บทที่ 7.1อย่างนั้นไม่สู้พวกเราแยกบ้าน“แม่ค้าโบว์ติดผมนี่ราคาเท่าไหร่หรือคะ”“2 เหมาจ้ะ 3 อัน 5 เหมา นี่แบบใหม่เลยนะ ฉันกำลังไปเอามาวันนี้เอง”“อย่างนั้นฉันเอา 3 อัน”เฉินซิ่วลี่ได้ยินบทสนทนาระหว่างแม่ค้ากับลูกค้าอีกคนก็สนใจขึ้นมา เมื่อลูกค้าคนนั้นจากไปแล้วก็เปิดบทสนทนาธุรกิจในทันที“แม่ค้าพอดีว่าที่บ้านฉันมีจักรเย็บผ้าและฉันก็พอจะมีฝีมือเย็บปักอยู่บ้าง หากฉันจะทำโบว์ติดผมมาส่งขายให้คุณจะได้ราคาเท่าไหร่หรือ”“2 อัน 1 เหมา”“อะไรกันเมื่อครู่คุณขายไปที่อันละ 2 เหมาไม่ใช่หรือ”ถังซานที่เห็นว่าเฉินซิ่วลี่กำลังถูกแม่ค้าตรงหน้าเอาเปรียบก็เอ่ยคัดค้านในทันที เฉินซิ่วลี่จับต้นแขนหนาของเขาเป็นการปลอบใจ และส่งสายตาเตือนเขา ก่อนจะหันไปยิ้มกับแม่ค้า“พี่ชายของฉันเป็นคนใจร้อนและไม่ค่อยเข้าใจเรื่องค้าขาย อย่างนั้นเข้าเมืองครั้งหน้าฉันลองเอาตัวอย่างมาส่งให้คุณนะคะ”เมื่อได้ยินเฉินซิ่วลี่แนะนำสถานะของตนว่าพี่ชาย ใบหน้าที่ก่อนหน้ามีรอยยิ้มระบายกว้างของถังซานก็หุบลงในทันที ตรงข้ามกลับชายที่ยืนอ่านหนังสือพิมพ์ที่มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยอย่างพึงพอใจโดยไม่รู้ตัว“ได้เลย ลองเอามาก่อนสัก 50 ชิ้น ถ้าขายได้ดีครั้
บทที่ 7.2อย่างนั้นไม่สู้พวกเราแยกบ้านหลังจากกินบะหมี่จนอิ่มท้อง เฉินซิ่วลี่ก็เดินไปที่ร้านขายอุปกรณ์เครื่องเขียน เธอเลือกซื้อสมุดราคาระดับกลางห้าเล่มและดินสอพร้อมยางลบอีกสามแท่ง“เด็กๆ ใกล้เข้าโรงเรียนแล้ว เธอซื้อมากอีกสักหน่อยก็ได้ เดี๋ยวฉันจ่ายให้ ถือเป็นของขวัญให้พวกเขา”ถังซานยกเด็กๆ มาอ้างเพราะรู้ดีว่าหากไม่พูดเช่นนี้ เฉินซิ่วลี่คงไม่ยอมให้เขาซื้อของให้อีก“พี่ซาน วันนี้คุณ ซื้อของให้พวกเรามากเกินไปแล้ว หากยังจ่ายเงินให้อีกฉันก็คงเป็นลูกหนี้รายใหญ่ของคุณแล้ว”“ฉันเป็นคนซื้อให้เอง เธอจะมาเป็นหนี้ได้อย่างไร แต่ถ้าหากเธออยากชดใช้จริงๆ อย่างนั้นเธอก็ใช้ด้วยอาหารวันละ 3 มื้อ คิดมื้อละ 1 หยวนเป็นอย่างไร”ถึงถังซานจะพูดเช่นนั้นแต่เฉินซิ่วลี่ก็ไม่คิดรับเงินจากเขาเพิ่ม คนที่แอบตามติดสังเกตเด็กๆ กำมือแน่น ทั้งให้ตัดเย็บชุดใหม่ ทั้งให้ชดใช้ด้วยอาหาร 3 มื้อ ถังซานเห็นเฉินซิ่วลี่เป็นภรรยาในบ้านของตนเองหรือยังไง เคยลิ้มรสมือของผู้หญิงคนนี้หรือยัง หึ! ขนาดเขาที่เป็นทหารยังต้องขอเข้าครัวปรุงอาหารกินเองเลย สหายน่าโมโหนี่กลับกล้าเอ่ยปากฝากท้องไว้กับเธอถึง 3 มื้อ ไม่อยากมีชีวิตยืนยาวแล้วหรือไง“ไ
