บทที่ 5.1
ลูกชายที่เชื่อฟัง
เฉินซิ่วลี่นั่งนับเงินหยวนที่เพิ่มเข้ามาอีกห้าหยวนแล้วยิ้มกว้าง การค้าขายในชนบทนั้นจะว่ายากก็ไม่ยาก แต่จะกล่าวว่าง่ายก็ไม่ง่าย นั่นเพราะผู้เขียนได้สร้างให้หมู่บ้านต้าหยางแห่งนี้มาสมบูรณ์เกินกว่ายุค 80 ในความเป็นจริง เมื่ออยู่ในสถานที่อันสมบูรณ์ย่อมไม่มีความต้องการของผู้คน เมื่อไม่มีความต้องการย่อมไม่มีความมั่นคงในการค้าขาย
เฉินซิ่วลี่ที่ต้องการความมั่นคงในการใช้ชีวิต จึงไม่คิดลงทุนในชนบทแห่งนี้ เพียงแต่ทุกอย่างจะเริ่มขึ้นก็ต่อเมื่อเธอได้รับอิสระจากหนังสือสมรสตรงหน้านี้เสียก่อน
หากเธอยังไม่หย่ากิจการใดๆ ที่เธอสร้างขึ้นล้วนต้องแบ่งให้เขากึ่งหนึ่ง
ดวงตาเรียวมองหนังสือสมรสที่เป็นดั่งเชือกเส้นใหญ่ผูกมัดเธอเอาไว้กับหลี่อันเฉิง ทว่ายังไม่ทันคิดวางแผนชีวิตต่อเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่หน้าประตูห้อง
“แม่ครับ ผมเข้าไปได้ไหมครับ”
คำขออนุญาตที่ดังเข้ามาฟังจากน้ำเสียงแล้วเฉินซิ่วลี่ก็คาดเดาได้ว่าคงเป็นหลี่หมิง
“อาหมิงเข้ามาได้เลย”
หลี่หมิงเปิดประตู แต่ก้าวข้ามประตูมาเพียงสามก้าวเขาก็หยุดเท้าลง หลี่หมิงจำได้ดีว่าห้องของแม่คือเขตหวงห้าม ดังนั้นเขาจึงไม่คิดเข้าไปเกินกว่าสามก้าว ต้องเป็นเด็กดีและเชื่อฟัง คือคำที่เด็กน้อยตระหนักอยู่ตลอดเวลา
“มีอะไรหรือเปล่าอาหมิง หรือว่าบาดเจ็บตรงไหน”
ตอนที่มีเรื่องกับเด็กบ้านเฉา หลี่หมิงไม่มีท่าทางแสดงถึงอาการบาดเจ็บ ดังนั้นเฉินซิ่วลี่จึงไม่ได้สำรวจเขาอย่างละเอียด นี่เธอลืมไปได้อย่างไรว่าเด็กชายคนนี้ก็มักเป็นเช่นนี้ ให้เผชิญความยากลำบากเจ็บปวดใดๆ ก็ไม่เคยเปิดเผยออกมาโดยง่าย
เฉินซิ่วลี่รู้สึกร้อนใจขึ้นมาในทันทีรีบเดินไปหาหลี่หมิง ย่อตัวนั่งลงจับเขาสำรวจตรวจดูอย่างละเอียด
"อาหมิง เจ็บตรงไหนรีบบอกแม่เร็ว"
ความใส่ใจที่ไม่คุ้นเคยนี้ทำให้หลี่หมิงวางตัวไม่ถูกอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงรักษาสีหน้าที่นิ่งสงบเอาไว้ไม่เปลี่ยนแปลง
“ไม่ครับ ผมสบายดี”
“เช่นนั้นลูกมาหาแม่มีเรื่องอะไร”
ปกติแล้วหลี่หมิงเป็นคนไม่ค่อยพูด หากเลี่ยงได้แม้แต่เข้าใกล้เธอเขาก็จะพยายามหลบหลีก ยิ่งไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่มาหาเธอถึงในห้องเช่นนี้ ดังนั้นสาเหตุคาดว่าย่อมต้องสำคัญมาก
“ผมอยากเรียนวิธีจับปลาครับ”
วันนี้เขาเห็นแม่ใช้ไม้เพียงเล่มเดียวจับปลาหาเงินได้ถึงห้าหยวน หากเขาสามารถทำได้แบบนี้บ้างอนาคตก็ไม่ต้องกังวลเรื่องท้องว่างอีก ยิ่งไม่ต้องกังวลเรื่องเรียนด้วย
เฉินซิ่วลี่ได้ยินคำพูดของเด็กชายก็ขมวดคิ้วเรียว ให้หลี่หมิงมีความคิดอ่านเกินวัยอย่างไรเขาก็เป็นแค่เด็กสามขวบ จะให้เธอปล่อยเขาออกไปจับปลาเพียงลำพังได้อย่างไรกัน แต่เฉินซิ่วลี่ไม่คิดตำหนิหลี่หมิง เด็กๆ อยากเรียนรู้นับว่าเป็นเรื่องดี มือนุ่มจับมือเล็กมากอบกุมเอ่ยเสียงอ่อนโยนด้วยรอยยิ้ม
“อาหมิง เด็กๆ ไปจับปลามันอันตรายเกินไป”
“ผมว่ายน้ำได้ดี ไม่อันตรายครับ”
ตั้งแต่ตกน้ำครั้งนั้นหลี่หมิงก็ฝึกฝนว่ายน้ำจนชำนาญ เพราะเขาไม่ต้องการให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นอีก
"แม่สอนผมนะครับ"
เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาว คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย สายมองไปยังเด็กน้อยด้วยความสงสัย ปกติแล้วหลี่หมิงไม่ใช่เด็กที่ดื้อรั้นไม่มีเหตุผล แต่วันนี้เขารบเร้าเต็มกำลังในใจคงไม่ใช่แค่อยากเรียนรู้การจับปลาเพียงอย่างเดียว
“จับปลาเป็นก็... หาเงินได้ไม่ใช่หรือครับ”
เสียงเล็กตอบแผ่วเบา เฉินซิ่วลี่ได้ยินจุดประสงค์ของหลี่หมิงก็ยิ้มบาง ยกมือวางลงบนแก้มตอบแล้วถามเสียงอ่อนโยน
“อาหมิงวันนี้น้ำแกงปลาอร่อยหรือไม่”
“ครับ”
“เช่นนั้นหากแม่ทำให้กินทุกวัน ลูกคิดว่าน้ำแกงปลานี้จะยังอร่อยอยู่หรือไม่”
น้ำแกงปลาวันนี้แม้ว่ารสชาติดีมากจนเขาเติมข้าวเพิ่มไปอีก 1 ถ้วยโดยไม่รู้ตัว แต่หากให้เขากินทุกวันก็คงยากจะกลืนไหว เฉินซิ่วลี่เห็นสีหน้าของเด็กชายก็คาดเดาคำตอบในใจของเขาได้ ริมฝีปากจึงคลี่ยิ้มกว้าง
“อีกอย่างวันนี้แม่ขายปลาได้ดีขนาดนั้น ลูกคิดว่าพรุ่งนี้ในหมู่บ้านจะมีคนมาขายปลาแบบแม่เพิ่มไหม”
หลี่หมิงเป็นคนฉลาดย่อมเข้าใจความหมายที่เฉินซิ่วลี่ต้องการสื่อสารดังนั้นจึงไม่เอ่ยรบเร้าอะไรออกมาอีก เพียงขานรับอย่างเชื่อฟัง
“ครับ”
“แต่เรียนรู้เอาไว้เป็นวิชาติดตัวไม่ใช่เรื่องเสียหาย วันหน้าแม่จะสอนให้นะ”
“ครับ”
เห็นลูกชายเชื่อฟังว่าง่ายเฉินซิ่วลี่ก็ยิ้มกว้าง วางมือลงบนแก้มที่เริ่มมีเนื้อของเขา
.............................
