บทที่ 7.4อย่างนั้นไม่สู้พวกเราแยกบ้าน“หยุดนะ!”เฉินซิ่วลี่พูดพร้อมกับวิ่งเข้าไปใช้เท้ายันคนตรงหน้า หม่าอิงหงที่ไม่ทันระวังตัวเสียหลักล้มลงกระแทกพื้นร้องโอดครวญลั่น ก่อนจะชี้นิ้วด่าคนด้วยคำหยาบคายมากมาย“เฉินซิ่วลี่แกกล้าถีบฉันเหรอ!”“โอว้คุณนายหลี่! เป็นคุณเเองหรือคะขอโทษด้วย ฉันไม่คิดว่าหญิงแก่ใจร้ายที่ทุบตีเด็กๆ จะเป็นย่าของพวกเขา"จะเป็นย่าของพวกเขา เฉินซิ่วลี่จงใจเน้นคำท้ายประโยค ชาวบ้านที่มามุงดูอยู่นอกรั้วต่างพากันฉะเง้อดูเรื่องสนุกด้านใน บางคนยังวิ่งไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านถังด้วย หม่าอิงหงถูกคนกระซิบนินทาก็ขบกรามพยุงร่างที่ปวดไปทั้งตัวของตนเองลุกขึ้นชี้หน้าคนที่กำลังนั่งกอดปลอบเด็กๆ"นางผู้หญิงชั้นต่ำ สารเลว ฉวยโอกาสตอนฉันกับอันอันไม่อยู่แอบคบชู้ ยังกล้ามาว่าฉันอีกเหรอ"ในยุคนี้การคบชู้นั้นเป็นความผิดร้ายแรงและเรื่องที่น่าอับอายมาก เมื่อหม่าอิงหงประกาศออกมาเช่นนี้ผู้คนก็เริ่มซุบซิบนินทาเฉินซิ่วลี่กันซึ่งหน้า"คุณกล่าวหาฉันเช่นนี้ออกจะร้ายแรงไปหน่อยหรือไม่”ตอนนี้เฉินซิ่วลี่ไม่สนใจคำซุบซิบของชาวบ้าน แต่ที่เธอสนใจก็คือหากเรื่องนี้ถูกพ่อตัวร้ายหลี่อันเฉิงรู้เข้า ให้เธอทำดีแค่ไหนเขาก็ค
บทที่ 8.1ลงทุนวันนีัรับผลกำไรวันหน้า“ในเมื่อพี่เฉิงก็ตายจากไปแล้ว อย่างนั้นไม่สู้พวกเราแยกบ้านกันเถอะค่ะ”สิ้นคำของเฉินซิ่วลี่รอบตัวก็พลันเงียบงัน เธอเป็นสตรีหม้ายสามีตายอีกทั้งยังมีลูกแฝดวัยเพียง 5 ขวบ คิดแยกบ้านออกไปก็เท่ากับหาทางตันให้ตนเอง ช่างเป็นสตรีไร้ความคิดจริงๆ"อาลี่เธอใจเย็นๆ ก่อน"ผู้ใหญ่บ้านถังพยายามไกล่เกลี่ยเรื่องราวตรงหน้าด้วยความเป็นกลาง บ้านไหนบ้างไม่มีเรื่องสะใภ้และแม่สามีผิดใจ หากแต่จะมีสักกี่หลังกันที่พวกเขาจบด้วยการแยกบ้านกันจริงๆ แน่นอนว่าประโยคนี้ล้วนพูดเพื่อให้อีกฝ่ายยอมถอยให้ตนเองทั้งสิ้นทว่าสำหรับเฉินซิ่วลี่นั้น การแยกบ้าน จากคนตรงหน้าคือสิ่งแรกที่เธอต้องการจัดการเป็นอันดับแรก เพราะหากไม่จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยภายหน้าคิดกระทำการใดก็ล้วนตกเป็นกิจการของตระกูลหลี่ที่ต้องแบ่งปันผลประโยชน์กับหม่าอิงหงและลูกๆ ของเธอด้วย"ผู้ใหญ่ถังคะ ถึงคุณจะไม่สงสารฉันก็สงสารเด็กๆ เถอะค่ะ เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้วันหน้าคุณนายหลี่ยังจะเลี้ยงดูเด็กๆ ของพวกเราด้วยใจจริงอีกหรือคะ"หม่าอิงหงขบกรามกำมือแน่น ยกมือขึ้นชี้หน้าหญิงสาวจอมเสแสร้งตรงหน้าแล้วตะโกนลั่น “ได้! แยกก็แยก ฉัน