บทที่ 7.3อย่างนั้นไม่สู้พวกเราแยกบ้านเพราะกู้เหยียนบอกให้เฉินซิ่วลี่พักอยู่ที่บ้านเด็กชายทั้งสองคนจึงคอยดูแลเธอทุกฝีก้าว แม้แต่งานครัวก็ไม่ให้เธอทำ ดังนั้นเฉินซิ่วลี่จึงไม่ได้ไปส่งซาลาเปาให้ถังซานมาหลายวันแล้ว แม้แต่ไปเยี่ยมเขาก็ไม่ได้ไป"เมื่อวานพี่ชายไปเยี่ยมลุงสามถังมาแล้วครับ เขาสบายดีไม่มีแผลสาหัสอะไร บนตัวมีแค่รอยฟกช้ำเล็กน้อย ตอนนี้ไปทำงานที่ไร่ได้แล้วครับ"หลี่ชุนเอ่ยบอกเสียงสดใส วันนี้เขาตื่นแต่เช้าหลังจากทำความสะอาดบ้านก็เข้ามานั่งเฝ้าแม่ในห้องเพื่อคอยดูแล หากเธอต้องการอะไรแค่เพียงเอ่ยปากเขาก็จะไปหยิบมาให้ในทันที"แม่เองก็แค่ฟกช้ำเล็กน้อย อาชุน แม่ว่า...""ได้เวลากินยาแล้วครับ"เฉินซิ่วลี่พูดไม่ทันจบประโยคหลี่หมิงก็เดินถือถาดไม้เข้ามา บนถาดไม้มีข้าวหนึ่งถ้วยและกับข้าวอีกสองอย่าง ที่ดูแล้วก็ไม่น่าจะเป็นฝีมือของเด็กชายทั้งสอง"เมื่อเช้าคุณลุงหมอกู้มาเยี่ยมแม่ครับ เขาทำกับข้าวมาฝากพวกเราด้วย บอกว่าแม่ไม่สบายคงเข้าครัวไม่สะดวก"เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาว เพียงถูกคนตบหน้าหนึ่งทีเท่านั้น ต้องดูแลใกล้ชิดถึงเพียงนี้เชียวหรือ นี่พวกเขากังวลมากไปหรือไม่ ทว่าทั้งหมดล้วนเป็นความห่วงใยและห
บทที่ 7.4อย่างนั้นไม่สู้พวกเราแยกบ้าน“หยุดนะ!”เฉินซิ่วลี่พูดพร้อมกับวิ่งเข้าไปใช้เท้ายันคนตรงหน้า หม่าอิงหงที่ไม่ทันระวังตัวเสียหลักล้มลงกระแทกพื้นร้องโอดครวญลั่น ก่อนจะชี้นิ้วด่าคนด้วยคำหยาบคายมากมาย“เฉินซิ่วลี่แกกล้าถีบฉันเหรอ!”“โอว้คุณนายหลี่! เป็นคุณเเองหรือคะขอโทษด้วย ฉันไม่คิดว่าหญิงแก่ใจร้ายที่ทุบตีเด็กๆ จะเป็นย่าของพวกเขา"จะเป็นย่าของพวกเขา เฉินซิ่วลี่จงใจเน้นคำท้ายประโยค ชาวบ้านที่มามุงดูอยู่นอกรั้วต่างพากันฉะเง้อดูเรื่องสนุกด้านใน บางคนยังวิ่งไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านถังด้วย หม่าอิงหงถูกคนกระซิบนินทาก็ขบกรามพยุงร่างที่ปวดไปทั้งตัวของตนเองลุกขึ้นชี้หน้าคนที่กำลังนั่งกอดปลอบเด็กๆ"นางผู้หญิงชั้นต่ำ สารเลว ฉวยโอกาสตอนฉันกับอันอันไม่อยู่แอบคบชู้ ยังกล้ามาว่าฉันอีกเหรอ"ในยุคนี้การคบชู้นั้นเป็นความผิดร้ายแรงและเรื่องที่น่าอับอายมาก เมื่อหม่าอิงหงประกาศออกมาเช่นนี้ผู้คนก็เริ่มซุบซิบนินทาเฉินซิ่วลี่กันซึ่งหน้า"คุณกล่าวหาฉันเช่นนี้ออกจะร้ายแรงไปหน่อยหรือไม่”ตอนนี้เฉินซิ่วลี่ไม่สนใจคำซุบซิบของชาวบ้าน แต่ที่เธอสนใจก็คือหากเรื่องนี้ถูกพ่อตัวร้ายหลี่อันเฉิงรู้เข้า ให้เธอทำดีแค่ไหนเขาก็ค
บทที่ 8.1ลงทุนวันนีัรับผลกำไรวันหน้า“ในเมื่อพี่เฉิงก็ตายจากไปแล้ว อย่างนั้นไม่สู้พวกเราแยกบ้านกันเถอะค่ะ”สิ้นคำของเฉินซิ่วลี่รอบตัวก็พลันเงียบงัน เธอเป็นสตรีหม้ายสามีตายอีกทั้งยังมีลูกแฝดวัยเพียง 5 ขวบ คิดแยกบ้านออกไปก็เท่ากับหาทางตันให้ตนเอง ช่างเป็นสตรีไร้ความคิดจริงๆ"อาลี่เธอใจเย็นๆ ก่อน"ผู้ใหญ่บ้านถังพยายามไกล่เกลี่ยเรื่องราวตรงหน้าด้วยความเป็นกลาง