เป็นเช่นที่เฉินซิ่วลี่บอก ในวันต่อมาเมื่อหลี่หมิงออกไปซื้อแป้งข้าวสาลีที่ร้านสหกรณ์หมู่บ้านก็พบว่ามีชาวบ้านสี่ห้าคนเอาปลาชำแหละมาวางขาย อีกทั้งยังลดราคาแข่งกันจนเหลือเพียงตัวละสองเหมาเด็กชายถอนหายใจยาว เขายังไม่ทันเริ่มเรียนรู้ก็มีคนมาแย่งขายของก่อนแล้ว เช่นนี้ต่อให้เรียนรู้การจับปลาจนชำนาญ นอกจากเพิ่มกับข้าวบนโต๊ะก็คงไม่อาจทำอย่างอื่นได้อีก
"อาหมิงต้องการอะไรหรือ"
"แป้งสาลีครับ"
ตงเหยาขมวดคิ้วมองเด็กชาย เรื่องในบ้านหลี่ถึงเขาไม่อยากรู้ก็ได้ยินมาบ้าง เด็กชายตัวน้อยผู้นี้อายุเพียงสามขวบกลับต้องแบกรับทุกอย่างเอาไว้ ผู้คนต่างตำหนิคนเป็นแม่ของพวกเขาว่าไม่รู้จักเลี้ยงคน แต่ตงเหยากลับคิดว่าหากคนเป็นพ่อของพวกเขาไม่ทอดทิ้งให้ภรรยาเจ็บช้ำเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เขายังจำภาพรอยยิ้มที่ยินดีของเฉินซิ่วลี่ตอนตั้งท้องเด็กๆ ได้ดี
เธอยินดีต่อการมีลูกถึงเพียงนั้นจะทำตัวร้ายกาจต่อเด็กๆ ได้อย่างไร ล้วนเป็นเพราะพ่อของเด็กๆ ทั้งสองที่ทำร้ายเธอก่อน
ตงเหยาหยิบแป้งสาลีให้เด็กชายหนึ่งถุง ยังหยิบส้มให้เขาเพิ่มอีกสองผลโดยไม่คิดเงิน
"เป็นส้มจากต้นที่บ้านของลุงเอง อาหมิงเอาไปแบ่งอาชุนด้วยนะ"
"ครับ"
ตงเหยายิ้มกว้างมองเด็กชายตรงหน้า หากเฉินซิ่วลี่เลี้ยงคนได้ไม่ดี หลี่หมิง หลี่ชุน จะเป็นลูกชายที่เชื่อฟัง รู้ความถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ล้วนเป็นเพราะมีบิดาใจดำเช่นหลี่อันเฉิง หญิงสาวที่แสนดีอย่างเฉินซิ่วลี่จึงได้ถูกผู้คนตำหนิเช่นนี้
ตงเหยาหวนคิดถึงเรื่องราวเมื่อสิบปีก่อน ตอนนั้นเขาเล่นซุกซนตามวัยไม่คิดว่าจะพลัดตกน้ำ หากไม่ได้เฉินซิ่วลี่ช่วยชีวิตไว้วันนี้เขาก็คงไม่มีลมหายใจมายืนอยู่ตรงนี้
ขอบคุณที่ช่วยชีวิตฉันไว้ วันหน้าฉันจะตอบแทนเธอ
อย่างนั้นวันหน้านายแต่งฉันเป็นภรรยาดีได้ไหม
ได้! ฉันสัญญาวันหน้าจะแต่งเธอเป็นภรรยา
ภาพนิ้วก้อยเล็กที่เกี่ยวกับนิ้วของเขาเป็นดั่งคำมั่นที่เขายึดถือเอาไว้ในใจมาโดยตลอด หากไม่เพราะเรื่องผิดพลาดในคืนนั้น วันนี้เฉินซิ่วลี่ย่อมเป็นภรรยาของเขา ลูกชายที่เชื่อฟังทั้งสองก็จะเป็นลูกของเขา
............................