บทที่ 8.2ลงทุนวันนี้รับผลกำไรวันหน้าเพราะได้ถังซานนำรถเกษตรในไร่มาช่วยขนข้าวของ เฉินซิ่วลี่จึงสามารถย้ายทุกอย่างเข้าบ้านพักของเจ้าหน้าที่ประจำสถานพยาบาลหมู่บ้านได้ทันก่อนฟ้ามืด“วันนี้ขอบคุณพี่ซาน กับผู้ใหญ่ถังมากนะคะ คุณหมอกู้ด้วยค่ะ ถ้าไม่ได้พวกคุณช่วยเหลือฉันกับเด็กๆ คงลำบากมาก”เฉินซิ่วลี่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งใจ เดิมทีเธอคิดว่าเจ้าของร่างเดิมร้ายกาจถึงเพียงนั้น หากเกิดเรื่องใดๆ ขึ้นทุกคนคงเมินหน้าหนี เหมือนกับที่ตระกูลเฉินบ้านเดิมของเจ้าของร่างทำในเวลานี้“อาลี่ หากเธอต้องการความช่วยเหลืออย่าได้ลืมว่ามีฉันอยู่”ถังซานเอ่ยบอกเสียงหนักแน่น ดวงตาคมมองหญิงสาวและเด็กๆ ด้วยความห่วงใย ก่อนจะตวัดสายตามองไปยังสหายร่วมชั้นเรียนที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอ“อาเหยียน หวังว่านายจะดูแลเธอให้ดี อย่าได้ลืมว่าเธอเป็นภรรยาของอาเฉิง”“ฉันย่อมไม่ลืมว่าคุณเฉินเป็นภรรยาของอาเฉิง และเขาได้ตายไปแล้ว”กู้เหยียนเอ่ยเสียงหนักแน่นตอบกลับ โดยจงใจเน้นคำว่า ตาย อย่างชัดเจน แววตาที่มักอ่อนโยนอยู่เป็นนิจมองผ่านแว่นกลมไปยังสหายด้วยความแข็งกร้าวไม่หวั่นเกรง ความรู้สึกที่ถังซานมีต่อเฉินซิ่วลี่นั้นเขาที่เป็นผู้ชายเช่นเ
บทที่ 8.3ลงทุนวันนี้รับผลกำไรวันหน้า เช้าวันต่อมาเฉินซิ่วลี่นำซาลาเปาใส่ตะกร้าหาบเพื่อไปส่งที่ไร่ของถังซานเหมือนทุกครั้ง หยวนกู้ที่ตื่นมาเห็นจึงให้เธอนำจักรยานของเขาไปใช้ แต่จักรยานเป็นของมีราคาในยุคนี้ เฉินซิ่วลี่จะกล้าเอาของเขามาใช้ได้อย่างไร แค่ครั้งก่อนยืมของถังซานปั่นเข้าไปในตัวเมืองเธอก็เกรงใจเขาจะแย่“ไร่ตระกูลถังอยู่ไกลจากที่นี่มาก กว่าคุณจะเดินไปถึงก็คงไม่ทันมื้อเช้าของคนในไร่”หากยึดเอาบ้านตระกูลหลี่เป็นจุดตรงกลาง ไร่ตระกูลถังก็นับว่าอยู่ทางเหนือส่วนสถานพยาบาลหมู่บ้านแห่งนี้ก็นับว่าอยู่ทางใต้ ระยะทางที่เพิ่มขึ้นมาเกือบเท่าตัวย่อมทำให้การเดินทางล่าช้าเช่นที่กู้เหยียนบอกจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นเฉินซิ่วลี่ก็ยังคงลังเลอยู่ในที“เชื่อผมเถอะครับใช้จักรยานจะสะดวกกว่า หรือคุณจะให้ผมปั่นไปส่งแทนก็ได้นะครับตอนนี้ยังเช้ามากไม่มีคนไข้อีกอย่างแขนคุณก็ยังเจ็บอยู่”ปั่นจักรยานไม่เพียงแต่ต้องใช้กำลังขา ยังต้องใช้กำลังแขนในการบังคับทิศทาง กู้เหยียนเห็นว่าแขนของเฉินซิ่วลี่ยังเจ็บอยู่จึงเอ่ยอาสา ไปส่งเธอ แต่เฉินซิ่วลี่พึ่งพาเขาเรื่องบ้านแล้วยังจะรบกวนเขาในเรื่องอื่นอีกได้อย่างไรกัน“ไม่เป็นไรค่
