บทที่ 5.1
ลูกชายที่เชื่อฟัง
เฉินซิ่วลี่นั่งนับเงินหยวนที่เพิ่มเข้ามาอีกห้าหยวนแล้วยิ้มกว้าง การค้าขายในชนบทนั้นจะว่ายากก็ไม่ยาก แต่จะกล่าวว่าง่ายก็ไม่ง่าย นั่นเพราะผู้เขียนได้สร้างให้หมู่บ้านต้าหยางแห่งนี้มาสมบูรณ์เกินกว่ายุค 80 ในความเป็นจริง เมื่ออยู่ในสถานที่อันสมบูรณ์ย่อมไม่มีความต้องการของผู้คน เมื่อไม่มีความต้องการย่อมไม่มีความมั่นคงในการค้าขาย
เฉินซิ่วลี่ที่ต้องการความมั่นคงในการใช้ชีวิต จึงไม่คิดลงทุนในชนบทแห่งนี้ เพียงแต่ทุกอย่างจะเริ่มขึ้นก็ต่อเมื่อเธอได้รับอิสระจากหนังสือสมรสตรงหน้านี้เสียก่อน
หากเธอยังไม่หย่ากิจการใดๆ ที่เธอสร้างขึ้นล้วนต้องแบ่งให้เขากึ่งหนึ่ง
ดวงตาเรียวมองหนังสือสมรสที่เป็นดั่งเชือกเส้นใหญ่ผูกมัดเธอเอาไว้กับหลี่อันเฉิง ทว่ายังไม่ทันคิดวางแผนชีวิตต่อเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่หน้าประตูห้อง
“แม่ครับ ผมเข้าไปได้ไหมครับ”
คำขออนุญาตที่ดังเข้ามาฟังจากน้ำเสียงแล้วเฉินซิ่วลี่ก็คาดเดาได้ว่าคงเป็นหลี่หมิง
“อาหมิงเข้ามาได้เลย”
หลี่หมิงเปิดประตู แต่ก้าวข้ามประตูมาเพียงสามก้าวเขาก็หยุดเท้าลง หลี่หมิงจำได้ดีว่าห้องของแม่คือเขตหวงห้าม ดังนั้นเขาจึงไม่คิดเข้าไปเกินกว่าสามก้าว ต้องเป็นเด็กดีและเชื่อฟัง คือคำที่เด็กน้อยตระหนักอยู่ตลอดเวลา
“มีอะไรหรือเปล่าอาหมิง หรือว่าบาดเจ็บตรงไหน”
ตอนที่มีเรื่องกับเด็กบ้านเฉา หลี่หมิงไม่มีท่าทางแสดงถึงอาการบาดเจ็บ ดังนั้นเฉินซิ่วลี่จึงไม่ได้สำรวจเขาอย่างละเอียด นี่เธอลืมไปได้อย่างไรว่าเด็กชายคนนี้ก็มักเป็นเช่นนี้ ให้เผชิญความยากลำบากเจ็บปวดใดๆ ก็ไม่เคยเปิดเผยออกมาโดยง่าย
เฉินซิ่วลี่รู้สึกร้อนใจขึ้นมาในทันทีรีบเดินไปหาหลี่หมิง ย่อตัวนั่งลงจับเขาสำรวจตรวจดูอย่างละเอียด
"อาหมิง เจ็บตรงไหนรีบบอกแม่เร็ว"
ความใส่ใจที่ไม่คุ้นเคยนี้ทำให้หลี่หมิงวางตัวไม่ถูกอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงรักษาสีหน้าที่นิ่งสงบเอาไว้ไม่เปลี่ยนแปลง
“ไม่ครับ ผมสบายดี”
“เช่นนั้นลูกมาหาแม่มีเรื่องอะไร”
ปกติแล้วหลี่หมิงเป็นคนไม่ค่อยพูด หากเลี่ยงได้แม้แต่เข้าใกล้เธอเขาก็จะพยายามหลบหลีก ยิ่งไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่มาหาเธอถึงในห้องเช่นนี้ ดังนั้นสาเหตุคาดว่าย่อมต้องสำคัญมาก
“ผมอยากเรียนวิธีจับปลาครับ”
วันนี้เขาเห็นแม่ใช้ไม้เพียงเล่มเดียวจับปลาหาเงินได้ถึงห้าหยวน หากเขาสามารถทำได้แบบนี้บ้างอนาคตก็ไม่ต้องกังวลเรื่องท้องว่างอีก ยิ่งไม่ต้องกังวลเรื่องเรียนด้วย
เฉินซิ่วลี่ได้ยินคำพูดของเด็กชายก็ขมวดคิ้วเรียว ให้หลี่หมิงมีความคิดอ่านเกินวัยอย่างไรเขาก็เป็นแค่เด็กสามขวบ จะให้เธอปล่อยเขาออกไปจับปลาเพียงลำพังได้อย่างไรกัน แต่เฉินซิ่วลี่ไม่คิดตำหนิหลี่หมิง เด็กๆ อยากเรียนรู้นับว่าเป็นเรื่องดี มือนุ่มจับมือเล็กมากอบกุมเอ่ยเสียงอ่อนโยนด้วยรอยยิ้ม
“อาหมิง เด็กๆ ไปจับปลามันอันตรายเกินไป”
“ผมว่ายน้ำได้ดี ไม่อันตรายครับ”
ตั้งแต่ตกน้ำครั้งนั้นหลี่หมิงก็ฝึกฝนว่ายน้ำจนชำนาญ เพราะเขาไม่ต้องการให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นอีก
"แม่สอนผมนะครับ"
เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาว คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย สายมองไปยังเด็กน้อยด้วยความสงสัย ปกติแล้วหลี่หมิงไม่ใช่เด็กที่ดื้อรั้นไม่มีเหตุผล แต่วันนี้เขารบเร้าเต็มกำลังในใจคงไม่ใช่แค่อยากเรียนรู้การจับปลาเพียงอย่างเดียว
“จับปลาเป็นก็... หาเงินได้ไม่ใช่หรือครับ”
เสียงเล็กตอบแผ่วเบา เฉินซิ่วลี่ได้ยินจุดประสงค์ของหลี่หมิงก็ยิ้มบาง ยกมือวางลงบนแก้มตอบแล้วถามเสียงอ่อนโยน
“อาหมิงวันนี้น้ำแกงปลาอร่อยหรือไม่”
“ครับ”
“เช่นนั้นหากแม่ทำให้กินทุกวัน ลูกคิดว่าน้ำแกงปลานี้จะยังอร่อยอยู่หรือไม่”
น้ำแกงปลาวันนี้แม้ว่ารสชาติดีมากจนเขาเติมข้าวเพิ่มไปอีก 1 ถ้วยโดยไม่รู้ตัว แต่หากให้เขากินทุกวันก็คงยากจะกลืนไหว เฉินซิ่วลี่เห็นสีหน้าของเด็กชายก็คาดเดาคำตอบในใจของเขาได้ ริมฝีปากจึงคลี่ยิ้มกว้าง
“อีกอย่างวันนี้แม่ขายปลาได้ดีขนาดนั้น ลูกคิดว่าพรุ่งนี้ในหมู่บ้านจะมีคนมาขายปลาแบบแม่เพิ่มไหม”
หลี่หมิงเป็นคนฉลาดย่อมเข้าใจความหมายที่เฉินซิ่วลี่ต้องการสื่อสารดังนั้นจึงไม่เอ่ยรบเร้าอะไรออกมาอีก เพียงขานรับอย่างเชื่อฟัง
“ครับ”
“แต่เรียนรู้เอาไว้เป็นวิชาติดตัวไม่ใช่เรื่องเสียหาย วันหน้าแม่จะสอนให้นะ”
“ครับ”
เห็นลูกชายเชื่อฟังว่าง่ายเฉินซิ่วลี่ก็ยิ้มกว้าง วางมือลงบนแก้มที่เริ่มมีเนื้อของเขา
.............................