เฉินซิ่วลี่รับแป้งสาลีมาจากหลี่หมิงแล้วเริ่มทำการนวดแป้ง ด้วยท่าทางคล่องแคล่ว หลี่หมิงและหลี่ชุนที่อยู่นอกครัวลอบมองแม่ของตนเองวุ่นวายอยู่ด้านในครัวด้วยสายตาสงสัย ตั้งแต่แม่ของพวกเขากลับมาในคืนวันนั้นทุกอย่างก็ดูคล้ายจะเปลี่ยนไป หากใบหน้าที่พวกเขาลอบมองอยู่นี้ไม่ใช่ใบหน้าที่พวกเขาเห็นมาตั้งแต่เกิด พวกเขาย่อมไม่เชื่อว่าคนที่กำลังนำก้อนซาลาเปาวางบนหม้อนึ่งจะเป็นแม่ของพวกเขา
ซาลาเปา ดวงตากลมหันมามองกันด้วยความตื่นเต้น ที่แท้แม่ให้หลี่หมิงออกไปซื้อแป้งสาลีตั้งแต่เช้าก็เพื่อทำซาลาเปาให้พวกเขานั่นเอง
ใช้เวลาอยู่ค่อนวันเฉินซิ่วลี่ก็ยกจานที่มีซาลาเปาลูกเล็กๆ ออกมา เด็กชายสองคนเงยหน้าขึ้นมองกัน แม่ของเขาก่อนหน้าแม้แต่ต้มข้าวก็ยังทำได้ไม่ดี แต่ไม่คิดว่าหลายวันมานี้ไม่เพียงทำอาหารรสชาติดีขึ้นโต๊ะให้พวกเขากินทุกวัน วันนี้ยังลงมือทำซาลาเปาให้พวกเขาด้วย
เพียงแต่ก้อนแป้งขาวตรงหน้ามีขนาดเล็กกว่าปกติถึงเท่าตัว หรือแท้จริงแล้วมารดาของพวกเขาจะทำซาลาเปาไม่เป็น เด็กน้อยสองคนมองหน้ากันสลับกับก้อนแป้งเล็กตรงหน้า
“ลองกินดูสิ”
เฉินซิ่วลี่ไม่รู้ความคิดของเด็กๆ ก็เข้าใจว่าที่พวกเขาไม่กล้าแตะอาหารเป็นเพราะหวาดกลัวว่าเธอจะดุด่าเหมือนเช่นที่เจ้าของร่างเดิมทำประจำ
หลี่หมิงกับหลี่ชุนกลืนน้ำลายฝืด ยื่นมือเล็กออกไปหยิบซาลาเปาหน้าตาแปลกประหลาดตรงหน้าใส่ปากไปทั้งก้อนโดยไม่เอ่ยตำหนิให้คนทำเสียกำลังใจ แต่ไม่คิดว่าทันทีที่กัดลงบนก้อนแป้ง สัมผัสแรกกับเป็นความนุ่มฟูไม่แข็งกระด้างเช่นซาลาเปาทั่วไป ที่สำคัญเจ้าซาลาเปาลูกเล็กนี่ยังมีใส่ด้วย ถึงแม้จะเป็นไส้ผักธรรมดาแต่กลับกลมกล่อมอร่อยจนพวกเขาต้องหยิบกินต่อกันอีกคนละสามลูก
“ค่อยๆ กินในหม้อนึ่งยังมีอีกมาก”
เมื่อเห็นว่าลูกชายทั้งสองจับซาลาเปาลูกเล็กใส่ปากจนสองแก้มกลมป่องเฉินซิ่วลี่ก็รีบเอ่ยบอก พร้อมกับส่งแก้วน้ำให้ทั้งคู่คนละหนึ่งใบ
..........................................
บทที่ 5.2ลูกชายทีเชื่อฟัง“แม่นางเฉิน”เสียงเรียกที่รั้วนอกบ้านทำให้เฉินซิ่วลี่ต้องลุกเดินออกมาดู เมื่อพบว่าเป็นกู้เหยียนก็ยิ้มกว้างต้อนรับเขาด้วยท่าทีสุภาพ“คุณหมอกู้มาหาฉันมีอะไรหรือเปล่าคะ”กู้เหยียนยิ้มอ่อนโยน พร้อมกับยกปิ่นโตเปล่าในมือขึ้นให้หญิงสาวดู“ผมเอาปิ่นโตมาคืนครับ”เฉินซิ่วลี่แทบลืมไปเลยว่าครั้งก่อนเธอทำอาหารใส่ปิ่นไปให้เขาเพื่อตอบแทนที่เขาให้เธอกับลูกนอนที่ห้องพักฟื้นในสถานพยาบาลหมู่บ้าน"ฉันลืมไปเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ"เฉินซิ่วลี่เดินออกจากประตูรั้วมารับของคืน พร้อมเอ่ยขอบคุณเขาอีกครั้ง"ไม่เป็นไรครับ พอดีผมเอายามาให้ป้าชุน เลยถือโอกาสแวะเอามาคืนคุณด้วยครับ"กู้เหยียนยิ้มกว้าง สายตาอบอุ่นส่งผ่านแว่นกลมๆ มายังหญิงสาว ทว่าเพียงแต่พริบตาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม จดจ้องคนตรงหน้านิ่ง มือหนายกขึ้นขยับแว่นเพื่อพิจารณาอีกฝ่ายอย่างจริงจัง จนเฉินซิ่วลี่รู้สึกประหม่าคิดว่าตนเองทำสิ่งใดผิด"มะ... มีอะไรหรือเปล่าคะ"เสียงเล็กถามแผ่วเบา คนที่จดจ้องพลันได้สติ เมื่อรู้ตัวว่าทำสิ่งที่ไม่ควร สองแก้มก็ร้อนผ่าวจนผิวหน้าขาวเนียนแดงก่ำไปถึงใบหู“ขอโทษครับ เอ่อ... คุณเฉิน หลังของคุณได้รับบาดเจ็บหรื
บทที่ 5.3ลูกชายที่เชื่อฟัง“แม่ไม่สบายหรือครับ”เฉินซิ่วลี่กำลังวางแผนสำหรับเปิดร้านบะหมี่ในอนาคตได้ยินคำพูดของลูกชายคนโตความคิดทั้งหมดก็พลันความคิดสะดุด รอยยิ้มกว้างพลันแข็งค้าง ไม่ทันพูดอะไรเสียงเรียกก็ดังขึ้นที่หน้าบ้าน หลี่ชุนอาสาวิ่งออกไปดูก่อนจะวิ่งเข้ามารายงาน“ลุงสามถังมาครับ”คนที่กำลังใช้ความคิดถอนหายใจยาว วันนี้ที่บ้านเธอช่างครึกครื้นนัก คนหนึ่งไปคนหนึ่งมาราวกับเป็นร้านอาหาร“สวัสดีค่ะคุณถัง มาหาฉันมีเรื่องอะไรหรือคะ”ถังซานไม่ตอบคำถามของเธอทันที แต่กลับยืนสมุดเล่มหนึ่งให้เฉินซิ่วลี่รับมาถือด้วยสีหน้าสงสัย“บัญชีที่ฉันคิดมีปัญหาหรือคะ”เธอมั่นใจว่าตนเองคำนวณไม่ผิดพลาดแน่นอน ในอดีตนอกจากทำบะหมี่ขายแล้วที่ชำนาญก็คือการคิดบัญชี ดังนั้นจึงมั่นใจว่าไม่มีทางผิดพลาด“บัญชีที่เธอคิดไม่มีปัญหา เธอทำได้ถูกต้องทั้งหมด”“เช่นนั้นคุณเอาสมุดบัญชีมาให้ฉันอีกรอบแบบนี้หมายความว่า…”“ฉันอยากจ้างเธอมาทำบัญชีที่ไร่”จ้าง เมื่อจ้างงานก็ต้องจ่ายเงิน ดังนั้นสีหน้าของเฉินซิ่วลี่จึงระบายไปด้วยรอยยิ้มกว้าง เริ่มต่อรองค่าแรงขึ้นมา“งานบัญชีค่อนข้างยากกว่างานในไร่ดังนั้น…”“วันละ สองหยวน”ปกติแล้วค่า