บทที่ 8.4ลงทุนวันนี้รับผลกำไรวันหน้าเฉินซิ่วลี่กลับมาถึงสถานพยาบาลหมู่บ้านก็เห็นกู้เหยียนกำลังยุ่งอยู่กับการตรวจคนไข้ ทว่าให้เขายุ่งแค่ไหนก็ไม่ละทิ้งลูกชายฝาแฝดของเธอ ดวงตาเรียวมองผ้าห่มผืนหนาที่ปูบนพื้นเย็นๆ รองให้หลี่หมิงและหลี่ชุนนั่งคัดตัวอักษรอย่างใส่ใจ ในใจของเฉินซิ่วลี่ก็รู้สึกซาบซึ้งน้ำใจนี้ของกู้เหยียนจริงๆทว่าความใส่ใจที่เธอชื่นชมนี้ของกู้เหยียนกลับทำให้คนอื่นเข้าใจสถานะของเธอและกู้เหยียนผิดโดยที่เฉินซิ่วลี่ไม่รู้ตัว“ไม่เจอแค่สามเดือนคุณหมอมีลูกชายโตขนาดนี้แล้วหรือคะ”เสียงของคนไข้รายหนึ่งเอ่ยกระซิบถาม กู้เหยียนไม่เพียงแต่ไม่ปฏิเสธแต่ยังยิ้มรับจนผู้คนหลงคิดว่าเด็กชายด้านหลังเป็นลูกของเขาจริงๆ“อาหมิง อาชุน”เมื่อได้ยินเสียงเรียก เด็กชายทั้งสองก็ขานรับและรีบเก็บข้าวของไว้อย่างเป็นระเบียบก่อนจะลุกขึ้นเอ่ยลากู้เหยียนอย่างสุภาพ“แม่กลับมาแล้ว พวกเราขอตัวก่อนนะครับ”หลี่ชุนเดินมาบอกกู้เหยียนด้วยท่าทีสดใส ยังเผื่อรอยยิ้มกว้างไปให้คนไข้ที่รอตรวจของเขาอีกด้วย นิสัยอ่อนโยนน่ารักราวกับถอดแบบกู้เหยียนมาเช่นนี้ ต่อให้เด็กน้อยหน้าตาไม่เหมือนเขาเลยสักนิด ผู้คนก็ยังเชื่อว่าพวกเขาเป็นพ่
บทที่ 9.1เส้นเรื่องที่ผิดพลาดเฉินซิ่วลี่วางผัดแตงกวาใส่ไข่ และหมูแห้งผัดบวบลงบนโต๊ะกลม ก่อนจะตักข้าวสวยพูนจานให้เด็กชายทั้งสอง หลี่ชุนหันไปสบตาพี่ชายขยิบตาไปมาคล้ายส่งสัญญาณบางอย่างให้เขา หลี่หมิงสูดลมหายใจเข้าและผ่อนออกยาว ก่อนจะเอ่ยถามคนที่กำลังตักข้าวด้วยสีหน้าจริงจัง“เราจะสร้างบ้านที่ตรงไหนหรือครับ”เรื่องที่แม่เจรจากับคนแปลกหน้าเขากับน้องชายที่นั่งคัดอักษรอยู่หน้าบ้านล้วนได้ยินอย่างชัดเจน หากแต่พ่อเคยสอนเอาไว้ว่า ยามที่ผู้ใหญ่เจรจาเด็กอย่างพวกเขาไม่ควรเข้าไปยุ่ง ดังนั้นแม้จะอยากรู้แค่ไหนพวกเขาก็ได้แต่นั่งฟังอยู่เงียบเฉินซิ่วลี่ยิ้มกว้าง วางถ้วยข้าวลงตรงหน้าเด็กชายทั้งสอง แล้วบอกเล่าแผนชีวิตที่เธอวางเอาไว้ให้พวกเขาฟัง ราวกับเด็กทั้งสองไม่ใช้หนูน้อยวัยห้าขวบ“แม่คิดว่าจะสร้างบ้านบนที่ดินข้างโรงเรียน ลูกๆ เห็นเป็นอย่างไร”อีกไม่กี่เดือนเด็กชายทั้งสองก็ต้องเข้าโรงเรียนแล้ว ดังนั้นการสร้างบ้านที่ข้างโรงเรียนย่อมสะดวกต่อพวกเขาในอนาคต อีกทั้งพื้นที่ตรงนั้นหากวันหน้าคิดเปิดธุรกิจยังนับว่าเป็นทำเลที่ดี พ่อตัวร้ายหลี่อันเฉิงย่อมต้องพอใจ“พวกเราแล้วแต่แม่ครับ ตรงไหนที่แม่ว่าดี พวกเราก็ว
บทที่ 9.2เส้นเรื่องที่ผิดพลาดวันต่อมาเย่ชิงเหวินก็พาผู้ใหญ่บ้านถังนั่งรถยนต์ส่วนตัวมาพบเฉินซิ่วลี่ตามนัดหมาย ผู้คนที่สถานพยาบาลหมู่บ้านต่างพากันมาลอบมองด้วยความตื่นตาตื่นใจ แต่เฉินซิ่วลี่ที่ทะลุมิติมาจากยุคที่รถยนต์มีมากกว่ารถจักรยานย่อมไม่รู้สึกอะไร ทว่าแววตาที่สงบไร้ความตื่นเต้นและท่าทีที่ไม่มีความสนใจต่อรถยนต์ของเธอ ทำให้ความภาคภูมิใจของเย่ชิงเหวินถูกบั่นทอนลงไปเล็กน้อย ในใจเกิดความสงสัยขึ้นมา หรือว่าหญิงสาวคนนี้จะเคยมีรถยนต์ จะเป็นไปได้อย่างไร เท่าที่เขารู้มาในหมู่บ้านชนบทแห่งนี้ไม่มีใครมีรถยนต์เลยสักคัน เฉินซิ่วลี่จะเคยครอบครองรถยนต์ได้อย่างไรกัน“สวัสดีค่ะผู้ใหญ่บ้านถัง