บทที่ 4.1
แม่ตัวอย่าง
“เจ้าเด็กไม่มีพ่อ แกกล้าตีลูกฉันเหรอ วันนี้ฉันจะสั่งสอนแทนพวกพ่อแกที่ตายไปเอง”
ไม่มีพ่อ คำพูดที่ออกมานี้แม้ไม่หยาบคายแต่กลับทำให้เด็กชายทั้งสองเจ็บปวดจนตัวสั่น
“เขารังแกอาชุนก่อน”
“แล้วอย่างไร แกทำเขาหัวแตกวันนี้ฉันก็จะตีพวกแกให้ตัวแตกเช่นกัน”
สะใภ้ใหญ่บ้านเฉาประกาศเสียงก้อง พร้อมกับหยิบไม้ขนาดพอดีมือง้างขึ้นหมายฟาดไปบนตัวเด็กน้อยตรงหน้า
หลี่หมิงหมุนตัวหันมากอดหลี่ชุน ก่อนจะเม้มริมฝีปากกัดฟันเกร็งตัวรอรับแรงทุบตีจากสะใภ้บ้านเฉา ทุกครั้งก็เป็นเช่นนี้ เมื่อไหร่ที่ถูกรังแกพวกเขาล้วนไร้คนปกป้อง ผู้ใหญ่รอบตัวล้วนเข้าข้างเพียงลูกหลานตัวเอง ดังนั้นจึงมีเพียงพวกเขาที่ปกป้องกันและกัน
ทว่าในจังหวะที่ไม้ในมือของสะใภ้ใหญ่บ้านเฉาฟาดลงมา ร่างของเขากลับถูกวงแขนหนึ่งโอบรัด ความเจ็บปวดที่เขาคิดว่าจะได้สัมผัสกลับแปลเปลี่ยนเป็นความอบอุ่น
พลั่ก! “แม่!”
หลี่หมิงและหลี่ชุนเบิกตากว้างเมื่อหันมาเห็นว่าแม่ของเขาถูกสะใภ้บ้านเฉาฟาดลงมาจนเต็มแรง คิ้วเรียวขยับเข้าหากัน ก่อนที่ดวงตาหวานจะตวัดมองไปยังคนที่ลงมือด้วยสายตาเกรี้ยวกราด
กล้าตีลูกๆ ของเธออย่างนั้นหรือ
“เกิดอะไรขึ้น!”
เสียงเข้มหนักแน่นดังขึ้น ดวงตาคมมองสามแม่ลูกที่นั่งกอดกันอยู่บนพื้นด้วยความไม่พอใจ สะใภ้ใหญ่บ้านเฉาถูกสายตาคมจ้องมองมาก็รีบโยนหลักฐานในมือทิ้งก่อนจะจับลูกชายที่ใบหน้าอาบเลือดออกมายืนเบื้องหน้า
“คุณถังคะ คุณดูสิเจ้าเด็กบ้านหลี่ไร้พ่อพวกนั้นตีอาอี้ของพวกเราจนหัวแตกเลยค่ะ”
ถังซานตวัดสายตามองเด็กน้อยสองคนที่อยู่ในอ้อมกอดของคนเป็นแม่ท่าทางหวาดกลัวจนตัวสั่นของหลี่ชุน หรือแม้แต่ท่าทางโกรธเกรี้ยวจนตาแดงของหลี่หมิง ทำให้เขาที่เห็นเด็กๆ เป็นดั่งลูกชายแท้รู้สึกขุ่นเคืองจนกำมือแน่น ทว่ายังไม่ทันเอ่ยปากปกป้องคนหญิงสาวที่โอบกอดเด็กชายก็ลุกขึ้นพูดเสียงก้อง
“เป็นเจ้าเด็กบ้านอื่นตีลูกของฉันก่อน เขาตีกลับก็เพื่อปกป้องตัวเองเท่านั้น”
เฉินซิ่วลี่ขยับเท้าก้าวออกมาเผชิญหน้ากับผู้คนรอบตัว ถึงแม้เธอจะทะลุมิติมาอยู่ในร่างนี้ไม่นาน แต่เฉินซิ่วลี่มั่นใจว่าเด็กน้อยทั้งสองไม่มีทางลงมือกับผู้อื่นอย่างไร้เหตุผลแน่นอนโดยเฉพาะหลี่หมิง เขาลงมือแบบไม่ไว้หน้าคนเช่นนี้แน่นอนว่าอีกฝ่ายต้องลงมือต่อเขาหนักหนาพอกันหรือไม่ก็แตะต้องน้องชายของเขา
ถึงแม้เวลานี้ในใจของเฉินซิ่วลี่อยากจะพุ่งเข้าไปจัดการคนแต่ก็ยังคงไว้หน้าถังซาน สูดลมหายใจเข้าออกแล้วเอ่ยบอกเขาเสียงสั่นอย่างขุ่นเคือง
“คุณถังเรื่องนี้เกิดขึ้นในพื้นที่ความรับผิดชอบของคุณ หวังว่าคุณจะตัดสินอย่างยุติธรรม”
คิ้วหนาของถังซานขยับเข้าหากันในทันที หญิงสาวที่วันวันเอาแต่ด่าทอทุบตีเด็กชายทั้งสองวันนี้กลับออกโรงปกป้องพวกเขาด้วยตัวเอง นี่พระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกหรือไง
“ตัดสินอะไรกัน เห็นๆ อยู่ว่าลูกชายของเธอทำร้ายลูกชายคนอื่น”
“หากลูกชายของคุณไม่ทำร้ายพวกเขาก่อน พวกเขาจะโต้กลับหรือ”
หลี่หมิงช้อนตามองแผ่นหลังที่ปกป้องเขาและน้องชายด้วยหัวใจที่สับสน มารดาไม่เอ่ยถามเรื่องราวก็ประกาศก้องออกไปอย่างมั่นใจในความบริสุทธิ์ของพวกเขา ความเชื่อใจเช่นนี้ช่างดียิ่งนัก ทว่าเมื่อเห็นรอยทางยาวบนหลังเสื้อมารดาหัวใจของเขาก็พลันเกิดความโกรธแค้น ดวงตาคมมองไปยังหญิงร่างท้วมตรงหน้าราวกับจะจดจำอีกฝ่ายเอาไว้
“เธอไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์จะรู้อะไร พวกลูกชายของเธอมันเป็นเด็กอันธพาล”
“เป็นพี่เฉาอี้ที่ทำร้ายอาชุนก่อน”
หลี่หมิงได้ยินคนกล่าวหาตนเองกับน้องชายก็อดทนไม่ไหวเอ่ยบอกความผิดของอีกฝ่ายเสียงหนักแน่น ทว่าสะใภ้ใหญ่บ้านเฉาไหนเลยจะยอมกล่าวโทษลูกชายของตนเอง ยังหันมาตำหนิเด็กน้อยอีกหนึ่งประโยค
“ผู้ใหญ่กำลังพูดคุยสอดปากเข้ามาได้อย่างไรกัน ช่างเป็นเด็กที่ไร้การอบรมจริงๆ”
เฉินซิ่วลี่กำมือแน่น พยายามบอกกับตนเองว่าการใช้กำลังไม่ใช้ทางออกเธอต้องมีสติและเป็นตัวอย่างที่ดีให้เด็กๆ ได้เห็นถึงวิธีการใช้ปัญญาแก้ไขปัญหา
“เมื่อครู่คุณถามฉันว่าไม่อยู่ในเหตุการณ์จะรู้อะไร เช่นนั้นก่อนหน้านี้คุณอยู่ในเหตุการณ์หรือไม่”
“ฉัน...”
