดเกราะก้าวเข้ามายังศาลาเล็ก เพื่อนำข่าวมาแจ้งแก่ผู้เป็นนายของเขา
“ว่าอย่างไร หานชิง” หวังจิ่นหรงปรายตามองไปยังคนสนิทของเขา โดยที่สายตานั้นยังคงมองตรงไปยังทางด้านหน้า ราวกับกำลังจดจ่อรอคอยการมาถึงของใครบางคน
“ภารกิจที่ท่านมอบหมายให้กองทัพ มีพลทหารคนหนึ่งทำผิดพลาดขอรับ เขาดื่มสุราจนเมาและเผลอแพร่งพรายแผนการของพวกเราออกไป”
“ข้าเกลียดคำว่าผิดพลาดยิ่งนัก!” เสียงทุ้มต่ำดูนุ่มลึก แต่ทว่ามันกลับเจือไปด้วยความเดือดดาลอยู่ในน้ำเสียงนั้น
“ท่านโหวจะให้ข้าทำอย่างไรกับพลหารผู้นี้ดีขอรับ?”
“ในสนามรบ ความผิดพลาดหมายถึงชีวิตของทั้งกองทัพ" หวังจิ่นหรงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น มือของเขานั้นกำแน่นด้วยความเดือดดาล ในชีวิตอันสมบูรณ์และดีงามของเขา คำว่าผิดพลาดไม่เคยปรากฏแก่เขามาก่อน
"ผู้ที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ไม่มีสิทธิ์อยู่ในกองทัพของข้า! โบยและจับมันโยนออกนอกกองทัพเสีย!"
“หานชิงน้อมรับคำสั่งจากท่านโหว" กล่าวจบ ชายหนุ่มจึงก้าวออกจากศาลา มุ่งหน้าไปยังค่ายทหารของกองทัพทันที
หวังจิ่นหรงกำลังนั่งชงชาเพื่อฆ่าเวลา เนื่องจากวันนี้เขาไม่มีความจำเป็นต้องไปยังกองทัพแต่อย่างใด จึงอยากมาพบหน้าภรรยาแต่งของเขา เพื่อทำข้อตกลงบางอย่างร่วมกัน
เนื่องจากหลังพิธีคำนับฟ้าดิน เขาก็เหตุให้ต้องไปจากจวน กว่าจะกลับมาอีกที เวลาก็ล่วงเลยไปถึงสามปีแล้ว
ฝ่ามือด้านล่างใกล้ฐานนิ้วที่กำลังยกป้านน้ำชาอยู่นั้นเต็มไปด้วยร่องรอยของบาดแผลเนื่องจากการจับดาบแน่นเป็นเวลานาน และเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นเล็กๆ นับไม่ถ้วน
“เหตุใดถึงมาช้า สตรีเมืองหลวงไม่ได้รับการอบรมเรื่องความตรงต่อเวลามาหรืออย่างไร” พูดจบก็ถอนหายใจ เขาไม่ใช่บุรุษที่จะมาอดทนนั่งรอคอยสตรีในห้องหอเสียหน่อย
“ฮัดชิ่ว!” ดรุณีน้อยกำลังจามในขณะที่ผิงผิงกำลังบรรจงแต่งตัวให้ ผิงผิงนั้นเป็นบ่าวเพียงคนเดียวที่ติดตามร่างเดิมจากจวนเสนาบดีไป๋เซียงมาที่แดนเหนือแห่งนี้
“คุณหนู.. ไม่สิ ฮูหยินเจ้าคะ ท่านไม่สบายหรืออย่างไร?” สายตาและท่าทางลนลานของผิงผิงนั้นช่างน่ารักเสียจริง ไป๋ลู่คนใหม่หรืออลิษานั้นอมยิ้มให้กับการกระทำนั้นอย่างอดมิได้
ความเป็นห่วงจนเกิดอาการวิตกจริต สำหรับใครหลายๆ คนนั้นอาจจะมองว่าน่ารำคาญและอึดอัด แต่หญิงสาวกลับรู้สึกดีใจและตื้นตันใจเป็นอย่างมากที่มีคนวิตกกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของตน เพราะก่อนหน้านั้นไม่เคยมีใครเคยนึกห่วงใยตนมาก่อน
“ข้า...มิเป็นอะไรหรอก คงจะมีใครสักคนกำลังนินทาข้าลับหลังอยู่กระมัง”
“นินทา? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับอาการจามหรือเจ้าคะ”
“ก็โบราณเขาบอกกันว่า เวลามีใครนินทาเราๆ ก็มักจะจามออกมา”
“บ่าวไม่เคยได้ยินนะเจ้าคะ ฮูหยิน” ผิงผิงเอียงศีรษะเล็กน้อย สีหน้าฉงนเหมือนพยายามทำความเข้าใจคำพูดแปลกๆ ของนาง
“เจ้าเรียกอย่างอื่น ที่ไม่ใช่คำว่าฮูหยินได้ไหม ข้าฟังแล้วขนลุกชอบกล”
ก็แน่สิ ตั้งแต่เด็กจนโต จนกระทั่งตายแล้วมาโผล่ในโลกนี้ หญิงสาวยังไม่เคยมีคนรักหรือแฟนเลยสักคน จู่ๆ จะให้มาเป็นภรรยาของใครสักคน มันก็รูสึกแปลกอย่างบอกไม่ถูก
หลังจากแต่งตัวเสร็จ ไป๋ลู่คนใหม่ได้หันไปมองตัวเองในกระจกกลมสีทองอร่ามบานใหญ่ ความงดงามของร่างเดิมนั้นงดงามมากจนถึงกับต้องอุทานออกมา