คุณเย่”เฉินซิ่วลี่เอ่ยทักทายคนทั้งสองก่อนพาพวกเขาไปนั่งด้านในบ้าน ผู้ใหญ่บ้านถังมองบ้านพักสำหรับเจ้าหน้าที่ประจำสถานพยาบาลหมู่บ้านแล้วนึกเห็นใจหญิงสาวตรงหน้าอยู่ไม่น้อย แม้ว่าตระกูลหลี่จะไม่ได้ร่ำรวยมากแต่เพราะถือครองที่ดินอยู่หลายผืน ผู้คนในหมู่บ้านหลายคนก็ล้วนเช่าที่ดินของพวกเขาทำกิน บางผืนยังมีสัญญาเช่าระยะยาวรายปี เช่นที่ดินติดเขาทางทิศใต้ที่ทางตระกูลถังของเขาเช่าปลูกชา ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าตระกูลหลี่เป็น
บทที่ 9.3เส้นเรื่องที่ผิดพลาดเฉินซิ่วลี่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าหลังไปส่งซาลาเปาให้ถังซานที่ไร่เสร็จกลับมาก็แวะซื้ออาหารที่ร้านสหกรณ์หมู่บ้าน เสียงผู้คนเอ่ยถึงเรื่องราวเมื่อคืนกันให้ทั่วไปหมด ถึงแม้จะรู้สึกเห็นใจหม่าอิงหงและหลี่อันอัน ทว่าสิ่งที่เขากระทำกับเธอและเด็กๆ ก็ยากเกินกว่าที่เฉินซิ่วลี่จะให้อภัยและคิดยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ“ซิ่วลี่ ของครบแล้วเธออยากได้อะไรอีกไหม”“ไม่แล้ว ขอบคุณมากนะอาเหยา”“ไม่เป็นไร อ่อ... ฉันมีของมาให้เธอด้วย”เฉินซิ่วลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อยมองหนังสือในมือของชายหนุ่มตรงหน้าแล้วเงยหน้าขึ้นส่งสายตาสงสัย“เป็นแบบเรียนของประถมหนึ่ง เทอมหน้าอาหมิง กับ อาชุนก็จะเข้าเรียนไว้ เตรียมตัวไว้สักหน่อยน่าจะดี”เมื่อได้ฟังคำอธิบายของตงเหยา เฉินซิ่วลี่ก็ยิ้มกว้างรับหนังสือสามเล่มตรงหน้ามาด้วยความยินดี“ถ้าเด็กอ่านหมดแล้วเธอมาหาฉันนะ ฉันจะบอกพ่อเอามาให้เพิ่ม”บอกพ่อเอามาให้เพิ่ม นี่เป็นแบบเรียนที่ไม่มีขาย เธอจะมาเอาเพิ่มได้อย่างไร พลันเฉินซิ่วลี่ก็นึกขึ้นได้ว่าผู้อำนวยการโรงเรียนหมู่บ้านต้าหยางนั้นแซ่ตง เช่นเดียวกับตงเหยา หรือว่าที่แท้แล้วเขาก็คือบิดาของตงเหยานั่นเอง“ได้ ขอบคุณน
“คุณพ่อ คุณแม่ อาเหม่ยอยากได้ตุ๊กตาตัวนี้”เสียงเด็กหญิงไว้ 3 ขวบร้องบอกคนเป็นพ่อและแม่ กวงซุนหลี่ยิ้มรับทว่าขณะที่กำลังจะเดินไปซื้อของให้ลูกสาวคนเล็ก มือข้างซ้ายก็ถูกดึงรั้งเอาไว้เสียก่อน“อาเหม่ยเพิ่งซื้อของเล่นไปเมื่อสัปดาห์ก่อน หากจะซื้อชิ้นใหม่ต้องเป็นเดือนหน้า”เฉินซิ่วลี่ห้ามปรามเด็กหญิงตัวน้อยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใบหน้ากลมสดใสพลันสลดน้ำตาคลอก้มหน้ามองพื้น หลี่ชุนในวัย 10 ขวบรีบเข้ามาอุ้มน้องสาวตัวน้อยขึ้นแล้วเอ่ยกระซิบปลอบประโลม“ไม่เป็นไรนะอาเหม่ย เดี๋ยวเดือนหน้าพี่ซื้อให้”ด้วยฐานะทางบ้านของพวกเขาตอนนี้ แค่ของเล่นเพียงชิ้นเดียวไม่ใช่เรื่องยากที่จะซื้อหามาครอบครอง แต่เพราะพวกเขาเคยผ่านความยากลำบากมาก่อนจึงได้เรียนรู้คุณค่าของเงิน