บทที่ 3.2
แม่ที่ใฝ่ฝัน
หลายวันมานี้บ้านตระกูลหลี่ค่อนข้างสงบ เพราะหม่าอิงหงพาหลี่อันอันที่ถูกเฉินซิ่วลี่หักข้อมือเข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลในเมือง ส่วนหลี่อันเผยลูกชายอีกคนของบ้านหลี่ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย ในรั้วบ้านหลี่จึงมีเพียงพวกเขาสามคนแม่ลูกเท่านั้น
นึกดูตามนิยายแล้วคล้ายจะกล่าวว่าหกเดือนหลังจากที่ทางค่ายทหารส่งข่าวการตายของหลี่อันเฉิง หลี่อันเผย น้องชายต่างมารดาของหลี่อันเฉิงผู้นี้ก็เรียนจบระดับมหาวิทยาลัยกลับมาเป็นครูประจำที่โรงเรียนในหมู่บ้าน และตามตื๊อจีบเฉินซิ่วจูนางเอกของนิยายจนมีเรื่องกับเย่ชิงเหวินพระเอกในนิยายอยู่บ่อยๆ เมื่อนับดูเวลาแล้วก็คืออีก 3 เดือนข้างหน้า
เฉินซิ่วลี่ไม่สนใจเส้นชะตารักของเฉินซิ่วจู แต่ที่เธอใส่ใจก็คือนิสัยของน้องสามีหลี่อันเผยผู้นี้ เพราะตอนนี้เขานับเป็นผู้นำตระกูลหลี่ เธอที่เป็นแม่ม่ายสามีตายหากไม่กลับบ้านเดิมก็ต้องพึ่งพาอยู่ภายใต้การดูแลเขา หากอีกฝ่ายมีนิสัยเช่นหม่าอิงหงผู้เป็นมารดา ชีวิตในอีกสามเดือนข้างหน้าของเธอก็นับว่ายากลำบากแล้ว เช่นนี้เธอควรเร่งวางแผนหาทางรอดให้ตนเองกับลูกชายของพ่อตัวร้ายเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ
“ลูกว่าแม่เปิดร้านขายบะหมี่ดีหรือไม่”
เฉินซิ่วลี่เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเด็กๆ ชอบกินบะหมี่ฝีมือเธอกันมาก แต่เมื่อเอ่ยถามไปแล้วกลับได้ยินเสียงสำลักตอบกลับมาแทน เฉินซิ่วลี่รีบส่งน้ำให้พวกเขาดื่มคนละแก้วในทันที ก็แค่คิดหาทางรอดเลี้ยงตัวเองและพวกเขา ทำไมเจ้าก้อนแป้งสองคนต้องทำราวกับพบเจอเรื่องประหลาดด้วยกัน เธอคือเจ้าของร้านบะหมี่ชื่อดังเลยนะ
“แม่อยู่บ้านเฉยๆ เถอะครับ”
แม่ของเขาคนนี้นอกจากแต่งตัวสวยๆ แล้วที่ผ่านมาหลี่หมิงก็ไม่เห็นว่าเธอจะทำอะไรเป็น ดูอย่างวันก่อนแค่ไปเกี่ยวหญ้าเก็บชาก็ยังแพ้ตัวแดงกลับมา ดังนั้นการอยู่เฉยๆ จึงนับว่าดีที่สุด
แม้ไม่ได้เงิน แต่ก็ไม่เสียเงิน
พูดจบหลี่หมิงก็ลงจากเก้าอี้เก็บชามบะหมี่เปล่าของตนเองและน้องชายไปล้าง ก่อนจะเดินกลับมาหยิบถุงยาที่กู้เหยียนจัดให้ออกมาจัดกินเอง
เฉินซิ่วลี่ที่เห็นเด็กชายกำลังจะจัดยากินเองพลันเบิกตากว้างรีบคว้าถุงยาจากมือเล็กมาถือไว้ในทันที
“อาหมิง ยาเป็นเรื่องสำคัญจะกินผิดไม่ได้”
“ยาเม็ดสีเหลือแก้เวียนหัวกินครั้งละหนึ่งในสี่เม็ดสามเวลา ยาสีเขียวฟ้าแก้อักเสบกินครั้งละเม็ดก่อนอาหารและก่อนนอนรวมสี่เวลา ยาเม็ดสีขาวแก้ปวดกินครั้งละครึ่งเม็ดเวลาปวดหรือมีไข้”
เฉินซิ่วลี่เบิกตากว้างเมื่อสิ่งที่เด็กชายพูดมานั้นถูกต้องทั้งหมด นี่เขาคือเด็กวัยสามขวบจริงๆ หรือ ทำไมถึงได้มีความจำดีขนาดนี้กัน แต่อย่างไรเขาก็อ่านหนังสือไม่ออก เรื่องยาเป็นสิ่งสำคัญจะปล่อยให้เขากินมั่วซั่วไม่ได้
“ถึงลูกจะจำได้ก็ห้ามจัดยากินเอง ผิดพลาดขึ้นมาจะทำอย่างไร”
“แต่...”
