บทที่ 2.1
แม่ที่น่าโมโห
ทันทีที่เปิดประตูบ้านหลี่หมิงและหลี่ชุนก็ตกใจจนตาโต ข้าวของที่กระจัดกระจายไม่เป็นที่เป็นทางถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ เศษอาหาร และข้าวของที่เน่าเสียถูกจัดการออกไปแล้ว ภายในบ้านยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายดอกไม้อีกด้วย เมื่อเลื่อนสายตาไปที่โต๊ะอาหารและชั้นวางของที่มุมบ้านก็พบว่ามีดอกกุหลาบพื้นบ้านหลายดอกถูกนำมาจัดใส่แจกัน บ้านที่เคยให้ความรู้สึกอึดอัดและอยากหลีกหนีไปให้ไกล วันนี้กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างแปลกประหลาด หลี่หมิงลอบมองแม่ที่ไม่สวยงามเหมือนทุกวัน แต่กลับทำให้เขาอยากมองเธอมากกว่าทุกวัน
“ในห้องของลูกแม่ไม่กล้าเอาอะไรทิ้ง แต่แม่จัดการเก็บกวาดให้แล้ว ของในกล่องลังมุมห้อง ลูกๆ ลองเลือกดูว่ามีอะไรอยากเก็บอยากทิ้งบ้าง”
ในห้องของพวกเขาแม่ก็เข้าไปทำความสะอาดให้หรือ ที่แท้คนเป็นแม่หายหน้าไปร่วมค่อนวันก็เพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้านนี่เอง แต่เรื่องเหนื่อยยากเช่นนี้แม่เขาจะยอมลงมือทำจริงๆ หรือ หลี่หมิงที่ยืนนิ่งด้วยอาการสงบ ลอบมองอีกฝ่ายอย่างจับผิด ตั้งแต่เขาจำความได้จนถึงตอนนี้แม่ของพวกเขาไม่เคยแม้แต่จะซักผ้า เมื่อก่อนพวกเขายังเด็กแม่ก็จะส่งให้ป้าอวี้ซักให้ เมื่อพวกเขาสองพี่น้องโตพอใช้งานได้งานซักผ้านี้ก็ตกมาเป็นของพวกเขา เช่นนี้แล้วเธอจะทำความสะอาดบ้านได้อย่างไร
ทว่ายังไม่ทันได้คิดหาเหตุผลที่แม่เปลี่ยนไป เสียงของหลี่ชุนก็ดังออกมาจากในห้องของพวกเขา
“โอ้โห! พี่ชายรีบเข้ามาดูเร็ว มีผ้าปูที่นอนผืนใหม่ด้วย ผ้าห่ม ปลอกหมอนก็ใหม่”
ไม่เพียงร้องตะโกนบอกหลี่ชุนยังวิ่งมาดึงแขนพี่ชายเข้าไปในห้องด้วย เฉินซิ่วลี่ยิ้มบาง ของใหม่อะไรกัน ล้วนเป็นของที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าเจ้าของร่างเดิมทั้งนั้น
เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาวเมื่อนึกถึงตอนที่เปิดตู้เสื้อผ้าเจ้าของร่างเดิมแล้วพบว่ามีเสื้อผ้าเนื้อดีหลายตัวที่มองดูก็รู้ว่าเพิ่งผ่านการซื้อมาไม่นาน ด้านล่างตู้ยังมีชุดเครื่องนอนที่ยังไม่ได้นำมาใช้อีกหลายผืน ตรงข้ามกลับห้องของเด็กๆ ที่ในตู้เสื้อผ้ามีชุดให้เลือกสวมใส่รวมกันสองคนยังไม่ถึงห้าตัว อีกทั้งเนื้อผ้ายังเก่าและมีรอยขาดปะชุนอยู่หลายแห่ง ผ้าปูที่นอนกับปลอกหมอนก็เป็นผ้าดิบเนื้อหยาบที่เพียงสัมผัสก็รู้สึกระคายผิว
ช่างเป็นแม่ที่เห็นแก่ตัวยิ่งนัก ไม่แปลกใจเลยที่เมื่อตัวร้ายอย่างหลี่อันเฉิงกลับมาก็ลงมือกับเจ้าของร่างเดิมอย่างโหดเหี้ยม
“พี่ชาย ผ้าปูที่นอนนี่นุ่มลื่นมากๆ เลย พี่ลองมาจับดูสิ”
ยังคงเป็นเสียงสดใสของหลี่ชุนที่เล็ดลอดออกมา เฉินซิ่วลี่ลอบมองเด็กชายสองคนด้วยรอยยิ้ม ท่าทางที่สดใสของหลี่ชุนหรือแม้แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่หมิง ช่างเป็นภาพที่ทำให้คนรู้สึกอิ่มเอมใจยิ่งนัก
แต่ดูเหมือนว่าภาพทั้งหมดนี้จะปรากฏก็ต่อเมื่อพวกเขาได้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัยอย่างในห้องนอนของพวกเขาเท่านั้น
ดวงตาเรียวหยุดมองที่หลี่หมิง ทั้งที่มีอายุเพียงสามขวบเท่านั้นแต่คล้ายว่าเขาจะเติบโตเกินวัย ความคิดความอ่านราวกับเด็กหกเจ็ดขวบที่สามารถวิเคราะห์เรื่องราวต่างๆ และเชื่อมโยงเหตุผลได้แล้ว
“อาหมิง อาชุน มากินข้าวเย็นกันก่อนเถิด”
เฉินซิ่วลี่ที่เข้าครัวอุ่นอาหารร้องเรียกเด็กๆ ที่เข้าไปสำรวจห้องของตนเองอยู่ร่วมชั่วโมงแล้วก็ยังไม่ออกมา
“อาหมิง อาชุน ลองกินซี่โครงหมูทอดดู”
ดวงตาของหลี่ชุนเปล่งประกายแวววาวเมื่อเห็นซี่โครงหมูชิ้นใหญ่วางอยู่ในชามข้าว แต่ก็ยังคงหวาดหวั่นไม่กล้าหยิบกิน ดวงตากลมค่อยๆ ขยับช้อนสบตาคนเป็นแม่อย่างหวาดระแวง เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตและเชิญชวนให้เขากิน มือเล็กก็จับชิ้นเนื้อในชามขึ้นกัดกินอย่างระมัดระวัง พยายามข่มความตื่นเต้นรักษากิริยาท่าทีให้สุภาพ เพื่อไม่ให้ขัดตาแม่
เพียงแต่ได้สัมผัสรสชาติของซี่โครงหมูทอด ความหอมนุ่มก็กระจายไปทั่วทั้งอุ้งปากจนลืมความหวาดระแวงกัดชิ้นเนื้อในมือจนปากเล็กมันวาว