ในบ้านจึงมีกฎให้ซื้อของเล่นได้เพียงเดือนละ 1 ชิ้นเท่านั้น“ผมเอาตัวนี้ ใส่ถุงให้ด้วยครับ”เสียงเข้มราบเรียบเอ่ยบอก ทุกสายตาพลันหันมาจดจ้องที่หลี่หมิงขณะที่พนักงานขายรีบหยิบตุ๊กตาที่เด็กหญิงร้องบอกอยากได้เมื่อครู่ใส่ถุงอย่างรวดเร็ว“อาหมิงลูกกำลังจะทำลายกฎของบ้านเรา”เฉินซิ่วลี่เอ่ยบอกเสียงราบเรียบ แม้จะไม่ได้มีน้ำเสียงหรือท่าทางตำหนิ แต่สายตานั้นชัดเจ
“คืนนี้พวกเราจะได้น้องสาวแล้วใช่ไหมครับ”หลี่ชุนกระซิบเสียงเบา มุมปากของคนเป็นพ่อยกขึ้นสูงก่อนจะพยักหน้ารับด้วยสายตามุ่งมั่น“พ่อรับรองว่าเดือนหน้าน้องสาวของลูกต้องมาแน่ๆ”เมื่อได้ยินคำพูดที่หนักแน่นของคนเป็นพ่อสองเด็กชายก็ย้ายไปนอนที่ห้องถัดไป ขณะที่ร่างสูงโปร่งของกวงซุนหลี่ขยับเดินเข้าห้องลงกลอนแน่นหนาฉับไว “อื้ม...”เฉินซิ่วลี่ร้องครวญในลำคอเมื่อร่างกายถูกรบกวน ความเย็นจากภายนอกเข้ามาปะทะผิวกายทำให้คิ้วเรียวขมวดมุ่น ก่อนที่ดวงตาจะเปิดออก“คุณกวง! เข้ามาทำไมคะ”เพราะความแนบชิดที่ไม่เหมาะสมทำให้เธอตื่นตระหนกรีบมองรอบตัวอย่างหวาดระแวง“หยุดนะคะ เดี๋ยวเด็กๆ เห็น”“เด็กๆ ย้ายไปนอนอีกห้องแล้ว”คนตัวโตที่ปลดเปลื้องผ้าของเธอจนเหลือเพียงร่างที่เปลือยเปล่าเช่นเดียวกับเขากระซิบบอกเสียงแหบพร่า แนบชิดร่างกายกำยำลงทาบทับบนตัวนุ่ม“คุณกวงหยุดก่อนค่ะ เราต้องคุยกันให้ชัดเจนก่อน”“เดี๋ยวค่อยคุยนะ”ริมฝีปากร้อนขยับจากลำคอขาวกดแนบชิดบดเบียดริมฝีปากบาง พร้อมกับวางมือบีบเคล้นอกอวบอิ่มทั้งสองข้าง ร่างกายของเฉินซิ่วลี่พลันตื่นตัวขนกายสาวลุกชัน สองเนื้อนิ่มแข็งสู้กับมือหนากวงซุนหลี่ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ถอนริมฝ
“แค่ทำข้าวสารให้เป็นข้าวสุกก็พอ”ใบหน้าของกู้เหยียนพลันร้อนผ่าวแดงก่ำไปจนถึงลำคอ เดิมทีเขาเสนอตัวช่วยแก้ปัญหานี้ก็เพราะว่าเงื่อนไขของคุณหนูกวงเพียงแค่อยากแต่งงาน แต่ไม่ต้องการความสัมพันธ์ทั้งทางกายและใจ ให้แยกบ้านเธอก็ยินดี ในเมื่อชีวิตนี้เขาเองก็ไม่คิดแต่งงานกับใครอีกแล้ว ให้แต่งหลอกๆ เป็นหุ่นเชิดให้เธอก็ไม่นับว่าเสียหายอะไร แต่งเสร็จเขาก็กลับไปเมืองเจียงเป็นคุณหมอกู้ของชาวบ้านต้าหยางต่อไปก็เท่านั้นเพียงแต่แค่เรื่องหลอกๆ เรื่องหนึ่งทำไมต้องให้เขานอนกับเธอด้วย ทำแบบนี้กวงจือหลินย่อมต้องถูกผู้คนครหาติฉินนินทา ทว่าเขาไม่ทันได้เอ่ยปฏิเสธกวงจือหลินก็ตอบรับแผนการของกวงซุนหลี่ไปแล้ว“ได้!”“ดี! อาหย่งเอาเหล้ามา”กู้เหยียนมองเหล้าดีกรีแรงตรงหน้าแล้วกลืนน้ำลายฝืดลงคอ ทั้งชีวิตของเขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับเส้นทางอบายมุขไม่ว่าจะเป็น เหล้า บุหรี่ ฝิ่น การพนัน และผู้หญิง ล้วนไม่เคยข้องเกี่ยว ดังนั้นเมื่อกวงซุนหลี่ส่งแก้วเหล้าให้ มือหนาจึงยื่นไปรับด้วยท่าทางลังเล“อาหลี่ ฉัน... ไม่กินได้หรือไม่ นายก็รู้ว่าฉัน...”กู้เหยียนพูดยังไม่ทันจบประโยคแก้วเหล้าในมือก็ถูกกวงซุนหลี่จับจรดที่ริมฝีปากของเขา ตอนนี้แม