“สวยมาก!” หากบอกว่าดรุณีน้อยผู้นี้เป็นโฉมสะคราญอันดับของเมือง นางคงจะเชื่ออย่างหมดหัวใจ เรือนผมสีดำเหมือนกับปีกของอีกา ดวงตำสีเทาอ่อนราวกับเงาแสงจางของทะเลสาบในฤดูหนาวชวนให้หลงใหล ไหนจะผิวกายที่ขาวราวกับหยกเนื้อดี
เสียอย่างเดียวคือไป๋ลู่นั้นยังดูเป็นเด็กมากเกินไป มองผ่านๆ เหมือนกับเด็กวัยรุ่นอายุไม่เกินสิบแปดปี หากแม่ทัพผู้องอาจอย่างท่านโหวจะไม่นิยมชมชอบ นางก็ไม่แปลกใจ
ถ้าประมวลจากความทรงจำเดิม ตอนที่ไป๋ลู่คนนี้ออกเรือนมาคงจะมีอายุประมาณสิบห้าปี ซึ่งน่าจะเด็กเกินไปสำหรับการมีครอบครัว ดูท่าหลังจากพ้นวัยปักปิ่นนางก็ได้รับสมรสพระราชทานทันที
ชีวิตของดรุณีน้อยนั้นถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ยังไม่ทันเติบโต ความฝันและความรักคงกลายเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับสตรีที่ถูกส่งตัวมาแต่งงานต่างเมืองเช่นนาง
“นี่ก็ผ่านไปหลายเค่อแล้ว ฮูหยินของข้านั้นมีปัญหาอันใด ไฉนถึงยังไม่มาหาข้าจนป่านนี้?”“ท่านโหวเจ้าคะ เดี๋ยวข้าจะไปตามฮูหยินมาให้เองเจ้าค่ะ”เหลียนฮวา บ่าวรับใช้สาวผู้มีใบหน้าสวยงามเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนหวานล้ำ ดวงตาคู่งามจับจ้องมองเขาราวกับพยายามดึงความสนใจ“รบกวนเจ้าด้วย เหลียนฮวา”หวังจิ่นหรงกล่าวออกมาโดยที่ไม่หันไปมอง เสียงทุ้มต่ำนั้นเรียบนิ่งแต่ดุดันเหมือนกับสั่งงานพลทหารอย่างไรอย่างนั้น ราวกับว่าความงดงามของบ่าวคนนี้ไม่ได้ส่งผลต่อหัวใจที่แข็งราวกับเหล็กกล้าของเขาเลยแม้แต่น้อยเมื่อก้าวเท้าถอยหลังออกมาจากศาลาเล็ก เหลียนฮวาหมุนตัวออกไป โดยที่มือเรียวกำลังกำจิกชายกระโปรงแน่น ดวงตาแฝงไปด้วยความอิจฉาริษยาและโทสะที่ปิดไม่มิด ราวกับคำว่า “ฮูหยิน” ที่หลุดออกมาจากปากนั้น เป็นดั่งกับหนอนแมลงวันที่น่ารังเกียจตัวหนึ่งแต่ยังไม่ทันที่จะก้าวเท้าออกไป ฮูหยินที่นางจงเกลียดจงชังก็เข้ามายังบริเวณสวนสวยเป็นที่เรียบร้อยไป๋ลู่ย่างกรายเข้ามาอย่างอ่อนช้อย วันนี้นางสวมใส่อาภรณ์สีเขียวอ่อน ประดับเรือนผมสีปีกกาด้วยผ้าผูกผมสีแดงและเครื่องประดับผมที่มีรูปร่างคล้ายพัด สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ที่ได้พบ
ด้านท้ายของจวนโหว ฮูหยินคนงามกำลังนั่งปรับทุกข์กับต้นเหมยแดงต้นหนึ่ง แม้ในจวนแห่งนี้จะมีต้นเหมยแดงมากมาย แต่ว่าต้นไม้ต้นนี้ใหความรู้สึกที่แตกต่างออกไป ไม่รู้ว่าทำไมแต่นางรู้สึกคุ้นเคยกับเหมยแดงต้นนี้เป็นอย่างมากไม่แน่ใจว่าจะเกี่ยวกับความทรงจำของร่างเดิมหรือไม่ เพราะกระแสความทรงจำนั้นได้ฉายให้เห็นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นคือตอนที่ตื่นขึ้นมาในร่างนี้ครั้งแรก ทำให้หญิงสาวยังไม่สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้ทั้งหมดในตอนนี้“เป็นข้าๆ ก็คงจะฆ่าตัวตายเช่นกันแหละ ผู้ชายดีๆ มีตั้งมากมายแต่ดันได้สมรสพระราชทานให้มาแต่งกับสามีปากร้ายคนนี้!”ขนาดตายแล้วทะลุมิติมายังโลกนี้ก็ยังมิวายโดนคนอื่นดูถูกเหยียดหยาม ไม่ว่าโลกไหนก็ไม่มีคนใจดีกับเราเลยสักคน…ช่วงเวลาที่เติบโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เนื่องจากทรัพยากรและความใส่ใจที่ได้รับจากผู้ดูแลมีจำกัด การทำอาหารกินเองหรือจัดการชีวิตประจำวันโดยลำพัง กลายเป็นสิ่งที่อลิษานั้นจะต้องพัฒนาตัวเองเพื่อความอยู่รอดการเติบโตมาโดยปราศจากครอบครัวทำให้อลิษาไม่คุ้นเคยกับการสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับใคร ความโดดเดี่ยวนี้ยิ่งทวีคูณเมื่อเธอมักถูกเพื่อนร่วมชั้นมองว่าเป็นคน
