บทที่ 4.2
แม่ตัวอย่าง
หลังเรื่องวุ่นๆ จบลงถังซานก็พาคนกลับมาทำแผลที่บ้านพักของเขา เฉินซิ่วลี่ล้างแผลให้เด็กชายตัวน้อยเบาๆ ทว่าถึงเธอจะพยายามเบาน้ำหนักมืออย่างที่สุดแล้วแต่บนแก้มของหลี่ชุนก็มีน้ำตาไหลลงจนถึงปลายคางเล็ก ในใจของเฉินซิ่วลี่พลันรู้สึกกรุ่นโกรธอยากจะออกไปตีคนอีกสักรอบ แต่เมื่อคิดถึงผลได้ผลเสียที่จะตามมาก็ได้แต่อดกลั้นเอาไว้ เอ่ยถามเด็กน้อยเสียงอ่อนโยน
“เจ็บมากหรืออาชุน”
ใบหน้าเล็กๆ ที่อาบไปด้วยน้ำตาส่ายไปมา พลางก้มหน้าใช้มืออีกข้างเช็ดน้ำตาบนแก้มออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มกว้างให้คนเป็นแม่
“แผลนิดเดียวเองผมไม่เจ็บครับแม่”
หลี่ชุนมักเป็นเช่นนี้เสมอให้พบเจอเรื่องร้ายแค่ไหน บนใบหน้าของเขาก็จะมีรอยยิ้มกว้างส่งพลังให้คนอื่นตลอดเวลา ทว่านี่กลับเป็นรอยยิ้มที่ทำให้เฉินซิ่วลี่รู้สึกเจ็บปวดมากกว่ารอยน้ำตาเมื่อครู่ของเขาเสียอีก มือนุ่มดึงร่างผอมบางของเขาเข้ามาสวมกอด ทั้งที่เป็นเพียงเด็กชายสามขวบตัวเล็กๆ คนหนึ่งกลับต้องมาเจอเรื่องร้ายแรงมากมายถึงเพียง ผู้คนเหล่านี้ช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว
“ไม่เป็นไรนะอาชุน แม่อยู่นี่แล้ว”
เสียงหวานละมุนเอ่ยปลอบโยน พลางใช้ฝ่ามือนุ่มลูบบนแผ่นหลังเล็กเบาๆ ความอดกลั้นพยายามทั้งหมดของหลี่ชุนพลันพังลงในทันที น้ำตามากมายไหลลงอาบแก้มตอบ
“แม่ครับ พ่อตายแล้วจริงๆ เหรอครับ พวกเราจะเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีพ่อ ไร้บิดาอบรมใช่ไหมครับ”
คำถามเบาๆ ที่สั่นสะท้านนี้สะท้อนเข้าไปในอกคนฟังจนเฉินซิ่วลี่ต้องกะพริบตาถี่ระรัวไล่ไอร้อนในตาของเธอ สะใภ้ใหญ่บ้านเฉาสตรีน่ารังเกียจ เมื่อครู่เธอน่าจะตีคนเพิ่มอีกสักสองสามที
"อาชุน เด็กดีอย่าไปฟังคำพูดพวกนั้นเลยนะลูก"
เฉินซิ่วลี่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี จึงจะจัดการเรื่องเจ็บปวดในใจของเด็กๆ ออกไปได้ หรือเธอควรบอกความจริงที่นักเขียนซ่อนเอาไว้ไปเลยดีหรือไม่ แต่หากทำเช่นนั้นเส้นเรื่องจะเปลี่ยนหรือเปล่า หากพ่อตัวร้ายนั่นไม่กลับมาเล่า เธอจะทำอย่างไร เด็กๆ จะเสียใจมากกว่าเดิมไหม คำถามมากมายเกิดขึ้นในใจของเฉินซิ่วลี่จนเธอแสบร้อนในดวงตามากขึ้น ในที่สุดก็ไม่อาจอดกลั้นหยาดน้ำตาไหลลงอาบแก้มนวลใส
หลี่ชุนที่สัมผัสได้ถึงอาการสั่นสะท้านน้อยๆของแม่ก็รีบขยับตัวออกจากอกนุ่ม วางมือเล็กที่ไม่เจ็บลงบนแก้มของแม่ ในใจเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมา เพราะเขาอ่อนแอแม่จึงเสียใจใช่ไหม เด็กน้อยข่มกลั้นความรู้สึกของตนสูดลมหายใจเขาแล้วกลับมายิ้มกว้าง
“ไม่เป็นไรครับ ความจริงแต่ไหนแต่ไรพ่อก็ไม่เคยอยู่บ้านอยู่แล้ว จะมีเขาหรือไม่มีล้วนไม่ต่างกัน ขอเพียงต่อไปมีแม่อยู่กับผมกับพี่ชายก็พอแล้วครับ”
เด็กน้อยที่ก่อนหน้ายังตัวสั่นในอ้อมกอดเธอ ตอนนี้กลับกลายเป็นฝ่ายเอ่ยปลอบเธอเสียแล้ว เฉินซิ่วลี่ได้แต่มองรอยยิ้มน้อยๆ ผ่านม่านน้ำตาแล้วดึงเขามากอดอีกครั้ง
“ได้ๆ แม่จะอยู่กับลูกๆ”
หลี่ชุนกระชับอ้อมแขนเล็กโอบกอดมารดา ที่แท้อ้อมกอดของแม่อบอุ่นได้ถึงขนาดนี้ เช่นนั้นเขาไม่มีพ่อก็ได้ ใครจะว่าเขาเป็นเด็กกำพร้าไร้พ่อ ไร้บิดาอบรม ก็ช่างเขาไม่ใส่ใจ
หลี่หมิงที่ลอบมองแม่กับน้องชายอยู่ที่หลังประตู หัวใจของเขาเกิดความรู้สึกสับสนและหวาดกลัวขึ้นมา ที่ผ่านมาแม่ไม่เคยดีต่อเขาและหลี่ชุนยิ่งความอบอุ่นอ่อนโยนแบบนี้ยิ่งไม่เคย
ในใจของเขาจึงไม่เคยสนใจความคงอยู่ของคนเป็นแม่ หลายครั้งที่เขามีความคิดอยากให้มารดาใจร้ายคนนั้นตายจากไปเสีย ทว่าเวลานี้ความคิดของเขากลับตรงกันข้าม รอยยิ้มที่อ่อนโยน อ้อมกอดที่อบอุ่น และแผ่นหลังที่ปลอดภัยนี้ ทำเขารู้สึกหวาดกลัวเหลือเกิน กลัวว่าเขาจะเผลอคิด หรือทำบางอย่างผิดพลาด แล้วจะสูญเสียมารดาคนนี้ไปจริงๆ ดั่งที่เขาเคยต้องการ หลี่หมิงเม้มริมฝีปากเล็กขบคิดจนคิ้วขมวดแน่น เขาต้องทำอย่างไรจึงจะรักษาแม่คนนี้เอาไว้ได้ตลอดไป
เป็นเด็กดีเชื่อฟังแม่
ดูเหมือนที่ผ่านมาแม่จะพูดคำนี้บ่อยๆ วันนี้แม่บอกว่าให้พวกเขามาช่วยทำงานใช้หนี้ ดังนั้นเขาก็ควรเชื่อฟัง เมื่อตระหนักได้หลี่หมิงก็หันหลังหยิบตะกร้าสานใส่บ่าออกไปเกี่ยวหญ้าในทันที