หลี่หมิงเห็นน้องชายมีความสุขกับการได้กินเนื้อก็คีบซี่โครงหมูในชามตัวเองให้เขาอีกชิ้น
“ผมลองกินแล้ว ชิ้นนี้พี่กินเถอะ มันอร่อยมาก”
หลี่ชุนไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว เมื่อมีของอร่อยเขาย่อมต้องแบ่งปันพี่ชาย เรื่องนี้ทำให้เฉินซิ่วลี่รู้สึกชื่นชมเด็กๆ อยู่ในใจไม่น้อย
“วันนี้พี่รู้สึกอืดท้อง ลุงหมอกู้บอกกินเนื้อมากไม่ดี อาชุนช่วยพี่กินหน่อยก็แล้วกัน”
“ครับ”
เพราะหลี่ชุนเป็นเด็กน้อยที่คิดอ่านตามวัย ย่อมไม่เข้าใจว่าที่หลี่หมิงเอ่ยบอกเป็นเพียงข้ออ้างที่จะให้น้องชายได้กินซี่โครงหมูทอดเพิ่มขึ้นอีกชิ้น ทว่าเฉินซิ่วลี่ไม่ใช่หลี่ชุนย่อมมองความคิดของเขาออก เธอจึงยกซี่โครงหมูทอดในส่วนของเธอให้เขา
“ช่วงนี้แม่เองก็อืดท้อง อาหมิงช่วยแม่กินก็แล้วกันนะ”
สุดท้ายหลี่ชุนได้กินซี่โครงหมูทอดไปสองชิ้น ขณะที่หลี่หมิงกินไปหนึ่งชิ้นอย่างจำยอม เฉินซิ่วลี่มองดูเด็กชายสองคนกินอาหารแล้วอมยิ้ม เรื่องอื่นเธออาจยังจัดการไม่ได้แต่เรื่องปากท้องของเด็กๆ ถือว่าได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ลำดับต่อไปย่อมต้องเป็นการปกป้องเด็กๆ จากหม่าอิงหง ย่าจอมปลอมที่มีความคิดอยากจะขายพวกเขาออกไป แน่นอนว่าวิธีการปกป้องที่ดีที่สุดก็คือการแยกบ้าน แต่ตอนนี้เฉินซิ่วลี่มีสถานะเป็นหญิงหม้ายชื่อเสียงฉาวโฉ่ ที่ไม่มีแหล่งรายได้ หากคิดแยกบ้านก็เท่ากับหาเรื่องลำบากให้ตนเองและเด็กๆ ดังนั้นเรื่องนี้จะต้องวางแผนให้รอบคอบเสียก่อน
.........................................
เฉินซิ่วลี่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็พบว่าหลี่หมิงไม่อยู่บ้านแล้ว ส่วนหลี่ชุนก็กำลังนั่งซักผ้าอยู่ที่หน้าบ้าน เธอมองพื้นปูนเนื้อหยาบที่ยังเปียกชื้นบ่งบอกว่าเพิ่งผ่านการเช็ดทำความสะอาดแล้วขมวดคิ้วแน่น
เด็กชายวัยสามขวบคนหนึ่งนั่งทำงานบ้าน อีกคนออกจากบ้านไปลำพัง ในใจของเฉินซิ่วลี่พลันเกิดความสงสัยและห่วงใยขึ้นมา ทว่าภาพหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในความคิด
พวกแกโตแล้วก็ต้องรู้จักช่วยทำงานและหาเงิน ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องกินข้าว
เป็นคำพูดของเจ้าของร่างเดิมเมื่อสามเดือนก่อนหลังจากรู้ว่า หลี่อันเฉิงพ่อของสองฝาแฝดตายจากไปแล้ว เมื่อหลี่อันเฉิงตายย่อมไม่มีใครหาเงินมาให้เจ้าของร่างใช้สอยได้สะดวกมือเช่นเดิม ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น และสิ่งที่ไม่จำเป็นในความคิดของเจ้าของร่างเดิมก็คือ ค่าอาหาร เสื้อผ้า และของใช้ต่างๆ ของพวกเด็กๆ
ช่างเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัว และไร้คุณธรรมอย่างที่สุด
“อาชุนไม่ต้องทำแล้ว”
เฉินซิ่วลี่ที่ยังมีอารมณ์โกรธเคืองเจ้าของร่างเดิมเผลอเอ่ยน้ำเสียงดุ ไหล่เล็กสะดุ้งเล็กน้อย เก็บมือขึ้นซุกเอาไว้บนตัก เขาไม่รู้ว่าตนเองเผลอทำอะไรให้แม่ไม่พอใจ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น ก้มหน้าหลับตา ในใจเกิดความหวาดกลัว ร่างกายเกร็งสะท้านรอรับการทุบตีอย่างที่ถูกกระทำเป็นประจำจากคนเป็นแม่
แขนเล็กถูกดึงให้ลุกขึ้นแล้วพาเข้าบ้าน หากแต่แม้รู้ว่ากำลังจะถูกแม่พาไปทุบตี เด็กน้อยก็ไม่ได้ขัดขืนต่อต้าน เขาเรียนรู้ที่จะคล้อยตามคนเป็นแม่ ไม่ใช่เพราะเป็นเด็กดีเชื่อฟัง แต่เพราะต้องการหลบเลี่ยงการถูกทุบตีที่รุนแรงมากขึ้น ยิ่งเวลาที่พี่ชายไม่อยู่เช่นนี้การทำตัวว่าง่ายจึงเป็นทางรอดที่ดีที่สุด
เฉินซิ่วลี่จับเด็กน้อยนั่งลงบนเก้าอี้ พลางหยิบผ้ามาห่อมือที่เย็นเฉียบ เธอไม่แปลกใจเลยสักนิดที่ก่อนหน้านี้สภาพภายในบ้านจะทั้งสกปรกและรกรุงรัง ให้เด็กชายวัยเพียงสามขวบดูแลบ้าน ต่อให้เขาทำอย่างสุดกำลังแต่จะได้ดีสักแค่ไหนกัน
“ต่อไปไม่ต้องทำงานบ้านแล้ว เรื่องพวกนี้แม่จะจัดการเอง”
น้ำเสียงจริงจังของแม่ทำให้หลี่ชุนไม่กล้าเอ่ยต่อต้าน ทำได้เพียงนั่งนิ่งๆ อย่างเชื่อฟัง
เฉินซิ่วลี่เดินออกไปซักผ้าแทนหลี่ชุน ความจริงเธออยากจะออกไปตามหาหลี่หมิงและพาเขากลับบ้านทว่าในความทรงจำของร่างนี้รับรู้เพียงหลี่หมิงออกไปทำงานทุกวัน แต่ทำอะไรที่ไหนนั้นเจ้าของร่างกลับไม่เคยรับรู้เลย
เฉินซิ่วลี่ เธอช่างเป็นแม่ที่น่าโมโหยิ่งนัก
................................................