“ผิงผิง! พอแล้ว อย่าทำร้ายตัวเองแบบนี้อีก” น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความร้อนรน “ข้าไม่ชอบเห็นเจ้าเจ็บปวด หากเจ้าอยากขอโทษข้าจริงๆ พาข้าไปที่โรงครัวแทนดีไหม? ถือเสียว่าเป็นการไถ่โทษ”ผิงผิงรีบเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวล“ไม่ได้เจ้าค่ะ! ข้าจะไปยกสำรับมาให้ท่านเอง โรงครัวเป็นสถานที่สำหรับบ่าว ฮูหยินไปที่นั่นด้วยตัวเองจะดูไม่งามเอาได้”ไป๋ลู่ยิ้มบางๆ แต่แววตาของนางกลับฉายความมุ่งมั่น“นำทางข้าไปเถอะ ผิงผิง”ไหนๆ เจ้าของจวนแห่งนี้ก็ได้มองนางในแง่ร้ายไปแล้ว จะให้นั่งรอคอยอาหารต่อไปอย่างไร้ความหงังก็ดูจะไร้ความหมาย สู้ออกไปเผชิญหน้ากับปัญหาเองยังดีเสียกว่าสำหรับคนที่ต้องสู้ชีวิตมาตลอด การลุกขึ้นสู้เพียงอีกครั้ง จะเป็นอะไรไปเล่า?“เอ่อ…”“เร็วสิ ข้าหิวจะแย่แล้ว หากเจ้าไม่พาข้าไป ข้าจะหาทางไปเอง หลีกทาง!”“ข้า ข้าพาไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”ผิงผิงจึงต้องจำยอมพาคุณหนูของตนไปยังโรงครัวของจวนโหวอย่างลีกเลี่ยงไม่ได้“ฮูหยิน ไม่ทราบว่ามาทำอะไรในโรงครัวแห่งนี้หรือเจ้าคะ?”เสียงแม่ครัวสาวดังขึ้นพร้อมสายตาแฝงแววเย้ยหยัน นางยิ้มเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่ไม่ปิดบังความดูแคลน“ที่นี่
ไม่นานนัก ทั้งน้ำมัน เครื่องปรุงมากมายก็ถูกวางลงบนโต๊ะยาวสำหรับทำอาหารอย่างพร้อมเพรียง ไป๋ลู่แอบยิ้มในใจ คนเหล่านี้แม้จะมีอคติแต่ก็ไม่ได้รับมือยากสักเท่าไหร่“ฮูหยิน ท่านจะทำอะไร ทำไมท่านถึงต้องใช้ไข่กับน้ำมัน?”“ข้าอยากทำไข่เจียวทานน่ะ”“ไข่เจียวคืออะไรหรือเจ้าคะ…”ไป๋ลู่หยิบไข่สามฟองและบรรจงตอกมันลงไปในชาม เติมเกลือลงเล็กน้อย ก่อนจะใช้ตะเกียบตีให้เข้ากันจนเนื้อไข่ฟูสวยงามหลังจากที่รอจนน้ำมันในหม้อร้อนจัดจนเป็นฟองสีใส นางก็เทไข่ที่ตีไว้ลงไป“ฉ่า!” กลิ่นหอมของไข่ก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องครัวเหล่าคนครัวที่ได้กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของไข่เจียว ต่างพากันน้ำลายสอกลับกลิ่นที่ล่องลอยไปในอากาศ“อืม นี่แหละ อาหารง่ายๆ ที่ไม่ต้องรอใครยกมาให้”ไป๋ลู่ยิ้มออกมาด้วยความภูมิใจ ในที่สุดก็เริ่มหาวิธีเอาตัวรอดจากโลกนี้ได้แล้ว นางนั่งลงกินข้าวไข่เจียวที่มุมหนึ่งของครัวต่อหน้าบ่าวทุกคน“ข้ากินไม่หมดหรอก ข้าแบ่งให้พวกเจ้า” หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ ไป๋ลู่ได้ทำการตักไข่เจียวสีเหลืองอร่ามแบ่งใส่จานใหญ่อีกใบ เพื่อให้คนครัวได้รับประทานด้วยกันในภายหลัง และเดินออกจากห้องครัวไปโดยมีผิงผิงวิ่งรั้งท้ายเช่นเคย ที่ไม่