บทที่ 6.1การกลับมาของคนที่หายไปเฉินซิ่วลี่มาที่ร้านสหกรณ์หมู่บ้านเพื่อซื้อแป้ง และของใช้สำหรับทำซาลาเปาในวันพรุ่งนี้ เธอนำเงินเก็บออกมาใช้ก่อนอย่างไม่ลังเล ตงเหยามองหญิงสาวที่เคยประกาศก้องว่าต้องการเป็นภรรยาของเขา และมักส่งสายตากับท่าทียั่วยวนให้เขาอยู่เสมอด้วยความสงสัย เกิดอะไรขึ้นกับเฉินซิ่วลี่กัน เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าเธอเป็นคนละคนกับเฉินซิ่วลี่ที่เขาเคยรู้จัก “ซิ่วลี่ เธอ... เอ่อ...”เพราะความสงสัยตงเหยาจึงเผลอเรียกคน แต่เมื่อเรียกแล้วก็ไม่รู้ว่าจะสนทนากับเธอต่ออย่างไร ร่วมหกปีแล้วที่เขาพยายามรักษาระยะห่างระหว่างเธอเอาไว้เพื่อไม่ให้ใครตำหนิเธอเพิ่ม แต่ถึงอย่างนั้นทุกครั้งที่เข้าเมืองเขาก็จะให้คนไปถามเฉินซิ่วลี่อยู่เสมอว่าต้องการฝากซื้อสิ่งใดหรือไม่ ดังนั้นแม้ไม่ได้แต่งเธอเป็นภรรยาตามที่เคยสัญญาแต่เขาก็คอยดูแลเธออยู่ห่างๆ เสมอไม่เคยเปลี่ยนไป“มีอะไรหรือคะ”ท่าทีสุภาพ แววตาที่ใสซื่อเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะมีใบหน้าที่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงตงเหยาย่อมคิดว่าเธอไม่ใช่เฉินซิ่วลี่ที่เขารู้จักอย่างแน่นอน“เอ่อ... เธอซื้อของมากมายขนาดนี้จะทำอะไรหรือ”“อ่อ... พอดีว่าคุณถังให้ฉันทำซาลาเปาไ
บทที่ 6.2การกลับมาของคนที่หายไป“พวกเราแม่ลูกก็จะเข้าเมืองเหมือนกันเลยค่ะ”“งั้นก็ไปพร้อมกัน เอาจักรยานไปจะได้เร็วขึ้น”เมื่อได้ยินคำพูดของถังซานดวงตาของเฉินซิ่วลี่ก็ลุกวาวด้วยความตกตะลึง ในยุคนี้คนที่สามารถมีจักรยานใช้นั้นน้อยมาก ยิ่งในชนบทแห่งนี้เฉินซิ่วลี่ใช้มือข้างเดียวนับยังเหลือนิ้วอีกสองนิ้ว ทว่าตระกูลถังนั้นมีไร่ชาและวัวนมที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน แค่จักรยานคันเดียวคงไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะครอบครองทว่า จักรยานคันเดียวจะนำคนสี่คนเข้าเมืองได้อย่างไร“ฉันจะพาเด็กๆ เข้าเมืองด้วยค่ะ จักรยานคุณคันเดียวคงพากันไปไม่หมด”“ใครบอกว่าฉันมีจักรยานคันเดียว”ดวงตาเรียวเบิกกว้างมากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของถังซาน ถึงแม้จะรู้ว่าเขาสามารถครอบครองจักรยานได้ แต่ถึงกับมีใช้สองคัน นี่ออกจะสิ้นเปลืองเกินไปหรือไม่“คุณถัง นี่คุณคงไม่ได้หมายความว่าจะให้ฉันยืมจักรยานใช่ไหมคะ”“แต่ถ้าเธอปั่นไม่เป็นอย่างนั้นฉันจะเดินไปเป็นเพื่อน”“เป็นค่ะ ฉันปั่นเป็น”เดินเข้าเมืองไปกลับก็ร่วมสองชั่วโมงแค่คิดเฉินซิ่วลี่ก็รู้สึกปวดต้นขาขึ้นมาทันที แต่หากมีจักรยานระยะทางไปกลับอย่างมากก็แค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น“ฉันปั่นเป็นจริงๆ
บทที่ 6.3การกลับมาของคนที่หายไปอาซาน!ที่แท้ชายแปลกหน้าที่เขาเห็นเพียงด้านหลังเมื่อครู่คือสหายสนิทตั้งแต่เด็กของเขา ถังซาน คิ้วเข้มขมวดแน่นเกิดอะไรขึ้นทำไมเฉินซิ่วลี่ที่รังเกียจถังซานจนไม่ยอมแม้แต่จะไปเหยียบไร่ของอีกฝ่าย วันนี้จึงได้มาด้วยกันแบบนี้“เสื้อผ้าพวกนี้ราคาเท่าไหร่หรือคะ”เสียงหวานที่คุ้นเคยดึงสายตาเขาไปที่คนเจรจาซื้อผ้า ดวงตาคมมองผ้าในมือเรียวแล้วคิ้วที่ขมวดแน่นก็ยิ่งขยับเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นปม เมื่อเห็นว่าขนาดชุดในมือขาวนั้นเล็กเกินกว่าจะเป็นชุดใหม่ของเฉินซิ่วลี่ แต่กลับพอเหมาะสำหรับเด็กวัย 5 ขวบนี่เธอคงไม่คิดซื้อผ้าให้ลูกๆ ของเขาหรอกนะ หึ! ดวงตะวันคงได้ขึ้นทางทิศตะวันตกกันพอดี“ชุดเด็กพวกนี้ตัวละ 4 หยวน เอากี่ตัวดีจ้ะ”เสียงแม่ค้าเอ่ยบอกราคาด้วยท่าทางสดใส แม้สองสามีภรรยาตรงหน้าจะดูแต่งตัวธรรมดา แต่ท่าทางที่ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วของชายหนุ่มด้านข้างก็ทำให้คนขายผ้าคาดเดาได้ว่าเสื้อผ้าราคานี้สำหรับเขาแล้วไม่ใช่จำนวนเงินที่จ่ายไม่ได้เฉินซิ่วลี่มองชุดที่ดูแล้วเหมาะสมกับเด็กชายทั้งสองอย่างพิจารณา แม้รูปแบบการตัดเย็บจะเหมาะสมกับพวกเขา แต่เนื้อผ้าค่อนข้างแข็งและหยาบ หากใส่จริง
บทที่ 7.1อย่างนั้นไม่สู้พวกเราแยกบ้าน“แม่ค้าโบว์ติดผมนี่ราคาเท่าไหร่หรือคะ”“2 เหมาจ้ะ 3 อัน 5 เหมา นี่แบบใหม่เลยนะ ฉันกำลังไปเอามาวันนี้เอง”“อย่างนั้นฉันเอา 3 อัน”เฉินซิ่วลี่ได้ยินบทสนทนาระหว่างแม่ค้ากับลูกค้าอีกคนก็สนใจขึ้นมา เมื่อลูกค้าคนนั้นจากไปแล้วก็เปิดบทสนทนาธุรกิจในทันที“แม่ค้าพอดีว่าที่บ้านฉันมีจักรเย็บผ้าและฉันก็พอจะมีฝีมือเย็บปักอยู่บ้าง หากฉันจะทำโบว์ติดผมมาส่งขายให้คุณจะได้ราคาเท่าไหร่หรือ”“2 อัน 1 เหมา”“อะไรกันเมื่อครู่คุณขายไปที่อันละ 2 เหมาไม่ใช่หรือ”ถังซานที่เห็นว่าเฉินซิ่วลี่กำลังถูกแม่ค้าตรงหน้าเอาเปรียบก็เอ่ยคัดค้านในทันที เฉินซิ่วลี่จับต้นแขนหนาของเขาเป็นการปลอบใจ และส่งสายตาเตือนเขา ก่อนจะหันไปยิ้มกับแม่ค้า“พี่ชายของฉันเป็นคนใจร้อนและไม่ค่อยเข้าใจเรื่องค้าขาย อย่างนั้นเข้าเมืองครั้งหน้าฉันลองเอาตัวอย่างมาส่งให้คุณนะคะ”เมื่อได้ยินเฉินซิ่วลี่แนะนำสถานะของตนว่าพี่ชาย ใบหน้าที่ก่อนหน้ามีรอยยิ้มระบายกว้างของถังซานก็หุบลงในทันที ตรงข้ามกลับชายที่ยืนอ่านหนังสือพิมพ์ที่มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยอย่างพึงพอใจโดยไม่รู้ตัว“ได้เลย ลองเอามาก่อนสัก 50 ชิ้น ถ้าขายได้ดีครั้
บทที่ 7.2อย่างนั้นไม่สู้พวกเราแยกบ้านหลังจากกินบะหมี่จนอิ่มท้อง เฉินซิ่วลี่ก็เดินไปที่ร้านขายอุปกรณ์เครื่องเขียน เธอเลือกซื้อสมุดราคาระดับกลางห้าเล่มและดินสอพร้อมยางลบอีกสามแท่ง“เด็กๆ ใกล้เข้าโรงเรียนแล้ว เธอซื้อมากอีกสักหน่อยก็ได้ เดี๋ยวฉันจ่ายให้ ถือเป็นของขวัญให้พวกเขา”ถังซานยกเด็กๆ มาอ้างเพราะรู้ดีว่าหากไม่พูดเช่นนี้ เฉินซิ่วลี่คงไม่ยอมให้เขาซื้อของให้อีก“พี่ซาน วันนี้คุณ ซื้อของให้พวกเรามากเกินไปแล้ว หากยังจ่ายเงินให้อีกฉันก็คงเป็นลูกหนี้รายใหญ่ของคุณแล้ว”“ฉันเป็นคนซื้อให้เอง เธอจะมาเป็นหนี้ได้อย่างไร แต่ถ้าหากเธออยากชดใช้จริงๆ อย่างนั้นเธอก็ใช้ด้วยอาหารวันละ 3 มื้อ คิดมื้อละ 1 หยวนเป็นอย่างไร”ถึงถังซานจะพูดเช่นนั้นแต่เฉินซิ่วลี่ก็ไม่คิดรับเงินจากเขาเพิ่ม คนที่แอบตามติดสังเกตเด็กๆ กำมือแน่น ทั้งให้ตัดเย็บชุดใหม่ ทั้งให้ชดใช้ด้วยอาหาร 3 มื้อ ถังซานเห็นเฉินซิ่วลี่เป็นภรรยาในบ้านของตนเองหรือยังไง เคยลิ้มรสมือของผู้หญิงคนนี้หรือยัง หึ! ขนาดเขาที่เป็นทหารยังต้องขอเข้าครัวปรุงอาหารกินเองเลย สหายน่าโมโหนี่กลับกล้าเอ่ยปากฝากท้องไว้กับเธอถึง 3 มื้อ ไม่อยากมีชีวิตยืนยาวแล้วหรือไง“ไ
บทที่ 7.3อย่างนั้นไม่สู้พวกเราแยกบ้านเพราะกู้เหยียนบอกให้เฉินซิ่วลี่พักอยู่ที่บ้านเด็กชายทั้งสองคนจึงคอยดูแลเธอทุกฝีก้าว แม้แต่งานครัวก็ไม่ให้เธอทำ ดังนั้นเฉินซิ่วลี่จึงไม่ได้ไปส่งซาลาเปาให้ถังซานมาหลายวันแล้ว แม้แต่ไปเยี่ยมเขาก็ไม่ได้ไป"เมื่อวานพี่ชายไปเยี่ยมลุงสามถังมาแล้วครับ เขาสบายดีไม่มีแผลสาหัสอะไร บนตัวมีแค่รอยฟกช้ำเล็กน้อย ตอนนี้ไปทำงานที่ไร่ได้แล้วครับ"หลี่ชุนเอ่ยบอกเสียงสดใส วันนี้เขาตื่นแต่เช้าหลังจากทำความสะอาดบ้านก็เข้ามานั่งเฝ้าแม่ในห้องเพื่อคอยดูแล หากเธอต้องการอะไรแค่เพียงเอ่ยปากเขาก็จะไปหยิบมาให้ในทันที"แม่เองก็แค่ฟกช้ำเล็กน้อย อาชุน แม่ว่า...""ได้เวลากินยาแล้วครับ"เฉินซิ่วลี่พูดไม่ทันจบประโยคหลี่หมิงก็เดินถือถาดไม้เข้ามา บนถาดไม้มีข้าวหนึ่งถ้วยและกับข้าวอีกสองอย่าง ที่ดูแล้วก็ไม่น่าจะเป็นฝีมือของเด็กชายทั้งสอง"เมื่อเช้าคุณลุงหมอกู้มาเยี่ยมแม่ครับ เขาทำกับข้าวมาฝากพวกเราด้วย บอกว่าแม่ไม่สบายคงเข้าครัวไม่สะดวก"เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาว เพียงถูกคนตบหน้าหนึ่งทีเท่านั้น ต้องดูแลใกล้ชิดถึงเพียงนี้เชียวหรือ นี่พวกเขากังวลมากไปหรือไม่ ทว่าทั้งหมดล้วนเป็นความห่วงใยและห