ถังซานมองเด็กชายฝาแฝดตัวน้อยทั้งสอง คนหนึ่งออกไปทำงานด้วยท่าทางขยันขันแข็ง อีกคนก็นั่งเฝ้ามารดาด้วยท่าทีสงบ เป็นเด็กที่รู้ความอย่างยิ่งในใจเขาจึงยิ่งชื่นชมพวกเขาสองพี่น้องเป็นทบทวี พลันสายตาคมก็มาหยุดอยู่ที่หญิงสาวคนเดียวในบ้านพัก
เฉินซิ่วลี่ ภรรยาสหายสนิทคนนี้ เกิดอะไรขึ้นกับเธอ ทำไมผู้หญิงที่มีดีเพียงหน้าตาแต่นิสัยและความคิดนั้นร้ายกาจจนยากจะรับได้เช่นนั้นถึงได้เปลี่ยนไปราวกับคนละคนแบบนี้ ถังซานที่นั่งตรวจสินค้าอยู่หน้าบ้านพักมองผ่านหน้าต่างเข้าไปอย่างเหม่อลอย พลางขบคิด มุมปากของเขายกขึ้นอยู่บ่อยครั้งยามที่เห็นว่าคิ้วเล็กๆ คู่นั้นขมวดเข้าหากัน ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อนโดยธรรมชาติขยับไปมาน้อยๆ คล้ายกับกำลังนับบางอย่างบนนิ้วเรียวขาว ไม่รู้ว่าภาพของอีกฝ่ายสะกดเขาไว้นานเพียง กว่าจะได้สติกลับคืนมาดวงตะวันก็เลื่อนตัวขึ้นสูงจนตรงศีรษะแล้ว ดูเหมือนถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว
ถังซานมองคนงานในไร่ที่ทยอยเดินออกมาทีละคน ก่อนจะเลื่อนสายตามองกลับเข้าไปในบ้านพักอีกครั้ง มือขาวประสานกันก่อนจะยกเรียวแขนขึ้นเหยียดตรงเหนือศีรษะ ถึงแม้จะรู้ว่าไม่ควรแต่ท่าทางเช่นนี้ของเฉินซิ่วลี่กลับทำให้เขาเห็นสัดส่วนรูปร่างของเธอชัดเจนจนยากจะถอนสายตา สองแก้มสากพลันร้อนผ่าวไปจนถึงใบหู เมื่อตั้งสติได้ก็รีบดึงสายตาออกจากภาพตรงหน้าแล้วใช้ฝ่ามือหยาบตบแก้มตัวเองไปมา ก่อนจะลุกเดินเข้าไปเรียกคนโดยไม่มองหน้า
“คุณถัง ขอเวลาฉันอีกนิดนะคะใกล้เสร็จแล้ว”
เฉินซิ่วลี่เอ่ยบอก เมื่อเห็นว่าคนเดินเข้ามาคล้ายจะทวงงาน
“คิดไม่ได้ก็ไม่ต้องทำให้เสียเวลา ก็แค่เงิน...”
“อีกหน้าเดียวก็เสร็จแล้วค่ะ คุณรอสักครู่นะคะ”
เฉินซิ่วลี่บอกแล้วก้มหน้าคิดคำนวณตัวเลขที่ค้างอยู่ตรงหน้าอย่างตั้งใจ ถังซานมองบัญชีตรงหน้าแล้วเบิกตากว้าง นี่เฉินซิ่วลี่เธอทำบัญชีให้เขาเสร็จแล้วจริงๆ
“บัญชีเล่มนี้สำคัญมากเธอจะมาทำมั่วๆ ไม่ได้นะ”
“ฉันไม่ได้ทำมั่วๆ นะคะ”
เฉินซิ่วลี่ตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากตัวเลข ปลายนิ้วมือซ้ายชี้ที่ตัวเลขมือความขยับคำนวณด้วยท่าทางที่เขาไม่คุ้นเคย ก่อนจะจดลงในสมุดบัญชีได้อย่างรวดเร็ว
“หากคุณไม่เชื่อหลังฉันทำเสร็จจะลองตรวจดูก่อนก็ได้ค่ะ”
ตรวจดู บัญชีทั้งเดือนจะให้เขาตรวจดูในทันทีได้อย่างไร ต่อให้เป็นเฉินซิ่วจูญาติผู้พี่ของเฉินซิ่วลี่ที่เป็นเหรัญญิกคณะกรรมการก็ยังไม่สามารถตรวจเสร็จได้ในหนึ่งวัน แต่จะให้บอกว่าเขาทำไม่ได้ก็ดูจะเป็นการเสียหน้าเกินไป
“อืม... เธอทำเสร็จแล้วก็เอาวางไว้ ว่างๆ ฉันจะตรวจดู”
“ค่ะ ฉันมั่นใจว่าไม่มีข้อผิดพลาดแน่นอน เพราะฉันตรวจรอบที่สองแล้ว”
เฉินซิ่วลี่ยังถึงกับตรวจไปแล้วสองรอบในเวลาเพียงครึ่งวัน ในใจของถังซานรู้สึกหงุดหงิดกับคำโอ้อวดเกินตัวนี้ของอีกฝ่ายขึ้นมา ทว่าในเมื่อเขาเป็นคนยื่นงานนี้ให้เธอ เขาก็ต้องยอมรับ เพียงแต่หากตรวจสอบแล้วพบว่าเธอทำแบบขอไปทีแล้วล่ะก็ เขาจะเอาคืนให้หนักสมกับคำโอ้อวดเกินตัวนี้ของเธอเลย
“เสร็จแล้วค่ะ ฉันวางไว้ตรงนี้นะคะ”
บัญชีหน้าสุดท้ายถูกเธอคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว ถังซานได้แต่คัดค้านเรื่องนี้อยู่ในใจแต่ไม่ได้พูดออกมา
“อย่างนั้นฉันกับลูกๆ ขอตัวก่อนนะคะใกล้ได้เวลามื้อเที่ยงของเด็กๆ แล้ว”
“ไปกินข้าวที่โรงอาหารก่อน กินเสร็จแล้วค่อยกลับ”
เฉินซิ่วลี่ได้ยินว่าถังซานจะเลี้ยงอาหารกลางวันด้วยก็ยิ้มกว้าง เป็นเช่นนี้ก็เท่ากับประหยัดเงินหยวนในกระเป๋าเธอไปได้ไม่น้อย
พลันภาพหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในความคิด ก่อนหน้านี้หลี่หมิงมาทำงานให้ถังซานเขาก็จะได้รับสิทธิกินมื้อเที่ยงเช่นคนงานอื่นๆ แต่เพราะห่วงหลี่ชุนเขาจึงขอห่ออาหารกลับไปแบ่งให้น้องชายกินที่บ้าน ไม่คิดว่าพอเจ้าของร่างเดิมรู้เรื่องก็ยึดอาหารของลูกชายมากินจนหมด เด็กสองคนจึงได้ตัวผอมแห้งเช่นนี้
เฉินซิ่วลี่ เธอช่างเป็นแม่ที่มีเรื่องให้ด่าได้ไม่ซ้ำจริงๆ
.........................................