ณ ฝั่งด้านหน้าของจวนใหญ่ ในห้องทำงานของท่านโหว แม้ว่าจะมีเอกสารกองโตถูกวางกองไว้บนโต๊ะไม้งามขนาดใหญ่ รอคอยให้หวังจิ่นหรงมาสะสางให้เรียบร้อย แต่ทว่าเขานั้นกลับยืนหันหลังให้กับโต๊ะทำงาน ไม่ได้สนใจกับงานที่กำลังรอเขาอยู่แต่อย่างใดดวงตาสีทองของหวังจิ่นหรงจับจ้องไปยังจี้หยกเนื้อดีที่วางอยู่บนฝ่ามือใหญ่ของเขา ราวกับมองของล้ำค่าที่บรรจุความทรงจำเอาไว้ ความคิดของเขาล่องลอยไปยังอดีตที่เต็มไปด้วยความสุขสันต์ร่วมกับเจ้าของจี้หยกชิ้นนั้น“ท่านโหวเจ้าคะ ฮูหยินของท่านทำร้ายข้าโดยไม่มีเหตุผล! นางเอาน้ำมาสาดใส่ข้า!”เสียงร้องห่มร้องไห้ของเหลียนฮวาที่ถูกสาดน้ำดังขึ้น พร้อมกับการวิ่งตรงเข้ามาหาเขาหวังจิ่นหรงชะงัก ฝ่ามือหนารีบกำจี้หยกไว้แน่น ก่อนจะยัดมันเข้าไปในสาปเสื้ออย่างรวดเร็ว ท่าทางของเขาดูราวกับต้องการปิดบังความในใจบางอย่างที่ไม่ต้องการให้ผู้ใดล่วงรู้ "ท่านโหวเจ้าคะ ฮูหยินของท่านทำร้ายข้าโดยไม่มีเหตุผล นางเอกน้ำมาสาดใส่บ่าว!"“ลู๋เอ๋อร์.. ไม่สิ ตอนนี้ฮูหยินอยู่ที่ไหน?”ในความทรงจำของหวังจิ่นหรง ไป๋ลู่เป็นสตรีที่แตกต่างจากภาพที่เขาเห็นในตอนนี้อย่างสิ้นเชิง นางเป็นคนสุภาพอ่อนโยน และค่อนข้างเก็บตั
กรามของหวังจิ่นหรงถูกขบจนขึ้นเป็นสัน พร้อมกับความขุ่นเคืองที่อัดแน่นเต็มอก แม้เวลาจะผ่านล่วงเลยไปถึงสามปีเต็ม แต่คนผู้นั้นกลับยังคงยึดมั่นในความรู้สึกเดิม ไม่ยอมเปลี่ยนใจไปจากภรรยาของเขา“ช่างเป็นความรักที่บริสุทธิ์นัก...”หากจะผิด ก็ผิดตรงที่กล้ามากระตุกหนวดเสือร้ายอย่างเขา!หวังจิ่นหรงผู้ไม่เคยยอมให้ใครล้ำเส้น กลับต้องเผชิญกับการล่วงเกินที่ไม่อาจให้อภัยได้ บังอาจส่งสายลับเข้ามาในจวน เพียงเพื่อหวังแย่งชิงของสำคัญไปจากมือของโหวแดนเหนืออย่างเขา“ท่านโหว จะให้ข้าทำอย่างไรกับเหลียนฮวาดีขอรับ”“จัดการนางเสีย จากนั้นให้ส่งร่างไร้วิญญาณของนางไปยังตำหนักของคนผู้นั้น”“แต่ว่า เหลียนฮวานั้นเป็นสาวใช้ส่วนตัวของท่าน...”“ข้ารู้นะว่าเจ้ากำลังจะพูดอะไร” หวังจิ่นหรงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ดวงตาสีทองฉายแววเหนื่อยหน่าย“ข้าไม่เคยร่วมเตียงกับสตรีคนใด และไม่มีความคิดนั้นอยู่ในหัวด้วย หากเจ้าจะยังคิดเรื่องไร้สาระเช่นนี้อยู่ ก็รีบออกไปจัดการธุระที่ข้าสั่งให้เรียบร้อยดีกว่า”“ท่านโหว เอ่อ ข้าว่าเรื่องนี้ท่านควรจะมีอธิบายให้กับฮูหยินนะขอรับ หากว่านางเข้าใจ่ทานผิดไป เกรงว่าจะยุ่งยากกับความสัมพันธ์ของพวก
ณ ศาลาเล็กที่หวังจิ่นหรงมักชอบนั่งทานอาหารเช้านั้น“นี่คือสำรับอาหารอะไรกัน?” หวังจิ่นหรงเลิกคิ้วมองจานผัดผักที่วางอยู่ตรงหน้า ผักหลากสีสันที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้“ข้าไม่เคยเห็นอาหารหน้าตาเช่นนี้มาก่อน”หวังจิ่นหรงเอ่ยถามกับผิงผิงที่เป็นคนยกสำรับเข้ามาให้กับเขา เนื่องจากเหลียนฮวาไม่อยู่แล้ว หน้าที่ยกสำรับอาหารของเขาจึงว่างเว้นยังไม่มีใครมาแทน ผิงผิงเลยต้องอาสามาทำหน้าที่นี้แทน“เรียนท่านโหว ผัดผักจานนี้เป็นฝีมือของฮูหยินเจ้าค่ะ”ผิงผิงเอ่ยออกมาด้วยความตะกุกกตะกัก ด้วยไม่รู้ว่าท่านโหวคนนี้จะมีปฏิกิริยาอย่างไร หลังจากที่ได้ทราบว่าภรรยาของตนเข้าไปทำครัวด้วยตัวเองร่วมกับบ่าวไพร่คำตอบนั้นทำให้หวังจิ่นหรงชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาสีทองกวาดมองจานอาหารตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย แม้กฎของจวนจะห้ามฮูหยินเข้าครัว เนื่องจากเหตุการณ์วางยาที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แต่ผู้หญิงคนนี้กลับทำสิ่งที่ขัดกับกฎอย่างชัดเจนหวังจิ่นหรงมองผัดผักที่วางอยู่ตรงหน้า เขาหยิบตะเกียบขึ้นมา มีท่าทีลังเลเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจคีบผักขึ้นมาชิมรสชาติที่เรียบง่ายแต่กลมกล่อมทำให้หวังจิ่นหรงรู้สึกประหลาดใจ เขาวา