เป็นเช่นที่เฉินซิ่วลี่บอก ในวันต่อมาเมื่อหลี่หมิงออกไปซื้อแป้งข้าวสาลีที่ร้านสหกรณ์หมู่บ้านก็พบว่ามีชาวบ้านสี่ห้าคนเอาปลาชำแหละมาวางขาย อีกทั้งยังลดราคาแข่งกันจนเหลือเพียงตัวละสองเหมาเด็กชายถอนหายใจยาว เขายังไม่ทันเริ่มเรียนรู้ก็มีคนมาแย่งขายของก่อนแล้ว เช่นนี้ต่อให้เรียนรู้การจับปลาจนชำนาญ นอกจากเพิ่มกับข้าวบนโต๊ะก็คงไม่อาจทำอย่างอื่นได้อีก
"อาหมิงต้องการอะไรหรือ"
"แป้งสาลีครับ"
ตงเหยาขมวดคิ้วมองเด็กชาย เรื่องในบ้านหลี่ถึงเขาไม่อยากรู้ก็ได้ยินมาบ้าง เด็กชายตัวน้อยผู้นี้อายุเพียงสามขวบกลับต้องแบกรับทุกอย่างเอาไว้ ผู้คนต่างตำหนิคนเป็นแม่ของพวกเขาว่าไม่รู้จักเลี้ยงคน แต่ตงเหยากลับคิดว่าหากคนเป็นพ่อของพวกเขาไม่ทอดทิ้งให้ภรรยาเจ็บช้ำเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เขายังจำภาพรอยยิ้มที่ยินดีของเฉินซิ่วลี่ตอนตั้งท้องเด็กๆ ได้ดี
เธอยินดีต่อการมีลูกถึงเพียงนั้นจะทำตัวร้ายกาจต่อเด็กๆ ได้อย่างไร ล้วนเป็นเพราะพ่อของเด็กๆ ทั้งสองที่ทำร้ายเธอก่อน
ตงเหยาหยิบแป้งสาลีให้เด็กชายหนึ่งถุง ยังหยิบส้มให้เขาเพิ่มอีกสองผลโดยไม่คิดเงิน
"เป็นส้มจากต้นที่บ้านของลุงเอง อาหมิงเอาไปแบ่งอาชุนด้วยนะ"
"ครับ"
ตงเหยายิ้มกว้างมองเด็กชายตรงหน้า หากเฉินซิ่วลี่เลี้ยงคนได้ไม่ดี หลี่หมิง หลี่ชุน จะเป็นลูกชายที่เชื่อฟัง รู้ความถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ล้วนเป็นเพราะมีบิดาใจดำเช่นหลี่อันเฉิง หญิงสาวที่แสนดีอย่างเฉินซิ่วลี่จึงได้ถูกผู้คนตำหนิเช่นนี้
ตงเหยาหวนคิดถึงเรื่องราวเมื่อสิบปีก่อน ตอนนั้นเขาเล่นซุกซนตามวัยไม่คิดว่าจะพลัดตกน้ำ หากไม่ได้เฉินซิ่วลี่ช่วยชีวิตไว้วันนี้เขาก็คงไม่มีลมหายใจมายืนอยู่ตรงนี้
ขอบคุณที่ช่วยชีวิตฉันไว้ วันหน้าฉันจะตอบแทนเธอ
อย่างนั้นวันหน้านายแต่งฉันเป็นภรรยาดีได้ไหม
ได้! ฉันสัญญาวันหน้าจะแต่งเธอเป็นภรรยา
ภาพนิ้วก้อยเล็กที่เกี่ยวกับนิ้วของเขาเป็นดั่งคำมั่นที่เขายึดถือเอาไว้ในใจมาโดยตลอด หากไม่เพราะเรื่องผิดพลาดในคืนนั้น วันนี้เฉินซิ่วลี่ย่อมเป็นภรรยาของเขา ลูกชายที่เชื่อฟังทั้งสองก็จะเป็นลูกของเขา
............................