“นอกจากเธอฉันไม่เคยสัญญาจะแต่งงานกับใครทั้งนั้น”เฉินซิ่วลี่ขมวดคิ้วเรียวมองคนตรงหน้าด้วยสายตาสับสน กวงซุนหลี่จับมือซ้ายของเธอมากอบกุมแล้วกดจุมพิตที่หลังมือนุ่มก่อนจะสวมใส่แหวนลงไปที่นิ้วนางเธอเหมือนเดิม“คุณกวง คุณจะทำอะไร ฉันไม่ยินดีแต่งเป็นภรรยารองให้คุณหรอกนะ หรือต่อให้เป็นภรรยาเอก ฉันก็ไม่ยินดี”“เอาไว้ไปถึงบ้านฉันจะอธิบายเรื่องพวกนี้ให้เธอฟัง แต่นับจากนี้ห้ามเธอถอดแหวนวงนี้อีก และห้ามเธอทอดทิ้งฉันด้วย แค่คิดก็ไม่ได้เข้าใจไหม”น้ำเสียงกระซิบอ้อนวอนราวกับสาวน้อยถูกรังแก ทำให้ความกรุ่นโกรธในใจของเฉินซิ่วลี่จางหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น “ได้! ฉันจะรอฟังคำอธิบายของคุณ แต่ถ้าเหตุผลไม่เพียงพอเรื่องของเราก็ยังคงต้องยุติ”“ไม่ได้! ฉันไม่ยอม”กวงซุนหลี่เอ่ยบอกอย่างดื้อดึงพร้อมกับกระชับอ้อมแขนแน่น เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาวไม่คิดทำเรื่องที่เสียแรงเปล่าอย่างการดิ้นรนขัดขืนเขา รั้งรอจนรถหยุดลงกวงซุนหลี่ก็อุ้มคนลงจากรถเดินเข้าบ้านในทันที“คุณกวงปล่อยฉันนะคะ ฉันเดินเองได้”“ไม่!”เสียงเข้มหนักแน่นตอบกลับพลางก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปในห้องโถงแล้วนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวโดยยังคงกอดรัดเฉินซิ่วลี่ไว้บนตักไม่ยอมปล
นี่เขาคงไม่คิดจะประกาศแต่งงานกับเธอในเวลานี้หรอกนะดวงตาคมของคนบนเวทีมองตอบกลับสอดประสานดวงตาเรียว ก่อนที่เขาจะประกาศก้องอีกครั้ง“ลี่ลี่ แต่งงานกับฉันนะ”เมื่อได้ยินกวงซุนหลี่เอ่ยชื่อหญิงสาวที่เขาต้องการแต่งงาน บรรดาแขกในงานก็ส่งเสียงวิจารณ์อื้ออึงอีกครั้ง“ลี่ลี่เหรอ ใครกัน”“นั่นสิ! คุณกวงไม่ใช่ว่ากำลังคบหาดูใจกับคุณหนูกวงจือหลินอยู่หรือ ทำไมถึงประกาศแต่งกับคนอื่นได้”“แบบนี้คุณกวงจือเหลียงจะยอมหรือ”“กวงซุนหลี่ เขาไม่รักลมหายใจของตนเองแล้วหรือไง”คำพูดของผู้คนมากมายดังก้องไปทั่วงานจนกวงซุนหลี่ขบกรามแน่น หากแต่ใครจะพูดอย่างไรเขาล้วนไม่สนใจ ที่เขาสนใจมีเพียงเฉินซิ่วลี่ที่ยังนั่งนิ่งไม่ตอบรับคำขอของเขา“ลี่ลี่ ฉันสัญญาหากเธอตกลงแต่งงานกับฉัน ฉันจะมีแค่เธอ จะปกป้องดูแลเธอและครอบครัวของเราด้วยชีวิตของฉัน”หัวใจของเฉินซิ่วลี่พลันสั่นระรัว มองสบดวงตาคมด้วยแววตาสั่นไหว ดูแลด้วยชีวิต เมื่อได้ยินคำพูดนี้ความรู้สึกในวันที่เธอคิดว่าเขาตายจากไปแล้วก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง จะมีสักกี่คนที่มีโอกาสแบบเธอ ในเมื่อมีโอกาสแล้วยังต้องยึดติดกับทิฐิและข้อสงสัยมากมายทำไมกัน เมื่อคิดได้เช่นนี้เฉินซิ่วลี่ก็โยนท