สะใภ้ใหญ่บ้านเฉาถูกหญิงตรงหน้าย้อนกลับด้วยคำพูดของตนเองก็โมโหจนคิดคำพูดโต้แย้งไม่ทัน หากตอบว่าก่อนหน้านี้เธออยู่ในเหตุการณ์ เธอที่เป็นผู้ใหญ่ไม่ห้ามปราบเด็กๆ จนมีเรื่องย่อมต้องถูกตำหนิ ไม่รวมถึงว่าตอนนี้เป็นเวลาทำงานอาจถูกถังซานไล่ออกจากงานได้อีกด้วย แต่หากบอกว่าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ คำพูดของเธอก่อนหน้าก็จะย้อนเข้าตัว สะใภ้ใหญ่บ้านเฉาขมวดคิ้วขบกรามพยายามหาทางโต้กลับเมื่อเห็นว่าลูกชายตัวเองมีเลือดอาบหน้าก็จับไหล่เล็กดันมาเบื้องหน้า
“อาอี้หัวแตกเลือดอาบหน้าขนาดนี้ไม่ต้องอยู่ในเหตุการณ์ก็คาดเดาได้ว่าลูกของเธอรังแกคน”
“คำก็รังแก สองคำก็ตีคน อาชุนกับอาหมิงเป็นเด็กสามขวบ เอาอายุพวกเขาสองคนรวมกันยังไม่เท่าอายุของลูกคุณเลยจะเอาอะไรไปรังแก ไปตีลูกคุณได้ แต่ลูกชายคุณสิตัวโตเสียยิ่งกว่าวัวในคอกกลับรังแกเด็กเล็กกว่า ช่างเป็นเด็กที่ได้รับการอบรมมาดีจริงๆ”
คำโต้กลับเปรียบเทียบของเฉินซิ่วลี่ทำให้คนรอบๆ อดที่จะกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่ได้ ในที่สุดก็มีคนที่สามารถโต้แย้งได้เท่าทันสะใภ้ใหญ่บ้านเฉาเสียที
“แต่... แต่อาอี้ก็ถูกตีจนหัวแตกไม่ใช่หรือ ไม่รู้ล่ะเรื่องนี้อย่างไรฉันก็ไม่ยอมนะคุณถัง”
เมื่อโต้แย้งด้วยเหตุผลไม่ได้ สะใภ้ใหญ่บ้านเฉาก็หันไปร้องทุกข์ต่อถังซาน ทว่าเธอมีปากร้องทุกข์ได้คนเดียวหรือไงกัน
“ฉันก็ไม่ยอมเหมือนกัน!”
ถังซานขมวดคิ้วหนาเข้าหากันมากขึ้น มองคนที่ออกโรงปกป้องเด็กแฝดทั้งสองสุดกำลังด้วยความสนใจ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คนเช่นเฉินซิ่วลี่รู้จักปกป้องเด็กๆ มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเธอโต้แย้งสะใภ้ใหญ่บ้านเฉาได้อย่างเท่าทัน
“เธอเอาอะไรมาไม่ยอมกัน ลูกชายเธอตีคนจนเลือดอาบใครๆ ก็เห็น”
“ลูกชายเธอรังแกเด็กเล็กกว่า ใครๆ ก็เห็นเช่นกัน”
เมื่อพูดเช่นนี้ผู้คนรอบตัวก็พากันคล้อยตาม นิสัยชอบรังแกคนของเฉาอี้พวกเขาล้วนรู้ดี หลายครั้งพวกลูกๆ ของเขาก็ยังโดนรังแกด้วย แต่เมื่อโต้แย้งกันพวกเขาไม่เคยมีใครสู้ฝีปากของสะใภ้ใหญ่บ้านเฉาได้เลย สุดท้ายจึงได้แต่เก็บความแค้นนี้ไว้ในใจมาโดยตลอด ดังนั้นเมื่อเอ่ยถึงตรงนี้สายตาที่มองมายังเฉาอี้กับมารดาก็เปลี่ยนจากเห็นใจเป็นดูแคลน
“ก็แค่เด็กๆ เล่นกันเท่านั้นแต่ลูกเธอมันอันธพาลใช้กำลังเกินควร”
คำก็อันธพาล สองคำก็อันธพาล ความอดทนของเฉินซิ่วลี่ก็ใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มที มือบางกำเข้าหากันแน่น แต่เพราะข้างหลังมีสายตาของเด็กน้อยจดจ้อง คำว่าแม่คือแบบอย่างที่ดีจึงค้ำคอ จำต้องข่มกลั้นโทสะของตนเองเอาไว้
“ในเมื่ออาอี้รังแกคนอื่นก่อนถูกตีกลับย่อมเป็นสิ่งที่เขาควรได้รับ แต่อาหมิงการใช้ความรุนแรงไม่ใช่การแก้ปัญหาในระยะยาว ครั้งหน้าหากมีเรื่องเช่นนี้อีกลุงจะลงโทษทั้งสองคน”
ถังซานที่มองเห็นว่ามารดาของเด็กๆ ใกล้จะหมดความอดทนเต็มทีจึงเอ่ยไกล่เกลี่ยให้จบความ เมื่อเขาตัดสินเช่นนี้แล้วสะใภ้ใหญ่บ้านเฉาที่ยังต้องพึ่งพาการทำงานในไร่ตระกูลถังก็จำต้องยอมจำนนอย่างไม่เต็มใจ
ถังซานหรี่ตามองท่าทางฮึดฮัดของสะใภ้ใหญ่บ้านเฉาอย่างไม่พอใจ หากแต่เขาเป็นสุภาพบุรุษมากพอที่จะไม่ต่อปากต่อคำกับสตรีเช่นนี้ เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาวนึกขอบคุณในความอดทนของตนเองในที่สุดก็เป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็กๆ เห็นได้ หญิงสาวย่อตัวจับไหล่ลูกชายทั้งสองมองสำรวจหาร่องรอยบาดแผลอย่างห่วงใย
“เห็นแก่ที่พวกเขากำพร้าพ่อ ไร้บิดาอบรมสั่งสอน เรื่องนี้ฉันจะไม่เอาความก็แล้วกัน”
สะใภ้ใหญ่บ้านเฉาพูดเสียงเย้ยหยันก่อนประคองลูกชายเดินจากไป เฉินซิ่วลี่มองเห็นดวงตากลมที่ไหววูบเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำของเด็กๆ ความอดทนในใจก็ขาดลงในทันที มือนุ่มขยับวางลงบนสองแก้มของพวกเขาแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน
“อาหมิง อาชุน หลับตาลง ถ้าแม่ไม่บอกก็ห้ามลืมตาขึ้นเข้าใจไหม”
“ครับ”
เด็กน้อยขานรับและหลับตาลงในทันที เฉินซิ่วลี่ตวัดสายตามองไปยังคนด้านหลังก่อนจะขยับตัวลุกขึ้น ก้มลงหยิบท่อนไม้ที่ถูกโยนทิ้งเมื่อครู่มาถือ แล้วง้างแขนขึ้นกำลังฟาดลงไปบนแผ่นหลังตรงหน้าถึงสองทีรวด
ในเมื่อจะตีคืนก็ต้องตีให้ได้กำไร
“โอ๊ย! โอ๊ย!”