“คุณพ่อ คุณแม่ อาเหม่ยอยากได้ตุ๊กตาตัวนี้”เสียงเด็กหญิงไว้ 3 ขวบร้องบอกคนเป็นพ่อและแม่ กวงซุนหลี่ยิ้มรับทว่าขณะที่กำลังจะเดินไปซื้อของให้ลูกสาวคนเล็ก มือข้างซ้ายก็ถูกดึงรั้งเอาไว้เสียก่อน“อาเหม่ยเพิ่งซื้อของเล่นไปเมื่อสัปดาห์ก่อน หากจะซื้อชิ้นใหม่ต้องเป็นเดือนหน้า”เฉินซิ่วลี่ห้ามปรามเด็กหญิงตัวน้อยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใบหน้ากลมสดใสพลันสลดน้ำตาคลอก้มหน้ามองพื้น หลี่ชุนในวัย 10 ขวบรีบเข้ามาอุ้มน้องสาวตัวน้อยขึ้นแล้วเอ่ยกระซิบปลอบประโลม“ไม่เป็นไรนะอาเหม่ย เดี๋ยวเดือนหน้าพี่ซื้อให้”ด้วยฐานะทางบ้านของพวกเขาตอนนี้ แค่ของเล่นเพียงชิ้นเดียวไม่ใช่เรื่องยากที่จะซื้อหามาครอบครอง แต่เพราะพวกเขาเคยผ่านความยากลำบากมาก่อนจึงได้เรียนรู้คุณค่าของเงิน ในบ้านจึงมีกฎให้ซื้อของเล่นได้เพียงเดือนละ 1 ชิ้นเท่านั้น“ผมเอาตัวนี้ ใส่ถุงให้ด้วยครับ”เสียงเข้มราบเรียบเอ่ยบอก ทุกสายตาพลันหันมาจดจ้องที่หลี่หมิงขณะที่พนักงานขายรีบหยิบตุ๊กตาที่เด็กหญิงร้องบอกอยากได้เมื่อครู่ใส่ถุงอย่างรวดเร็ว“อาหมิงลูกกำลังจะทำลายกฎของบ้านเรา”เฉินซิ่วลี่เอ่ยบอกเสียงราบเรียบ แม้จะไม่ได้มีน้ำเสียงหรือท่าทางตำหนิ แต่สายตานั้นชัดเจ
“คืนนี้พวกเราจะได้น้องสาวแล้วใช่ไหมครับ”หลี่ชุนกระซิบเสียงเบา มุมปากของคนเป็นพ่อยกขึ้นสูงก่อนจะพยักหน้ารับด้วยสายตามุ่งมั่น“พ่อรับรองว่าเดือนหน้าน้องสาวของลูกต้องมาแน่ๆ”เมื่อได้ยินคำพูดที่หนักแน่นของคนเป็นพ่อสองเด็กชายก็ย้ายไปนอนที่ห้องถัดไป ขณะที่ร่างสูงโปร่งของกวงซุนหลี่ขยับเดินเข้าห้องลงกลอนแน่นหนาฉับไว “อื้ม...”เฉินซิ่วลี่ร้องครวญในลำคอเมื่อร่างกายถูกรบกวน ความเย็นจากภายนอกเข้ามาปะทะผิวกายทำให้คิ้วเรียวขมวดมุ่น ก่อนที่ดวงตาจะเปิดออก“คุณกวง! เข้ามาทำไมคะ”เพราะความแนบชิดที่ไม่เหมาะสมทำให้เธอตื่นตระหนกรีบมองรอบตัวอย่างหวาดระแวง“หยุดนะคะ เดี๋ยวเด็กๆ เห็น”“เด็กๆ ย้ายไปนอนอีกห้องแล้ว”คนตัวโตที่ปลดเปลื้องผ้าของเธอจนเหลือเพียงร่างที่เปลือยเปล่าเช่นเดียวกับเขากระซิบบอกเสียงแหบพร่า แนบชิดร่างกายกำยำลงทาบทับบนตัวนุ่ม“คุณกวงหยุดก่อนค่ะ เราต้องคุยกันให้ชัดเจนก่อน”“เดี๋ยวค่อยคุยนะ”ริมฝีปากร้อนขยับจากลำคอขาวกดแนบชิดบดเบียดริมฝีปากบาง พร้อมกับวางมือบีบเคล้นอกอวบอิ่มทั้งสองข้าง ร่างกายของเฉินซิ่วลี่พลันตื่นตัวขนกายสาวลุกชัน สองเนื้อนิ่มแข็งสู้กับมือหนากวงซุนหลี่ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ถอนริมฝ
“แค่ทำข้าวสารให้เป็นข้าวสุกก็พอ”ใบหน้าของกู้เหยียนพลันร้อนผ่าวแดงก่ำไปจนถึงลำคอ เดิมทีเขาเสนอตัวช่วยแก้ปัญหานี้ก็เพราะว่าเงื่อนไขของคุณหนูกวงเพียงแค่อยากแต่งงาน แต่ไม่ต้องการความสัมพันธ์ทั้งทางกายและใจ ให้แยกบ้านเธอก็ยินดี ในเมื่อชีวิตนี้เขาเองก็ไม่คิดแต่งงานกับใครอีกแล้ว ให้แต่งหลอกๆ เป็นหุ่นเชิดให้เธอก็ไม่นับว่าเสียหายอะไร แต่งเสร็จเขาก็กลับไปเมืองเจียงเป็นคุณหมอกู้ของชาวบ้านต้าหยางต่อไปก็เท่านั้นเพียงแต่แค่เรื่องหลอกๆ เรื่องหนึ่งทำไมต้องให้เขานอนกับเธอด้วย ทำแบบนี้กวงจือหลินย่อมต้องถูกผู้คนครหาติฉินนินทา ทว่าเขาไม่ทันได้เอ่ยปฏิเสธกวงจือหลินก็ตอบรับแผนการของกวงซุนหลี่ไปแล้ว“ได้!”“ดี! อาหย่งเอาเหล้ามา”กู้เหยียนมองเหล้าดีกรีแรงตรงหน้าแล้วกลืนน้ำลายฝืดลงคอ ทั้งชีวิตของเขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับเส้นทางอบายมุขไม่ว่าจะเป็น เหล้า บุหรี่ ฝิ่น การพนัน และผู้หญิง ล้วนไม่เคยข้องเกี่ยว ดังนั้นเมื่อกวงซุนหลี่ส่งแก้วเหล้าให้ มือหนาจึงยื่นไปรับด้วยท่าทางลังเล“อาหลี่ ฉัน... ไม่กินได้หรือไม่ นายก็รู้ว่าฉัน...”กู้เหยียนพูดยังไม่ทันจบประโยคแก้วเหล้าในมือก็ถูกกวงซุนหลี่จับจรดที่ริมฝีปากของเขา ตอนนี้แม