บทที่ 4.3แม่ตัวอย่างเฉินซิ่วลี่จับมือเด็กชายสองคนเดินกลับบ้าน หลี่ชุนที่ได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้วว่าแม่มีความสามารถในการคิดคำนวณและอ่านเขียนได้ดีเยี่ยมก็ชื่นชมเธอไม่หยุด“แม่ครับ แม่สอนผมกับพี่ชายคิดบัญชีบ้างได้ไหมครับ”“ได้สิ อย่างนั้นเริ่มจากนับเลขก่อนดีหรือไม่”เด็กในวัยสามขวบ หากเทียบเท่าในยุคของเธอพวกเขาก็น่าจะอยู่ในช่วงอนุบาลหนึ่ง ดังเริ่มต้นเรียนรู้จากการนับลำดับก็นับว่าถูกต้องแล้ว“อาหมิงลูกนับเลขได้หรือไม่”เฉินซิ่วลี่ชวนเด็กชายที่เอาแต่เดินเงียบๆ สนทนา แต่หลี่หมิงก็คือหลี่หมิงเขากลับตอบเพียงสั้นๆ คำเดียวเท่านั้น“ครับ”“พวกลูกนับเลขได้แล้ว ใครสอนกัน”“อารองสอนครับ แม่ลืมไปแล้วเหรอครับว่า...”“ถึงสะพานแล้วอาชุนเดินระวัง”อยู่ดีๆ หลี่หมิงก็พูดขัดกลางประโยค คิ้วเรียวของเฉินซิ่วลี่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เรื่องนี้ต้องมีบางอย่างที่เจ้าของร่างไปสร้างวีรกรรมเอาไว้แน่ๆ ไม่เช่นนั้นหลี่หมิงคงไม่มีท่าทีคล้ายกลับไม่อยากให้เธอจำได้เช่นนี้เพราะไร่ตระกูลถังอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน ตอนที่เดินกลับจึงต้องผ่านลำธารสายหลักของหมู่บ้าน ขณะที่เดินข้ามสะพานเฉินซิ่วลี่เห็นปลาตัวโตกระโดดอยู่ขึ้นมาเหนือผิวน
บทที่ 5.1ลูกชายที่เชื่อฟังเฉินซิ่วลี่นั่งนับเงินหยวนที่เพิ่มเข้ามาอีกห้าหยวนแล้วยิ้มกว้าง การค้าขายในชนบทนั้นจะว่ายากก็ไม่ยาก แต่จะกล่าวว่าง่ายก็ไม่ง่าย นั่นเพราะผู้เขียนได้สร้างให้หมู่บ้านต้าหยางแห่งนี้มาสมบูรณ์เกินกว่ายุค 80 ในความเป็นจริง เมื่ออยู่ในสถานที่อันสมบูรณ์ย่อมไม่มีความต้องการของผู้คน เมื่อไม่มีความต้องการย่อมไม่มีความมั่นคงในการค้าขายเฉินซิ่วลี่ที่ต้องการความมั่นคงในการใช้ชีวิต จึงไม่คิดลงทุนในชนบทแห่งนี้ เพียงแต่ทุกอย่างจะเริ่มขึ้นก็ต่อเมื่อเธอได้รับอิสระจากหนังสือสมรสตรงหน้านี้เสียก่อน หากเธอยังไม่หย่ากิจการใดๆ ที่เธอสร้างขึ้นล้วนต้องแบ่งให้เขากึ่งหนึ่งดวงตาเรียวมองหนังสือสมรสที่เป็นดั่งเชือกเส้นใหญ่ผูกมัดเธอเอาไว้กับหลี่อันเฉิง ทว่ายังไม่ทันคิดวางแผนชีวิตต่อเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่หน้าประตูห้อง“แม่ครับ ผมเข้าไปได้ไหมครับ”คำขออนุญาตที่ดังเข้ามาฟังจากน้ำเสียงแล้วเฉินซิ่วลี่ก็คาดเดาได้ว่าคงเป็นหลี่หมิง“อาหมิงเข้ามาได้เลย”หลี่หมิงเปิดประตู แต่ก้าวข้ามประตูมาเพียงสามก้าวเขาก็หยุดเท้าลง หลี่หมิงจำได้ดีว่าห้องของแม่คือเขตหวงห้าม ดังนั้นเขาจึงไม่คิดเข้าไปเกินกว่าสามก้า
บทที่ 5.2ลูกชายทีเชื่อฟัง“แม่นางเฉิน”เสียงเรียกที่รั้วนอกบ้านทำให้เฉินซิ่วลี่ต้องลุกเดินออกมาดู เมื่อพบว่าเป็นกู้เหยียนก็ยิ้มกว้างต้อนรับเขาด้วยท่าทีสุภาพ“คุณหมอกู้มาหาฉันมีอะไรหรือเปล่าคะ”กู้เหยียนยิ้มอ่อนโยน พร้อมกับยกปิ่นโตเปล่าในมือขึ้นให้หญิงสาวดู“ผมเอาปิ่นโตมาคืนครับ”เฉินซิ่วลี่แทบลืมไปเลยว่าครั้งก่อนเธอทำอาหารใส่ปิ่นไปให้เขาเพื่อตอบแทนที่เขาให้เธอกับลูกนอนที่ห้องพักฟื้นในสถานพยาบาลหมู่บ้าน"ฉันลืมไปเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ"เฉินซิ่วลี่เดินออกจากประตูรั้วมารับของคืน พร้อมเอ่ยขอบคุณเขาอีกครั้ง"ไม่เป็นไรครับ พอดีผมเอายามาให้ป้าชุน เลยถือโอกาสแวะเอามาคืนคุณด้วยครับ"กู้เหยียนยิ้มกว้าง สายตาอบอุ่นส่งผ่านแว่นกลมๆ มายังหญิงสาว ทว่าเพียงแต่พริบตาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม จดจ้องคนตรงหน้านิ่ง มือหนายกขึ้นขยับแว่นเพื่อพิจารณาอีกฝ่ายอย่างจริงจัง จนเฉินซิ่วลี่รู้สึกประหม่าคิดว่าตนเองทำสิ่งใดผิด"มะ... มีอะไรหรือเปล่าคะ"เสียงเล็กถามแผ่วเบา คนที่จดจ้องพลันได้สติ เมื่อรู้ตัวว่าทำสิ่งที่ไม่ควร สองแก้มก็ร้อนผ่าวจนผิวหน้าขาวเนียนแดงก่ำไปถึงใบหู“ขอโทษครับ เอ่อ... คุณเฉิน หลังของคุณได้รับบาดเจ็บหรื