หญิงร่างท้วมถูกตีแบบไม่ทันตั้งตัวก็เสียหลักล้มลงไปในทันที เด็กชายที่เลือดอาบหน้าตกใจเบิกตากว้างขึ้นมา เขาเคยเห็นแต่แม่ตีคนอื่น นี่นับเป็นครั้งแรกที่แม่ของเขาถูกคนอื่นตี
“เฉินซิ่วลี่ หญิงสารเลวแกกล้าตีฉันเหรอ”
“หึ! ก่อนหน้านี้คุณตีฉัน ฉันตีคืนก็ถือว่าหายกันไม่ใช่หรือ”
เฉินซิ่วลี่โยนไม้ในมือทิ้ง หมุนตัวเดินกลับไปหาลูกชาย ทว่าสะใภ้ใหญ่บ้านเฉานั้นไม่ใช่คนยอมคน เมื่อเห็นเฉินซิ่วลี่เผลอก็ลุกขึ้นหมายตีคืน
“หยุดนะ!”
พลั่ก! ถังซานที่ร้องห้ามเบิกตากว้างมองภาพสะใภ้ใหญ่บ้านเฉาล้มลงไปกองกับพื้นอีกรอบ ไม่ทันพูดอะไร คนที่เมื่อครู่กำลังจะถูกตีจากด้านหลังก็สาวเท้าขึ้นไปคร่อมตัวคน ง้างแขนฟาดมือลงบนใบหน้าอีกฝ่ายไปถึงสองครั้ง ในจังหวะที่สะใภ้บ้านเฉากำลังจะสวนคืนถังซานก็รีบสาวเท้าเข้ามาใช้วงแขนหนาสอดรัดเอวบางยกตัวคนขึ้นด้วยมือข้างเดียว
"เฉินซิ่วลี่ หยุดได้แล้ว"
เสียงเข้มดุคนที่ดิ้นไปมาในอ้อมแขนก่อนจะหันไปตวาดอีกคนที่กำลังลุกเดินเข้ามา
“สะใภ้ใหญ่บ้านเฉา คุณก็พอได้แล้ว!”
"ฉันไม่พอ แกนางเฉินซิ่วลี่ วันนี้ฉันจะตบสั่งสอนแกให้หนัก”
สะใภ้ใหญ่บ้านเฉาที่ผมเผ้าหลุดลุ่ยใบหน้าบวมเป่ง พุ่งตัวเข้ามาหาคนอย่างโกรธแค้น ถังซานปล่อยคนในวงแขนลงยืนขยับตัวมาด้านหน้ายืนคั่นระหว่างผู้หญิงทั้งสอง ทว่าไม่ทันได้เอ่ยห้ามร่างของสะใภ้ใหญ่บ้านเฉาก็ล้มลงไปอีกครั้ง
“ห้ามทำแม่ผมนะ”
เป็นหลี่หมิงที่วิ่งเข้ามาผลักคนจนล้มลง ขณะที่หลี่ชุนหยุดยืนขวางอยู่เบื้องหน้าถังซาน
“ไอ้เด็กไร้พ่อ แกกล้าผลักฉันเหรอวันนี้ฉันจะตีพวกแกกับแม่ให้ตายเลย”
“ถ้าคุณกล้าก็ลองดู!”
ถังซานก้าวเท้ามาเบื้องหน้าเด็กน้อยทั้งสอง หางตามองดูสามแม่ลูกด้านหลังด้วยความห่วงใย ก่อนจะตวัดแววตาแข็งกร้าวจ้องมองไปยังคนเบื้องหน้า
“สะใภ้ใหญ่บ้านเฉา เผื่อคุณจะยังไม่รู้ อาหมิงกับอาชุนคือลูกบุญธรรมของผมที่กำลังรอทำเรื่องรับเลี้ยงอย่างถูกต้อง พวกเขาไม่ใช่เด็กไร้พ่อ”
“ละ... ลูกบุญธรรม”
ใบหน้าของสะใภ้ใหญ่บ้านเฉาพลันซีดเผือดขึ้นมาในทันที ยิ่งเห็นแววตาดุดันของถังซานในใจของเธอก็เกิดความวิตกขึ้นมาเป็นทบทวี
"คุณถังคะ เรื่องนี้คือฉัน..."
“ต่อจากนี้ไปอย่าให้ผมเห็นคนบ้านเฉามาทำงานที่ไร่ตระกูลถังอีก”
.........................................