“นอกจากเธอฉันไม่เคยสัญญาจะแต่งงานกับใครทั้งนั้น”เฉินซิ่วลี่ขมวดคิ้วเรียวมองคนตรงหน้าด้วยสายตาสับสน กวงซุนหลี่จับมือซ้ายของเธอมากอบกุมแล้วกดจุมพิตที่หลังมือนุ่มก่อนจะสวมใส่แหวนลงไปที่นิ้วนางเธอเหมือนเดิม“คุณกวง คุณจะทำอะไร ฉันไม่ยินดีแต่งเป็นภรรยารองให้คุณหรอกนะ หรือต่อให้เป็นภรรยาเอก ฉันก็ไม่ยินดี”“เอาไว้ไปถึงบ้านฉันจะอธิบายเรื่องพวกนี้ให้เธอฟัง แต่นับจากนี้ห้ามเธอถอดแหวนวงนี้อีก และห้ามเธอทอดทิ้งฉันด้วย แค่คิดก็ไม่ได้เข้าใจไหม”น้ำเสียงกระซิบอ้อนวอนราวกับสาวน้อยถูกรังแก ทำให้ความกรุ่นโกรธในใจของเฉินซิ่วลี่จางหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น “ได้! ฉันจะรอฟังคำอธิบายของคุณ แต่ถ้าเหตุผลไม่เพียงพอเรื่องของเราก็ยังคงต้องยุติ”“ไม่ได้! ฉันไม่ยอม”กวงซุนหลี่เอ่ยบอกอย่างดื้อดึงพร้อมกับกระชับอ้อมแขนแน่น เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาวไม่คิดทำเรื่องที่เสียแรงเปล่าอย่างการดิ้นรนขัดขืนเขา รั้งรอจนรถหยุดลงกวงซุนหลี่ก็อุ้มคนลงจากรถเดินเข้าบ้านในทันที“คุณกวงปล่อยฉันนะคะ ฉันเดินเองได้”“ไม่!”เสียงเข้มหนักแน่นตอบกลับพลางก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปในห้องโถงแล้วนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวโดยยังคงกอดรัดเฉินซิ่วลี่ไว้บนตักไม่ยอมปล
นี่เขาคงไม่คิดจะประกาศแต่งงานกับเธอในเวลานี้หรอกนะดวงตาคมของคนบนเวทีมองตอบกลับสอดประสานดวงตาเรียว ก่อนที่เขาจะประกาศก้องอีกครั้ง“ลี่ลี่ แต่งงานกับฉันนะ”เมื่อได้ยินกวงซุนหลี่เอ่ยชื่อหญิงสาวที่เขาต้องการแต่งงาน บรรดาแขกในงานก็ส่งเสียงวิจารณ์อื้ออึงอีกครั้ง“ลี่ลี่เหรอ ใครกัน”“นั่นสิ! คุณกวงไม่ใช่ว่ากำลังคบหาดูใจกับคุณหนูกวงจือหลินอยู่หรือ ทำไมถึงประกาศแต่งกับคนอื่นได้”“แบบนี้คุณกวงจือเหลียงจะยอมหรือ”“กวงซุนหลี่ เขาไม่รักลมหายใจของตนเองแล้วหรือไง”คำพูดของผู้คนมากมายดังก้องไปทั่วงานจนกวงซุนหลี่ขบกรามแน่น หากแต่ใครจะพูดอย่างไรเขาล้วนไม่สนใจ ที่เขาสนใจมีเพียงเฉินซิ่วลี่ที่ยังนั่งนิ่งไม่ตอบรับคำขอของเขา“ลี่ลี่ ฉันสัญญาหากเธอตกลงแต่งงานกับฉัน ฉันจะมีแค่เธอ จะปกป้องดูแลเธอและครอบครัวของเราด้วยชีวิตของฉัน”หัวใจของเฉินซิ่วลี่พลันสั่นระรัว มองสบดวงตาคมด้วยแววตาสั่นไหว ดูแลด้วยชีวิต เมื่อได้ยินคำพูดนี้ความรู้สึกในวันที่เธอคิดว่าเขาตายจากไปแล้วก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง จะมีสักกี่คนที่มีโอกาสแบบเธอ ในเมื่อมีโอกาสแล้วยังต้องยึดติดกับทิฐิและข้อสงสัยมากมายทำไมกัน เมื่อคิดได้เช่นนี้เฉินซิ่วลี่ก็โยนท
เมื่อใกล้ถึงเวลาเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของกวงซุนหลี่ เฉินซิ่วลี่ก็เลือกสวมชุดสีฟ้าเข้ารูปคอสูงเพื่อปกปิดร่องรอยที่กวงซุนหลี่ทิ้งเอาไว้บนลำคอระหง แล้วออกเดินทางไปยังสถานที่จัดเลี้ยงกู้เหยียนใช้เวลาเพียง 15 นาทีก็ขับรถมาถึงหน้าโรงแรมจัดเลี้ยง ชายในชุดสูทแบบตะวันตกก็เดินมาเปิดประตูรถทั้ง 4 ด้าน กู้เหยียนส่งกุญแจรถให้พนักงานตรงหน้านำรถไปจอดในสถานที่จอดรถ ส่วนตัวเขาเดินมารับเฉินซิ่วลี่ ขณะที่หลี่หมิงและหลี่ชุนเดินขนาบข้างซ้ายขวาหวังรั่วซีตามหลังคนเป็นแม่เข้างานอย่างสงบเสงี่ยมรู้ความและในทันทีที่เฉินซิ่วลี่ก้าวเท้าเข้ามาในงาน ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่น จึงทำให้สายตาชายหนุ่มในงานจดจ้องมาที่เธออย่างมากมาย หากไม่เพราะข้างกายเธอมีกู้เหยียนเคียงข้างอยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าคืนนี้เฉินซิ่วลี่คงไม่อาจนั่งอย่างสงบแน่นอน“คุณกวงจัดที่นั่งไว้ให้คุณเฉินและผู้ติดตามเป็นพิเศษ เชิญพวกคุณทางด้านนี้ครับ”เมื่อทุกคนในงานได้เห็นตำแหน่งที่นั่งของเฉินซิ่วลี่ผู้คนในงานต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงสถานะความสำคัญของเธอและกู้เหยียน จวบจนกระทั่งกวงซุนหลี่ก้าวเท้าเข้ามาความสนใจของผู้คนจึงเปลี่ยนไปที่เขาแทน“สวัสดีค่ะคุณก