บทที่ 2.2แม่ที่น่าโมโหประมาณ 9 โมงหลี่หมิงก็กลับเข้าบ้าน เนื้อตัวของเขามอมแมมเต็มไปด้วยใบชาและเศษหญ้า ดูก็รู้ว่างานที่เขาไปทำน่าจะเป็นการเก็บใบชาหรือเกี่ยวหญ้าเลี้ยงสัตว์"อาชุน มากิน..."เสียงของเด็กชายชะงักทันทีที่ก้าวเข้ามาในบ้านแล้วพบว่าแม่ที่ควรนอนอยู่ในห้องวันนี้กลับตื่นเช้ากว่าปกติ มือเล็กรีบขยับไปยังด้านหลังเพื่อซ่อนไข่ต้มสุกสองฟองในมือจากสายตาของมารดา แต่เมื่อเห็นว่าสายตาของเฉินซิ่วลี่จดจ้องมาที่เขาด้วยท่าทางนิ่งงัน ด้านข้างมีน้องชายฝาแฝดของเขานั่งอยู่อย่างสงบนิ่งก็จำต้องยื่นส่งไข่ทั้งสองฟองให้เธอถือเสียว่าวันนี้เขากับน้องชายดวงไม่ดี อดอาหารเช้าสักวันก็แล้วกันเฉินซิ่วลี่รับไข่ต้มมาจากมือเล็ก เดิมทีตั้งใจจะตำหนิที่เขาออกจากบ้านสักประโยค แต่ภาพหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำเสียก่อนเจ้าเด็กสารเลว แกกล้าซ่อนอาหารฉันเหรอมือที่กุมไข่ไก่สั่นสะท้าน ภาพเจ้าของร่างเดิมเดินออกจากห้องมาแย่งชิงอาหารจากมือของหลี่หมิงซ้อนทับกับการกระทำของเธอในตอนนี้ อีกทั้งหลังจากแย่งชิงของกินแล้วเจ้าของร่างเดิมยังด่าทอทุบตีเด็กชายตรงหน้าอย่างรุนแรง ก่อนจะให้พวกเขาสองพี่น้องนั่งคุกเข่ามองเธอกินอาหารดวงตา
บทที่ 2.3แม่ที่น่าโมโหเฉินซิ่วลี่แทบอยากจะขอคืนคำพูดของตนเอง เดิมทีคิดว่าก็แค่เก็บชาเกี่ยวหญ้าเลี้ยงสัตว์ง่ายๆ ไม่ได้ยุ่งยากวุ่นวายอะไร หลี่หมิงอายุสามขวบยังทำได้ แล้วทำไมเธอที่อยู่ในร่างของหญิงสาววัยยี่สิบจะทำไม่ได้ ทว่าที่เฉินซิ่วลี่คาดไม่ถึงก็คือร่างกายนี้ดันเแพ้ขนหญ้า ทำงานได้เพียงหนึ่งชั่วโมงผื่นแดงก็ขึ้นทั้งตัว สุดท้ายยังต้องลำบากให้ ถังซาน บุตรชายลำดับที่สามของผู้ใหญ่บ้านถังปั่นจักรยานพาเธอไปส่งยังสถานพยาบาลหมู่บ้าน“นี่เป็นยาแก้แพ้กินครั้งละเม็ดวันละสามครั้งหลังอาหาร ส่วนนี่ยาทาแก้ผดผื่น ทั้งหมด 3 หยวนครับ”กู้เหยียน เอ่ยบอกพร้อมกับส่งถุงยาให้ เฉินซิ่วลี่รับซองกระดาษสีน้ำตาลตรงหน้ามาถือเอาไว้ด้วยสีหน้าไม่ดีนัก ทำงานครั้งแรกไม่เพียงไม่ได้ค่าจ้างยังต้องเสียค่ายาอีก หากเด็กชายทั้งสองคนรู้เข้าคงผิดหวังในตัวเธออย่างแน่นอน หากแต่ตอนที่เฉินซิ่วลี่กำลังจะเอ่ยปากขอกลับไปเอาเงินหยวนที่บ้านมาจ่ายค่ายา บนโต๊ะจ่ายยาก็มีคนวางเงินจ่ายแทนเฉินซิ่วลี่เงยหน้ามองเจ้าของเงินด้วยความสงสัย ถังซานถอนหายใจอย่างนึกรำคาญแล้วพูดเสียงห้วน“เธอป่วยเพราะทำงานให้ฉัน ฉันจ่ายค่ายาให้ก็สมควรแล้วไม่ใช่หรือไง”
บทที่ 3.1แม่ที่ใฝ่ฝันหลังจากที่กู้เหยียนจากไป เฉินซิ่วลี่ก็พาหลี่หมิงเข้าไปนอนพัก เอ่ยกำชับเขาห้ามลุกจากเตียงไปไหน ยังเน้นย้ำว่าหากมีอาการปวดหัวมากขึ้นหรือคลื่นไส้อาเจียนให้รีบบอกเธอในทันที“พี่ชาย เจ็บไหมครับ”หลี่ชุนถามพี่ชายทั้งน้ำตา เพราะตอนที่หลี่อันอันลงมือทุบตี พี่ชายกอดเขาเอาไว้ ใช้ตัวเองเป็นเกราะกำบัง สุดท้ายทุกแรงทุบตีจากอาสามจึงถูกชายแบกรับไว้เพียงผู้เดียว ก่อนหน้านี้เพราะตกใจและหวาดกลัวหลี่ชุนจึงไม่ทันคิดอะไร ตอนนี้เห็นว่าพี่ชายถูกตีจนหัวแตกเลือดไหลในใจจึงรู้สึกผิดต่ออีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง“พี่ไม่เจ็บ อาชุนอย่าร้องไห้”ทั้งที่ปวดระบมไปทั้งตัวแต่เมื่อเห็นน้องชายร้องไห้จนสะอื้น หลี่หมิงก็กัดฟันขามความเจ็บฝืนยิ้มและเอ่ยปลอบโยนน้องชายเสียงอ่อนโยนเฉินซิ่วลี่มองเด็กชายตัวน้อยที่วางท่าเข้มแข็งแล้วรู้สึกสะท้านในอก อยากขึ้นไปบนบ้านใหญ่ดึงคนใจร้ายผู้นั้นกลับมาสั่งสอนเพิ่มอีกสักหน่อยให้สาสมกับการกระทำที่โหดร้ายนี้ ทว่าในบ้านใหญ่เวลานี้ล้วนไม่มีคน เฉินซิ่วลี่จึงได้แต่เก็บความคับแค้นนี้ไว้ในใจ"พี่ชาย..."หลี่ชุนยังคงร้องเรียกพี่ชายเสียงสะอื้น แต่เมื่อเห็นสายตาห่วงใยของหลี่หมิงก็พยายา