บทที่ 4.2แม่ตัวอย่างหลังเรื่องวุ่นๆ จบลงถังซานก็พาคนกลับมาทำแผลที่บ้านพักของเขา เฉินซิ่วลี่ล้างแผลให้เด็กชายตัวน้อยเบาๆ ทว่าถึงเธอจะพยายามเบาน้ำหนักมืออย่างที่สุดแล้วแต่บนแก้มของหลี่ชุนก็มีน้ำตาไหลลงจนถึงปลายคางเล็ก ในใจของเฉินซิ่วลี่พลันรู้สึกกรุ่นโกรธอยากจะออกไปตีคนอีกสักรอบ แต่เมื่อคิดถึงผลได้ผลเสียที่จะตามมาก็ได้แต่อดกลั้นเอาไว้ เอ่ยถามเด็กน้อยเสียงอ่อนโยน“เจ็บมากหรืออาชุน”ใบหน้าเล็กๆ ที่อาบไปด้วยน้ำตาส่ายไปมา พลางก้มหน้าใช้มืออีกข้างเช็ดน้ำตาบนแก้มออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มกว้างให้คนเป็นแม่“แผลนิดเดียวเองผมไม่เจ็บครับแม่”หลี่ชุนมักเป็นเช่นนี้เสมอให้พบเจอเรื่องร้ายแค่ไหน บนใบหน้าของเขาก็จะมีรอยยิ้มกว้างส่งพลังให้คนอื่นตลอดเวลา ทว่านี่กลับเป็นรอยยิ้มที่ทำให้เฉินซิ่วลี่รู้สึกเจ็บปวดมากกว่ารอยน้ำตาเมื่อครู่ของเขาเสียอีก มือนุ่มดึงร่างผอมบางของเขาเข้ามาสวมกอด ทั้งที่เป็นเพียงเด็กชายสามขวบตัวเล็กๆ คนหนึ่งกลับต้องมาเจอเรื่องร้ายแรงมากมายถึงเพียง ผู้คนเหล่านี้ช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว“ไม่เป็นไรนะอาชุน แม่อยู่นี่แล้ว”เสียงหวานละมุนเอ่ยปลอบโยน พลางใช้ฝ่ามือนุ่มลูบบนแผ
บทที่ 4.3แม่ตัวอย่างเฉินซิ่วลี่จับมือเด็กชายสองคนเดินกลับบ้าน หลี่ชุนที่ได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้วว่าแม่มีความสามารถในการคิดคำนวณและอ่านเขียนได้ดีเยี่ยมก็ชื่นชมเธอไม่หยุด“แม่ครับ แม่สอนผมกับพี่ชายคิดบัญชีบ้างได้ไหมครับ”“ได้สิ อย่างนั้นเริ่มจากนับเลขก่อนดีหรือไม่”เด็กในวัยสามขวบ หากเทียบเท่าในยุคของเธอพวกเขาก็น่าจะอยู่ในช่วงอนุบาลหนึ่ง ดังเริ่มต้นเรียนรู้จากการนับลำดับก็นับว่าถูกต้องแล้ว“อาหมิงลูกนับเลขได้หรือไม่”เฉินซิ่วลี่ชวนเด็กชายที่เอาแต่เดินเงียบๆ สนทนา แต่หลี่หมิงก็คือหลี่หมิงเขากลับตอบเพียงสั้นๆ คำเดียวเท่านั้น“ครับ”“พวกลูกนับเลขได้แล้ว ใครสอนกัน”“อารองสอนครับ แม่ลืมไปแล้วเหรอครับว่า...”“ถึงสะพานแล้วอาชุนเดินระวัง”อยู่ดีๆ หลี่หมิงก็พูดขัดกลางประโยค คิ้วเรียวของเฉินซิ่วลี่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เรื่องนี้ต้องมีบางอย่างที่เจ้าของร่างไปสร้างวีรกรรมเอาไว้แน่ๆ ไม่เช่นนั้นหลี่หมิงคงไม่มีท่าทีคล้ายกลับไม่อยากให้เธอจำได้เช่นนี้เพราะไร่ตระกูลถังอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน ตอนที่เดินกลับจึงต้องผ่านลำธารสายหลักของหมู่บ้าน ขณะที่เดินข้ามสะพานเฉินซิ่วลี่เห็นปลาตัวโตกระโดดอยู่ขึ้นมาเหนือผิวน
บทที่ 5.1ลูกชายที่เชื่อฟังเฉินซิ่วลี่นั่งนับเงินหยวนที่เพิ่มเข้ามาอีกห้าหยวนแล้วยิ้มกว้าง การค้าขายในชนบทนั้นจะว่ายากก็ไม่ยาก แต่จะกล่าวว่าง่ายก็ไม่ง่าย นั่นเพราะผู้เขียนได้สร้างให้หมู่บ้านต้าหยางแห่งนี้มาสมบูรณ์เกินกว่ายุค 80 ในความเป็นจริง เมื่ออยู่ในสถานที่อันสมบูรณ์ย่อมไม่มีความต้องการของผู้คน เมื่อไม่มีความต้องการย่อมไม่มีความมั่นคงในการค้าขายเฉินซิ่วลี่ที่ต้องการความมั่นคงในการใช้ชีวิต จึงไม่คิดลงทุนในชนบทแห่งนี้ เพียงแต่ทุกอย่างจะเริ่มขึ้นก็ต่อเมื่อเธอได้รับอิสระจากหนังสือสมรสตรงหน้านี้เสียก่อน หากเธอยังไม่หย่ากิจการใดๆ ที่เธอสร้างขึ้นล้วนต้องแบ่งให้เขากึ่งหนึ่งดวงตาเรียวมองหนังสือสมรสที่เป็นดั่งเชือกเส้นใหญ่ผูกมัดเธอเอาไว้กับหลี่อันเฉิง ทว่ายังไม่ทันคิดวางแผนชีวิตต่อเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่หน้าประตูห้อง“แม่ครับ ผมเข้าไปได้ไหมครับ”คำขออนุญาตที่ดังเข้ามาฟังจากน้ำเสียงแล้วเฉินซิ่วลี่ก็คาดเดาได้ว่าคงเป็นหลี่หมิง“อาหมิงเข้ามาได้เลย”หลี่หมิงเปิดประตู แต่ก้าวข้ามประตูมาเพียงสามก้าวเขาก็หยุดเท้าลง หลี่หมิงจำได้ดีว่าห้องของแม่คือเขตหวงห้าม ดังนั้นเขาจึงไม่คิดเข้าไปเกินกว่าสามก้า