บทที่ 5.3ลูกชายที่เชื่อฟัง“แม่ไม่สบายหรือครับ”เฉินซิ่วลี่กำลังวางแผนสำหรับเปิดร้านบะหมี่ในอนาคตได้ยินคำพูดของลูกชายคนโตความคิดทั้งหมดก็พลันความคิดสะดุด รอยยิ้มกว้างพลันแข็งค้าง ไม่ทันพูดอะไรเสียงเรียกก็ดังขึ้นที่หน้าบ้าน หลี่ชุนอาสาวิ่งออกไปดูก่อนจะวิ่งเข้ามารายงาน“ลุงสามถังมาครับ”คนที่กำลังใช้ความคิดถอนหายใจยาว วันนี้ที่บ้านเธอช่างครึกครื้นนัก คนหนึ่งไปคนหนึ่งมาราวกับเป็นร้านอาหาร“สวัสดีค่ะคุณถัง มาหาฉันมีเรื่องอะไรหรือคะ”ถังซานไม่ตอบคำถามของเธอทันที แต่กลับยืนสมุดเล่มหนึ่งให้เฉินซิ่วลี่รับมาถือด้วยสีหน้าสงสัย“บัญชีที่ฉันคิดมีปัญหาหรือคะ”เธอมั่นใจว่าตนเองคำนวณไม่ผิดพลาดแน่นอน ในอดีตนอกจากทำบะหมี่ขายแล้วที่ชำนาญก็คือการคิดบัญชี ดังนั้นจึงมั่นใจว่าไม่มีทางผิดพลาด“บัญชีที่เธอคิดไม่มีปัญหา เธอทำได้ถูกต้องทั้งหมด”“เช่นนั้นคุณเอาสมุดบัญชีมาให้ฉันอีกรอบแบบนี้หมายความว่า…”“ฉันอยากจ้างเธอมาทำบัญชีที่ไร่”จ้าง เมื่อจ้างงานก็ต้องจ่ายเงิน ดังนั้นสีหน้าของเฉินซิ่วลี่จึงระบายไปด้วยรอยยิ้มกว้าง เริ่มต่อรองค่าแรงขึ้นมา“งานบัญชีค่อนข้างยากกว่างานในไร่ดังนั้น…”“วันละ สองหยวน”ปกติแล้วค่า
บทที่ 6.1การกลับมาของคนที่หายไปเฉินซิ่วลี่มาที่ร้านสหกรณ์หมู่บ้านเพื่อซื้อแป้ง และของใช้สำหรับทำซาลาเปาในวันพรุ่งนี้ เธอนำเงินเก็บออกมาใช้ก่อนอย่างไม่ลังเล ตงเหยามองหญิงสาวที่เคยประกาศก้องว่าต้องการเป็นภรรยาของเขา และมักส่งสายตากับท่าทียั่วยวนให้เขาอยู่เสมอด้วยความสงสัย เกิดอะไรขึ้นกับเฉินซิ่วลี่กัน เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าเธอเป็นคนละคนกับเฉินซิ่วลี่ที่เขาเคยรู้จัก “ซิ่วลี่ เธอ... เอ่อ...”เพราะความสงสัยตงเหยาจึงเผลอเรียกคน แต่เมื่อเรียกแล้วก็ไม่รู้ว่าจะสนทนากับเธอต่ออย่างไร ร่วมหกปีแล้วที่เขาพยายามรักษาระยะห่างระหว่างเธอเอาไว้เพื่อไม่ให้ใครตำหนิเธอเพิ่ม แต่ถึงอย่างนั้นทุกครั้งที่เข้าเมืองเขาก็จะให้คนไปถามเฉินซิ่วลี่อยู่เสมอว่าต้องการฝากซื้อสิ่งใดหรือไม่ ดังนั้นแม้ไม่ได้แต่งเธอเป็นภรรยาตามที่เคยสัญญาแต่เขาก็คอยดูแลเธออยู่ห่างๆ เสมอไม่เคยเปลี่ยนไป“มีอะไรหรือคะ”ท่าทีสุภาพ แววตาที่ใสซื่อเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะมีใบหน้าที่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงตงเหยาย่อมคิดว่าเธอไม่ใช่เฉินซิ่วลี่ที่เขารู้จักอย่างแน่นอน“เอ่อ... เธอซื้อของมากมายขนาดนี้จะทำอะไรหรือ”“อ่อ... พอดีว่าคุณถังให้ฉันทำซาลาเปาไ
บทที่ 6.2การกลับมาของคนที่หายไป“พวกเราแม่ลูกก็จะเข้าเมืองเหมือนกันเลยค่ะ”“งั้นก็ไปพร้อมกัน เอาจักรยานไปจะได้เร็วขึ้น”เมื่อได้ยินคำพูดของถังซานดวงตาของเฉินซิ่วลี่ก็ลุกวาวด้วยความตกตะลึง ในยุคนี้คนที่สามารถมีจักรยานใช้นั้นน้อยมาก ยิ่งในชนบทแห่งนี้เฉินซิ่วลี่ใช้มือข้างเดียวนับยังเหลือนิ้วอีกสองนิ้ว ทว่าตระกูลถังนั้นมีไร่ชาและวัวนมที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน แค่จักรยานคันเดียวคงไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะครอบครองทว่า จักรยานคันเดียวจะนำคนสี่คนเข้าเมืองได้อย่างไร“ฉันจะพาเด็กๆ เข้าเมืองด้วยค่ะ จักรยานคุณคันเดียวคงพากันไปไม่หมด”“ใครบอกว่าฉันมีจักรยานคันเดียว”ดวงตาเรียวเบิกกว้างมากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของถังซาน ถึงแม้จะรู้ว่าเขาสามารถครอบครองจักรยานได้ แต่ถึงกับมีใช้สองคัน นี่ออกจะสิ้นเปลืองเกินไปหรือไม่“คุณถัง นี่คุณคงไม่ได้หมายความว่าจะให้ฉันยืมจักรยานใช่ไหมคะ”“แต่ถ้าเธอปั่นไม่เป็นอย่างนั้นฉันจะเดินไปเป็นเพื่อน”“เป็นค่ะ ฉันปั่นเป็น”เดินเข้าเมืองไปกลับก็ร่วมสองชั่วโมงแค่คิดเฉินซิ่วลี่ก็รู้สึกปวดต้นขาขึ้นมาทันที แต่หากมีจักรยานระยะทางไปกลับอย่างมากก็แค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น“ฉันปั่นเป็นจริงๆ