เฉินซิ่วลี่รับแป้งสาลีมาจากหลี่หมิงแล้วเริ่มทำการนวดแป้ง ด้วยท่าทางคล่องแคล่ว หลี่หมิงและหลี่ชุนที่อยู่นอกครัวลอบมองแม่ของตนเองวุ่นวายอยู่ด้านในครัวด้วยสายตาสงสัย ตั้งแต่แม่ของพวกเขากลับมาในคืนวันนั้นทุกอย่างก็ดูคล้ายจะเปลี่ยนไป หากใบหน้าที่พวกเขาลอบมองอยู่นี้ไม่ใช่ใบหน้าที่พวกเขาเห็นมาตั้งแต่เกิด พวกเขาย่อมไม่เชื่อว่าคนที่กำลังนำก้อนซาลาเปาวางบนหม้อนึ่งจะเป็นแม่ของพวกเขา
ซาลาเปา ดวงตากลมหันมามองกันด้วยความตื่นเต้น ที่แท้แม่ให้หลี่หมิงออกไปซื้อแป้งสาลีตั้งแต่เช้าก็เพื่อทำซาลาเปาให้พวกเขานั่นเอง
ใช้เวลาอยู่ค่อนวันเฉินซิ่วลี่ก็ยกจานที่มีซาลาเปาลูกเล็กๆ ออกมา เด็กชายสองคนเงยหน้าขึ้นมองกัน แม่ของเขาก่อนหน้าแม้แต่ต้มข้าวก็ยังทำได้ไม่ดี แต่ไม่คิดว่าหลายวันมานี้ไม่เพียงทำอาหารรสชาติดีขึ้นโต๊ะให้พวกเขากินทุกวัน วันนี้ยังลงมือทำซาลาเปาให้พวกเขาด้วย
เพียงแต่ก้อนแป้งขาวตรงหน้ามีขนาดเล็กกว่าปกติถึงเท่าตัว หรือแท้จริงแล้วมารดาของพวกเขาจะทำซาลาเปาไม่เป็น เด็กน้อยสองคนมองหน้ากันสลับกับก้อนแป้งเล็กตรงหน้า
“ลองกินดูสิ”
เฉินซิ่วลี่ไม่รู้ความคิดของเด็กๆ ก็เข้าใจว่าที่พวกเขาไม่กล้าแตะอาหารเป็นเพราะหวาดกลัวว่าเธอจะดุด่าเหมือนเช่นที่เจ้าของร่างเดิมทำประจำ
หลี่หมิงกับหลี่ชุนกลืนน้ำลายฝืด ยื่นมือเล็กออกไปหยิบซาลาเปาหน้าตาแปลกประหลาดตรงหน้าใส่ปากไปทั้งก้อนโดยไม่เอ่ยตำหนิให้คนทำเสียกำลังใจ แต่ไม่คิดว่าทันทีที่กัดลงบนก้อนแป้ง สัมผัสแรกกับเป็นความนุ่มฟูไม่แข็งกระด้างเช่นซาลาเปาทั่วไป ที่สำคัญเจ้าซาลาเปาลูกเล็กนี่ยังมีใส่ด้วย ถึงแม้จะเป็นไส้ผักธรรมดาแต่กลับกลมกล่อมอร่อยจนพวกเขาต้องหยิบกินต่อกันอีกคนละสามลูก
“ค่อยๆ กินในหม้อนึ่งยังมีอีกมาก”
เมื่อเห็นว่าลูกชายทั้งสองจับซาลาเปาลูกเล็กใส่ปากจนสองแก้มกลมป่องเฉินซิ่วลี่ก็รีบเอ่ยบอก พร้อมกับส่งแก้วน้ำให้ทั้งคู่คนละหนึ่งใบ
..........................................
บทที่ 5.2ลูกชายทีเชื่อฟัง“แม่นางเฉิน”เสียงเรียกที่รั้วนอกบ้านทำให้เฉินซิ่วลี่ต้องลุกเดินออกมาดู เมื่อพบว่าเป็นกู้เหยียนก็ยิ้มกว้างต้อนรับเขาด้วยท่าทีสุภาพ“คุณหมอกู้มาหาฉันมีอะไรหรือเปล่าคะ”กู้เหยียนยิ้มอ่อนโยน พร้อมกับยกปิ่นโตเปล่าในมือขึ้นให้หญิงสาวดู“ผมเอาปิ่นโตมาคืนครับ”เฉินซิ่วลี่แทบลืมไปเลยว่าครั้งก่อนเธอทำอาหารใส่ปิ่นไปให้เขาเพื่อตอบแทนที่เขาให้เธอกับลูกนอนที่ห้องพักฟื้นในสถานพยาบาลหมู่บ้าน"ฉันลืมไปเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ"เฉินซิ่วลี่เดินออกจากประตูรั้วมารับของคืน พร้อมเอ่ยขอบคุณเขาอีกครั้ง"ไม่เป็นไรครับ พอดีผมเอายามาให้ป้าชุน เลยถือโอกาสแวะเอามาคืนคุณด้วยครับ"กู้เหยียนยิ้มกว้าง สายตาอบอุ่นส่งผ่านแว่นกลมๆ มายังหญิงสาว ทว่าเพียงแต่พริบตาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม จดจ้องคนตรงหน้านิ่ง มือหนายกขึ้นขยับแว่นเพื่อพิจารณาอีกฝ่ายอย่างจริงจัง จนเฉินซิ่วลี่รู้สึกประหม่าคิดว่าตนเองทำสิ่งใดผิด"มะ... มีอะไรหรือเปล่าคะ"เสียงเล็กถามแผ่วเบา คนที่จดจ้องพลันได้สติ เมื่อรู้ตัวว่าทำสิ่งที่ไม่ควร สองแก้มก็ร้อนผ่าวจนผิวหน้าขาวเนียนแดงก่ำไปถึงใบหู“ขอโทษครับ เอ่อ... คุณเฉิน หลังของคุณได้รับบาดเจ็บหรื
บทที่ 5.3ลูกชายที่เชื่อฟัง“แม่ไม่สบายหรือครับ”เฉินซิ่วลี่กำลังวางแผนสำหรับเปิดร้านบะหมี่ในอนาคตได้ยินคำพูดของลูกชายคนโตความคิดทั้งหมดก็พลันความคิดสะดุด รอยยิ้มกว้างพลันแข็งค้าง ไม่ทันพูดอะไรเสียงเรียกก็ดังขึ้นที่หน้าบ้าน หลี่ชุนอาสาวิ่งออกไปดูก่อนจะวิ่งเข้ามารายงาน“ลุงสามถังมาครับ”คนที่กำลังใช้ความคิดถอนหายใจยาว วันนี้ที่บ้านเธอช่างครึกครื้นนัก คนหนึ่งไปคนหนึ่งมาราวกับเป็นร้านอาหาร“สวัสดีค่ะคุณถัง มาหาฉันมีเรื่องอะไรหรือคะ”ถังซานไม่ตอบคำถามของเธอทันที แต่กลับยืนสมุดเล่มหนึ่งให้เฉินซิ่วลี่รับมาถือด้วยสีหน้าสงสัย“บัญชีที่ฉันคิดมีปัญหาหรือคะ”เธอมั่นใจว่าตนเองคำนวณไม่ผิดพลาดแน่นอน ในอดีตนอกจากทำบะหมี่ขายแล้วที่ชำนาญก็คือการคิดบัญชี ดังนั้นจึงมั่นใจว่าไม่มีทางผิดพลาด“บัญชีที่เธอคิดไม่มีปัญหา เธอทำได้ถูกต้องทั้งหมด”“เช่นนั้นคุณเอาสมุดบัญชีมาให้ฉันอีกรอบแบบนี้หมายความว่า…”“ฉันอยากจ้างเธอมาทำบัญชีที่ไร่”จ้าง เมื่อจ้างงานก็ต้องจ่ายเงิน ดังนั้นสีหน้าของเฉินซิ่วลี่จึงระบายไปด้วยรอยยิ้มกว้าง เริ่มต่อรองค่าแรงขึ้นมา“งานบัญชีค่อนข้างยากกว่างานในไร่ดังนั้น…”“วันละ สองหยวน”ปกติแล้วค่า