บทที่ 5.2ลูกชายทีเชื่อฟัง“แม่นางเฉิน”เสียงเรียกที่รั้วนอกบ้านทำให้เฉินซิ่วลี่ต้องลุกเดินออกมาดู เมื่อพบว่าเป็นกู้เหยียนก็ยิ้มกว้างต้อนรับเขาด้วยท่าทีสุภาพ“คุณหมอกู้มาหาฉันมีอะไรหรือเปล่าคะ”กู้เหยียนยิ้มอ่อนโยน พร้อมกับยกปิ่นโตเปล่าในมือขึ้นให้หญิงสาวดู“ผมเอาปิ่นโตมาคืนครับ”เฉินซิ่วลี่แทบลืมไปเลยว่าครั้งก่อนเธอทำอาหารใส่ปิ่นไปให้เขาเพื่อตอบแทนที่เขาให้เธอกับลูกนอนที่ห้องพักฟื้นในสถานพยาบาลหมู่บ้าน"ฉันลืมไปเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ"เฉินซิ่วลี่เดินออกจากประตูรั้วมารับของคืน พร้อมเอ่ยขอบคุณเขาอีกครั้ง"ไม่เป็นไรครับ พอดีผมเอายามาให้ป้าชุน เลยถือโอกาสแวะเอามาคืนคุณด้วยครับ"กู้เหยียนยิ้มกว้าง สายตาอบอุ่นส่งผ่านแว่นกลมๆ มายังหญิงสาว ทว่าเพียงแต่พริบตาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม จดจ้องคนตรงหน้านิ่ง มือหนายกขึ้นขยับแว่นเพื่อพิจารณาอีกฝ่ายอย่างจริงจัง จนเฉินซิ่วลี่รู้สึกประหม่าคิดว่าตนเองทำสิ่งใดผิด"มะ... มีอะไรหรือเปล่าคะ"เสียงเล็กถามแผ่วเบา คนที่จดจ้องพลันได้สติ เมื่อรู้ตัวว่าทำสิ่งที่ไม่ควร สองแก้มก็ร้อนผ่าวจนผิวหน้าขาวเนียนแดงก่ำไปถึงใบหู“ขอโทษครับ เอ่อ... คุณเฉิน หลังของคุณได้รับบาดเจ็บหรื
บทที่ 5.3ลูกชายที่เชื่อฟัง“แม่ไม่สบายหรือครับ”เฉินซิ่วลี่กำลังวางแผนสำหรับเปิดร้านบะหมี่ในอนาคตได้ยินคำพูดของลูกชายคนโตความคิดทั้งหมดก็พลันความคิดสะดุด รอยยิ้มกว้างพลันแข็งค้าง ไม่ทันพูดอะไรเสียงเรียกก็ดังขึ้นที่หน้าบ้าน หลี่ชุนอาสาวิ่งออกไปดูก่อนจะวิ่งเข้ามารายงาน“ลุงสามถังมาครับ”คนที่กำลังใช้ความคิดถอนหายใจยาว วันนี้ที่บ้านเธอช่างครึกครื้นนัก คนหนึ่งไปคนหนึ่งมาราวกับเป็นร้านอาหาร“สวัสดีค่ะคุณถัง มาหาฉันมีเรื่องอะไรหรือคะ”ถังซานไม่ตอบคำถามของเธอทันที แต่กลับยืนสมุดเล่มหนึ่งให้เฉินซิ่วลี่รับมาถือด้วยสีหน้าสงสัย“บัญชีที่ฉันคิดมีปัญหาหรือคะ”เธอมั่นใจว่าตนเองคำนวณไม่ผิดพลาดแน่นอน ในอดีตนอกจากทำบะหมี่ขายแล้วที่ชำนาญก็คือการคิดบัญชี ดังนั้นจึงมั่นใจว่าไม่มีทางผิดพลาด“บัญชีที่เธอคิดไม่มีปัญหา เธอทำได้ถูกต้องทั้งหมด”“เช่นนั้นคุณเอาสมุดบัญชีมาให้ฉันอีกรอบแบบนี้หมายความว่า…”“ฉันอยากจ้างเธอมาทำบัญชีที่ไร่”จ้าง เมื่อจ้างงานก็ต้องจ่ายเงิน ดังนั้นสีหน้าของเฉินซิ่วลี่จึงระบายไปด้วยรอยยิ้มกว้าง เริ่มต่อรองค่าแรงขึ้นมา“งานบัญชีค่อนข้างยากกว่างานในไร่ดังนั้น…”“วันละ สองหยวน”ปกติแล้วค่า
บทที่ 6.1การกลับมาของคนที่หายไปเฉินซิ่วลี่มาที่ร้านสหกรณ์หมู่บ้านเพื่อซื้อแป้ง และของใช้สำหรับทำซาลาเปาในวันพรุ่งนี้ เธอนำเงินเก็บออกมาใช้ก่อนอย่างไม่ลังเล ตงเหยามองหญิงสาวที่เคยประกาศก้องว่าต้องการเป็นภรรยาของเขา และมักส่งสายตากับท่าทียั่วยวนให้เขาอยู่เสมอด้วยความสงสัย เกิดอะไรขึ้นกับเฉินซิ่วลี่กัน เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าเธอเป็นคนละคนกับเฉินซิ่วลี่ที่เขาเคยรู้จัก “ซิ่วลี่ เธอ... เอ่อ...”เพราะความสงสัยตงเหยาจึงเผลอเรียกคน แต่เมื่อเรียกแล้วก็ไม่รู้ว่าจะสนทนากับเธอต่ออย่างไร ร่วมหกปีแล้วที่เขาพยายามรักษาระยะห่างระหว่างเธอเอาไว้เพื่อไม่ให้ใครตำหนิเธอเพิ่ม แต่ถึงอย่างนั้นทุกครั้งที่เข้าเมืองเขาก็จะให้คนไปถามเฉินซิ่วลี่อยู่เสมอว่าต้องการฝากซื้อสิ่งใดหรือไม่ ดังนั้นแม้ไม่ได้แต่งเธอเป็นภรรยาตามที่เคยสัญญาแต่เขาก็คอยดูแลเธออยู่ห่างๆ เสมอไม่เคยเปลี่ยนไป“มีอะไรหรือคะ”ท่าทีสุภาพ แววตาที่ใสซื่อเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะมีใบหน้าที่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงตงเหยาย่อมคิดว่าเธอไม่ใช่เฉินซิ่วลี่ที่เขารู้จักอย่างแน่นอน“เอ่อ... เธอซื้อของมากมายขนาดนี้จะทำอะไรหรือ”“อ่อ... พอดีว่าคุณถังให้ฉันทำซาลาเปาไ
บทที่ 6.2การกลับมาของคนที่หายไป“พวกเราแม่ลูกก็จะเข้าเมืองเหมือนกันเลยค่ะ”“งั้นก็ไปพร้อมกัน เอาจักรยานไปจะได้เร็วขึ้น”เมื่อได้ยินคำพูดของถังซานดวงตาของเฉินซิ่วลี่ก็ลุกวาวด้วยความตกตะลึง ในยุคนี้คนที่สามารถมีจักรยานใช้นั้นน้อยมาก ยิ่งในชนบทแห่งนี้เฉินซิ่วลี่ใช้มือข้างเดียวนับยังเหลือนิ้วอีกสองนิ้ว ทว่าตระกูลถังนั้นมีไร่ชาและวัวนมที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน แค่จักรยานคันเดียวคงไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะครอบครองทว่า จักรยานคันเดียวจะนำคนสี่คนเข้าเมืองได้อย่างไร“ฉันจะพาเด็กๆ เข้าเมืองด้วยค่ะ จักรยานคุณคันเดียวคงพากันไปไม่หมด”“ใครบอกว่าฉันมีจักรยานคันเดียว”ดวงตาเรียวเบิกกว้างมากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของถังซาน ถึงแม้จะรู้ว่าเขาสามารถครอบครองจักรยานได้ แต่ถึงกับมีใช้สองคัน นี่ออกจะสิ้นเปลืองเกินไปหรือไม่“คุณถัง นี่คุณคงไม่ได้หมายความว่าจะให้ฉันยืมจักรยานใช่ไหมคะ”“แต่ถ้าเธอปั่นไม่เป็นอย่างนั้นฉันจะเดินไปเป็นเพื่อน”“เป็นค่ะ ฉันปั่นเป็น”เดินเข้าเมืองไปกลับก็ร่วมสองชั่วโมงแค่คิดเฉินซิ่วลี่ก็รู้สึกปวดต้นขาขึ้นมาทันที แต่หากมีจักรยานระยะทางไปกลับอย่างมากก็แค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น“ฉันปั่นเป็นจริงๆ