นิสัยเดิมนั้นเนื่องจากใช้ชีวิตอยู่คนเดียวเป็นประจำ จึงไม่ค่อยมีโอกาสได้โต้เถียงหรือมีปากเสียงกับผู้ใดมากนัก แต่เมื่อก้าวเข้าสู่จวนที่เต็มไปด้วยคนปากร้ายใจคดอย่างหวังจิ่นหรง โทสะที่แทบจะหลับใหลในส่วนลึกของจิตใจกลับปะทุขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งวันหนึ่ง ไป๋ลู่ที่เริ่มรู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศของจวนโหว จึงตัดสินใจทำลายความซ้ำซากจำเจนี้ด้วยการออกไปเดินเล่น เปิดหูเปิดตาให้สดชื่นแม้จะรู้ดีว่าไม่ใช่ธรรมเนียมของฮูหยินที่จะออกนอกจวนโดยไม่มีเหตุผล แต่นางก็ไม่แยแสเสียงซุบซิบนินทาหรือกฎเกณฑ์ของจวนแต่อย่างใด"ท่านจะไปไหนหรือเจ้าคะ ฮูหยิน?"ผิงผิงรีบวิ่งตามมาถามนายของตนด้วยความเป็นห่วง จู่ๆ นางก็รีบเดินอย่างไวราวกับจะไปสังหารใคร"ก็ไปเดินเล่นนอกจวนน่ะสิ ตัวข้าน่ะ อยู่ในจวนแห่งนี้จนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว"ผิงผิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายนางก็รีบวิ่งกลับเข้าไปในเรือนนอน และวิ่งกลับมาพร้อมกับเสื้อคลุมตัวหนึ่งติดมือออกมาด้วย"ถ้าอย่างนั้นบ่าวจะตามไปด้วยนะเจ้าคะ ท่านจะได้ไม่ต้องไปเสี่ยงอันตรายคนเดียว""ตามใจเจ้าเถอะ" ไป๋ลู่เอ่ยกับผิงผิงก่อนที่จะออกจากจวนไปพร้อมกับผิงผิง เพื่อเดินเล่นในเขตตลาดที่นาง
เขาถามพลางสวมผ้าคลุมให้นาง“ท่านพี่ ข้าก็แค่อยากเดินเล่นชมสวนยามเช้า”นางตอบพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ“คราวหน้าปลุกข้าด้วย ข้าไม่อยากให้เจ้าเดินคนเดียว มันหนาว”เขาพูดพร้อมกับจับข้อมือเล็กของนางไว้ และจุมพิตอ่ยางแผ่วเบาไม่นานหลังจากการฟื้นฟูและขยายกิจการ ไป๋ลู่กับหวังจิ่นหรงได้เดินทางไปตรวจดูโรงน้ำชาสาขาใหม่ที่ตั้งอยู่ในเมืองใหญ่ ผู้คนในเมืองต่างพากันแวะเวียนมาที่โรงน้ำชาแห่งนี้ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องชาและขนมหวานที่มีรสชาติเยี่ยมยอดไป๋ลู่เดินตรวจดูร้านอย่างตั้งใจ นางถือสมุดบันทึกเล่มเล็ก ๆ ในมือ พร้อมจดบันทึกข้อสังเกตต่าง ๆ“ท่านพี่ ข้าจะเดินไปดูห้องครัวเองนะเจ้าคะ”นางบอกด้วยรอยยิ้มหวังจิ่นหรงที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักรีบเดินเข้ามาหานาง“ไม่ได้ เดินมากเจ้าจะเหนื่อย” เขาพูดพร้อมกับดึงสมุดบันทึกจากมือนาง“ข้าจะดูแลให้เอง”ไป๋ลู่ยิ้มเจื่อนๆ ให้กับเขา“ท่านพี่ ข้าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นเสียหน่อย”“ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแรงเพียงใด แต่สำหรับข้า เจ้ายังคงเป็นคนที่ข้าต้องปกป้องอยู่เสมอ”หวังจิ่นหรงพูดพร้อมกับมอบรอยยิ้มอบอุ่นให้กับไป๋ลู่ รอยยิ้มที่เป็นดั่งแสงสว่างให้กับนางในขณะที่ทั้งสองเดินตรวจดูโรงน้ำชา ลูกค้าคนหนึ