บ้านไหนบ้างไม่มีเรื่องสะใภ้และแม่สามีผิดใจ หากแต่จะมีสักกี่หลังกันที่พวกเขาจบด้วยการแยกบ้านกันจริงๆ แน่นอนว่าประโยคนี้ล้วนพูดเพื่อให้อีกฝ่ายยอมถอยให้ตนเองทั้งสิ้นทว่าสำหรับเฉินซิ่วลี่นั้น การแยกบ้าน จากคนตรงหน้าคือสิ่งแรกที่เธอต้องการจัดการเป็นอันดับแรก เพราะหากไม่จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยภายหน้าคิดกระทำการใดก็ล้วนตกเป็นกิจการของตระกูลหลี่ที่ต้องแบ่งปันผลประโยชน์กับหม่าอิงหงและลูกๆ ของเธอด้วย"ผู้ใหญ่ถังคะ ถึงคุณจะไม่สงสารฉันก็สงสารเด็กๆ เถอะค่ะ เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้วันหน้าคุณนายหลี่ยังจะเลี้ยงดูเด็กๆ ของพวกเราด้วยใจจริงอีกหรือคะ"หม่าอิงหงขบกรามกำมือแน่น ยกมือขึ้นชี้หน้าหญิงสาวจอมเสแสร้งตรงหน้าแล้วตะโกนลั่น “ได้! แยกก็แยก ฉัน
บทที่ 8.2ลงทุนวันนี้รับผลกำไรวันหน้าเพราะได้ถังซานนำรถเกษตรในไร่มาช่วยขนข้าวของ เฉินซิ่วลี่จึงสามารถย้ายทุกอย่างเข้าบ้านพักของเจ้าหน้าที่ประจำสถานพยาบาลหมู่บ้านได้ทันก่อนฟ้ามืด“วันนี้ขอบคุณพี่ซาน กับผู้ใหญ่ถังมากนะคะ คุณหมอกู้ด้วยค่ะ ถ้าไม่ได้พวกคุณช่วยเหลือฉันกับเด็กๆ คงลำบากมาก”เฉินซิ่วลี่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งใจ เดิมทีเธอคิดว่าเจ้าของร่างเดิมร้ายกาจถึงเพียงนั้น หากเกิดเรื่องใดๆ ขึ้นทุกคนคงเมินหน้าหนี เหมือนกับที่ตระกูลเฉินบ้านเดิมของเจ้าของร่างทำในเวลานี้“อาลี่ หากเธอต้องการความช่วยเหลืออย่าได้ลืมว่ามีฉันอยู่”ถังซานเอ่ยบอกเสียงหนักแน่น ดวงตาคมมองหญิงสาวและเด็กๆ ด้วยความห่วงใย ก่อนจะตวัดสายตามองไปยังสหายร่วมชั้นเรียนที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอ“อาเหยียน หวังว่านายจะดูแลเธอให้ดี อย่าได้ลืมว่าเธอเป็นภรรยาของอาเฉิง”“ฉันย่อมไม่ลืมว่าคุณเฉินเป็นภรรยาของอาเฉิง และเขาได้ตายไปแล้ว”กู้เหยียนเอ่ยเสียงหนักแน่นตอบกลับ โดยจงใจเน้นคำว่า ตาย อย่างชัดเจน แววตาที่มักอ่อนโยนอยู่เป็นนิจมองผ่านแว่นกลมไปยังสหายด้วยความแข็งกร้าวไม่หวั่นเกรง ความรู้สึกที่ถังซานมีต่อเฉินซิ่วลี่นั้นเขาที่เป็นผู้ชายเช่นเ
บทที่ 8.3ลงทุนวันนี้รับผลกำไรวันหน้า เช้าวันต่อมาเฉินซิ่วลี่นำซาลาเปาใส่ตะกร้าหาบเพื่อไปส่งที่ไร่ของถังซานเหมือนทุกครั้ง หยวนกู้ที่ตื่นมาเห็นจึงให้เธอนำจักรยานของเขาไปใช้ แต่จักรยานเป็นของมีราคาในยุคนี้ เฉินซิ่วลี่จะกล้าเอาของเขามาใช้ได้อย่างไร แค่ครั้งก่อนยืมของถังซานปั่นเข้าไปในตัวเมืองเธอก็เกรงใจเขาจะแย่“ไร่ตระกูลถังอยู่ไกลจากที่นี่มาก กว่าคุณจะเดินไปถึงก็คงไม่ทันมื้อเช้าของคนในไร่”หากยึดเอาบ้านตระกูลหลี่เป็นจุดตรงกลาง