บทที่ 6.1การกลับมาของคนที่หายไปเฉินซิ่วลี่มาที่ร้านสหกรณ์หมู่บ้านเพื่อซื้อแป้ง และของใช้สำหรับทำซาลาเปาในวันพรุ่งนี้ เธอนำเงินเก็บออกมาใช้ก่อนอย่างไม่ลังเล ตงเหยามองหญิงสาวที่เคยประกาศก้องว่าต้องการเป็นภรรยาของเขา และมักส่งสายตากับท่าทียั่วยวนให้เขาอยู่เสมอด้วยความสงสัย เกิดอะไรขึ้นกับเฉินซิ่วลี่กัน เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าเธอเป็นคนละคนกับเฉินซิ่วลี่ที่เขาเคยรู้จัก “ซิ่วลี่ เธอ... เอ่อ...”เพราะความสงสัยตงเหยาจึงเผลอเรียกคน แต่เมื่อเรียกแล้วก็ไม่รู้ว่าจะสนทนากับเธอต่ออย่างไร ร่วมหกปีแล้วที่เขาพยายามรักษาระยะห่างระหว่างเธอเอาไว้เพื่อไม่ให้ใครตำหนิเธอเพิ่ม แต่ถึงอย่างนั้นทุกครั้งที่เข้าเมืองเขาก็จะให้คนไปถามเฉินซิ่วลี่อยู่เสมอว่าต้องการฝากซื้อสิ่งใดหรือไม่ ดังนั้นแม้ไม่ได้แต่งเธอเป็นภรรยาตามที่เคยสัญญาแต่เขาก็คอยดูแลเธออยู่ห่างๆ เสมอไม่เคยเปลี่ยนไป“มีอะไรหรือคะ”ท่าทีสุภาพ แววตาที่ใสซื่อเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะมีใบหน้าที่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงตงเหยาย่อมคิดว่าเธอไม่ใช่เฉินซิ่วลี่ที่เขารู้จักอย่างแน่นอน“เอ่อ... เธอซื้อของมากมายขนาดนี้จะทำอะไรหรือ”“อ่อ... พอดีว่าคุณถังให้ฉันทำซาลาเปาไ
บทที่ 6.2การกลับมาของคนที่หายไป“พวกเราแม่ลูกก็จะเข้าเมืองเหมือนกันเลยค่ะ”“งั้นก็ไปพร้อมกัน เอาจักรยานไปจะได้เร็วขึ้น”เมื่อได้ยินคำพูดของถังซานดวงตาของเฉินซิ่วลี่ก็ลุกวาวด้วยความตกตะลึง ในยุคนี้คนที่สามารถมีจักรยานใช้นั้นน้อยมาก ยิ่งในชนบทแห่งนี้เฉินซิ่วลี่ใช้มือข้างเดียวนับยังเหลือนิ้วอีกสองนิ้ว ทว่าตระกูลถังนั้นมีไร่ชาและวัวนมที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน แค่จักรยานคันเดียวคงไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะครอบครองทว่า จักรยานคันเดียวจะนำคนสี่คนเข้าเมืองได้อย่างไร“ฉันจะพาเด็กๆ เข้าเมืองด้วยค่ะ จักรยานคุณคันเดียวคงพากันไปไม่หมด”“ใครบอกว่าฉันมีจักรยานคันเดียว”ดวงตาเรียวเบิกกว้างมากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของถังซาน ถึงแม้จะรู้ว่าเขาสามารถครอบครองจักรยานได้ แต่ถึงกับมีใช้สองคัน นี่ออกจะสิ้นเปลืองเกินไปหรือไม่“คุณถัง นี่คุณคงไม่ได้หมายความว่าจะให้ฉันยืมจักรยานใช่ไหมคะ”“แต่ถ้าเธอปั่นไม่เป็นอย่างนั้นฉันจะเดินไปเป็นเพื่อน”“เป็นค่ะ ฉันปั่นเป็น”เดินเข้าเมืองไปกลับก็ร่วมสองชั่วโมงแค่คิดเฉินซิ่วลี่ก็รู้สึกปวดต้นขาขึ้นมาทันที แต่หากมีจักรยานระยะทางไปกลับอย่างมากก็แค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น“ฉันปั่นเป็นจริงๆ
บทที่ 6.3การกลับมาของคนที่หายไปอาซาน!ที่แท้ชายแปลกหน้าที่เขาเห็นเพียงด้านหลังเมื่อครู่คือสหายสนิทตั้งแต่เด็กของเขา ถังซาน คิ้วเข้มขมวดแน่นเกิดอะไรขึ้นทำไมเฉินซิ่วลี่ที่รังเกียจถังซานจนไม่ยอมแม้แต่จะไปเหยียบไร่ของอีกฝ่าย วันนี้จึงได้มาด้วยกันแบบนี้“เสื้อผ้าพวกนี้ราคาเท่าไหร่หรือคะ”เสียงหวานที่คุ้นเคยดึงสายตาเขาไปที่คนเจรจาซื้อผ้า ดวงตาคมมองผ้าในมือเรียวแล้วคิ้วที่ขมวดแน่นก็ยิ่งขยับเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นปม เมื่อเห็นว่าขนาดชุดในมือขาวนั้นเล็กเกินกว่าจะเป็นชุดใหม่ของเฉินซิ่วลี่ แต่กลับพอเหมาะสำหรับเด็กวัย 5 ขวบนี่เธอคงไม่คิดซื้อผ้าให้ลูกๆ ของเขาหรอกนะ หึ! ดวงตะวันคงได้ขึ้นทางทิศตะวันตกกันพอดี“ชุดเด็กพวกนี้ตัวละ 4 หยวน เอากี่ตัวดีจ้ะ”เสียงแม่ค้าเอ่ยบอกราคาด้วยท่าทางสดใส แม้สองสามีภรรยาตรงหน้าจะดูแต่งตัวธรรมดา แต่ท่าทางที่ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วของชายหนุ่มด้านข้างก็ทำให้คนขายผ้าคาดเดาได้ว่าเสื้อผ้าราคานี้สำหรับเขาแล้วไม่ใช่จำนวนเงินที่จ่ายไม่ได้เฉินซิ่วลี่มองชุดที่ดูแล้วเหมาะสมกับเด็กชายทั้งสองอย่างพิจารณา แม้รูปแบบการตัดเย็บจะเหมาะสมกับพวกเขา แต่เนื้อผ้าค่อนข้างแข็งและหยาบ หากใส่จริง