สำหรับองค์ชายใหญ่ ไป๋ลู่คือแสงสว่างที่ส่องผ่านช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิต นางไม่ได้พูดอะไรมากนัก แต่น้ำใจและการกระทำของนางกลับสร้างความทรงจำที่ฝังลึกในหัวใจของพระองค์ ความหวังที่จะมีนางอยู่เคียงข้างในฐานะผู้ปลอบโยนและเติมเต็มความว่างเปล่ากลายเป็นเป้าหมายของพระองค์ตลอดมาแต่จากนี้เขาคงจะไม่ได้เห็นความอ่อนโยนนี้อีกต่อไป มู่หรงเฟิงต้องทำใจที่ได้รับรู้ว่าหัวใจของนางไม่ได้มีเขาอีกต่อไป เพราะทั้งสี่ห้องหัวใจคงจะมีแต่หวังจิ่นหรงองค์ชายใหญ่เม้มริมฝีปากแน่น เขาหันหลังกลับไปอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเอ่ย“ข้าจะพาพวกเจ้าออกจากป่านี้ให้ปลอดภัย แต่จำไว้ให้ดี หวังจิ่นหรง เรื่องของพวกเรา...เราจะต้องได้สะสางกันในภายหลังอย่างแน่นอน”“ข้าเองก็จะเฝ้ารอวันนั้น องค์ชาย”หวังจิ่นหรงพูดพร้อมกับโอบเอวของไป๋ลู่ไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไร เขาจะไม่ยอมยกนางให้กับใคร และจะไม่ให้นางเป็นอันตรายเช่นนี้อีกท้ายที่สุด องค์ชายใหญ่มู่หรงเฉิงต้องยอมปล่อยมือจากไป๋ลู่และหวังจิ่นหรง เพราะนับตั้งแต่หลักฐานการวางแผนให้ร้ายไป๋ลู่และหวังจิ่นหรงถูกเปิดโปง ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้พุ่งตรงไปที่ตระกูลหยางและองค์ชายใหญ่เองหลักฐานเกี่ยวกับก
สำหรับมู่หรงเฉิง เหตุการณ์ในวันนั้นตอกย้ำความเชื่อของพระองค์ว่าตระกูลหวังมองข้ามชีวิตของพระองค์และพระมารดา พระองค์จึงสะสมความเคียดแค้นและน้อยใจมาตลอด“องค์ชายใหญ่ แต่ท่านเองก็เป็นสาเหตุที่ทำให้บิดาของข้าต้องตายเช่นกัน ท่านแกล้งยุยงให้ขุนนางกดดันบิดาของข้า จนเขาต้องยกทัพออกไปรบจนตัวตาย”หวังจิ่นหรงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ขณะยืนประจันหน้ากับมู่หรงเฟิง“แต่ข้าไม่ได้โกรธแค้นท่านเลยสักนิด”คำพูดนั้นทำให้องค์ชายใหญ่ชะงัก ดวงตาของพระองค์แฝงไปด้วยความรู้สึกปั่นป่วนห้าปีก่อน องค์ชายใหญ่ได้วางแผนลับเพื่อบีบบังคับให้บิดาของหวังจิ่นหรง อดีตโหวผู้ยิ่งใหญ่ ออกศึกโดยตัดเสบียงส่งผลให้ต้องเสียชีวิตในสนามรบแม้ว่าจะคว้าชัยชนะกลับมาได้ แต่มารดาของหวังจิ่นหรง ซึ่งเป็นพระญาติห่างๆ ของฮองเฮา ก็ตรอมใจจนสิ้นลมตามไป ทิ้งบรรดาศักดิ์โหวไว้กับบุตรชายเพียงคนเดียวที่ในขณะนั้นมีอายุเพียงสิบเจ็ดปี"ไม่แค้นอันใดงั้นหรือ? ถ้าเจ้าไม่แค้น แล้วเจ้ามาพรากลู่เอ๋อร์ไปจากข้าทำไม!"มู่หรงเฟิงตะโกนด้วยความเดือดดาล "ข้ารักไป๋ลู่มานานแสนนาน ตั้งแต่นางยังเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กที่ตามบิดาเข้าวัง ข้าหวังจะยกตำแหน่งพระชายาให้นาง แ
ชายหนุ่มก้มลงไปดูดกลืนความอ่อนนุ่มนั้นจนเต็มปาก ขณะที่สองมือช้อนสะโพกของไป๋ลู่ขึ้นมา ตอนนี้ตัวตนของเขาอยู่ในร่างของนางทั้งหมด ยิ่งขยับ...ความเสียวซ่านก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นร่างของนางเริ่มเกร็งตัว ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับความสุขสมของเขาพุ่งถึงจุดสูงสุด“ฮึบ...อ่ะ อ๊า”เขากระแทกร่างเข้าไปอีกไม่กี่ครั้ง สายธารอุ่นร้อนก็ถูกปลดปล่อยมาทั้งหมด ร่างน้อยในอ้อมกอดก็อ่อนแรงลงทันทีเช่นกัน นิ้วมือของชายหนุ่มเกลี่ยเส้นผมยาวให้พ้นจากใบหน้านวลใส ก่อนจะจุมพิตอย่างดูดดื่มอีกครั้ง"ท่านพี่...ท่านสงสัยใครไหม คนที่ส่งมือสังหารมาไล่ล่าพวกเรา?" หลังจากเสร็จจากกิจกรรมรักแล้ว ไป่ลู่จึงเอยถามด้วยความสงสัย"นอกจากองค์ชายใหญ่ ข้านึกถึงผู้ใดไม่ออกอีกแล้ว""องค์ชายใหญ่มีเหตุผลใดกัน ถึงต้องการลอบสังหารพวกเรา""หากเจ้าอยากรู้ ข้าจะเล่าให้ฟัง...""เมื่อหลายปีก่อน ข้ายังเป็นเพียงเด็กหนุ่ม องค์ชายใหญ่มู่หรงเฟิงและมารดาของเขา ถูกบังคับให้ลี้ภัยมายังแดนเหนือ เนื่องจากการแย่งชิงอำนาจในราชสำนัก ตระกูลหวังในฐานะผู้ปกป้องแดนเหนือได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ ให้รับหน้าที่ปกป้ององค์ชายใหญ่และพระมารดาของเขา"หวังจิ่นหรงหยุดเล็กน้อย ก่อนจ