บทสุดท้ายเมื่อหวังรั่วซีตื่นมาตอนเช้าแล้วพบว่าเฉินซิ่วลี่หายตัวไปก็ตื่นตระหนก รีบไปแจ้งกู้เหยียนที่ห้องของเขาด้วยความร้อนใจ“รั่วซี! มาหาฉันแต่เช้ามีเรื่องด่วนอะไรหรือ”กู้เหยียนเอ่ยถามเสียงเบา เพราะเด็กชายทั้งสองยังนอนหลับอยู่บนเตียง ก่อนจะปิดประตูเดินออกมาคุยกับหวังรั่วซีที่หน้าห้อง“พี่ลี่หายตัวไปค่ะหมอกู้”เมื่อได้ยินว่าเฉินซิ่วลี่หายตัวไป กู้เหยียนก็ตื่นตระหนกจนหน้าซีดรีบหมุนตัวเปิดประตูเข้าไปหยิบเสื้อคลุมและกุญแจรถในทันที“จะเป็นพวกเดียวที่ลักพาตัวอาหมิงกับอาชุนไปเมื่อคราวก่อนไหมคะ”คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่น เรื่องที่หลี่หมิงกับหลี่ชุน ถูกลักพาตัวไปเมื่อเดือนก่อน จนเป็นเหตุให้หลี่อันเฉิงตายจากไป เขายังจดจำไม่ลืม ดังนั้นไม่ว่าครั้งนี้จะอันตรายแค่ไหน เขาจะต้องปกป้องช่วยเหลือเฉินซิ่วลี่ให้ได้“เธอเข้าไปรอฉันในห้องกับเด็กๆ ก่อน ฉันจะไปตามหาคุณเฉิน”กู้เหยียนยืนยันเสียงหนักแน่นพร้อมกับวางเสื้อคลุมของตนเองลงบนไหล่บาง ใบหน้าของหวังรั่วซีพลันแดงก่ำเมื่อตระหนักได้ว่าตนเองสวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่เหมาะสมนัก“ขอโทษค่ะ”“ไม่เป็นไร เธอเข้าไปรอในห้องก่อนไม่ต้องกังวลฉันจะพาคุณเฉินกลับมาอย่างปลอดภั
“ตอนนี้ฉันคือภรรยาของหลี่อันเฉิงค่ะ” กวงซุนหลี่กำมือแน่น รู้สึกอิจฉาตนเองในอดีตขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล ทว่าสุดท้ายก็ยอมถอยขยับตัวลุกขึ้นนั่งที่ข้างเตียง เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาว เธอไม่รู้ว่าควรจะอธิบายความรู้สึกของตนเองอย่างไร สุดท้ายหลังจากหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่ก็ลุกขึ้นหมายใจถอยกลับไปตั้งหลัก“ฉันกลับก่อนนะคะ”ทว่าเท้าเล็กก้าวลงเตียงแต่ไม่ทันได้ขยับเดิน เอวบางก็ถูกดึงรั้งจนเธอเซถลาลงนั่งบนตักกว้าง“อย่าไปได้ไหม”เสียงออดอ้อนแผ่วเบากระซิบที่ข้างใบหูเล็ก“ลี่ลี่ อย่าไปได้ไหม”วงแขนแกร่งกระชับแน่นมากขึ้น กดปลายจมูกลงบนไหล่เล็กแล้วกระซิบเสียงอ้อนเว้าวอน“ลี่ลี่ ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเธอ เธอจะทุบตีจะด่าทอฉันก็ได้ แต่อย่าไปจากฉันได้ไหม”เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาวก่อนจะบอกเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ฉันไม่มีเหตุผลต้องอยู่ทุบตีด่าทอคุณ อีกอย่างเด็กๆ ยังอยู่ที่โรงแรมฉันไม่กลับไม่ได้ค่ะ”“เธอกลับไปตอนนี้พวกเขาก็หลับกันหมดแล้ว แต่ฉันยังไม่หลับและคงหลับไม่ลงทั้งคืนถ้าเธอจากไป ลี่ลี่... คืนนี้อยู่กับฉันนะ”หัวใจของเฉินซิ่วลี่พลันสั่นสะท้าน เม้มริมฝีปากบางอย่างสับสน หากคิดตามเหตุผลเธอไม่สมควรอยู่ต่อ แต่หากถามคว
“ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกันเป็นการส่วนตัวสักทีนะคุณกวง”“ส่งคนคืนฉันมา”กวงซุนหลี่ขบกรามกำหมัดแน่นพร้อมกับเอ่ยเสียงลอดไรฟัน ท่าทางเช่นนี้ของเขาทำให้เหลียงเหว่ยพึงพอใจมาก มือหนากระชับไหล่บางเข้าประชิดตัวก่อนจะส่งสายตาเยาะเย้ยเขา“ไม่เอาน่าคุณกวงของดีๆ แบบนี้เราแบ่งกันเล่นสนุกดีกว่านะ”เหลียงเหว่ยพูดพลางหันไปกดจมูกลงบนแก้มนุ่ม ทว่าปลายจมูกยังไม่ทันสัมผัสผิวของเฉินซิ่วลี่ ร่างกายก็ถูกเธอจับพลิกหมุนเคว้ง รู้ตัวอีกทีแผ่นหลังของเขาก็กระแทกลงกับพื้นจนปวดไปทั้งตัว คนของเหลียงเหว่ยชักปืนออกมาในทันที แต่ไม่ทันได้ขยับลั่นไกปืนในมือชายคนหนึ่งก็ย้ายมาอยู่ในมือของกวงซุนหลี่แล้วปัง! ปัง! เสียงปืนดังลั่นพร้อมกับเลือดที่ไหลออกจากต้นขาของเหลียงเหว่ยทั้งสองข้าง คอเสื้อด้านหลังถูกกระชากยกขึ้น ก่อนที่ขมับขวาของเขาจะเย็นวาบเพราะปลายกระบอกปืนที่จ่อแนบลงมา“เหลียงเหว่ย คุณคงรู้ว่าต้องบอกคนของตนเองยังไง”“ถอย! ถอยไปให้หมด”สิ้นคำสั่งของเหลียงเหว่ยคนนับสามสิบคนก็ขยับหลีกทางให้กวงซุนหลี่ เขาหันมาส่งสัญญาณให้เฉินซิ่วลี่เดินประกบตามหลังเขาไปที่รถยนต์ด้านหน้าตึก“ลี่ลี่ คุณขับรถได้ไหม”“ได้ค่ะ”เหลียงเหว่ยตัวสั่นสะ