บทที่ 3.2แม่ที่ใฝ่ฝันหลายวันมานี้บ้านตระกูลหลี่ค่อนข้างสงบ เพราะหม่าอิงหงพาหลี่อันอันที่ถูกเฉินซิ่วลี่หักข้อมือเข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลในเมือง ส่วนหลี่อันเผยลูกชายอีกคนของบ้านหลี่ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย ในรั้วบ้านหลี่จึงมีเพียงพวกเขาสามคนแม่ลูกเท่านั้นนึกดูตามนิยายแล้วคล้ายจะกล่าวว่าหกเดือนหลังจากที่ทางค่ายทหารส่งข่าวการตายของหลี่อันเฉิง หลี่อันเผย น้องชายต่างมารดาของหลี่อันเฉิงผู้นี้ก็เรียนจบระดับมหาวิทยาลัยกลับมาเป็นครูประจำที่โรงเรียนในหมู่บ้าน และตามตื๊อจีบเฉินซิ่วจูนางเอกของนิยายจนมีเรื่องกับเย่ชิงเหวินพระเอกในนิยายอยู่บ่อยๆ เมื่อนับดูเวลาแล้วก็คืออีก 3 เดือนข้างหน้าเฉินซิ่วลี่ไม่สนใจเส้นชะตารักของเฉินซิ่วจู แต่ที่เธอใส่ใจก็คือนิสัยของน้องสามีหลี่อันเผยผู้นี้ เพราะตอนนี้เขานับเป็นผู้นำตระกูลหลี่ เธอที่เป็นแม่ม่ายสามีตายหากไม่กลับบ้านเดิมก็ต้องพึ่งพาอยู่ภายใต้การดูแลเขา หากอีกฝ่ายมีนิสัยเช่นหม่าอิงหงผู้เป็นมารดา ชีวิตในอีกสามเดือนข้างหน้าของเธอก็นับว่ายากลำบากแล้ว เช่นนี้เธอควรเร่งวางแผนหาทางรอดให้ตนเองกับลูกชายของพ่อตัวร้ายเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ“ลูกว่าแม่เปิดร้
บทที่ 3.3แม่ที่ใฝ่ฝัน“เฉินซิ่วลี่ ออกมา!”เฉินซิ่วลี่หันมองไปทางประตูรั้ว พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา เหตุการณ์เช่นนี้บังเอิญเกินไปหรือไม่ ช่างสมกับเป็นเรื่องราวในนิยายเสียจริงๆ เดิมทีเฉินซิ่วลี่คิดอยากจะหลบหลีก แต่หลบวันนี้พรุ่งนี้ก็ต้องเจอ ไม่สู้ออกไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตรงๆ เธอเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวหยิบเงินออกมา 3 หยวนอย่างลำบากใจ เงิน 3000 หยวนตอนนี้เหลือเพียง 2900 หยวนแล้ว หากยังไม่เร่งหามาทดแทนอนาคตเธอย่อมตกที่นั่งลำบากเฉินซิ่วลี่ เธอช่างเป็นตัวละครที่ทะลุมิติมาได้น่าสงสารจริงๆ ไม่เพียงเป็นตัวละครที่ตกยาก ยังไม่มีมิติ ไม่มีระบบช่วยใดๆ สวรรค์! นี่คงไม่ใช่การทะลุมิติมาเพื่ออดตายใช่หรือไม่ทว่าไม่รู้เพราะอาลัยอาวรณ์เงินหยวนนานเกินไปหรือไม่ ตอนที่ออกมาจากห้อง คนที่ร้องเรียกหน้าบ้านก็หายไปแล้ว“อาชุน ลุงสามถังของลูกเล่า เขาหายไปไหนแล้ว”“พี่ชายออกไปบอกลุงสามถังว่าแม่ไม่สบาย พรุ่งนี้พี่ชายจะไปทำงานแทน ลุงสามถังเลยบอกว่าอย่างนั้นก็ยกหนี้ให้ครับ”“ยกหนี้ให้!"เฉินซิ่วลี่ร้องด้วยความตกใจ ถังซานผู้นั้นหน้าตาดุดัน พูดจาโผงผาง ท่าทางไม่ยอมคน ให้คิดอย่างไรก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะใจดียกหนี้ให้เธอง่ายๆ
บทที่ 4.1แม่ตัวอย่าง“เจ้าเด็กไม่มีพ่อ แกกล้าตีลูกฉันเหรอ วันนี้ฉันจะสั่งสอนแทนพวกพ่อแกที่ตายไปเอง”ไม่มีพ่อ คำพูดที่ออกมานี้แม้ไม่หยาบคายแต่กลับทำให้เด็กชายทั้งสองเจ็บปวดจนตัวสั่น“เขารังแกอาชุนก่อน”“แล้วอย่างไร แกทำเขาหัวแตกวันนี้ฉันก็จะตีพวกแกให้ตัวแตกเช่นกัน”สะใภ้ใหญ่บ้านเฉาประกาศเสียงก้อง พร้อมกับหยิบไม้ขนาดพอดีมือง้างขึ้นหมายฟาดไปบนตัวเด็กน้อยตรงหน้าหลี่หมิงหมุนตัวหันมากอดหลี่ชุน ก่อนจะเม้มริมฝีปากกัดฟันเกร็งตัวรอรับแรงทุบตีจากสะใภ้บ้านเฉา ทุกครั้งก็เป็นเช่นนี้ เมื่อไหร่ที่ถูกรังแกพวกเขาล้วนไร้คนปกป้อง ผู้ใหญ่รอบตัวล้วนเข้าข้างเพียงลูกหลานตัวเอง ดังนั้นจึงมีเพียงพวกเขาที่ปกป้องกันและกันทว่าในจังหวะที่ไม้ในมือของสะใภ้ใหญ่บ้านเฉาฟาดลงมา ร่างของเขากลับถูกวงแขนหนึ่งโอบรัด ความเจ็บปวดที่เขาคิดว่าจะได้สัมผัสกลับแปลเปลี่ยนเป็นความอบอุ่นพลั่ก! “แม่!”หลี่หมิงและหลี่ชุนเบิกตากว้างเมื่อหันมาเห็นว่าแม่ของเขาถูกสะใภ้บ้านเฉาฟาดลงมาจนเต็มแรง คิ้วเรียวขยับเข้าหากัน ก่อนที่ดวงตาหวานจะตวัดมองไปยังคนที่ลงมือด้วยสายตาเกรี้ยวกราดกล้าตีลูกๆ ของเธออย่างนั้นหรือ“เกิดอะไรขึ้น!”เสียงเข้มหนักแน่