ไร่ตระกูลถังก็นับว่าอยู่ทางเหนือส่วนสถานพยาบาลหมู่บ้านแห่งนี้ก็นับว่าอยู่ทางใต้ ระยะทางที่เพิ่มขึ้นมาเกือบเท่าตัวย่อมทำให้การเดินทางล่าช้าเช่นที่กู้เหยียนบอกจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นเฉินซิ่วลี่ก็ยังคงลังเลอยู่ในที“เชื่อผมเถอะครับใช้จักรยานจะสะดวกกว่า หรือคุณจะให้ผมปั่นไปส่งแทนก็ได้นะครับตอนนี้ยังเช้ามากไม่มีคนไข้อีกอย่างแขนคุณก็ยังเจ็บอยู่”ปั่นจักรยานไม่เพียงแต่ต้องใช้กำลังขา ยังต้องใช้กำลังแขนในการบังคับทิศทาง กู้เหยียนเห็นว่าแขนของเฉินซิ่วลี่ยังเจ็บอยู่จึงเอ่ยอาสา ไปส่งเธอ แต่เฉินซิ่วลี่พึ่งพาเขาเรื่องบ้านแล้วยังจะรบกวนเขาในเรื่องอื่นอีกได้อย่างไรกัน“ไม่เป็นไรค่
บทที่ 8.4ลงทุนวันนี้รับผลกำไรวันหน้าเฉินซิ่วลี่กลับมาถึงสถานพยาบาลหมู่บ้านก็เห็นกู้เหยียนกำลังยุ่งอยู่กับการตรวจคนไข้ ทว่าให้เขายุ่งแค่ไหนก็ไม่ละทิ้งลูกชายฝาแฝดของเธอ ดวงตาเรียวมองผ้าห่มผืนหนาที่ปูบนพื้นเย็นๆ รองให้หลี่หมิงและหลี่ชุนนั่งคัดตัวอักษรอย่างใส่ใจ ในใจของเฉินซิ่วลี่ก็รู้สึกซาบซึ้งน้ำใจนี้ของกู้เหยียนจริงๆทว่าความใส่ใจที่เธอชื่นชมนี้ของกู้เหยียนกลับทำให้คนอื่นเข้าใจสถานะของเธอและกู้เหยียนผิดโดยที่เฉินซิ่วลี่ไม่รู้ตัว“ไม่เจอแค่สามเดือนคุณหมอมีลูกชายโตขนาดนี้แล้วหรือคะ”เสียงของคนไข้รายหนึ่งเอ่ยกระซิบถาม กู้เหยียนไม่เพียงแต่ไม่ปฏิเสธแต่ยังยิ้มรับจนผู้คนหลงคิดว่าเด็กชายด้านหลังเป็นลูกของเขาจริงๆ“อาหมิง อาชุน”เมื่อได้ยินเสียงเรียก เด็กชายทั้งสองก็ขานรับและรีบเก็บข้าวของไว้อย่างเป็นระเบียบก่อนจะลุกขึ้นเอ่ยลากู้เหยียนอย่างสุภาพ“แม่กลับมาแล้ว พวกเราขอตัวก่อนนะครับ”หลี่ชุนเดินมาบอกกู้เหยียนด้วยท่าทีสดใส ยังเผื่อรอยยิ้มกว้างไปให้คนไข้ที่รอตรวจของเขาอีกด้วย นิสัยอ่อนโยนน่ารักราวกับถอดแบบกู้เหยียนมาเช่นนี้ ต่อให้เด็กน้อยหน้าตาไม่เหมือนเขาเลยสักนิด ผู้คนก็ยังเชื่อว่าพวกเขาเป็นพ่
บทที่ 12.4ไม่อาจหลีกหนีไปชั่วชีวิตเฉินซิ่วลี่ปั่นจักรยานกลับบ้านเส้นทางเดิมเช่นทุกครั้ง หากแต่ครั้งนี้กลับพบเจอเรื่องที่แตกต่างจากทุกวัน“แม่! ฉันไม่อยากไป แม่อย่าบังคับฉันเลยนะ”“ไม่ไปได้ยังไง ฉันตกลงยกแกให้เขาไปแล้วยังไงแกก็ต้องไป”เสียงบทสนทนาของหญิงสาวสองคนบนถนนเส้นหลักของหมู่บ้านดังก้องเรียกสายตาของผู้คนโดยรอบให้หยุดมองรวมถึงเฉินซิ่วลี่ด้วย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย หญิงสาวสองคนนั้นมองดูแล้วคล้ายว่าจะมีสถานะเป็นแม่ลูกกัน เพียงแต่ที่น่าแปลกใจคือ เหตุใดคนเป็นแม่จึงคิดยกลูกสาวที่โตเต็มวัยให้ผู้อื่นเช่นนี้“อาซีช่างน่าสงสารจริงๆ เลย ดูสิอายุแค่ 16 ก็ถูกขายไปเป็นเมียน้อยคนอื่นแล้ว”ดวงตาของเฉินซิ่วลี่เบิกกว้างที่แท้เป็นการขายลูกสาวอย่างนั้นหรือ“นั่นน่ะสิ สะใภ้หวังคนนี้ช่างเกินไปจริงๆ ถึงแม้ว่าอาซีจะเป็นลูกเลี้ยง แต่ก็ไม่เห็นต้องทำกันถึงเพียงนี้”"ไม่ทำแบบนี้บ้านหวังจะเอาเงินที่ไหนแต่งสะใภ้เล่า"เฉินซิ่วลี่ได้ยินบทสนทนาของหญิงชาวบ้านในใจก็รู้สึกเวทนาคนขึ้นมา ขายลูกเลี้ยงแต่งสะใภ้ นี่มันเกินไปหรือไม่ก่อนหน้านี้เฉินซิ่วลี่เคยอ่านนิยายเจอเรื่องราวยากลำบากของผู้อื่นที่ผู้เขีย
บทที่ 12.3ไม่อาจหลีกหนีไปชั่วชีวิตเฉินซิ่วลี่ตื่นเช้ามาด้วยอาการอ่อนเพลีย ต้องยอมรับว่าเรื่องราวที่พบเจอเมื่อวานทำให้เธอรู้สึกวิตกไม่น้อย ส่งผลให้นอนไม่หลับทั้งคืน วันนี้แม้แต่อาหารเช้าก็ยังกลืนไม่ลง สุดท้ายเพราะความเครียดที่โถมเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว ร่างกายก็เกินกว่าจะทนไหว ภาพตรงหน้าโคลงเคลง พร่ามัว ใบหน้าก็ซีดเซียวจนหลี่หมิงสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ“หน้าแม่ซีดมาก อาชุนพาแม่ไปนอนพี่จะไปบอกลุงหมอกู้”พูดจบหลี่หมิงก็วางตะเกียบวิ่งออกไปจากบ้านด้วยความรวดเร็ว ไปนานก็มาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านพักของกู้เหยียน“ลุงหมอกู้ครับ ลุงหมอกู้”เสียงเรียกที่มีความร้อนรนอยู่ในทีทำให้กู้เหยียนที่กำลังสวมเสื้อรีบวิ่งออกมาพลางติดกระดุมเสื้อไปด้วย “มีเรื่องอะไรอาหมิง”ถึงแม้จะเอ่ยถามออกไปแต่ในใจกู้เหยียนก็คาดเดาได้ว่า จะต้องเกิดเรื่องกับเฉินซิ่วลี่อย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นคนที่ยืนตรงนี้ต้องเป็นเธอ“แม่ไม่สบายครับ”กู้เหยียนไม่เสียเวลาแม้แต่จะสอบถามอาการรีบสวมรองเท้าวิ่งตรงไปยังบ้านพักอีกฝั่งของสถานพยาบาลหมู่บ้านทันที นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าการให้เฉินซิ่วลี่พักห่างไกลจากเขาเป็นเรื่องที่ผิดพลาด“อาชุน
บทที่ 12.2ไม่อาจหลีกหนีไปชั่วชีวิตหลังจากที่ปลอบโยนเด็กชายทั้งสองและส่งเขาเข้านอนแล้ว เฉินซิ่วลี่ก็ออกมานั่งทบทวนเรื่องราวต่างๆที่พบเจอในวันนี้แน่นอนว่าการพบเจอกับหลี่อันเฉิงในนั้นป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย แต่เมื่อทบทวนเส้นเรื่องในนิยายดูคล้ายว่าเหตุผลที่เย่ชิงเหวินและหลี่อันเฉิงไม่ลงรอยกันตั้งแต่แรกพบนั้น เพราะครั้งหนึ่งพ่อตัวร้ายเคยทำให้การเจรจาต่อสัญญาค้าไม้ของเย่ชิงเหวินล้มเหลว ขณะเดียวกันเย่ชิงเหวินก็ทำให้ภารกิจของเขาถูกเปิดโปงเช่นกันหรือจุดเริ่มต้นของการบาดหมางที่ในนิยายเอ่ยถึงจะเป็นเรื่องราวในวันนี้ใบหน้าของเฉินซิ่วลี่ชาวาบ เพราะหากวันนี้คนที่เข้างานไปกับเย่ชิงเหวินคือของเจ้าของร่างเดิม เมื่อได้พบเจอกับชายที่มีหน้าตาคล้ายคลึงสามีเก่าที่ตายไปแล้ว สิ่งแรกที่เธอจะทำแน่นอนว่าต้องเป็นการเปิดโปงตัวตนของเขาหรือนี่จะเป็นเหตุผลที่หลี่อันเฉิงจับตัวเฉินซิ่วลี่ไปขังไว้ ไม่ใช่เพราะโกรธแค้นเรื่องการกระทำอันฉาวโฉ่ร้ายกาจของภรรยา แต่เพราะโกรธเคืองเรื่องที่เธอเปิดโปงภารกิจของเขาเมื่อนึกมาถึงตรงนี้เฉินซิ่วลี่ก็ใจสั่นระรัว นึกขอบคุณตนเองที่วันนี้ไม่ได้เปิดโปงตัวตนของหลี่อันเฉิง พูดให้ถูกคื