“พี่ชายเชื่อฟัง”
หลี่ชุนกระตุกชายเสื้อตัวเก่าของพี่ชายแล้วเอ่ยบอกเบาๆ เขาไม่ต้องการทำให้คนเป็นแม่โมโห เพราะกลัวว่านิสัยเดิมของแม่จะกลับมา หลี่หมิง ย่อมเข้าใจเจตนาของน้องชายจึงเอ่ยขานรับอย่างว่าง่าย
“ครับ”
“เก่งมาก เด็กดี”
เด็กดี หรือว่าเด็กดีที่แม่ของเขาเคยบอกก็คือเด็กที่ยอมให้ผู้ใหญ่จัดยาให้กิน หลี่หมิงขมวดคิ้วคิดวิเคราะห์ในใจ ก่อนจะรับยาใส่ปากกลืนลงท้องโดยไม่มีท่าทางงอแงเลยแม้แต่น้อย
“เก่งมากเด็กดีของแม่ กินยาแล้วก็ไปนอนพัก เดี๋ยวเย็นๆ ค่อยออกไปเล่นกับเพื่อนๆ ที่นอกบ้าน”
“ไม่เล่น... ครับ”
เมื่อได้ยินคำตอบของเด็กชายเฉินซิ่วลี่ก็กลายเป็นฝ่ายขมวดคิ้วแทน หลี่หมิงกำมือ เม้มปากแน่น เด็กที่นอกบ้านพวกนั้นล้วนน่ารังเกียจ เพราะเห็นว่าหลี่ชุนร่างกายอ่อนแอ พบเจอเขาเมื่อไหร่ก็ชอบรังแก ที่ผ่านมาหลี่หมิงจึงออกไปทำงานข้างนอกเพียงลำพังแล้วให้น้องชายอยู่ทำงานเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านแทน
ทว่าเฉินซิ่วลี่ย่อมไม่เข้าใจความคิดของหลี่หมิง เธอรู้เพียงเด็กวัยนี้ควรได้รับการส่งพัฒนาการด้วยเล่นตามวัยเพื่อที่จะได้เรียนรู้และเติบโตอย่างเหมาะสม ทว่าเจ้าของร่างเดิมนั้นต้องการให้พวกเขาช่วยงานที่เกินวัยจึงไม่ได้ส่งเสริมพัฒนาการเหล่านี้ แต่เธอไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น ทั้งนี้เธอก็ไม่ต้องการบังคับพวกเขาเช่นกัน
“เพราะอะไรลูกถึงไม่เล่นหรือ”
“ไม่อยากเล่นครับ”
คำตอบแบบกำปั้นทุบดินของหลี่หมิงชวนให้คนเกิดโทสะได้อย่างง่ายดาย ทว่าเฉินซิ่วลี่ที่สังเกตพวกเขามาสักพักย่อมรู้ว่านี่คือนิสัยที่ถูกหล่อหลอมโดยมารดาน่าโมโหผู้นั้น
“อย่างนั้นลูกๆ อยากทำอะไร”
“เรียนหนังสือครับ”
ในชนบทแห่งนี้หากอยากมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมมีเพียงต้องได้รับการศึกษาที่ดี แม้รู้ว่าตอนนี้พ่อได้จากไปแล้วและครอบครัวก็ไม่มีรายได้เพียงพอจะส่งเสริมเขาและน้องชายให้ได้รับการเรียนหนังสือ แต่หลี่หมิงก็ยังคงอยากเรียน และยิ่งอยากให้หลี่ชุนได้เรียนด้วย
“ผมจะทำงานหาเงินเองครับ”
ตอนนี้เขาอายุสามขวบ โรงเรียนประถมเริ่มรับเด็กเข้าเรียนชั้นประถมหนึ่งตอนอายุห้าขวบเวลาสองปีนี้เขาน่าจะเก็บเงินได้มากพอกับค่าเรียนของตนเองและน้องชาย
“ไม่ได้!”