บทที่ 4.2แม่ตัวอย่างหลังเรื่องวุ่นๆ จบลงถังซานก็พาคนกลับมาทำแผลที่บ้านพักของเขา เฉินซิ่วลี่ล้างแผลให้เด็กชายตัวน้อยเบาๆ ทว่าถึงเธอจะพยายามเบาน้ำหนักมืออย่างที่สุดแล้วแต่บนแก้มของหลี่ชุนก็มีน้ำตาไหลลงจนถึงปลายคางเล็ก ในใจของเฉินซิ่วลี่พลันรู้สึกกรุ่นโกรธอยากจะออกไปตีคนอีกสักรอบ แต่เมื่อคิดถึงผลได้ผลเสียที่จะตามมาก็ได้แต่อดกลั้นเอาไว้ เอ่ยถามเด็กน้อยเสียงอ่อนโยน“เจ็บมากหรืออาชุน”ใบหน้าเล็กๆ ที่อาบไปด้วยน้ำตาส่ายไปมา พลางก้มหน้าใช้มืออีกข้างเช็ดน้ำตาบนแก้มออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มกว้างให้คนเป็นแม่“แผลนิดเดียวเองผมไม่เจ็บครับแม่”หลี่ชุนมักเป็นเช่นนี้เสมอให้พบเจอเรื่องร้ายแค่ไหน บนใบหน้าของเขาก็จะมีรอยยิ้มกว้างส่งพลังให้คนอื่นตลอดเวลา ทว่านี่กลับเป็นรอยยิ้มที่ทำให้เฉินซิ่วลี่รู้สึกเจ็บปวดมากกว่ารอยน้ำตาเมื่อครู่ของเขาเสียอีก มือนุ่มดึงร่างผอมบางของเขาเข้ามาสวมกอด ทั้งที่เป็นเพียงเด็กชายสามขวบตัวเล็กๆ คนหนึ่งกลับต้องมาเจอเรื่องร้ายแรงมากมายถึงเพียง ผู้คนเหล่านี้ช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว“ไม่เป็นไรนะอาชุน แม่อยู่นี่แล้ว”เสียงหวานละมุนเอ่ยปลอบโยน พลางใช้ฝ่ามือนุ่มลูบบนแผ
บทที่ 4.3แม่ตัวอย่างเฉินซิ่วลี่จับมือเด็กชายสองคนเดินกลับบ้าน หลี่ชุนที่ได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้วว่าแม่มีความสามารถในการคิดคำนวณและอ่านเขียนได้ดีเยี่ยมก็ชื่นชมเธอไม่หยุด“แม่ครับ แม่สอนผมกับพี่ชายคิดบัญชีบ้างได้ไหมครับ”“ได้สิ อย่างนั้นเริ่มจากนับเลขก่อนดีหรือไม่”เด็กในวัยสามขวบ หากเทียบเท่าในยุคของเธอพวกเขาก็น่าจะอยู่ในช่วงอนุบาลหนึ่ง ดังเริ่มต้นเรียนรู้จากการนับลำดับก็นับว่าถูกต้องแล้ว“อาหมิงลูกนับเลขได้หรือไม่”เฉินซิ่วลี่ชวนเด็กชายที่เอาแต่เดินเงียบๆ สนทนา แต่หลี่หมิงก็คือหลี่หมิงเขากลับตอบเพียงสั้นๆ คำเดียวเท่านั้น“ครับ”“พวกลูกนับเลขได้แล้ว ใครสอนกัน”“อารองสอนครับ แม่ลืมไปแล้วเหรอครับว่า...”“ถึงสะพานแล้วอาชุนเดินระวัง”อยู่ดีๆ หลี่หมิงก็พูดขัดกลางประโยค คิ้วเรียวของเฉินซิ่วลี่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เรื่องนี้ต้องมีบางอย่างที่เจ้าของร่างไปสร้างวีรกรรมเอาไว้แน่ๆ ไม่เช่นนั้นหลี่หมิงคงไม่มีท่าทีคล้ายกลับไม่อยากให้เธอจำได้เช่นนี้เพราะไร่ตระกูลถังอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน ตอนที่เดินกลับจึงต้องผ่านลำธารสายหลักของหมู่บ้าน ขณะที่เดินข้ามสะพานเฉินซิ่วลี่เห็นปลาตัวโตกระโดดอยู่ขึ้นมาเหนือผิวน
“คุณพ่อ คุณแม่ อาเหม่ยอยากได้ตุ๊กตาตัวนี้”เสียงเด็กหญิงไว้ 3 ขวบร้องบอกคนเป็นพ่อและแม่ กวงซุนหลี่ยิ้มรับทว่าขณะที่กำลังจะเดินไปซื้อของให้ลูกสาวคนเล็ก มือข้างซ้ายก็ถูกดึงรั้งเอาไว้เสียก่อน“อาเหม่ยเพิ่งซื้อของเล่นไปเมื่อสัปดาห์ก่อน หากจะซื้อชิ้นใหม่ต้องเป็นเดือนหน้า”เฉินซิ่วลี่ห้ามปรามเด็กหญิงตัวน้อยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใบหน้ากลมสดใสพลันสลดน้ำตาคลอก้มหน้ามองพื้น หลี่ชุนในวัย 10 ขวบรีบเข้ามาอุ้มน้องสาวตัวน้อยขึ้นแล้วเอ่ยกระซิบปลอบประโลม“ไม่เป็นไรนะอาเหม่ย เดี๋ยวเดือนหน้าพี่ซื้อให้”ด้วยฐานะทางบ้านของพวกเขาตอนนี้ แค่ของเล่นเพียงชิ้นเดียวไม่ใช่เรื่องยากที่จะซื้อหามาครอบครอง แต่เพราะพวกเขาเคยผ่านความยากลำบากมาก่อนจึงได้เรียนรู้คุณค่าของเงิน ในบ้านจึงมีกฎให้ซื้อของเล่นได้เพียงเดือนละ 1 ชิ้นเท่านั้น“ผมเอาตัวนี้ ใส่ถุงให้ด้วยครับ”เสียงเข้มราบเรียบเอ่ยบอก ทุกสายตาพลันหันมาจดจ้องที่หลี่หมิงขณะที่พนักงานขายรีบหยิบตุ๊กตาที่เด็กหญิงร้องบอกอยากได้เมื่อครู่ใส่ถุงอย่างรวดเร็ว“อาหมิงลูกกำลังจะทำลายกฎของบ้านเรา”เฉินซิ่วลี่เอ่ยบอกเสียงราบเรียบ แม้จะไม่ได้มีน้ำเสียงหรือท่าทางตำหนิ แต่สายตานั้นชัดเจ