เมื่อใกล้ถึงเวลาเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของกวงซุนหลี่ เฉินซิ่วลี่ก็เลือกสวมชุดสีฟ้าเข้ารูปคอสูงเพื่อปกปิดร่องรอยที่กวงซุนหลี่ทิ้งเอาไว้บนลำคอระหง แล้วออกเดินทางไปยังสถานที่จัดเลี้ยงกู้เหยียนใช้เวลาเพียง 15 นาทีก็ขับรถมาถึงหน้าโรงแรมจัดเลี้ยง ชายในชุดสูทแบบตะวันตกก็เดินมาเปิดประตูรถทั้ง 4 ด้าน กู้เหยียนส่งกุญแจรถให้พนักงานตรงหน้านำรถไปจอดในสถานที่จอดรถ ส่วนตัวเขาเดินมารับเฉินซิ่วลี่ ขณะที่หลี่หมิงและหลี่ชุนเดินขนาบข้างซ้ายขวาหวังรั่วซีตามหลังคนเป็นแม่เข้างานอย่างสงบเสงี่ยมรู้ความและในทันทีที่เฉินซิ่วลี่ก้าวเท้าเข้ามาในงาน ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่น จึงทำให้สายตาชายหนุ่มในงานจดจ้องมาที่เธออย่างมากมาย หากไม่เพราะข้างกายเธอมีกู้เหยียนเคียงข้างอยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าคืนนี้เฉินซิ่วลี่คงไม่อาจนั่งอย่างสงบแน่นอน“คุณกวงจัดที่นั่งไว้ให้คุณเฉินและผู้ติดตามเป็นพิเศษ เชิญพวกคุณทางด้านนี้ครับ”เมื่อทุกคนในงานได้เห็นตำแหน่งที่นั่งของเฉินซิ่วลี่ผู้คนในงานต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงสถานะความสำคัญของเธอและกู้เหยียน จวบจนกระทั่งกวงซุนหลี่ก้าวเท้าเข้ามาความสนใจของผู้คนจึงเปลี่ยนไปที่เขาแทน“สวัสดีค่ะคุณก
บทสุดท้ายเมื่อหวังรั่วซีตื่นมาตอนเช้าแล้วพบว่าเฉินซิ่วลี่หายตัวไปก็ตื่นตระหนก รีบไปแจ้งกู้เหยียนที่ห้องของเขาด้วยความร้อนใจ“รั่วซี! มาหาฉันแต่เช้ามีเรื่องด่วนอะไรหรือ”กู้เหยียนเอ่ยถามเสียงเบา เพราะเด็กชายทั้งสองยังนอนหลับอยู่บนเตียง ก่อนจะปิดประตูเดินออกมาคุยกับหวังรั่วซีที่หน้าห้อง“พี่ลี่หายตัวไปค่ะหมอกู้”เมื่อได้ยินว่าเฉินซิ่วลี่หายตัวไป กู้เหยียนก็ตื่นตระหนกจนหน้าซีดรีบหมุนตัวเปิดประตูเข้าไปหยิบเสื้อคลุมและกุญแจรถในทันที“จะเป็นพวกเดียวที่ลักพาตัวอาหมิงกับอาชุนไปเมื่อคราวก่อนไหมคะ”คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่น เรื่องที่หลี่หมิงกับหลี่ชุน ถูกลักพาตัวไปเมื่อเดือนก่อน จนเป็นเหตุให้หลี่อันเฉิงตายจากไป เขายังจดจำไม่ลืม ดังนั้นไม่ว่าครั้งนี้จะอันตรายแค่ไหน เขาจะต้องปกป้องช่วยเหลือเฉินซิ่วลี่ให้ได้“เธอเข้าไปรอฉันในห้องกับเด็กๆ ก่อน ฉันจะไปตามหาคุณเฉิน”กู้เหยียนยืนยันเสียงหนักแน่นพร้อมกับวางเสื้อคลุมของตนเองลงบนไหล่บาง ใบหน้าของหวังรั่วซีพลันแดงก่ำเมื่อตระหนักได้ว่าตนเองสวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่เหมาะสมนัก“ขอโทษค่ะ”“ไม่เป็นไร เธอเข้าไปรอในห้องก่อนไม่ต้องกังวลฉันจะพาคุณเฉินกลับมาอย่างปลอดภั