บทที่ 6.3การกลับมาของคนที่หายไปอาซาน!ที่แท้ชายแปลกหน้าที่เขาเห็นเพียงด้านหลังเมื่อครู่คือสหายสนิทตั้งแต่เด็กของเขา ถังซาน คิ้วเข้มขมวดแน่นเกิดอะไรขึ้นทำไมเฉินซิ่วลี่ที่รังเกียจถังซานจนไม่ยอมแม้แต่จะไปเหยียบไร่ของอีกฝ่าย วันนี้จึงได้มาด้วยกันแบบนี้“เสื้อผ้าพวกนี้ราคาเท่าไหร่หรือคะ”เสียงหวานที่คุ้นเคยดึงสายตาเขาไปที่คนเจรจาซื้อผ้า ดวงตาคมมองผ้าในมือเรียวแล้วคิ้วที่ขมวดแน่นก็ยิ่งขยับเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นปม เมื่อเห็นว่าขนาดชุดในมือขาวนั้นเล็กเกินกว่าจะเป็นชุดใหม่ของเฉินซิ่วลี่ แต่กลับพอเหมาะสำหรับเด็กวัย 5 ขวบนี่เธอคงไม่คิดซื้อผ้าให้ลูกๆ ของเขาหรอกนะ หึ! ดวงตะวันคงได้ขึ้นทางทิศตะวันตกกันพอดี“ชุดเด็กพวกนี้ตัวละ 4 หยวน เอากี่ตัวดีจ้ะ”เสียงแม่ค้าเอ่ยบอกราคาด้วยท่าทางสดใส แม้สองสามีภรรยาตรงหน้าจะดูแต่งตัวธรรมดา แต่ท่าทางที่ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วของชายหนุ่มด้านข้างก็ทำให้คนขายผ้าคาดเดาได้ว่าเสื้อผ้าราคานี้สำหรับเขาแล้วไม่ใช่จำนวนเงินที่จ่ายไม่ได้เฉินซิ่วลี่มองชุดที่ดูแล้วเหมาะสมกับเด็กชายทั้งสองอย่างพิจารณา แม้รูปแบบการตัดเย็บจะเหมาะสมกับพวกเขา แต่เนื้อผ้าค่อนข้างแข็งและหยาบ หากใส่จริง
บทที่ 7.1อย่างนั้นไม่สู้พวกเราแยกบ้าน“แม่ค้าโบว์ติดผมนี่ราคาเท่าไหร่หรือคะ”“2 เหมาจ้ะ 3 อัน 5 เหมา นี่แบบใหม่เลยนะ ฉันกำลังไปเอามาวันนี้เอง”“อย่างนั้นฉันเอา 3 อัน”เฉินซิ่วลี่ได้ยินบทสนทนาระหว่างแม่ค้ากับลูกค้าอีกคนก็สนใจขึ้นมา เมื่อลูกค้าคนนั้นจากไปแล้วก็เปิดบทสนทนาธุรกิจในทันที“แม่ค้าพอดีว่าที่บ้านฉันมีจักรเย็บผ้าและฉันก็พอจะมีฝีมือเย็บปักอยู่บ้าง หากฉันจะทำโบว์ติดผมมาส่งขายให้คุณจะได้ราคาเท่าไหร่หรือ”“2 อัน 1 เหมา”“อะไรกันเมื่อครู่คุณขายไปที่อันละ 2 เหมาไม่ใช่หรือ”ถังซานที่เห็นว่าเฉินซิ่วลี่กำลังถูกแม่ค้าตรงหน้าเอาเปรียบก็เอ่ยคัดค้านในทันที เฉินซิ่วลี่จับต้นแขนหนาของเขาเป็นการปลอบใจ และส่งสายตาเตือนเขา ก่อนจะหันไปยิ้มกับแม่ค้า“พี่ชายของฉันเป็นคนใจร้อนและไม่ค่อยเข้าใจเรื่องค้าขาย อย่างนั้นเข้าเมืองครั้งหน้าฉันลองเอาตัวอย่างมาส่งให้คุณนะคะ”เมื่อได้ยินเฉินซิ่วลี่แนะนำสถานะของตนว่าพี่ชาย ใบหน้าที่ก่อนหน้ามีรอยยิ้มระบายกว้างของถังซานก็หุบลงในทันที ตรงข้ามกลับชายที่ยืนอ่านหนังสือพิมพ์ที่มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยอย่างพึงพอใจโดยไม่รู้ตัว“ได้เลย ลองเอามาก่อนสัก 50 ชิ้น ถ้าขายได้ดีครั้
“คุณพ่อ คุณแม่ อาเหม่ยอยากได้ตุ๊กตาตัวนี้”เสียงเด็กหญิงไว้ 3 ขวบร้องบอกคนเป็นพ่อและแม่ กวงซุนหลี่ยิ้มรับทว่าขณะที่กำลังจะเดินไปซื้อของให้ลูกสาวคนเล็ก มือข้างซ้ายก็ถูกดึงรั้งเอาไว้เสียก่อน“อาเหม่ยเพิ่งซื้อของเล่นไปเมื่อสัปดาห์ก่อน หากจะซื้อชิ้นใหม่ต้องเป็นเดือนหน้า”เฉินซิ่วลี่ห้ามปรามเด็กหญิงตัวน้อยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใบหน้ากลมสดใสพลันสลดน้ำตาคลอก้มหน้ามองพื้น หลี่ชุนในวัย 10 ขวบรีบเข้ามาอุ้มน้องสาวตัวน้อยขึ้นแล้วเอ่ยกระซิบปลอบประโลม“ไม่เป็นไรนะอาเหม่ย เดี๋ยวเดือนหน้าพี่ซื้อให้”ด้วยฐานะทางบ้านของพวกเขาตอนนี้ แค่ของเล่นเพียงชิ้นเดียวไม่ใช่เรื่องยากที่จะซื้อหามาครอบครอง แต่เพราะพวกเขาเคยผ่านความยากลำบากมาก่อนจึงได้เรียนรู้คุณค่าของเงิน ในบ้านจึงมีกฎให้ซื้อของเล่นได้เพียงเดือนละ 1 ชิ้นเท่านั้น“ผมเอาตัวนี้ ใส่ถุงให้ด้วยครับ”เสียงเข้มราบเรียบเอ่ยบอก ทุกสายตาพลันหันมาจดจ้องที่หลี่หมิงขณะที่พนักงานขายรีบหยิบตุ๊กตาที่เด็กหญิงร้องบอกอยากได้เมื่อครู่ใส่ถุงอย่างรวดเร็ว“อาหมิงลูกกำลังจะทำลายกฎของบ้านเรา”เฉินซิ่วลี่เอ่ยบอกเสียงราบเรียบ แม้จะไม่ได้มีน้ำเสียงหรือท่าทางตำหนิ แต่สายตานั้นชัดเจ