เสียงฝีเท้าของมือสังหารใกล้เข้ามาทุกขณะ หวังจิ่นหรงไม่รอช้า เขาดึงไป๋ลู่กระโดดลงสู่สายน้ำเบื้องล่าง น้ำเย็นจัดปะทะร่างของพวกเขาทันที แต่กระแสน้ำเชี่ยวกลับช่วยพัดพาทั้งสองห่างจากอันตรายเมื่อพวกเขาผุดขึ้นเหนือน้ำ หวังจิ่นหรงมองเห็นถ้ำที่อยู่ใกล้กับน้ำตก เขารีบพาไป๋ลู่ว่ายน้ำไปจนถึงปากถ้ำก่อนจะลากนางเข้าไปด้านในในความมืดของถ้ำ มีเพียงเสียงหอบหายใจและเสียงน้ำตกดังแว่วเข้ามา ทั้งสองต่างเหนื่อยล้า แต่แววตาของหวังจิ่นหรงยังคงเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น เขาเช็ดน้ำบนใบหน้าของไป๋ลู่อย่างเบามือ“ปลอดภัยแล้ว ลู่เอ๋อร์”“ท่านพี่ ท่านรู้ได้อย่างไร ว่าที่นี่มีถ้ำอยู่ด้านใน?” ไป๋ลู่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจหวังจิ่นหรงหันมายิ้มบางๆ ดวงตาสีทองของเขาทอประกายมั่นใจ “น้ำตกลักษณะนี้ แปดในสิบส่วนมักจะมีถ้ำอยู่ด้านหลัง ข้าที่เคยออกลาดตระเวนไปทั่วทุกสารทิศ ย่อมรู้เรื่องเช่นนี้ดี”ไป๋ลู่หัวเราะเบาๆ พลางมองเขาด้วยแววตาชื่นชม “ท่านพี่ของข้าช่างเก่งจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ท่านดูเหมือนจะรู้อย่างไม่มีที่ติเลย”หวังจิ่นหรงเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ “เจ้าเพิ่งรู้หรือ ว่าสามีของเจ้านั้นมีความสามารถเหน
“ข้าจะเป็นสามีที่ดีของเจ้า”คำตอบที่ได้รับคือนางประคองใบหน้าเขาเอาไว้และจุมพิตอย่างแผ่วเบา ลิ้นเล็กพยายามสัมผัสกับลิ้นของเขาเสื้อผ้าอาภรณ์ของสองฝ่ายนั้นถูกปลดเปลื้องออกไปจนเปลือยเปล่า หวังจิ่นหรงไล่รอยจูบลงมาที่ลำคอขาวเนียนและขบเม้มจนขึ้นเป็นรอยสีแดงดุจกุหลาบ มือคร้ามค่อยๆ กอบกุมปทุมถันหนึ่งคู่ซึ่งมีปลายยอดเกสรสีชมพูอ่อนเขาเกิดความกระหายจนเกินจะทานทนได้...“อื้ม”ชายหนุ่มตวัดลิ้นเสียยอดอกอย่างต่อเนื่อง จนร่างน้อยนั้นสั่นสะท้านไปทั้งร่างร่างกำยำของหวังจิ่นหรงทาบทับลงมาบนร่างของไป๋ลู่อีกครั้ง เขาจุมพิตนางอย่างเร่าร้อน มือข้างหนึ่งเค้นคลึงทรวงอกของนางไว้ อีกมือก็ได้เคลื่อนลงไปสู่เบื้องล่างนางสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อนิ้วของเขาผ่านจุดอ่อนไหวเข้าไป แต่ไม่นานก็ต้องร้องครางออกมา สาวน้อยหอบหายใจ ขณะที่เขากลืนกินทรวงอกและกระตุ้นจุดอ่อนไหวไปพร้อมกันเมื่อหวังจิ่นหรงมาถึงจุดที่ไม่สามารถทานทนได้แล้ว เขาจึงประคองท่อนกายร้อนเคลื่อนเข้าสู่ใจกลางร่างของไป๋ลู่“ข้าเจ็บ นี่เป็นครั้งแรกของข้า”“แค่ชั่วครู่เท่านั้น ต่อไปจะไม่เจ็บแล้ว”ร่างกำยำค่อยๆ ขยับเอวทีละน้อย เขาทำแบบนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มสอดปร