“ตอนนี้ฉันคือภรรยาของหลี่อันเฉิงค่ะ” กวงซุนหลี่กำมือแน่น รู้สึกอิจฉาตนเองในอดีตขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล ทว่าสุดท้ายก็ยอมถอยขยับตัวลุกขึ้นนั่งที่ข้างเตียง เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาว เธอไม่รู้ว่าควรจะอธิบายความรู้สึกของตนเองอย่างไร สุดท้ายหลังจากหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่ก็ลุกขึ้นหมายใจถอยกลับไปตั้งหลัก“ฉันกลับก่อนนะคะ”ทว่าเท้าเล็กก้าวลงเตียงแต่ไม่ทันได้ขยับเดิน เอวบางก็ถูกดึงรั้งจนเธอเซถลาลงนั่งบนตักกว้าง“อย่าไปได้ไหม”เสียงออดอ้อนแผ่วเบากระซิบที่ข้างใบหูเล็ก“ลี่ลี่ อย่าไปได้ไหม”วงแขนแกร่งกระชับแน่นมากขึ้น กดปลายจมูกลงบนไหล่เล็กแล้วกระซิบเสียงอ้อนเว้าวอน“ลี่ลี่ ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเธอ เธอจะทุบตีจะด่าทอฉันก็ได้ แต่อย่าไปจากฉันได้ไหม”เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาวก่อนจะบอกเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ฉันไม่มีเหตุผลต้องอยู่ทุบตีด่าทอคุณ อีกอย่างเด็กๆ ยังอยู่ที่โรงแรมฉันไม่กลับไม่ได้ค่ะ”“เธอกลับไปตอนนี้พวกเขาก็หลับกันหมดแล้ว แต่ฉันยังไม่หลับและคงหลับไม่ลงทั้งคืนถ้าเธอจากไป ลี่ลี่... คืนนี้อยู่กับฉันนะ”หัวใจของเฉินซิ่วลี่พลันสั่นสะท้าน เม้มริมฝีปากบางอย่างสับสน หากคิดตามเหตุผลเธอไม่สมควรอยู่ต่อ แต่หากถามคว
“ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกันเป็นการส่วนตัวสักทีนะคุณกวง”“ส่งคนคืนฉันมา”กวงซุนหลี่ขบกรามกำหมัดแน่นพร้อมกับเอ่ยเสียงลอดไรฟัน ท่าทางเช่นนี้ของเขาทำให้เหลียงเหว่ยพึงพอใจมาก มือหนากระชับไหล่บางเข้าประชิดตัวก่อนจะส่งสายตาเยาะเย้ยเขา“ไม่เอาน่าคุณกวงของดีๆ แบบนี้เราแบ่งกันเล่นสนุกดีกว่านะ”เหลียงเหว่ยพูดพลางหันไปกดจมูกลงบนแก้มนุ่ม ทว่าปลายจมูกยังไม่ทันสัมผัสผิวของเฉินซิ่วลี่ ร่างกายก็ถูกเธอจับพลิกหมุนเคว้ง รู้ตัวอีกทีแผ่นหลังของเขาก็กระแทกลงกับพื้นจนปวดไปทั้งตัว คนของเหลียงเหว่ยชักปืนออกมาในทันที แต่ไม่ทันได้ขยับลั่นไกปืนในมือชายคนหนึ่งก็ย้ายมาอยู่ในมือของกวงซุนหลี่แล้วปัง! ปัง! เสียงปืนดังลั่นพร้อมกับเลือดที่ไหลออกจากต้นขาของเหลียงเหว่ยทั้งสองข้าง คอเสื้อด้านหลังถูกกระชากยกขึ้น ก่อนที่ขมับขวาของเขาจะเย็นวาบเพราะปลายกระบอกปืนที่จ่อแนบลงมา“เหลียงเหว่ย คุณคงรู้ว่าต้องบอกคนของตนเองยังไง”“ถอย! ถอยไปให้หมด”สิ้นคำสั่งของเหลียงเหว่ยคนนับสามสิบคนก็ขยับหลีกทางให้กวงซุนหลี่ เขาหันมาส่งสัญญาณให้เฉินซิ่วลี่เดินประกบตามหลังเขาไปที่รถยนต์ด้านหน้าตึก“ลี่ลี่ คุณขับรถได้ไหม”“ได้ค่ะ”เหลียงเหว่ยตัวสั่นสะ