บทที่ 6.3การกลับมาของคนที่หายไปอาซาน!ที่แท้ชายแปลกหน้าที่เขาเห็นเพียงด้านหลังเมื่อครู่คือสหายสนิทตั้งแต่เด็กของเขา ถังซาน คิ้วเข้มขมวดแน่นเกิดอะไรขึ้นทำไมเฉินซิ่วลี่ที่รังเกียจถังซานจนไม่ยอมแม้แต่จะไปเหยียบไร่ของอีกฝ่าย วันนี้จึงได้มาด้วยกันแบบนี้“เสื้อผ้าพวกนี้ราคาเท่าไหร่หรือคะ”เสียงหวานที่คุ้นเคยดึงสายตาเขาไปที่คนเจรจาซื้อผ้า ดวงตาคมมองผ้าในมือเรียวแล้วคิ้วที่ขมวดแน่นก็ยิ่งขยับเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นปม เมื่อเห็นว่าขนาดชุดในมือขาวนั้นเล็กเกินกว่าจะเป็นชุดใหม่ของเฉินซิ่วลี่ แต่กลับพอเหมาะสำหรับเด็กวัย 5 ขวบนี่เธอคงไม่คิดซื้อผ้าให้ลูกๆ ของเขาหรอกนะ หึ! ดวงตะวันคงได้ขึ้นทางทิศตะวันตกกันพอดี“ชุดเด็กพวกนี้ตัวละ 4 หยวน เอากี่ตัวดีจ้ะ”เสียงแม่ค้าเอ่ยบอกราคาด้วยท่าทางสดใส แม้สองสามีภรรยาตรงหน้าจะดูแต่งตัวธรรมดา แต่ท่าทางที่ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วของชายหนุ่มด้านข้างก็ทำให้คนขายผ้าคาดเดาได้ว่าเสื้อผ้าราคานี้สำหรับเขาแล้วไม่ใช่จำนวนเงินที่จ่ายไม่ได้เฉินซิ่วลี่มองชุดที่ดูแล้วเหมาะสมกับเด็กชายทั้งสองอย่างพิจารณา แม้รูปแบบการตัดเย็บจะเหมาะสมกับพวกเขา แต่เนื้อผ้าค่อนข้างแข็งและหยาบ หากใส่จริง
บทที่ 12.4ไม่อาจหลีกหนีไปชั่วชีวิตเฉินซิ่วลี่ปั่นจักรยานกลับบ้านเส้นทางเดิมเช่นทุกครั้ง หากแต่ครั้งนี้กลับพบเจอเรื่องที่แตกต่างจากทุกวัน“แม่! ฉันไม่อยากไป แม่อย่าบังคับฉันเลยนะ”“ไม่ไปได้ยังไง ฉันตกลงยกแกให้เขาไปแล้วยังไงแกก็ต้องไป”เสียงบทสนทนาของหญิงสาวสองคนบนถนนเส้นหลักของหมู่บ้านดังก้องเรียกสายตาของผู้คนโดยรอบให้หยุดมองรวมถึงเฉินซิ่วลี่ด้วย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย หญิงสาวสองคนนั้นมองดูแล้วคล้ายว่าจะมีสถานะเป็นแม่ลูกกัน เพียงแต่ที่น่าแปลกใจคือ เหตุใดคนเป็นแม่จึงคิดยกลูกสาวที่โตเต็มวัยให้ผู้อื่นเช่นนี้“อาซีช่างน่าสงสารจริงๆ เลย ดูสิอายุแค่ 16 ก็ถูกขายไปเป็นเมียน้อยคนอื่นแล้ว”ดวงตาของเฉินซิ่วลี่เบิกกว้างที่แท้เป็นการขายลูกสาวอย่างนั้นหรือ“นั่นน่ะสิ สะใภ้หวังคนนี้ช่างเกินไปจริงๆ ถึงแม้ว่าอาซีจะเป็นลูกเลี้ยง แต่ก็ไม่เห็นต้องทำกันถึงเพียงนี้”"ไม่ทำแบบนี้บ้านหวังจะเอาเงินที่ไหนแต่งสะใภ้เล่า"เฉินซิ่วลี่ได้ยินบทสนทนาของหญิงชาวบ้านในใจก็รู้สึกเวทนาคนขึ้นมา ขายลูกเลี้ยงแต่งสะใภ้ นี่มันเกินไปหรือไม่ก่อนหน้านี้เฉินซิ่วลี่เคยอ่านนิยายเจอเรื่องราวยากลำบากของผู้อื่นที่ผู้เขีย
บทที่ 12.3ไม่อาจหลีกหนีไปชั่วชีวิตเฉินซิ่วลี่ตื่นเช้ามาด้วยอาการอ่อนเพลีย ต้องยอมรับว่าเรื่องราวที่พบเจอเมื่อวานทำให้เธอรู้สึกวิตกไม่น้อย ส่งผลให้นอนไม่หลับทั้งคืน วันนี้แม้แต่อาหารเช้าก็ยังกลืนไม่ลง สุดท้ายเพราะความเครียดที่โถมเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว ร่างกายก็เกินกว่าจะทนไหว ภาพตรงหน้าโคลงเคลง พร่ามัว ใบหน้าก็ซีดเซียวจนหลี่หมิงสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ“หน้าแม่ซีดมาก อาชุนพาแม่ไปนอนพี่จะไปบอกลุงหมอกู้”พูดจบหลี่หมิงก็วางตะเกียบวิ่งออกไปจากบ้านด้วยความรวดเร็ว ไปนานก็มาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านพักของกู้เหยียน“ลุงหมอกู้ครับ ลุงหมอกู้”เสียงเรียกที่มีความร้อนรนอยู่ในทีทำให้กู้เหยียนที่กำลังสวมเสื้อรีบวิ่งออกมาพลางติดกระดุมเสื้อไปด้วย “มีเรื่องอะไรอาหมิง”ถึงแม้จะเอ่ยถามออกไปแต่ในใจกู้เหยียนก็คาดเดาได้ว่า จะต้องเกิดเรื่องกับเฉินซิ่วลี่อย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นคนที่ยืนตรงนี้ต้องเป็นเธอ“แม่ไม่สบายครับ”กู้เหยียนไม่เสียเวลาแม้แต่จะสอบถามอาการรีบสวมรองเท้าวิ่งตรงไปยังบ้านพักอีกฝั่งของสถานพยาบาลหมู่บ้านทันที นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าการให้เฉินซิ่วลี่พักห่างไกลจากเขาเป็นเรื่องที่ผิดพลาด“อาชุน