“คืนนี้พวกเราจะได้น้องสาวแล้วใช่ไหมครับ”หลี่ชุนกระซิบเสียงเบา มุมปากของคนเป็นพ่อยกขึ้นสูงก่อนจะพยักหน้ารับด้วยสายตามุ่งมั่น“พ่อรับรองว่าเดือนหน้าน้องสาวของลูกต้องมาแน่ๆ”เมื่อได้ยินคำพูดที่หนักแน่นของคนเป็นพ่อสองเด็กชายก็ย้ายไปนอนที่ห้องถัดไป ขณะที่ร่างสูงโปร่งของกวงซุนหลี่ขยับเดินเข้าห้องลงกลอนแน่นหนาฉับไว “อื้ม...”เฉินซิ่วลี่ร้องครวญในลำคอเมื่อร่างกายถูกรบกวน ความเย็นจากภายนอกเข้ามาปะทะผิวกายทำให้คิ้วเรียวขมวดมุ่น ก่อนที่ดวงตาจะเปิดออก“คุณกวง! เข้ามาทำไมคะ”เพราะความแนบชิดที่ไม่เหมาะสมทำให้เธอตื่นตระหนกรีบมองรอบตัวอย่างหวาดระแวง“หยุดนะคะ เดี๋ยวเด็กๆ เห็น”“เด็กๆ ย้ายไปนอนอีกห้องแล้ว”คนตัวโตที่ปลดเปลื้องผ้าของเธอจนเหลือเพียงร่างที่เปลือยเปล่าเช่นเดียวกับเขากระซิบบอกเสียงแหบพร่า แนบชิดร่างกายกำยำลงทาบทับบนตัวนุ่ม“คุณกวงหยุดก่อนค่ะ เราต้องคุยกันให้ชัดเจนก่อน”“เดี๋ยวค่อยคุยนะ”ริมฝีปากร้อนขยับจากลำคอขาวกดแนบชิดบดเบียดริมฝีปากบาง พร้อมกับวางมือบีบเคล้นอกอวบอิ่มทั้งสองข้าง ร่างกายของเฉินซิ่วลี่พลันตื่นตัวขนกายสาวลุกชัน สองเนื้อนิ่มแข็งสู้กับมือหนากวงซุนหลี่ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ถอนริมฝ
“แค่ทำข้าวสารให้เป็นข้าวสุกก็พอ”ใบหน้าของกู้เหยียนพลันร้อนผ่าวแดงก่ำไปจนถึงลำคอ เดิมทีเขาเสนอตัวช่วยแก้ปัญหานี้ก็เพราะว่าเงื่อนไขของคุณหนูกวงเพียงแค่อยากแต่งงาน แต่ไม่ต้องการความสัมพันธ์ทั้งทางกายและใจ ให้แยกบ้านเธอก็ยินดี ในเมื่อชีวิตนี้เขาเองก็ไม่คิดแต่งงานกับใครอีกแล้ว ให้แต่งหลอกๆ เป็นหุ่นเชิดให้เธอก็ไม่นับว่าเสียหายอะไร แต่งเสร็จเขาก็กลับไปเมืองเจียงเป็นคุณหมอกู้ของชาวบ้านต้าหยางต่อไปก็เท่านั้นเพียงแต่แค่เรื่องหลอกๆ เรื่องหนึ่งทำไมต้องให้เขานอนกับเธอด้วย ทำแบบนี้กวงจือหลินย่อมต้องถูกผู้คนครหาติฉินนินทา ทว่าเขาไม่ทันได้เอ่ยปฏิเสธกวงจือหลินก็ตอบรับแผนการของกวงซุนหลี่ไปแล้ว“ได้!”“ดี! อาหย่งเอาเหล้ามา”กู้เหยียนมองเหล้าดีกรีแรงตรงหน้าแล้วกลืนน้ำลายฝืดลงคอ ทั้งชีวิตของเขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับเส้นทางอบายมุขไม่ว่าจะเป็น เหล้า บุหรี่ ฝิ่น การพนัน และผู้หญิง ล้วนไม่เคยข้องเกี่ยว ดังนั้นเมื่อกวงซุนหลี่ส่งแก้วเหล้าให้ มือหนาจึงยื่นไปรับด้วยท่าทางลังเล“อาหลี่ ฉัน... ไม่กินได้หรือไม่ นายก็รู้ว่าฉัน...”กู้เหยียนพูดยังไม่ทันจบประโยคแก้วเหล้าในมือก็ถูกกวงซุนหลี่จับจรดที่ริมฝีปากของเขา ตอนนี้แม
“นอกจากเธอฉันไม่เคยสัญญาจะแต่งงานกับใครทั้งนั้น”เฉินซิ่วลี่ขมวดคิ้วเรียวมองคนตรงหน้าด้วยสายตาสับสน กวงซุนหลี่จับมือซ้ายของเธอมากอบกุมแล้วกดจุมพิตที่หลังมือนุ่มก่อนจะสวมใส่แหวนลงไปที่นิ้วนางเธอเหมือนเดิม“คุณกวง คุณจะทำอะไร ฉันไม่ยินดีแต่งเป็นภรรยารองให้คุณหรอกนะ หรือต่อให้เป็นภรรยาเอก ฉันก็ไม่ยินดี”“เอาไว้ไปถึงบ้านฉันจะอธิบายเรื่องพวกนี้ให้เธอฟัง แต่นับจากนี้ห้ามเธอถอดแหวนวงนี้อีก และห้ามเธอทอดทิ้งฉันด้วย แค่คิดก็ไม่ได้เข้าใจไหม”น้ำเสียงกระซิบอ้อนวอนราวกับสาวน้อยถูกรังแก ทำให้ความกรุ่นโกรธในใจของเฉินซิ่วลี่จางหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น “ได้! ฉันจะรอฟังคำอธิบายของคุณ แต่ถ้าเหตุผลไม่เพียงพอเรื่องของเราก็ยังคงต้องยุติ”“ไม่ได้! ฉันไม่ยอม”กวงซุนหลี่เอ่ยบอกอย่างดื้อดึงพร้อมกับกระชับอ้อมแขนแน่น เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาวไม่คิดทำเรื่องที่เสียแรงเปล่าอย่างการดิ้นรนขัดขืนเขา รั้งรอจนรถหยุดลงกวงซุนหลี่ก็อุ้มคนลงจากรถเดินเข้าบ้านในทันที“คุณกวงปล่อยฉันนะคะ ฉันเดินเองได้”“ไม่!”