“คืนนี้พวกเราจะได้น้องสาวแล้วใช่ไหมครับ”หลี่ชุนกระซิบเสียงเบา มุมปากของคนเป็นพ่อยกขึ้นสูงก่อนจะพยักหน้ารับด้วยสายตามุ่งมั่น“พ่อรับรองว่าเดือนหน้าน้องสาวของลูกต้องมาแน่ๆ”เมื่อได้ยินคำพูดที่หนักแน่นของคนเป็นพ่อสองเด็กชายก็ย้ายไปนอนที่ห้องถัดไป ขณะที่ร่างสูงโปร่งของกวงซุนหลี่ขยับเดินเข้าห้องลงกลอนแน่นหนาฉับไว “อื้ม...”เฉินซิ่วลี่ร้องครวญในลำคอเมื่อร่างกายถูกรบกวน ความเย็นจากภายนอกเข้ามาปะทะผิวกายทำให้คิ้วเรียวขมวดมุ่น ก่อนที่ดวงตาจะเปิดออก“คุณกวง! เข้ามาทำไมคะ”เพราะความแนบชิดที่ไม่เหมาะสมทำให้เธอตื่นตระหนกรีบมองรอบตัวอย่างหวาดระแวง“หยุดนะคะ เดี๋ยวเด็กๆ เห็น”“เด็กๆ ย้ายไปนอนอีกห้องแล้ว”คนตัวโตที่ปลดเปลื้องผ้าของเธอจนเหลือเพียงร่างที่เปลือยเปล่าเช่นเดียวกับเขากระซิบบอกเสียงแหบพร่า แนบชิดร่างกายกำยำลงทาบทับบนตัวนุ่ม“คุณกวงหยุดก่อนค่ะ เราต้องคุยกันให้ชัดเจนก่อน”“เดี๋ยวค่อยคุยนะ”ริมฝีปากร้อนขยับจากลำคอขาวกดแนบชิดบดเบียดริมฝีปากบาง พร้อมกับวางมือบีบเคล้นอกอวบอิ่มทั้งสองข้าง ร่างกายของเฉินซิ่วลี่พลันตื่นตัวขนกายสาวลุกชัน สองเนื้อนิ่มแข็งสู้กับมือหนากวงซุนหลี่ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ถอนริมฝ
“แค่ทำข้าวสารให้เป็นข้าวสุกก็พอ”ใบหน้าของกู้เหยียนพลันร้อนผ่าวแดงก่ำไปจนถึงลำคอ เดิมทีเขาเสนอตัวช่วยแก้ปัญหานี้ก็เพราะว่าเงื่อนไขของคุณหนูกวงเพียงแค่อยากแต่งงาน แต่ไม่ต้องการความสัมพันธ์ทั้งทางกายและใจ ให้แยกบ้านเธอก็ยินดี ในเมื่อชีวิตนี้เขาเองก็ไม่คิดแต่งงานกับใครอีกแล้ว ให้แต่งหลอกๆ เป็นหุ่นเชิดให้เธอก็ไม่นับว่าเสียหายอะไร แต่งเสร็จเขาก็กลับไปเมืองเจียงเป็นคุณหมอกู้ของชาวบ้านต้าหยางต่อไปก็เท่านั้นเพียงแต่แค่เรื่องหลอกๆ เรื่องหนึ่งทำไมต้องให้เขานอนกับเธอด้วย ทำแบบนี้กวงจือหลินย่อมต้องถูกผู้คนครหาติฉินนินทา ทว่าเขาไม่ทันได้เอ่ยปฏิเสธกวงจือหลินก็ตอบรับแผนการของกวงซุนหลี่ไปแล้ว“ได้!”“ดี! อาหย่งเอาเหล้ามา”กู้เหยียนมองเหล้าดีกรีแรงตรงหน้าแล้วกลืนน้ำลายฝืดลงคอ ทั้งชีวิตของเขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับเส้นทางอบายมุขไม่ว่าจะเป็น เหล้า บุหรี่ ฝิ่น การพนัน และผู้หญิง ล้วนไม่เคยข้องเกี่ยว ดังนั้นเมื่อกวงซุนหลี่ส่งแก้วเหล้าให้ มือหนาจึงยื่นไปรับด้วยท่าทางลังเล“อาหลี่ ฉัน... ไม่กินได้หรือไม่ นายก็รู้ว่าฉัน...”กู้เหยียนพูดยังไม่ทันจบประโยคแก้วเหล้าในมือก็ถูกกวงซุนหลี่จับจรดที่ริมฝีปากของเขา ตอนนี้แม
“นอกจากเธอฉันไม่เคยสัญญาจะแต่งงานกับใครทั้งนั้น”เฉินซิ่วลี่ขมวดคิ้วเรียวมองคนตรงหน้าด้วยสายตาสับสน กวงซุนหลี่จับมือซ้ายของเธอมากอบกุมแล้วกดจุมพิตที่หลังมือนุ่มก่อนจะสวมใส่แหวนลงไปที่นิ้วนางเธอเหมือนเดิม“คุณกวง คุณจะทำอะไร ฉันไม่ยินดีแต่งเป็นภรรยารองให้คุณหรอกนะ หรือต่อให้เป็นภรรยาเอก ฉันก็ไม่ยินดี”“เอาไว้ไปถึงบ้านฉันจะอธิบายเรื่องพวกนี้ให้เธอฟัง แต่นับจากนี้ห้ามเธอถอดแหวนวงนี้อีก และห้ามเธอทอดทิ้งฉันด้วย แค่คิดก็ไม่ได้เข้าใจไหม”น้ำเสียงกระซิบอ้อนวอนราวกับสาวน้อยถูกรังแก ทำให้ความกรุ่นโกรธในใจของเฉินซิ่วลี่จางหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น “ได้! ฉันจะรอฟังคำอธิบายของคุณ แต่ถ้าเหตุผลไม่เพียงพอเรื่องของเราก็ยังคงต้องยุติ”“ไม่ได้! ฉันไม่ยอม”กวงซุนหลี่เอ่ยบอกอย่างดื้อดึงพร้อมกับกระชับอ้อมแขนแน่น เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาวไม่คิดทำเรื่องที่เสียแรงเปล่าอย่างการดิ้นรนขัดขืนเขา รั้งรอจนรถหยุดลงกวงซุนหลี่ก็อุ้มคนลงจากรถเดินเข้าบ้านในทันที“คุณกวงปล่อยฉันนะคะ ฉันเดินเองได้”“ไม่!”