บทที่ 12.2ไม่อาจหลีกหนีไปชั่วชีวิตหลังจากที่ปลอบโยนเด็กชายทั้งสองและส่งเขาเข้านอนแล้ว เฉินซิ่วลี่ก็ออกมานั่งทบทวนเรื่องราวต่างๆที่พบเจอในวันนี้แน่นอนว่าการพบเจอกับหลี่อันเฉิงในนั้นป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย แต่เมื่อทบทวนเส้นเรื่องในนิยายดูคล้ายว่าเหตุผลที่เย่ชิงเหวินและหลี่อันเฉิงไม่ลงรอยกันตั้งแต่แรกพบนั้น เพราะครั้งหนึ่งพ่อตัวร้ายเคยทำให้การเจรจาต่อสัญญาค้าไม้ของเย่ชิงเหวินล้มเหลว ขณะเดียวกันเย่ชิงเหวินก็ทำให้ภารกิจของเขาถูกเปิดโปงเช่นกันหรือจุดเริ่มต้นของการบาดหมางที่ในนิยายเอ่ยถึงจะเป็นเรื่องราวในวันนี้ใบหน้าของเฉินซิ่วลี่ชาวาบ เพราะหากวันนี้คนที่เข้างานไปกับเย่ชิงเหวินคือของเจ้าของร่างเดิม เมื่อได้พบเจอกับชายที่มีหน้าตาคล้ายคลึงสามีเก่าที่ตายไปแล้ว สิ่งแรกที่เธอจะทำแน่นอนว่าต้องเป็นการเปิดโปงตัวตนของเขาหรือนี่จะเป็นเหตุผลที่หลี่อันเฉิงจับตัวเฉินซิ่วลี่ไปขังไว้ ไม่ใช่เพราะโกรธแค้นเรื่องการกระทำอันฉาวโฉ่ร้ายกาจของภรรยา แต่เพราะโกรธเคืองเรื่องที่เธอเปิดโปงภารกิจของเขาเมื่อนึกมาถึงตรงนี้เฉินซิ่วลี่ก็ใจสั่นระรัว นึกขอบคุณตนเองที่วันนี้ไม่ได้เปิดโปงตัวตนของหลี่อันเฉิง พูดให้ถูกคื
บทที่ 12.1ไม่อาจหลีกหนีไปชั่วชีวิต“แล้วถ้าผมไม่ปล่อย! คุณจะทำไม!”ไม่เพียงแต่พูดโต้กลับอย่างไม่เกรงกลัว หลี่อันเฉิงยังกระชับอ้อมแขนโอบกอดคนให้แน่นมากขึ้น เฉินซิ่วลี่พลันขมวดคิ้วเรียวเพราะความอึดอัดยกมือขึ้นวางดันอกเขาออกห่างด้วยท่าทางต่อต้านเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงผลักจากฝ่ามือเล็ก หลี่อันเฉิงก็ก้มมองคนในอ้อมแขนด้วยสายตาไม่พอใจเธอกล้าผลักไสเขาหรือ...ที่ผ่านมาขอเพียงมีโอกาสเฉินซิ่วลี่มักจะฉกฉวยอยากสัมผัสแนบชิดกับเขาเสมอ ทว่าเพียงห้าเดือนที่เขาแจ้งข่าวการตายของตนเองไป หญิงสาวก็เปลี่ยนท่าทีเป็นเช่นนี้แล้ว ช่างน่าโมโหจริงๆ“เฉินซิ่วลี่อย่าได้ลืมสถานะตนเอง”แม้น้ำเสียงที่ใช้เอ่ยออกมาจะแผ่วเบา ทว่าเฉินซิ่วลี่ก็สัมผัสได้ถึงความเกรี้ยวกราดไม่พอใจอยู่ในทีของเขา มือเรียวที่ผลักไสพลันหยุดชะงัก ไม่กล้าออกแรงดิ้นรนต่อต้านเขาอีกเพียงแต่ไม่ต่อต้านก็ไม่ได้หมายความว่าเธอยินยอมแต่เพราะรู้ดีว่าพ่อตัวร้ายหลี่อันเฉิงคนนี้มีนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นและไม่ยอมคน ดังนั้นการสร้างปัญหากับเขาย่อมไม่ส่งผลดีต่อตัวเธอในอนาคต ครั้งนี้เฉินซิ่วลี่จึงยอมถอยให้เขาหนึ่งก้าว เธอสูดลมหายใจเข้าพยายามข่มกลั้นความโกรธเคืองในใจ
บทที่ 11.4บางอย่างที่เปลี่ยนไปเย่ชิงเหวินใช้เวลาราว 15 นาทีก็ขับรถมาหยุดที่หน้าภัตตาคารหรูใจกลางเมือง ร่างสูงโปร่งลงจากรถลงมายืนด้านข้าง ปรายตามองดูหญิงสาวที่นั่งนิ่งในรถแล้วยกมุมปากขึ้น ก่อนจะเดินอ้อมมาเปิดประตูส่งแขนให้เธอวางฝ่ามือแล้วก้าวลงจากรถ“ขอบคุณค่ะ”เสียงหวานเอ่ยบอกก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยน ท่าทางเช่นนี้ชวนให้ผู้คนโดยรอบจดจ้องมาที่คนทั้งสองในทันทีขณะที่พนักงานชายคนหนึ่งเร่งเดินเข้ามาต้อนรับพวกเขาด้วยท่าทางสุภาพ “สวัสดีครับคุณเย่”เย่ชิงเหวินพยักหน้ารับคำทักทายก่อนจะยื่นบัตรเชิญให้อีกฝ่าย โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรคนก็นำทางเขาเข้าไปยังห้องรับรองระดับVVIP“หากคุณเดินไม่สะดวกบอกผมนะครับ”เฉินซิ่วลี่ยกมุมปากขึ้นยิ้มบางๆ บอกเขาแล้วอย่างไร หากเธอเดินไม่ไหวจริงๆ เย่ชิงเหวินจะอุ้มเธอเขางานอย่างนั้นหรือ“คุณโจวกำลังเดินทางมา คุณเย่เชิญตามสบายครับ”เย่ชิงเหวินพยักหน้ารับคำคนนำทางแล้วพาเฉินซิ่วลี่ไปนั่งยังโต๊ะด้านใน เพื่อที่จะลดความอึดอัดใจของเธอ“คุณนั่งรอสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมไปตักของว่างให้”เฉินซิ่วลี่ย่อมเข้าใจดีว่าที่เย่ชิงเหวินใส่ใจเธอเช่นนี้เพียงแค่ไม่ต้องการให้เธอเป็นที่สนใจของผู้ค
บทที่ 11.3บางอย่างที่เปลี่ยนไปเฉินซิ่วลี่นำเงินหยวนที่ได้รับมาจากการขายจักรยานให้เกาหย่ง เก็บใส่ไว้ในถุงผ้าก่อนจะยัดซ่อนไว้ในไส้หมอนอีกครั้ง ตอนนี้คำนวณดูแล้วเธอมีเงินเก็บรวมๆ กันร่วม 4,000 หยวน อนาคตในภายหน้าย่อมไม่กลัวความลำบากอีกต่อไปแต่ถึงจะมีเงินแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่ต้องหาเงินเพิ่ม เพียงแต่บนฝ่ามือยังมีแผลทำให้เฉินซิ่วลี่ไม่สามารถทำซาลาเปาไปขายให้ถังซานได้เช่นเดิม ดังนั้นจึงเอาเวลาทั้งวันอยู่กับกองเศษผ้าเริ่มจัดการเย็บโบว์ติดผมอย่างขะมักเขม้น ผ่านไปสามวันโบว์ติดผมร่วมสามร้อยชิ้นก็เสร็จสิ้นเฉินซิ่วลี่คำนวณราคาคร่าวๆ เธอตกลงราคาซื้อขายโบว์ติดผมกับแม่ค้าขายผ้าไว้ที่ 2 ชิ้น 1 เหมา ตอนนี้เธอมีโบว์ติดผม 300 ชิ้น ย่อมเปลี่ยนเป็นเงินได้ประมาณ 15 หยวน หักค่าอุปกรณ์ต่างๆ แล้วก็ยังคงเหลือที่ 12 หยวน นับว่าทำเงินได้ดีเลยทีเดียวและถึงแม้ร้านผ้าที่ตกลงซื้อขายไว้จะรับซื้อโบว์ติดผมของเธอเพียง 50 ชิ้น อีก 250 ชิ้นก็สามารถนำไปขายที่ร้านอื่นได้ อย่างไรเสียที่นั่นก็คือตัวเมือง ย่อมต้องมีร้านค้าที่ยินดีรับซื้อโบว์ของเธอแน่นอนเมื่อมองเห็นตัวเงินแม้จะเป็นเพียงในความคิด แต่ก็ทำให้เฉินซิ่