เสียงเข้มหนักแน่นตอบกลับพลางก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปในห้องโถงแล้วนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวโดยยังคงกอดรัดเฉินซิ่วลี่ไว้บนตักไม่ยอมปล
นี่เขาคงไม่คิดจะประกาศแต่งงานกับเธอในเวลานี้หรอกนะดวงตาคมของคนบนเวทีมองตอบกลับสอดประสานดวงตาเรียว ก่อนที่เขาจะประกาศก้องอีกครั้ง“ลี่ลี่ แต่งงานกับฉันนะ”เมื่อได้ยินกวงซุนหลี่เอ่ยชื่อหญิงสาวที่เขาต้องการแต่งงาน บรรดาแขกในงานก็ส่งเสียงวิจารณ์อื้ออึงอีกครั้ง“ลี่ลี่เหรอ ใครกัน”“นั่นสิ! คุณกวงไม่ใช่ว่ากำลังคบหาดูใจกับคุณหนูกวงจือหลินอยู่หรือ ทำไมถึงประกาศแต่งกับคนอื่นได้”“แบบนี้คุณกวงจือเหลียงจะยอมหรือ”“กวงซุนหลี่ เขาไม่รักลมหายใจของตนเองแล้วหรือไง”คำพูดของผู้คนมากมายดังก้องไปทั่วงานจนกวงซุนหลี่ขบกรามแน่น หากแต่ใครจะพูดอย่างไรเขาล้วนไม่สนใจ ที่เขาสนใจมีเพียงเฉินซิ่วลี่ที่ยังนั่งนิ่งไม่ตอบรับคำขอของเขา“ลี่ลี่ ฉันสัญญาหากเธอตกลงแต่งงานกับฉัน ฉันจะมีแค่เธอ จะปกป้องดูแลเธอและครอบครัวของเราด้วยชีวิตของฉัน”หัวใจของเฉินซิ่วลี่พลันสั่นระรัว มองสบดวงตาคมด้วยแววตาสั่นไหว ดูแลด้วยชีวิต เมื่อได้ยินคำพูดนี้ความรู้สึกในวันที่เธอคิดว่าเขาตายจากไปแล้วก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง จะมีสักกี่คนที่มีโอกาสแบบเธอ ในเมื่อมีโอกาสแล้วยังต้องยึดติดกับทิฐิและข้อสงสัยมากมายทำไมกัน เมื่อคิดได้เช่นนี้เฉินซิ่วลี่ก็โยนท
เมื่อใกล้ถึงเวลาเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของกวงซุนหลี่ เฉินซิ่วลี่ก็เลือกสวมชุดสีฟ้าเข้ารูปคอสูงเพื่อปกปิดร่องรอยที่กวงซุนหลี่ทิ้งเอาไว้บนลำคอระหง แล้วออกเดินทางไปยังสถานที่จัดเลี้ยงกู้เหยียนใช้เวลาเพียง 15 นาทีก็ขับรถมาถึงหน้าโรงแรมจัดเลี้ยง ชายในชุดสูทแบบตะวันตกก็เดินมาเปิดประตูรถทั้ง 4 ด้าน กู้เหยียนส่งกุญแจรถให้พนักงานตรงหน้านำรถไปจอดในสถานที่จอดรถ ส่วนตัวเขาเดินมารับเฉินซิ่วลี่ ขณะที่หลี่หมิงและหลี่ชุนเดินขนาบข้างซ้ายขวาหวังรั่วซีตามหลังคนเป็นแม่เข้างานอย่างสงบเสงี่ยมรู้ความและในทันทีที่เฉินซิ่วลี่ก้าวเท้าเข้ามาในงาน ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่น จึงทำให้สายตาชายหนุ่มในงานจดจ้องมาที่เธออย่างมากมาย หากไม่เพราะข้างกายเธอมีกู้เหยียนเคียงข้างอยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าคืนนี้เฉินซิ่วลี่คงไม่อาจนั่งอย่างสงบแน่นอน“คุณกวงจัดที่นั่งไว้ให้คุณเฉินและผู้ติดตามเป็นพิเศษ เชิญพวกคุณทางด้านนี้ครับ”เมื่อทุกคนในงานได้เห็นตำแหน่งที่นั่งของเฉินซิ่วลี่ผู้คนในงานต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงสถานะความสำคัญของเธอและกู้เหยียน จวบจนกระทั่งกวงซุนหลี่ก้าวเท้าเข้ามาความสนใจของผู้คนจึงเปลี่ยนไปที่เขาแทน“สวัสดีค่ะคุณก