บทที่ 7.1อย่างนั้นไม่สู้พวกเราแยกบ้าน“แม่ค้าโบว์ติดผมนี่ราคาเท่าไหร่หรือคะ”“2 เหมาจ้ะ 3 อัน 5 เหมา นี่แบบใหม่เลยนะ ฉันกำลังไปเอามาวันนี้เอง”“อย่างนั้นฉันเอา 3 อัน”เฉินซิ่วลี่ได้ยินบทสนทนาระหว่างแม่ค้ากับลูกค้าอีกคนก็สนใจขึ้นมา เมื่อลูกค้าคนนั้นจากไปแล้วก็เปิดบทสนทนาธุรกิจในทันที“แม่ค้าพอดีว่าที่บ้านฉันมีจักรเย็บผ้าและฉันก็พอจะมีฝีมือเย็บปักอยู่บ้าง หากฉันจะทำโบว์ติดผมมาส่งขายให้คุณจะได้ราคาเท่าไหร่หรือ”“2 อัน 1 เหมา”“อะไรกันเมื่อครู่คุณขายไปที่อันละ 2 เหมาไม่ใช่หรือ”ถังซานที่เห็นว่าเฉินซิ่วลี่กำลังถูกแม่ค้าตรงหน้าเอาเปรียบก็เอ่ยคัดค้านในทันที เฉินซิ่วลี่จับต้นแขนหนาของเขาเป็นการปลอบใจ และส่งสายตาเตือนเขา ก่อนจะหันไปยิ้มกับแม่ค้า“พี่ชายของฉันเป็นคนใจร้อนและไม่ค่อยเข้าใจเรื่องค้าขาย อย่างนั้นเข้าเมืองครั้งหน้าฉันลองเอาตัวอย่างมาส่งให้คุณนะคะ”เมื่อได้ยินเฉินซิ่วลี่แนะนำสถานะของตนว่าพี่ชาย ใบหน้าที่ก่อนหน้ามีรอยยิ้มระบายกว้างของถังซานก็หุบลงในทันที ตรงข้ามกลับชายที่ยืนอ่านหนังสือพิมพ์ที่มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยอย่างพึงพอใจโดยไม่รู้ตัว“ได้เลย ลองเอามาก่อนสัก 50 ชิ้น ถ้าขายได้ดีครั้
บทที่ 7.2อย่างนั้นไม่สู้พวกเราแยกบ้านหลังจากกินบะหมี่จนอิ่มท้อง เฉินซิ่วลี่ก็เดินไปที่ร้านขายอุปกรณ์เครื่องเขียน เธอเลือกซื้อสมุดราคาระดับกลางห้าเล่มและดินสอพร้อมยางลบอีกสามแท่ง“เด็กๆ ใกล้เข้าโรงเรียนแล้ว เธอซื้อมากอีกสักหน่อยก็ได้ เดี๋ยวฉันจ่ายให้ ถือเป็นของขวัญให้พวกเขา”ถังซานยกเด็กๆ มาอ้างเพราะรู้ดีว่าหากไม่พูดเช่นนี้ เฉินซิ่วลี่คงไม่ยอมให้เขาซื้อของให้อีก“พี่ซาน วันนี้คุณ ซื้อของให้พวกเรามากเกินไปแล้ว หากยังจ่ายเงินให้อีกฉันก็คงเป็นลูกหนี้รายใหญ่ของคุณแล้ว”“ฉันเป็นคนซื้อให้เอง เธอจะมาเป็นหนี้ได้อย่างไร แต่ถ้าหากเธออยากชดใช้จริงๆ อย่างนั้นเธอก็ใช้ด้วยอาหารวันละ 3 มื้อ คิดมื้อละ 1 หยวนเป็นอย่างไร”ถึงถังซานจะพูดเช่นนั้นแต่เฉินซิ่วลี่ก็ไม่คิดรับเงินจากเขาเพิ่ม คนที่แอบตามติดสังเกตเด็กๆ กำมือแน่น ทั้งให้ตัดเย็บชุดใหม่ ทั้งให้ชดใช้ด้วยอาหาร 3 มื้อ ถังซานเห็นเฉินซิ่วลี่เป็นภรรยาในบ้านของตนเองหรือยังไง เคยลิ้มรสมือของผู้หญิงคนนี้หรือยัง หึ! ขนาดเขาที่เป็นทหารยังต้องขอเข้าครัวปรุงอาหารกินเองเลย สหายน่าโมโหนี่กลับกล้าเอ่ยปากฝากท้องไว้กับเธอถึง 3 มื้อ ไม่อยากมีชีวิตยืนยาวแล้วหรือไง“ไ
บทที่ 7.3อย่างนั้นไม่สู้พวกเราแยกบ้านเพราะกู้เหยียนบอกให้เฉินซิ่วลี่พักอยู่ที่บ้านเด็กชายทั้งสองคนจึงคอยดูแลเธอทุกฝีก้าว แม้แต่งานครัวก็ไม่ให้เธอทำ ดังนั้นเฉินซิ่วลี่จึงไม่ได้ไปส่งซาลาเปาให้ถังซานมาหลายวันแล้ว แม้แต่ไปเยี่ยมเขาก็ไม่ได้ไป"เมื่อวานพี่ชายไปเยี่ยมลุงสามถังมาแล้วครับ เขาสบายดีไม่มีแผลสาหัสอะไร บนตัวมีแค่รอยฟกช้ำเล็กน้อย ตอนนี้ไปทำงานที่ไร่ได้แล้วครับ"หลี่ชุนเอ่ยบอกเสียงสดใส วันนี้เขาตื่นแต่เช้าหลังจากทำความสะอาดบ้านก็เข้ามานั่งเฝ้าแม่ในห้องเพื่อคอยดูแล หากเธอต้องการอะไรแค่เพียงเอ่ยปากเขาก็จะไปหยิบมาให้ในทันที"แม่เองก็แค่ฟกช้ำเล็กน้อย อาชุน แม่ว่า...""ได้เวลากินยาแล้วครับ"เฉินซิ่วลี่พูดไม่ทันจบประโยคหลี่หมิงก็เดินถือถาดไม้เข้ามา บนถาดไม้มีข้าวหนึ่งถ้วยและกับข้าวอีกสองอย่าง ที่ดูแล้วก็ไม่น่าจะเป็นฝีมือของเด็กชายทั้งสอง"เมื่อเช้าคุณลุงหมอกู้มาเยี่ยมแม่ครับ เขาทำกับข้าวมาฝากพวกเราด้วย บอกว่าแม่ไม่สบายคงเข้าครัวไม่สะดวก"เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาว เพียงถูกคนตบหน้าหนึ่งทีเท่านั้น ต้องดูแลใกล้ชิดถึงเพียงนี้เชียวหรือ นี่พวกเขากังวลมากไปหรือไม่ ทว่าทั้งหมดล้วนเป็นความห่วงใยและห