แต่ยังไม่ทันจะได้ทำหน้าที่สามี องค์ชายใหญ่ก็หาเรื่องกดดันผ่านเหล่าขุนนางชั่ว ให้เขาต้องออกไปรบกับพวกเซวียนหยาตั้งแต่คืนแรกของชีวิตแต่งงาน แถมตลอดเวลาสามปีมานั้น องค์ชายใหญ่ยังพยายามส่งคนไปเป็นสายลับในจวนเพื่อหาทางแย่งชิงไป๋ลู่กลับไป จนเขาต้องใจร้ายกักขังหน่วงเหนี่ยวนางไว้ จนคนในจวนเข้าใจว่าเขาทอดทิ้งไป๋ลู่และมีท่าทีหมางเมินต่อนาง ในที่สุดก็จบลงที่…การกระโดดสระน้ำเพื่อฆ่าตัวตายของนางหลังจากที่รู้ข่าว หวังจิ่นหรงรีบกลับมาจากชายแดนทันที แต่เขาก็ไม่รู้จะเข้าหาคนที่รักมากอย่างไร พฤติกรรมปากไม่ตรงกับใจจึงเกิดขึ้นกับเขา จนมันทำให้ไป๋ลู่เข้าใจผิดไปข้าเขาไม่รักนาง"ข้าไม่อาจกลับไปแดนเหนือได้ หากไม่มีเจ้าอยู่เคียงข้าง ดอกเหมยแดงของท่านแม่คงคิดถึงเจ้ามาก"หวังจิ่นหรงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาสีทองของเขาสะท้อนความจริงใจที่ไป๋ลู่ไม่อาจหลบเลี่ยง"เหมยแดงต้นนั้น...ข้าชอบมันมาก"ไป๋ลู่ตอบเสียงเบา หัวใจของนางเต้นแรงอย่างไม่รู้ตัว"หากเจ้าชอบ มันเป็นของเจ้า ไม่สิ ทุกอย่างที่ข้ามีล้วนเป็นของเจ้า แม้กระทั่งตัวข้าและใจของข้า ทุกสิ่งของข้าคือของเจ้า"เสียงทุ้มนั้นแลดูอบอุ่น แต่เปี่ยมด้วยพลังที่ไม่อาจต้
“ข้ายังไม่ได้ลงนามในหนังสือหย่า เจ้ายังคงเป็นภรรยาของข้า เป็นฮูหยินของข้า…”“แต่ว่า…”หวังจิ่นหรงจับมือของนางไว้แน่น ราวกับกลัวว่านางจะหลุดลอยไป“ไป๋ลู่…ข้าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเจ้า” “ท่านรู้ตัวไหมว่าท่านกำลังพูดอะไร? ข้าก็เป็นเพียงผู้หญิงในห้องหอธรรมดา ไม่มีค่าอะไรสำหรับท่าน ไม่สามารถทำให้หน้าที่การงานของท่านรุ่งเรืองได้” “เจ้าไม่ใช่เพียงแค่ฮูหยินที่ประดับจวนโหวของข้า แต่เจ้าเป็นดวงใจของข้า เจ้าเป็นคนเดียวที่อยู่ในใจของข้าตั้งแต่วันนั้น”พูดจบ เขาก็หยิบจี้หยกชิ้นหนึ่งออกมาจากสาปเสื้อ แสงแดดสะท้อนกับหยกสีเขียวสดใสที่มีลวดลายสลักประณีตไป๋ลู่เบิกตากว้าง ความทรงจำที่เลือนลางของร่างเดิมพลันกลับมา“นี่มัน… จี้หยกนี้…” “ใช่…มันเป็นของเจ้า ข้าเก็บมันไว้ตั้งแต่วันที่เราเจอกันครั้งแรก ใต้ต้นเหมยแดงต้นนั้น ข้ารู้ว่าเจ้าคือคนเดียวที่หัวใจของข้าต้องการ”น้ำตาของไป๋ลู่ไหลอาบแก้ม นางมองพู่หยกในมือของเขา สลับกับดวงตาสีทองคู่งามของเขา“ท่านคือพี่ชายคนนั้น” “คนผู้นั้นคือข้าเอง เจ้ากลับมาหาข้าเถอะ ลู่เอ๋อร์”ในความทรงจำของหวังจิ่นหรง ย้อนกลับไปในวัยเด็กเมื่อครอบครัวของเสนาบดีไป๋เซียงเดินทางมายังดินแด
“มีใครรู้ไหม ว่าลู่เอ๋อร์ไปไหน!” เสียงของเขาดังก้องไปทั่วจวนตระกูลไป๋ บ่าวไพร่พากันตัวสั่น ไม่กล้าตอบคำถามของเขาแต่ในหัวใจของหวังจิ่นหรง เขารู้ดีว่าหญิงสาวจะไปที่ไหน “แดนใต้…ต้องเป็นแดนใต้อย่างแน่นอน”ยามเย็นลมหนาวพัดแผ่ว สายลมที่เอื่อยเฉื่อยเหมือนดั่งอารมณ์ของหญิงสาวผู้หนึ่ง ไป๋ลู่เดินทอดน่องไปตามตรอกเล็กๆ ของเมืองท่านไห่เฟิง“คุณหนู เราพักที่นี่สักหน่อยดีไหมเจ้าคะ เราเดินทางมาไกลแล้ว”ผิงผิงพูดขณะที่ช่วยจัดสัมภาระลงจากหลังรถม้า ส่วนไป๋ลู่นั้นหลังลงจากรถม้านั้นกลับหยุดยืนริมทะเล มองผืนน้ำที่สะท้อนแสงจันทร์ ใบหน้าของนางมีรอยยิ้มบางๆ“นั่นสิ ผิงผิง เจ้าเหนื่อยหรือเปล่า? ข้าขอโทษนะ ที่พาเจ้ามาลำบากเช่นนี้”“คุณหนูอย่าได้กล่าวเช่นนั้นเจ้าค่ะ ข้าเลือกติดตามท่านมาเอง” ผิงผิงตอบนายของตนด้วยความจริงใจไป๋ลู่ยิ้มให้ “ขอบใจเจ้ามากนะ ผิงผิง”ในโรงเตี๊ยม ไป๋ลู่มองถ้วยชาในมือที่กำลังส่งไอร้อนขึ้นมา นางชอบดื่มชาเป็นชีวิตจิตใจ แต่ตอนนี้จิตใจของหญิงสาวกลับมิค่อยแจ่มใสนักเมื่อได้ดื่มชาที่ตัวเองโปรดปราน“คุณหนู อีกสามวันเรือจะมา เราจะลงเรือลำนี้หรือไม่เจ้าคะ?”“ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะไป…”แต่ในส่วนลึกข