บทสุดท้ายเมื่อหวังรั่วซีตื่นมาตอนเช้าแล้วพบว่าเฉินซิ่วลี่หายตัวไปก็ตื่นตระหนก รีบไปแจ้งกู้เหยียนที่ห้องของเขาด้วยความร้อนใจ“รั่วซี! มาหาฉันแต่เช้ามีเรื่องด่วนอะไรหรือ”กู้เหยียนเอ่ยถามเสียงเบา เพราะเด็กชายทั้งสองยังนอนหลับอยู่บนเตียง ก่อนจะปิดประตูเดินออกมาคุยกับหวังรั่วซีที่หน้าห้อง“พี่ลี่หายตัวไปค่ะหมอกู้”เมื่อได้ยินว่าเฉินซิ่วลี่หายตัวไป กู้เหยียนก็ตื่นตระหนกจนหน้าซีดรีบหมุนตัวเปิดประตูเข้าไปหยิบเสื้อคลุมและกุญแจรถในทันที“จะเป็นพวกเดียวที่ลักพาตัวอาหมิงกับอาชุนไปเมื่อคราวก่อนไหมคะ”คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่น เรื่องที่หลี่หมิงกับหลี่ชุน ถูกลักพาตัวไปเมื่อเดือนก่อน จนเป็นเหตุให้หลี่อันเฉิงตายจากไป เขายังจดจำไม่ลืม ดังนั้นไม่ว่าครั้งนี้จะอันตรายแค่ไหน เขาจะต้องปกป้องช่วยเหลือเฉินซิ่วลี่ให้ได้“เธอเข้าไปรอฉันในห้องกับเด็กๆ ก่อน ฉันจะไปตามหาคุณเฉิน”กู้เหยียนยืนยันเสียงหนักแน่นพร้อมกับวางเสื้อคลุมของตนเองลงบนไหล่บาง ใบหน้าของหวังรั่วซีพลันแดงก่ำเมื่อตระหนักได้ว่าตนเองสวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่เหมาะสมนัก“ขอโทษค่ะ”“ไม่เป็นไร เธอเข้าไปรอในห้องก่อนไม่ต้องกังวลฉันจะพาคุณเฉินกลับมาอย่างปลอดภั
“ตอนนี้ฉันคือภรรยาของหลี่อันเฉิงค่ะ” กวงซุนหลี่กำมือแน่น รู้สึกอิจฉาตนเองในอดีตขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล ทว่าสุดท้ายก็ยอมถอยขยับตัวลุกขึ้นนั่งที่ข้างเตียง เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาว เธอไม่รู้ว่าควรจะอธิบายความรู้สึกของตนเองอย่างไร สุดท้ายหลังจากหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่ก็ลุกขึ้นหมายใจถอยกลับไปตั้งหลัก“ฉันกลับก่อนนะคะ”ทว่าเท้าเล็กก้าวลงเตียงแต่ไม่ทันได้ขยับเดิน เอวบางก็ถูกดึงรั้งจนเธอเซถลาลงนั่งบนตักกว้าง“อย่าไปได้ไหม”เสียงออดอ้อนแผ่วเบากระซิบที่ข้างใบหูเล็ก“ลี่ลี่ อย่าไปได้ไหม”วงแขนแกร่งกระชับแน่นมากขึ้น กดปลายจมูกลงบนไหล่เล็กแล้วกระซิบเสียงอ้อนเว้าวอน“ลี่ลี่ ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเธอ เธอจะทุบตีจะด่าทอฉันก็ได้ แต่อย่าไปจากฉันได้ไหม”เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาวก่อนจะบอกเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ฉันไม่มีเหตุผลต้องอยู่ทุบตีด่าทอคุณ อีกอย่างเด็กๆ ยังอยู่ที่โรงแรมฉันไม่กลับไม่ได้ค่ะ”“เธอกลับไปตอนนี้พวกเขาก็หลับกันหมดแล้ว แต่ฉันยังไม่หลับและคงหลับไม่ลงทั้งคืนถ้าเธอจากไป ลี่ลี่... คืนนี้อยู่กับฉันนะ”หัวใจของเฉินซิ่วลี่พลันสั่นสะท้าน เม้มริมฝีปากบางอย่างสับสน หากคิดตามเหตุผลเธอไม่สมควรอยู่ต่อ แต่หากถามคว
“ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกันเป็นการส่วนตัวสักทีนะคุณกวง”“ส่งคนคืนฉันมา”กวงซุนหลี่ขบกรามกำหมัดแน่นพร้อมกับเอ่ยเสียงลอดไรฟัน ท่าทางเช่นนี้ของเขาทำให้เหลียงเหว่ยพึงพอใจมาก มือหนากระชับไหล่บางเข้าประชิดตัวก่อนจะส่งสายตาเยาะเย้ยเขา“ไม่เอาน่าคุณกวงของดีๆ แบบนี้เราแบ่งกันเล่นสนุกดีกว่านะ”เหลียงเหว่ยพูดพลางหันไปกดจมูกลงบนแก้มนุ่ม ทว่าปลายจมูกยังไม่ทันสัมผัสผิวของเฉินซิ่วลี่ ร่างกายก็ถูกเธอจับพลิกหมุนเคว้ง รู้ตัวอีกทีแผ่นหลังของเขาก็กระแทกลงกับพื้นจนปวดไปทั้งตัว คนของเหลียงเหว่ยชักปืนออกมาในทันที แต่ไม่ทันได้ขยับลั่นไกปืนในมือชายคนหนึ่งก็ย้ายมาอยู่ในมือของกวงซุนหลี่แล้วปัง! ปัง! เสียงปืนดังลั่นพร้อมกับเลือดที่ไหลออกจากต้นขาของเหลียงเหว่ยทั้งสองข้าง คอเสื้อด้านหลังถูกกระชากยกขึ้น ก่อนที่ขมับขวาของเขาจะเย็นวาบเพราะปลายกระบอกปืนที่จ่อแนบลงมา“เหลียงเหว่ย คุณคงรู้ว่าต้องบอกคนของตนเองยังไง”“ถอย! ถอยไปให้หมด”สิ้นคำสั่งของเหลียงเหว่ยคนนับสามสิบคนก็ขยับหลีกทางให้กวงซุนหลี่ เขาหันมาส่งสัญญาณให้เฉินซิ่วลี่เดินประกบตามหลังเขาไปที่รถยนต์ด้านหน้าตึก“ลี่ลี่ คุณขับรถได้ไหม”“ได้ค่ะ”เหลียงเหว่ยตัวสั่นสะ