บทที่ 12.4ไม่อาจหลีกหนีไปชั่วชีวิตเฉินซิ่วลี่ปั่นจักรยานกลับบ้านเส้นทางเดิมเช่นทุกครั้ง หากแต่ครั้งนี้กลับพบเจอเรื่องที่แตกต่างจากทุกวัน“แม่! ฉันไม่อยากไป แม่อย่าบังคับฉันเลยนะ”“ไม่ไปได้ยังไง ฉันตกลงยกแกให้เขาไปแล้วยังไงแกก็ต้องไป”เสียงบทสนทนาของหญิงสาวสองคนบนถนนเส้นหลักของหมู่บ้านดังก้องเรียกสายตาของผู้คนโดยรอบให้หยุดมองรวมถึงเฉินซิ่วลี่ด้วย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย หญิงสาวสองคนนั้นมองดูแล้วคล้ายว่าจะมีสถานะเป็นแม่ลูกกัน เพียงแต่ที่น่าแปลกใจคือ เหตุใดคนเป็นแม่จึงคิดยกลูกสาวที่โตเต็มวัยให้ผู้อื่นเช่นนี้“อาซีช่างน่าสงสารจริงๆ เลย ดูสิอายุแค่ 16 ก็ถูกขายไปเป็นเมียน้อยคนอื่นแล้ว”ดวงตาของเฉินซิ่วลี่เบิกกว้างที่แท้เป็นการขายลูกสาวอย่างนั้นหรือ“นั่นน่ะสิ สะใภ้หวังคนนี้ช่างเกินไปจริงๆ ถึงแม้ว่าอาซีจะเป็นลูกเลี้ยง แต่ก็ไม่เห็นต้องทำกันถึงเพียงนี้”"ไม่ทำแบบนี้บ้านหวังจะเอาเงินที่ไหนแต่งสะใภ้เล่า"เฉินซิ่วลี่ได้ยินบทสนทนาของหญิงชาวบ้านในใจก็รู้สึกเวทนาคนขึ้นมา ขายลูกเลี้ยงแต่งสะใภ้ นี่มันเกินไปหรือไม่ก่อนหน้านี้เฉินซิ่วลี่เคยอ่านนิยายเจอเรื่องราวยากลำบากของผู้อื่นที่ผู้เขีย
บทที่ 12.3ไม่อาจหลีกหนีไปชั่วชีวิตเฉินซิ่วลี่ตื่นเช้ามาด้วยอาการอ่อนเพลีย ต้องยอมรับว่าเรื่องราวที่พบเจอเมื่อวานทำให้เธอรู้สึกวิตกไม่น้อย ส่งผลให้นอนไม่หลับทั้งคืน วันนี้แม้แต่อาหารเช้าก็ยังกลืนไม่ลง สุดท้ายเพราะความเครียดที่โถมเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว ร่างกายก็เกินกว่าจะทนไหว ภาพตรงหน้าโคลงเคลง พร่ามัว ใบหน้าก็ซีดเซียวจนหลี่หมิงสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ“หน้าแม่ซีดมาก อาชุนพาแม่ไปนอนพี่จะไปบอกลุงหมอกู้”พูดจบหลี่หมิงก็วางตะเกียบวิ่งออกไปจากบ้านด้วยความรวดเร็ว ไปนานก็มาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านพักของกู้เหยียน“ลุงหมอกู้ครับ ลุงหมอกู้”เสียงเรียกที่มีความร้อนรนอยู่ในทีทำให้กู้เหยียนที่กำลังสวมเสื้อรีบวิ่งออกมาพลางติดกระดุมเสื้อไปด้วย “มีเรื่องอะไรอาหมิง”ถึงแม้จะเอ่ยถามออกไปแต่ในใจกู้เหยียนก็คาดเดาได้ว่า จะต้องเกิดเรื่องกับเฉินซิ่วลี่อย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นคนที่ยืนตรงนี้ต้องเป็นเธอ“แม่ไม่สบายครับ”กู้เหยียนไม่เสียเวลาแม้แต่จะสอบถามอาการรีบสวมรองเท้าวิ่งตรงไปยังบ้านพักอีกฝั่งของสถานพยาบาลหมู่บ้านทันที นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าการให้เฉินซิ่วลี่พักห่างไกลจากเขาเป็นเรื่องที่ผิดพลาด“อาชุน
บทที่ 12.2ไม่อาจหลีกหนีไปชั่วชีวิตหลังจากที่ปลอบโยนเด็กชายทั้งสองและส่งเขาเข้านอนแล้ว เฉินซิ่วลี่ก็ออกมานั่งทบทวนเรื่องราวต่างๆที่พบเจอในวันนี้แน่นอนว่าการพบเจอกับหลี่อันเฉิงในนั้นป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย แต่เมื่อทบทวนเส้นเรื่องในนิยายดูคล้ายว่าเหตุผลที่เย่ชิงเหวินและหลี่อันเฉิงไม่ลงรอยกันตั้งแต่แรกพบนั้น เพราะครั้งหนึ่งพ่อตัวร้ายเคยทำให้การเจรจาต่อสัญญาค้าไม้ของเย่ชิงเหวินล้มเหลว ขณะเดียวกันเย่ชิงเหวินก็ทำให้ภารกิจของเขาถูกเปิดโปงเช่นกันหรือจุดเริ่มต้นของการบาดหมางที่ในนิยายเอ่ยถึงจะเป็นเรื่องราวในวันนี้ใบหน้าของเฉินซิ่วลี่ชาวาบ เพราะหากวันนี้คนที่เข้างานไปกับเย่ชิงเหวินคือของเจ้าของร่างเดิม เมื่อได้พบเจอกับชายที่มีหน้าตาคล้ายคลึงสามีเก่าที่ตายไปแล้ว สิ่งแรกที่เธอจะทำแน่นอนว่าต้องเป็นการเปิดโปงตัวตนของเขาหรือนี่จะเป็นเหตุผลที่หลี่อันเฉิงจับตัวเฉินซิ่วลี่ไปขังไว้ ไม่ใช่เพราะโกรธแค้นเรื่องการกระทำอันฉาวโฉ่ร้ายกาจของภรรยา แต่เพราะโกรธเคืองเรื่องที่เธอเปิดโปงภารกิจของเขาเมื่อนึกมาถึงตรงนี้เฉินซิ่วลี่ก็ใจสั่นระรัว นึกขอบคุณตนเองที่วันนี้ไม่ได้เปิดโปงตัวตนของหลี่อันเฉิง พูดให้ถูกคื