คำพูดเดียวของคนเป็นแม่ทำลายความฝันทั้งหมดของหลี่หมิงลงในทันที ทว่าเขารู้ดีว่าตนเองไม่มีอำนาจในการต่อต้านคัดค้าน ถึงแม้ไม่ยินดีก็ต้องยอมรับเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไม่โมโหจนทุบตีเขากับน้องอีก
“หากลูกอยากเรียนก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม จะออกไปทำงานหาเงินไม่ได้”
คำพูดของแม่ทำให้หลี่หมิงและหลี่ชุนเบิกตากว้างเงยหน้ามองเธอด้วยความตะลึงงัน
“แม่หมายความว่าจะให้พวกเราเรียนหนังสือใช่ไหมครับ”
หลี่ชุนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงและแววตาที่คาดหวัง แม้ในใจจะมีความหวาดกลัวโทสะของแม่อยู่เล็กน้อยก็ตาม แต่เพราะความอยากเรียนมีมากกว่าจึงกลั้นใจข่มความกลัวเอ่ยถามออกมา
“ใช่จ้ะ แต่ลูกๆ ต้องสัญญาว่าจะตั้งใจ”
“ครับ”
เฉินซิ่วลี่ได้ยินคำขานรับที่หนักแน่นของเด็กชายทั้งสองก็ยิ้มกว้าง ต้องรออีกสองปีเด็กๆ ทั้งสองจึงจะถึงวัยเข้าโรงเรียน ในตอนนั้นหลี่อันเฉิงก็คงกลับมาแล้ว มีเขาอยู่เธอยังต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายอะไรอีก ระหว่างนี้เธอแค่เป็นแม่ที่ดี เตรียมความพร้อมให้พวกเขาก่อนเข้าเรียน เมื่อตัวร้ายผู้นั้นกลับมาย่อมไม่ถือโทษโกรธเคืองเรื่องในอดีตที่เจ้าของร่างเคยทำไว้และปล่อยเธอไปอย่างแน่นอน
“อย่างนั้นพรุ่งนี้แม่จะไปทำงานหาเงินไปซื้ออุปกรณ์การเรียนมาให้”
เฉินซิ่วลี่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นภาคภูมิใจ ราวกับการส่งเสริมเด็กชายทั้งสองเป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่ระดับชาติ ยิ่งสบแววตายินดีของหลี่ชุนที่ชัดเจนราวกับได้พบแม่ในฝัน หัวใจของเฉินซิ่วลี่ก็ยิ่งพองโต ทว่าไม่ทันได้ซึมซับความภาคภูมิใจนี้ให้เต็มอิ่มเด็กชายอีกคนก็เอ่ยเสียงราบเรียบ
"แม่ใช้หนี้ค่ายาลุงสามถังหมดแล้วหรือครับ”
เฉินซิ่วลี่เบิกตากว้าง เธอลืมเรื่องนี้ไปเลย ใบหน้าหวานซีดเผือด เธอหายหน้ามาร่วมสัปดาห์ชายหน้าดุผู้นั้นจะคิดว่าเธอหนีหนี้หรือไม่ ยังไม่ทันคิดหาวิธีแก้ไขเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่หน้าบ้าน
“เฉินซิ่วลี่ ออกมา เดี๋ยวนี้!”
.........................................
บทที่ 3.3แม่ที่ใฝ่ฝัน“เฉินซิ่วลี่ ออกมา!”เฉินซิ่วลี่หันมองไปทางประตูรั้ว พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา เหตุการณ์เช่นนี้บังเอิญเกินไปหรือไม่ ช่างสมกับเป็นเรื่องราวในนิยายเสียจริงๆ เดิมทีเฉินซิ่วลี่คิดอยากจะหลบหลีก แต่หลบวันนี้พรุ่งนี้ก็ต้องเจอ ไม่สู้ออกไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตรงๆ เธอเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวหยิบเงินออกมา 3 หยวนอย่างลำบากใจ เงิน 3000 หยวนตอนนี้เหลือเพียง 2900 หยวนแล้ว หากยังไม่เร่งหามาทดแทนอนาคตเธอย่อมตกที่นั่งลำบากเฉินซิ่วลี่ เธอช่างเป็นตัวละครที่ทะลุมิติมาได้น่าสงสารจริงๆ ไม่เพียงเป็นตัวละครที่ตกยาก ยังไม่มีมิติ ไม่มีระบบช่วยใดๆ สวรรค์! นี่คงไม่ใช่การทะลุมิติมาเพื่ออดตายใช่หรือไม่ทว่าไม่รู้เพราะอาลัยอาวรณ์เงินหยวนนานเกินไปหรือไม่ ตอนที่ออกมาจากห้อง คนที่ร้องเรียกหน้าบ้านก็หายไปแล้ว“อาชุน ลุงสามถังของลูกเล่า เขาหายไปไหนแล้ว”“พี่ชายออกไปบอกลุงสามถังว่าแม่ไม่สบาย พรุ่งนี้พี่ชายจะไปทำงานแทน ลุงสามถังเลยบอกว่าอย่างนั้นก็ยกหนี้ให้ครับ”“ยกหนี้ให้!"