เสียงเข้มหนักแน่นตอบกลับพลางก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปในห้องโถงแล้วนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวโดยยังคงกอดรัดเฉินซิ่วลี่ไว้บนตักไม่ยอมปล
นี่เขาคงไม่คิดจะประกาศแต่งงานกับเธอในเวลานี้หรอกนะดวงตาคมของคนบนเวทีมองตอบกลับสอดประสานดวงตาเรียว ก่อนที่เขาจะประกาศก้องอีกครั้ง“ลี่ลี่ แต่งงานกับฉันนะ”เมื่อได้ยินกวงซุนหลี่เอ่ยชื่อหญิงสาวที่เขาต้องการแต่งงาน บรรดาแขกในงานก็ส่งเสียงวิจารณ์อื้ออึงอีกครั้ง“ลี่ลี่เหรอ ใครกัน”“นั่นสิ! คุณกวงไม่ใช่ว่ากำลังคบหาดูใจกับคุณหนูกวงจือหลินอยู่หรือ ทำไมถึงประกาศแต่งกับคนอื่นได้”“แบบนี้คุณกวงจือเหลียงจะยอมหรือ”“กวงซุนหลี่ เขาไม่รักลมหายใจของตนเองแล้วหรือไง”คำพูดของผู้คนมากมายดังก้องไปทั่วงานจนกวงซุนหลี่ขบกรามแน่น หากแต่ใครจะพูดอย่างไรเขาล้วนไม่สนใจ ที่เขาสนใจมีเพียงเฉินซิ่วลี่ที่ยังนั่งนิ่งไม่ตอบรับคำขอของเขา“ลี่ลี่ ฉันสัญญาหากเธอตกลงแต่งงานกับฉัน ฉันจะมีแค่เธอ จะปกป้องดูแลเธอและครอบครัวของเราด้วยชีวิตของฉัน”หัวใจของเฉินซิ่วลี่พลันสั่นระรัว มองสบดวงตาคมด้วยแววตาสั่นไหว ดูแลด้วยชีวิต เมื่อได้ยินคำพูดนี้ความรู้สึกในวันที่เธอคิดว่าเขาตายจากไปแล้วก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง จะมีสักกี่คนที่มีโอกาสแบบเธอ ในเมื่อมีโอกาสแล้วยังต้องยึดติดกับทิฐิและข้อสงสัยมากมายทำไมกัน เมื่อคิดได้เช่นนี้เฉินซิ่วลี่ก็โยนท
เมื่อใกล้ถึงเวลาเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของกวงซุนหลี่ เฉินซิ่วลี่ก็เลือกสวมชุดสีฟ้าเข้ารูปคอสูงเพื่อปกปิดร่องรอยที่กวงซุนหลี่ทิ้งเอาไว้บนลำคอระหง แล้วออกเดินทางไปยังสถานที่จัดเลี้ยงกู้เหยียนใช้เวลาเพียง 15 นาทีก็ขับรถมาถึงหน้าโรงแรมจัดเลี้ยง ชายในชุดสูทแบบตะวันตกก็เดินมาเปิดประตูรถทั้ง 4 ด้าน กู้เหยียนส่งกุญแจรถให้พนักงานตรงหน้านำรถไปจอดในสถานที่จอดรถ ส่วนตัวเขาเดินมารับเฉินซิ่วลี่ ขณะที่หลี่หมิงและหลี่ชุนเดินขนาบข้างซ้ายขวาหวังรั่วซีตามหลังคนเป็นแม่เข้างานอย่างสงบเสงี่ยมรู้ความและในทันทีที่เฉินซิ่วลี่ก้าวเท้าเข้ามาในงาน ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่น จึงทำให้สายตาชายหนุ่มในงานจดจ้องมาที่เธออย่างมากมาย หากไม่เพราะข้างกายเธอมีกู้เหยียนเคียงข้างอยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าคืนนี้เฉินซิ่วลี่คงไม่อาจนั่งอย่างสงบแน่นอน“คุณกวงจัดที่นั่งไว้ให้คุณเฉินและผู้ติดตามเป็นพิเศษ เชิญพวกคุณทางด้านนี้ครับ”เมื่อทุกคนในงานได้เห็นตำแหน่งที่นั่งของเฉินซิ่วลี่ผู้คนในงานต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงสถานะความสำคัญของเธอและกู้เหยียน จวบจนกระทั่งกวงซุนหลี่ก้าวเท้าเข้ามาความสนใจของผู้คนจึงเปลี่ยนไปที่เขาแทน“สวัสดีค่ะคุณก