บทที่ 12.1ไม่อาจหลีกหนีไปชั่วชีวิต“แล้วถ้าผมไม่ปล่อย! คุณจะทำไม!”ไม่เพียงแต่พูดโต้กลับอย่างไม่เกรงกลัว หลี่อันเฉิงยังกระชับอ้อมแขนโอบกอดคนให้แน่นมากขึ้น เฉินซิ่วลี่พลันขมวดคิ้วเรียวเพราะความอึดอัดยกมือขึ้นวางดันอกเขาออกห่างด้วยท่าทางต่อต้านเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงผลักจากฝ่ามือเล็ก หลี่อันเฉิงก็ก้มมองคนในอ้อมแขนด้วยสายตาไม่พอใจเธอกล้าผลักไสเขาหรือ...ที่ผ่านมาขอเพียงมีโอกาสเฉินซิ่วลี่มักจะฉกฉวยอยากสัมผัสแนบชิดกับเขาเสมอ ทว่าเพียงห้าเดือนที่เขาแจ้งข่าวการตายของตนเองไป หญิงสาวก็เปลี่ยนท่าทีเป็นเช่นนี้แล้ว ช่างน่าโมโหจริงๆ“เฉินซิ่วลี่อย่าได้ลืมสถานะตนเอง”แม้น้ำเสียงที่ใช้เอ่ยออกมาจะแผ่วเบา ทว่าเฉินซิ่วลี่ก็สัมผัสได้ถึงความเกรี้ยวกราดไม่พอใจอยู่ในทีของเขา มือเรียวที่ผลักไสพลันหยุดชะงัก ไม่กล้าออกแรงดิ้นรนต่อต้านเขาอีกเพียงแต่ไม่ต่อต้านก็ไม่ได้หมายความว่าเธอยินยอมแต่เพราะรู้ดีว่าพ่อตัวร้ายหลี่อันเฉิงคนนี้มีนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นและไม่ยอมคน ดังนั้นการสร้างปัญหากับเขาย่อมไม่ส่งผลดีต่อตัวเธอในอนาคต ครั้งนี้เฉินซิ่วลี่จึงยอมถอยให้เขาหนึ่งก้าว เธอสูดลมหายใจเข้าพยายามข่มกลั้นความโกรธเคืองในใจ
บทที่ 11.4บางอย่างที่เปลี่ยนไปเย่ชิงเหวินใช้เวลาราว 15 นาทีก็ขับรถมาหยุดที่หน้าภัตตาคารหรูใจกลางเมือง ร่างสูงโปร่งลงจากรถลงมายืนด้านข้าง ปรายตามองดูหญิงสาวที่นั่งนิ่งในรถแล้วยกมุมปากขึ้น ก่อนจะเดินอ้อมมาเปิดประตูส่งแขนให้เธอวางฝ่ามือแล้วก้าวลงจากรถ“ขอบคุณค่ะ”เสียงหวานเอ่ยบอกก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยน ท่าทางเช่นนี้ชวนให้ผู้คนโดยรอบจดจ้องมาที่คนทั้งสองในทันทีขณะที่พนักงานชายคนหนึ่งเร่งเดินเข้ามาต้อนรับพวกเขาด้วยท่าทางสุภาพ “สวัสดีครับคุณเย่”เย่ชิงเหวินพยักหน้ารับคำทักทายก่อนจะยื่นบัตรเชิญให้อีกฝ่าย โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรคนก็นำทางเขาเข้าไปยังห้องรับรองระดับVVIP“หากคุณเดินไม่สะดวกบอกผมนะครับ”เฉินซิ่วลี่ยกมุมปากขึ้นยิ้มบางๆ บอกเขาแล้วอย่างไร หากเธอเดินไม่ไหวจริงๆ เย่ชิงเหวินจะอุ้มเธอเขางานอย่างนั้นหรือ“คุณโจวกำลังเดินทางมา คุณเย่เชิญตามสบายครับ”เย่ชิงเหวินพยักหน้ารับคำคนนำทางแล้วพาเฉินซิ่วลี่ไปนั่งยังโต๊ะด้านใน เพื่อที่จะลดความอึดอัดใจของเธอ“คุณนั่งรอสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมไปตักของว่างให้”เฉินซิ่วลี่ย่อมเข้าใจดีว่าที่เย่ชิงเหวินใส่ใจเธอเช่นนี้เพียงแค่ไม่ต้องการให้เธอเป็นที่สนใจของผู้ค