บทที่ 11.2บางอย่างที่เปลี่ยนไป“แม่ครับ แม่จะแต่งงานใหม่ไหมครับ”เมื่อกลับถึงบ้าน หลี่หมิงก็เอ่ยถามคนเป็นแม่ด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคงนัก ขณะที่หลี่ชุน เม้มริมฝีปาก ก้มหน้าซ่อนดวงตาที่แดงก่ำของตนเอาไว้ หากแม่แต่งงานใหม่ย่อมต้องมีลูกใหม่ แล้วพวกเขาสองคนพี่น้องเล่า แม่จะยังต้องการอยู่หรือไม่ความคิดที่ว่ามารดาอาจจะขายพวกเขาออกไปเพื่อลดภาระย้อนกลับเข้ามาในใจของเด็กชายทั้งสองอีกครั้ง“ทำไมลูกถึงถามแม่แบบนี้ล่ะ”เฉินซิ่วลี่มองใบหน้าที่แฝงความเศร้าของเด็กๆ แล้วในใจเกิดความปวดหนึบขึ้นมา เธอย่อมไม่คิดแต่งงานใหม่ ชีวิตในยุคที่เธอไม่คุ้นเคยนี้เพียงคิดหาหนทางให้มีชีวิตรอดจากเงื้อมมือหลี่อันเฉิงก็ยากลำบากมากพอแล้ว เธอย่อมไม่คิดหาเรื่องวุ่นวายอย่างการแต่งงานใหม่มาใส่ตัว“หรือว่าลูกๆ อยากให้แม่หาพ่อให้”เด็กๆ อายุยังน้อย บางทีพวกเขาอาจต้องการใครสักคนมาคอยดูแลปกป้องในฐานะพ่อ ทว่าเฉินซิ่วลี่ยังไม่ทันอธิบายว่าภายหน้าพ่อตัวจริงของพวกเขาก็จะกลับมาปกป้องพวกเขาศีรษะเล็กของทั้งสองคนก็ส่ายไปมาในทันที“ไม่ครับ พวกเราไม่อยากได้พ่อ”หลี่หมิงเอ่ยบอกเสียงหนักแน่น หลี่ชุนที่ยืนข้างๆ ก็พยักหน้ารับอย่างเห็นพ้องก่อนจะพู
บทที่ 11.1บางอย่างที่เปลี่ยนไปเฉินซิ่วลี่มองแปลงผักที่ลุงอวี้ขึ้นให้ด้วยความปลาบปลื้ม ก่อนจะหันไปขอบคุณอีกฝ่ายและมอบซาลาเปาหนึ่งถุงให้เขาเป็นการตอบแทน“หมอกู้ หมอกู้ อยู่หรือไม่”เสียงคุ้นหูดังขึ้นเฉินซิ่วลี่ขมวดคิ้วเรียวในทันที เธอจำได้แม่นว่านี่เป็นเสียงของหม่าอิงหง ทว่าอีกฝ่ายมาที่นี่ทำไม หรือว่าคนพวกนี้จะไม่ยอมรามือจึงตามมาหาเรื่องเธอถึงที่นี่ ในใจของเฉินซิ่วลี่รู้สึกเป็นห่วงเด็กๆ ขึ้นมาในทันที รีบวางถุงเมล็ดผักกาดในมือแล้วออกไปที่หน้าบ้าน แต่เมื่อเห็นว่าหม่าอิงหงประคองหลี่อันอันเดินเข้าไปในสถานพยาบาลหมู่บ้านก็ผ่อนลมหายใจยาวอย่างโล่งใจ“คุณนายหลี่ คุณหนูหลี่ มีอะไรหรือครับ”“หมอกู้ช่วยตรวจอาการของอันอันให้หน่อย เธอถูกนางเฉิน...”หลี่อันอันเห็นว่าแม่กำลังจะพาดพิงถึงเฉินซิ่วลี่ก็รีบสะกิดห้าม นั่นเพราะยังจดจำท่าทีปกป้องเฉินซิ่วลี่ของกู้เหยียนในวันแยกบ้านได้ไม่ลืม หากคิดจะเข้าไปนั่งในใจของชายหนุ่มเธอจะต้องวางตัวให้น่าสงสารกว่าเฉินซิ่วลี่“เอ่อ... หญิงชั่วน่ะ เป็นหญิงชั่วหน้าหนาคนหนึ่งทำร้ายอันอัน หมอกู้คุณช่วยดูอันอันของพวกเราที”กู้เหยียนยกมุมปากเล็กน้อย มือหนาขยับแว่นสายตาให้เข้าท
บทที่ 10.4คิดบัญชีเฉินซิ่วลี่กลับถึงบ้านก็อาบน้ำล้างตัว ก่อนจะสอนเด็กๆ คัดตัวอักษร รอจนตอนบ่ายพวกเขาเข้านอนกลางวันเธอจึงไปหากู้เหยียนที่สถานพยาบาลหมู่บ้าน“คุณเฉิน... มาหาผมไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าครับ”เมื่อเช้าหลี่อันอันมาหาเรื่องเฉินซิ่วลี่ บางทีอาจทำร้ายจนเธอบาดเจ็บ ดังนั้นเมื่อเห็นเฉินซิ่วลี่มาหาเขาถึงตัวอาคารสถานพยาบาลหมู่บ้าน กู้เหยียนจึงรีบลุกขึ้นเดินมาหาเธอด้วยความห่วงใยในทันที“ฉันสบายดีค่ะ มีแค่แผลถลอกนิดหน่อย”เฉินซิ่วลี่ยกฝ่ามือของตนเองให้คุณหมอหนุ่มดู คิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย หมุนตัวไปหยิบชุดทำแผลออกมาจากในตู้เก็บอุปกรณ์ทางการแพทย์“จะมากจะน้อยก็เป็นแผลครับ นั่งลงเดี๋ยวผมล้างให้นะครับ”น้ำเสียงที่เข้มขึ้นเล็กน้อยทำให้เฉินซิ่วลี่ยิ้มแห้ง ทิ้งตัวนั่งลงตรงหน้าเขาอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะยื่นมือไปเบื้องหน้ากู้เหยียนมองท่าทางว่าง่ายนร้แล้วยกยิ้ม ช่างเป็นหญิงสาวที่ชวนให้มองได้ทุกกิริยาจริงๆ มือหนาเทน้ำยาล้างแผลลงในถ้วยยา ก่อนจะขยับตัวทำแผลให้เฉินซิ่วลี่อย่างเบามือ"โอ๊ะ!"เสียงเล็กร้องทันทีที่ก้านสำลีจรดลงบนกลางฝ่ามือ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน เม้มริมฝีปากกลั้นเสียงร้องไว้ในลำ