บทที่ 12.1ไม่อาจหลีกหนีไปชั่วชีวิต“แล้วถ้าผมไม่ปล่อย! คุณจะทำไม!”ไม่เพียงแต่พูดโต้กลับอย่างไม่เกรงกลัว หลี่อันเฉิงยังกระชับอ้อมแขนโอบกอดคนให้แน่นมากขึ้น เฉินซิ่วลี่พลันขมวดคิ้วเรียวเพราะความอึดอัดยกมือขึ้นวางดันอกเขาออกห่างด้วยท่าทางต่อต้านเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงผลักจากฝ่ามือเล็ก หลี่อันเฉิงก็ก้มมองคนในอ้อมแขนด้วยสายตาไม่พอใจเธอกล้าผลักไสเขาหรือ...ที่ผ่านมาขอเพียงมีโอกาสเฉินซิ่วลี่มักจะฉกฉวยอยากสัมผัสแนบชิดกับเขาเสมอ ทว่าเพียงห้าเดือนที่เขาแจ้งข่าวการตายของตนเองไป หญิงสาวก็เปลี่ยนท่าทีเป็นเช่นนี้แล้ว ช่างน่าโมโหจริงๆ“เฉินซิ่วลี่อย่าได้ลืมสถานะตนเอง”แม้น้ำเสียงที่ใช้เอ่ยออกมาจะแผ่วเบา ทว่าเฉินซิ่วลี่ก็สัมผัสได้ถึงความเกรี้ยวกราดไม่พอใจอยู่ในทีของเขา มือเรียวที่ผลักไสพลันหยุดชะงัก ไม่กล้าออกแรงดิ้นรนต่อต้านเขาอีกเพียงแต่ไม่ต่อต้านก็ไม่ได้หมายความว่าเธอยินยอมแต่เพราะรู้ดีว่าพ่อตัวร้ายหลี่อันเฉิงคนนี้มีนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นและไม่ยอมคน ดังนั้นการสร้างปัญหากับเขาย่อมไม่ส่งผลดีต่อตัวเธอในอนาคต ครั้งนี้เฉินซิ่วลี่จึงยอมถอยให้เขาหนึ่งก้าว เธอสูดลมหายใจเข้าพยายามข่มกลั้นความโกรธเคืองในใจ
บทที่ 11.4บางอย่างที่เปลี่ยนไปเย่ชิงเหวินใช้เวลาราว 15 นาทีก็ขับรถมาหยุดที่หน้าภัตตาคารหรูใจกลางเมือง ร่างสูงโปร่งลงจากรถลงมายืนด้านข้าง ปรายตามองดูหญิงสาวที่นั่งนิ่งในรถแล้วยกมุมปากขึ้น ก่อนจะเดินอ้อมมาเปิดประตูส่งแขนให้เธอวางฝ่ามือแล้วก้าวลงจากรถ“ขอบคุณค่ะ”เสียงหวานเอ่ยบอกก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยน ท่าทางเช่นนี้ชวนให้ผู้คนโดยรอบจดจ้องมาที่คนทั้งสองในทันทีขณะที่พนักงานชายคนหนึ่งเร่งเดินเข้ามาต้อนรับพวกเขาด้วยท่าทางสุภาพ “สวัสดีครับคุณเย่”เย่ชิงเหวินพยักหน้ารับคำทักทายก่อนจะยื่นบัตรเชิญให้อีกฝ่าย โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรคนก็นำทางเขาเข้าไปยังห้องรับรองระดับVVIP“หากคุณเดินไม่สะดวกบอกผมนะครับ”เฉินซิ่วลี่ยกมุมปากขึ้นยิ้มบางๆ บอกเขาแล้วอย่างไร หากเธอเดินไม่ไหวจริงๆ เย่ชิงเหวินจะอุ้มเธอเขางานอย่างนั้นหรือ“คุณโจวกำลังเดินทางมา คุณเย่เชิญตามสบายครับ”เย่ชิงเหวินพยักหน้ารับคำคนนำทางแล้วพาเฉินซิ่วลี่ไปนั่งยังโต๊ะด้านใน เพื่อที่จะลดความอึดอัดใจของเธอ“คุณนั่งรอสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมไปตักของว่างให้”เฉินซิ่วลี่ย่อมเข้าใจดีว่าที่เย่ชิงเหวินใส่ใจเธอเช่นนี้เพียงแค่ไม่ต้องการให้เธอเป็นที่สนใจของผู้ค
บทที่ 11.3บางอย่างที่เปลี่ยนไปเฉินซิ่วลี่นำเงินหยวนที่ได้รับมาจากการขายจักรยานให้เกาหย่ง เก็บใส่ไว้ในถุงผ้าก่อนจะยัดซ่อนไว้ในไส้หมอนอีกครั้ง ตอนนี้คำนวณดูแล้วเธอมีเงินเก็บรวมๆ กันร่วม 4,000 หยวน อนาคตในภายหน้าย่อมไม่กลัวความลำบากอีกต่อไปแต่ถึงจะมีเงินแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่ต้องหาเงินเพิ่ม เพียงแต่บนฝ่ามือยังมีแผลทำให้เฉินซิ่วลี่ไม่สามารถทำซาลาเปาไปขายให้ถังซานได้เช่นเดิม ดังนั้นจึงเอาเวลาทั้งวันอยู่กับกองเศษผ้าเริ่มจัดการเย็บโบว์ติดผมอย่างขะมักเขม้น ผ่านไปสามวันโบว์ติดผมร่วมสามร้อยชิ้นก็เสร็จสิ้นเฉินซิ่วลี่คำนวณราคาคร่าวๆ เธอตกลงราคาซื้อขายโบว์ติดผมกับแม่ค้าขายผ้าไว้ที่ 2 ชิ้น 1 เหมา ตอนนี้เธอมีโบว์ติดผม 300 ชิ้น ย่อมเปลี่ยนเป็นเงินได้ประมาณ 15 หยวน หักค่าอุปกรณ์ต่างๆ แล้วก็ยังคงเหลือที่ 12 หยวน นับว่าทำเงินได้ดีเลยทีเดียวและถึงแม้ร้านผ้าที่ตกลงซื้อขายไว้จะรับซื้อโบว์ติดผมของเธอเพียง 50 ชิ้น อีก 250 ชิ้นก็สามารถนำไปขายที่ร้านอื่นได้ อย่างไรเสียที่นั่นก็คือตัวเมือง ย่อมต้องมีร้านค้าที่ยินดีรับซื้อโบว์ของเธอแน่นอนเมื่อมองเห็นตัวเงินแม้จะเป็นเพียงในความคิด แต่ก็ทำให้เฉินซิ่