บทที่ 11.3บางอย่างที่เปลี่ยนไปเฉินซิ่วลี่นำเงินหยวนที่ได้รับมาจากการขายจักรยานให้เกาหย่ง เก็บใส่ไว้ในถุงผ้าก่อนจะยัดซ่อนไว้ในไส้หมอนอีกครั้ง ตอนนี้คำนวณดูแล้วเธอมีเงินเก็บรวมๆ กันร่วม 4,000 หยวน อนาคตในภายหน้าย่อมไม่กลัวความลำบากอีกต่อไปแต่ถึงจะมีเงินแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่ต้องหาเงินเพิ่ม เพียงแต่บนฝ่ามือยังมีแผลทำให้เฉินซิ่วลี่ไม่สามารถทำซาลาเปาไปขายให้ถังซานได้เช่นเดิม ดังนั้นจึงเอาเวลาทั้งวันอยู่กับกองเศษผ้าเริ่มจัดการเย็บโบว์ติดผมอย่างขะมักเขม้น ผ่านไปสามวันโบว์ติดผมร่วมสามร้อยชิ้นก็เสร็จสิ้นเฉินซิ่วลี่คำนวณราคาคร่าวๆ เธอตกลงราคาซื้อขายโบว์ติดผมกับแม่ค้าขายผ้าไว้ที่ 2 ชิ้น 1 เหมา ตอนนี้เธอมีโบว์ติดผม 300 ชิ้น ย่อมเปลี่ยนเป็นเงินได้ประมาณ 15 หยวน หักค่าอุปกรณ์ต่างๆ แล้วก็ยังคงเหลือที่ 12 หยวน นับว่าทำเงินได้ดีเลยทีเดียวและถึงแม้ร้านผ้าที่ตกลงซื้อขายไว้จะรับซื้อโบว์ติดผมของเธอเพียง 50 ชิ้น อีก 250 ชิ้นก็สามารถนำไปขายที่ร้านอื่นได้ อย่างไรเสียที่นั่นก็คือตัวเมือง ย่อมต้องมีร้านค้าที่ยินดีรับซื้อโบว์ของเธอแน่นอนเมื่อมองเห็นตัวเงินแม้จะเป็นเพียงในความคิด แต่ก็ทำให้เฉินซิ่
บทที่ 11.2บางอย่างที่เปลี่ยนไป“แม่ครับ แม่จะแต่งงานใหม่ไหมครับ”เมื่อกลับถึงบ้าน หลี่หมิงก็เอ่ยถามคนเป็นแม่ด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคงนัก ขณะที่หลี่ชุน เม้มริมฝีปาก ก้มหน้าซ่อนดวงตาที่แดงก่ำของตนเอาไว้ หากแม่แต่งงานใหม่ย่อมต้องมีลูกใหม่ แล้วพวกเขาสองคนพี่น้องเล่า แม่จะยังต้องการอยู่หรือไม่ความคิดที่ว่ามารดาอาจจะขายพวกเขาออกไปเพื่อลดภาระย้อนกลับเข้ามาในใจของเด็กชายทั้งสองอีกครั้ง“ทำไมลูกถึงถามแม่แบบนี้ล่ะ”เฉินซิ่วลี่มองใบหน้าที่แฝงความเศร้าของเด็กๆ แล้วในใจเกิดความปวดหนึบขึ้นมา เธอย่อมไม่คิดแต่งงานใหม่ ชีวิตในยุคที่เธอไม่คุ้นเคยนี้เพียงคิดหาหนทางให้มีชีวิตรอดจากเงื้อมมือหลี่อันเฉิงก็ยากลำบากมากพอแล้ว เธอย่อมไม่คิดหาเรื่องวุ่นวายอย่างการแต่งงานใหม่มาใส่ตัว“หรือว่าลูกๆ อยากให้แม่หาพ่อให้”เด็กๆ อายุยังน้อย บางทีพวกเขาอาจต้องการใครสักคนมาคอยดูแลปกป้องในฐานะพ่อ ทว่าเฉินซิ่วลี่ยังไม่ทันอธิบายว่าภายหน้าพ่อตัวจริงของพวกเขาก็จะกลับมาปกป้องพวกเขาศีรษะเล็กของทั้งสองคนก็ส่ายไปมาในทันที“ไม่ครับ พวกเราไม่อยากได้พ่อ”หลี่หมิงเอ่ยบอกเสียงหนักแน่น หลี่ชุนที่ยืนข้างๆ ก็พยักหน้ารับอย่างเห็นพ้องก่อนจะพู