บทสุดท้ายเมื่อหวังรั่วซีตื่นมาตอนเช้าแล้วพบว่าเฉินซิ่วลี่หายตัวไปก็ตื่นตระหนก รีบไปแจ้งกู้เหยียนที่ห้องของเขาด้วยความร้อนใจ“รั่วซี! มาหาฉันแต่เช้ามีเรื่องด่วนอะไรหรือ”กู้เหยียนเอ่ยถามเสียงเบา เพราะเด็กชายทั้งสองยังนอนหลับอยู่บนเตียง ก่อนจะปิดประตูเดินออกมาคุยกับหวังรั่วซีที่หน้าห้อง“พี่ลี่หายตัวไปค่ะหมอกู้”เมื่อได้ยินว่าเฉินซิ่วลี่หายตัวไป กู้เหยียนก็ตื่นตระหนกจนหน้าซีดรีบหมุนตัวเปิดประตูเข้าไปหยิบเสื้อคลุมและกุญแจรถในทันที“จะเป็นพวกเดียวที่ลักพาตัวอาหมิงกับอาชุนไปเมื่อคราวก่อนไหมคะ”คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่น เรื่องที่หลี่หมิงกับหลี่ชุน ถูกลักพาตัวไปเมื่อเดือนก่อน จนเป็นเหตุให้หลี่อันเฉิงตายจากไป เขายังจดจำไม่ลืม ดังนั้นไม่ว่าครั้งนี้จะอันตรายแค่ไหน เขาจะต้องปกป้องช่วยเหลือเฉินซิ่วลี่ให้ได้“เธอเข้าไปรอฉันในห้องกับเด็กๆ ก่อน ฉันจะไปตามหาคุณเฉิน”กู้เหยียนยืนยันเสียงหนักแน่นพร้อมกับวางเสื้อคลุมของตนเองลงบนไหล่บาง ใบหน้าของหวังรั่วซีพลันแดงก่ำเมื่อตระหนักได้ว่าตนเองสวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่เหมาะสมนัก“ขอโทษค่ะ”“ไม่เป็นไร เธอเข้าไปรอในห้องก่อนไม่ต้องกังวลฉันจะพาคุณเฉินกลับมาอย่างปลอดภั
“ตอนนี้ฉันคือภรรยาของหลี่อันเฉิงค่ะ” กวงซุนหลี่กำมือแน่น รู้สึกอิจฉาตนเองในอดีตขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล ทว่าสุดท้ายก็ยอมถอยขยับตัวลุกขึ้นนั่งที่ข้างเตียง เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาว เธอไม่รู้ว่าควรจะอธิบายความรู้สึกของตนเองอย่างไร สุดท้ายหลังจากหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่ก็ลุกขึ้นหมายใจถอยกลับไปตั้งหลัก“ฉันกลับก่อนนะคะ”ทว่าเท้าเล็กก้าวลงเตียงแต่ไม่ทันได้ขยับเดิน เอวบางก็ถูกดึงรั้งจนเธอเซถลาลงนั่งบนตักกว้าง“อย่าไปได้ไหม”เสียงออดอ้อนแผ่วเบากระซิบที่ข้างใบหูเล็ก“ลี่ลี่ อย่าไปได้ไหม”วงแขนแกร่งกระชับแน่นมากขึ้น กดปลายจมูกลงบนไหล่เล็กแล้วกระซิบเสียงอ้อนเว้าวอน“ลี่ลี่ ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเธอ เธอจะทุบตีจะด่าทอฉันก็ได้ แต่อย่าไปจากฉันได้ไหม”เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาวก่อนจะบอกเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ฉันไม่มีเหตุผลต้องอยู่ทุบตีด่าทอคุณ อีกอย่างเด็กๆ ยังอยู่ที่โรงแรมฉันไม่กลับไม่ได้ค่ะ”“เธอกลับไปตอนนี้พวกเขาก็หลับกันหมดแล้ว แต่ฉันยังไม่หลับและคงหลับไม่ลงทั้งคืนถ้าเธอจากไป ลี่ลี่... คืนนี้อยู่กับฉันนะ”หัวใจของเฉินซิ่วลี่พลันสั่นสะท้าน เม้มริมฝีปากบางอย่างสับสน หากคิดตามเหตุผลเธอไม่สมควรอยู่ต่อ แต่หากถามคว
“ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกันเป็นการส่วนตัวสักทีนะคุณกวง”“ส่งคนคืนฉันมา”กวงซุนหลี่ขบกรามกำหมัดแน่นพร้อมกับเอ่ยเสียงลอดไรฟัน ท่าทางเช่นนี้ของเขาทำให้เหลียงเหว่ยพึงพอใจมาก มือหนากระชับไหล่บางเข้าประชิดตัวก่อนจะส่งสายตาเยาะเย้ยเขา“ไม่เอาน่าคุณกวงของดีๆ แบบนี้เราแบ่งกันเล่นสนุกดีกว่านะ”เหลียงเหว่ยพูดพลางหันไปกดจมูกลงบนแก้มนุ่ม ทว่าปลายจมูกยังไม่ทันสัมผัสผิวของเฉินซิ่วลี่ ร่างกายก็ถูกเธอจับพลิกหมุนเคว้ง รู้ตัวอีกทีแผ่นหลังของเขาก็กระแทกลงกับพื้นจนปวดไปทั้งตัว คนของเหลียงเหว่ยชักปืนออกมาในทันที แต่ไม่ทันได้ขยับลั่นไกปืนในมือชายคนหนึ่งก็ย้ายมาอยู่ในมือของกวงซุนหลี่แล้วปัง! ปัง! เสียงปืนดังลั่นพร้อมกับเลือดที่ไหลออกจากต้นขาของเหลียงเหว่ยทั้งสองข้าง คอเสื้อด้านหลังถูกกระชากยกขึ้น ก่อนที่ขมับขวาของเขาจะเย็นวาบเพราะปลายกระบอกปืนที่จ่อแนบลงมา“เหลียงเหว่ย คุณคงรู้ว่าต้องบอกคนของตนเองยังไง”“ถอย! ถอยไปให้หมด”สิ้นคำสั่งของเหลียงเหว่ยคนนับสามสิบคนก็ขยับหลีกทางให้กวงซุนหลี่ เขาหันมาส่งสัญญาณให้เฉินซิ่วลี่เดินประกบตามหลังเขาไปที่รถยนต์ด้านหน้าตึก“ลี่ลี่ คุณขับรถได้ไหม”“ได้ค่ะ”เหลียงเหว่ยตัวสั่นสะ