บทที่ 11.2บางอย่างที่เปลี่ยนไป“แม่ครับ แม่จะแต่งงานใหม่ไหมครับ”เมื่อกลับถึงบ้าน หลี่หมิงก็เอ่ยถามคนเป็นแม่ด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคงนัก ขณะที่หลี่ชุน เม้มริมฝีปาก ก้มหน้าซ่อนดวงตาที่แดงก่ำของตนเอาไว้ หากแม่แต่งงานใหม่ย่อมต้องมีลูกใหม่ แล้วพวกเขาสองคนพี่น้องเล่า แม่จะยังต้องการอยู่หรือไม่ความคิดที่ว่ามารดาอาจจะขายพวกเขาออกไปเพื่อลดภาระย้อนกลับเข้ามาในใจของเด็กชายทั้งสองอีกครั้ง“ทำไมลูกถึงถามแม่แบบนี้ล่ะ”เฉินซิ่วลี่มองใบหน้าที่แฝงความเศร้าของเด็กๆ แล้วในใจเกิดความปวดหนึบขึ้นมา เธอย่อมไม่คิดแต่งงานใหม่ ชีวิตในยุคที่เธอไม่คุ้นเคยนี้เพียงคิดหาหนทางให้มีชีวิตรอดจากเงื้อมมือหลี่อันเฉิงก็ยากลำบากมากพอแล้ว เธอย่อมไม่คิดหาเรื่องวุ่นวายอย่างการแต่งงานใหม่มาใส่ตัว“หรือว่าลูกๆ อยากให้แม่หาพ่อให้”เด็กๆ อายุยังน้อย บางทีพวกเขาอาจต้องการใครสักคนมาคอยดูแลปกป้องในฐานะพ่อ ทว่าเฉินซิ่วลี่ยังไม่ทันอธิบายว่าภายหน้าพ่อตัวจริงของพวกเขาก็จะกลับมาปกป้องพวกเขาศีรษะเล็กของทั้งสองคนก็ส่ายไปมาในทันที“ไม่ครับ พวกเราไม่อยากได้พ่อ”หลี่หมิงเอ่ยบอกเสียงหนักแน่น หลี่ชุนที่ยืนข้างๆ ก็พยักหน้ารับอย่างเห็นพ้องก่อนจะพู
บทที่ 11.1บางอย่างที่เปลี่ยนไปเฉินซิ่วลี่มองแปลงผักที่ลุงอวี้ขึ้นให้ด้วยความปลาบปลื้ม ก่อนจะหันไปขอบคุณอีกฝ่ายและมอบซาลาเปาหนึ่งถุงให้เขาเป็นการตอบแทน“หมอกู้ หมอกู้ อยู่หรือไม่”เสียงคุ้นหูดังขึ้นเฉินซิ่วลี่ขมวดคิ้วเรียวในทันที เธอจำได้แม่นว่านี่เป็นเสียงของหม่าอิงหง ทว่าอีกฝ่ายมาที่นี่ทำไม หรือว่าคนพวกนี้จะไม่ยอมรามือจึงตามมาหาเรื่องเธอถึงที่นี่ ในใจของเฉินซิ่วลี่รู้สึกเป็นห่วงเด็กๆ ขึ้นมาในทันที รีบวางถุงเมล็ดผักกาดในมือแล้วออกไปที่หน้าบ้าน แต่เมื่อเห็นว่าหม่าอิงหงประคองหลี่อันอันเดินเข้าไปในสถานพยาบาลหมู่บ้านก็ผ่อนลมหายใจยาวอย่างโล่งใจ“คุณนายหลี่ คุณหนูหลี่ มีอะไรหรือครับ”“หมอกู้ช่วยตรวจอาการของอันอันให้หน่อย เธอถูกนางเฉิน...”หลี่อันอันเห็นว่าแม่กำลังจะพาดพิงถึงเฉินซิ่วลี่ก็รีบสะกิดห้าม นั่นเพราะยังจดจำท่าทีปกป้องเฉินซิ่วลี่ของกู้เหยียนในวันแยกบ้านได้ไม่ลืม หากคิดจะเข้าไปนั่งในใจของชายหนุ่มเธอจะต้องวางตัวให้น่าสงสารกว่าเฉินซิ่วลี่“เอ่อ... หญิงชั่วน่ะ เป็นหญิงชั่วหน้าหนาคนหนึ่งทำร้ายอันอัน หมอกู้คุณช่วยดูอันอันของพวกเราที”กู้เหยียนยกมุมปากเล็กน้อย มือหนาขยับแว่นสายตาให้เข้าท
บทที่ 10.4คิดบัญชีเฉินซิ่วลี่กลับถึงบ้านก็อาบน้ำล้างตัว ก่อนจะสอนเด็กๆ คัดตัวอักษร รอจนตอนบ่ายพวกเขาเข้านอนกลางวันเธอจึงไปหากู้เหยียนที่สถานพยาบาลหมู่บ้าน“คุณเฉิน... มาหาผมไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าครับ”เมื่อเช้าหลี่อันอันมาหาเรื่องเฉินซิ่วลี่ บางทีอาจทำร้ายจนเธอบาดเจ็บ ดังนั้นเมื่อเห็นเฉินซิ่วลี่มาหาเขาถึงตัวอาคารสถานพยาบาลหมู่บ้าน กู้เหยียนจึงรีบลุกขึ้นเดินมาหาเธอด้วยความห่วงใยในทันที“ฉันสบายดีค่ะ มีแค่แผลถลอกนิดหน่อย”เฉินซิ่วลี่ยกฝ่ามือของตนเองให้คุณหมอหนุ่มดู คิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย หมุนตัวไปหยิบชุดทำแผลออกมาจากในตู้เก็บอุปกรณ์ทางการแพทย์“จะมากจะน้อยก็เป็นแผลครับ นั่งลงเดี๋ยวผมล้างให้นะครับ”น้ำเสียงที่เข้มขึ้นเล็กน้อยทำให้เฉินซิ่วลี่ยิ้มแห้ง ทิ้งตัวนั่งลงตรงหน้าเขาอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะยื่นมือไปเบื้องหน้ากู้เหยียนมองท่าทางว่าง่ายนร้แล้วยกยิ้ม ช่างเป็นหญิงสาวที่ชวนให้มองได้ทุกกิริยาจริงๆ มือหนาเทน้ำยาล้างแผลลงในถ้วยยา ก่อนจะขยับตัวทำแผลให้เฉินซิ่วลี่อย่างเบามือ"โอ๊ะ!"เสียงเล็กร้องทันทีที่ก้านสำลีจรดลงบนกลางฝ่ามือ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน เม้มริมฝีปากกลั้นเสียงร้องไว้ในลำ