บทที่ 11.1บางอย่างที่เปลี่ยนไปเฉินซิ่วลี่มองแปลงผักที่ลุงอวี้ขึ้นให้ด้วยความปลาบปลื้ม ก่อนจะหันไปขอบคุณอีกฝ่ายและมอบซาลาเปาหนึ่งถุงให้เขาเป็นการตอบแทน“หมอกู้ หมอกู้ อยู่หรือไม่”เสียงคุ้นหูดังขึ้นเฉินซิ่วลี่ขมวดคิ้วเรียวในทันที เธอจำได้แม่นว่านี่เป็นเสียงของหม่าอิงหง ทว่าอีกฝ่ายมาที่นี่ทำไม หรือว่าคนพวกนี้จะไม่ยอมรามือจึงตามมาหาเรื่องเธอถึงที่นี่ ในใจของเฉินซิ่วลี่รู้สึกเป็นห่วงเด็กๆ ขึ้นมาในทันที รีบวางถุงเมล็ดผักกาดในมือแล้วออกไปที่หน้าบ้าน แต่เมื่อเห็นว่าหม่าอิงหงประคองหลี่อันอันเดินเข้าไปในสถานพยาบาลหมู่บ้านก็ผ่อนลมหายใจยาวอย่างโล่งใจ“คุณนายหลี่ คุณหนูหลี่ มีอะไรหรือครับ”“หมอกู้ช่วยตรวจอาการของอันอันให้หน่อย เธอถูกนางเฉิน...”หลี่อันอันเห็นว่าแม่กำลังจะพาดพิงถึงเฉินซิ่วลี่ก็รีบสะกิดห้าม นั่นเพราะยังจดจำท่าทีปกป้องเฉินซิ่วลี่ของกู้เหยียนในวันแยกบ้านได้ไม่ลืม หากคิดจะเข้าไปนั่งในใจของชายหนุ่มเธอจะต้องวางตัวให้น่าสงสารกว่าเฉินซิ่วลี่“เอ่อ... หญิงชั่วน่ะ เป็นหญิงชั่วหน้าหนาคนหนึ่งทำร้ายอันอัน หมอกู้คุณช่วยดูอันอันของพวกเราที”กู้เหยียนยกมุมปากเล็กน้อย มือหนาขยับแว่นสายตาให้เข้าท
บทที่ 10.4คิดบัญชีเฉินซิ่วลี่กลับถึงบ้านก็อาบน้ำล้างตัว ก่อนจะสอนเด็กๆ คัดตัวอักษร รอจนตอนบ่ายพวกเขาเข้านอนกลางวันเธอจึงไปหากู้เหยียนที่สถานพยาบาลหมู่บ้าน“คุณเฉิน... มาหาผมไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าครับ”เมื่อเช้าหลี่อันอันมาหาเรื่องเฉินซิ่วลี่ บางทีอาจทำร้ายจนเธอบาดเจ็บ ดังนั้นเมื่อเห็นเฉินซิ่วลี่มาหาเขาถึงตัวอาคารสถานพยาบาลหมู่บ้าน กู้เหยียนจึงรีบลุกขึ้นเดินมาหาเธอด้วยความห่วงใยในทันที“ฉันสบายดีค่ะ มีแค่แผลถลอกนิดหน่อย”เฉินซิ่วลี่ยกฝ่ามือของตนเองให้คุณหมอหนุ่มดู คิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย หมุนตัวไปหยิบชุดทำแผลออกมาจากในตู้เก็บอุปกรณ์ทางการแพทย์“จะมากจะน้อยก็เป็นแผลครับ นั่งลงเดี๋ยวผมล้างให้นะครับ”น้ำเสียงที่เข้มขึ้นเล็กน้อยทำให้เฉินซิ่วลี่ยิ้มแห้ง ทิ้งตัวนั่งลงตรงหน้าเขาอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะยื่นมือไปเบื้องหน้ากู้เหยียนมองท่าทางว่าง่ายนร้แล้วยกยิ้ม ช่างเป็นหญิงสาวที่ชวนให้มองได้ทุกกิริยาจริงๆ มือหนาเทน้ำยาล้างแผลลงในถ้วยยา ก่อนจะขยับตัวทำแผลให้เฉินซิ่วลี่อย่างเบามือ"โอ๊ะ!"เสียงเล็กร้องทันทีที่ก้านสำลีจรดลงบนกลางฝ่ามือ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน เม้มริมฝีปากกลั้นเสียงร้องไว้ในลำ