เฉินซิ่วลี่ร้องด้วยความตกใจ ถังซานผู้นั้นหน้าตาดุดัน พูดจาโผงผาง ท่าทางไม่ยอมคน ให้คิดอย่างไรก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะใจดียกหนี้ให้เธอง่ายๆ
บทที่ 4.1แม่ตัวอย่าง“เจ้าเด็กไม่มีพ่อ แกกล้าตีลูกฉันเหรอ วันนี้ฉันจะสั่งสอนแทนพวกพ่อแกที่ตายไปเอง”ไม่มีพ่อ คำพูดที่ออกมานี้แม้ไม่หยาบคายแต่กลับทำให้เด็กชายทั้งสองเจ็บปวดจนตัวสั่น“เขารังแกอาชุนก่อน”“แล้วอย่างไร แกทำเขาหัวแตกวันนี้ฉันก็จะตีพวกแกให้ตัวแตกเช่นกัน”สะใภ้ใหญ่บ้านเฉาประกาศเสียงก้อง พร้อมกับหยิบไม้ขนาดพอดีมือง้างขึ้นหมายฟาดไปบนตัวเด็กน้อยตรงหน้าหลี่หมิงหมุนตัวหันมากอดหลี่ชุน ก่อนจะเม้มริมฝีปากกัดฟันเกร็งตัวรอรับแรงทุบตีจากสะใภ้บ้านเฉา ทุกครั้งก็เป็นเช่นนี้ เมื่อไหร่ที่ถูกรังแกพวกเขาล้วนไร้คนปกป้อง ผู้ใหญ่รอบตัวล้วนเข้าข้างเพียงลูกหลานตัวเอง ดังนั้นจึงมีเพียงพวกเขาที่ปกป้องกันและกันทว่าในจังหวะที่ไม้ในมือของสะใภ้ใหญ่บ้านเฉาฟาดลงมา ร่างของเขากลับถูกวงแขนหนึ่งโอบรัด ความเจ็บปวดที่เขาคิดว่าจะได้สัมผัสกลับแปลเปลี่ยนเป็นความอบอุ่นพลั่ก! “แม่!”หลี่หมิงและหลี่ชุนเบิกตากว้างเมื่อหันมาเห็นว่าแม่ของเขาถูกสะใภ้บ้านเฉาฟาดลงมาจนเต็มแรง คิ้วเรียวขยับเข้าหากัน ก่อนที่ดวงตาหวานจะตวัดมองไปยังคนที่ลงมือด้วยสายตาเกรี้ยวกราดกล้าตีลูกๆ ของเธออย่างนั้นหรือ“เกิดอะไรขึ้น!”เสียงเข้มหนักแน่
บทที่ 4.2แม่ตัวอย่างหลังเรื่องวุ่นๆ จบลงถังซานก็พาคนกลับมาทำแผลที่บ้านพักของเขา เฉินซิ่วลี่ล้างแผลให้เด็กชายตัวน้อยเบาๆ ทว่าถึงเธอจะพยายามเบาน้ำหนักมืออย่างที่สุดแล้วแต่บนแก้มของหลี่ชุนก็มีน้ำตาไหลลงจนถึงปลายคางเล็ก ในใจของเฉินซิ่วลี่พลันรู้สึกกรุ่นโกรธอยากจะออกไปตีคนอีกสักรอบ แต่เมื่อคิดถึงผลได้ผลเสียที่จะตามมาก็ได้แต่อดกลั้นเอาไว้ เอ่ยถามเด็กน้อยเสียงอ่อนโยน“เจ็บมากหรืออาชุน”ใบหน้าเล็กๆ ที่อาบไปด้วยน้ำตาส่ายไปมา พลางก้มหน้าใช้มืออีกข้างเช็ดน้ำตาบนแก้มออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มกว้างให้คนเป็นแม่“แผลนิดเดียวเองผมไม่เจ็บครับแม่”หลี่ชุนมักเป็นเช่นนี้เสมอให้พบเจอเรื่องร้ายแค่ไหน บนใบหน้าของเขาก็จะมีรอยยิ้มกว้างส่งพลังให้คนอื่นตลอดเวลา ทว่านี่กลับเป็นรอยยิ้มที่ทำให้เฉินซิ่วลี่รู้สึกเจ็บปวดมากกว่ารอยน้ำตาเมื่อครู่ของเขาเสียอีก มือนุ่มดึงร่างผอมบางของเขาเข้ามาสวมกอด ทั้งที่เป็นเพียงเด็กชายสามขวบตัวเล็กๆ คนหนึ่งกลับต้องมาเจอเรื่องร้ายแรงมากมายถึงเพียง ผู้คนเหล่านี้ช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว“ไม่เป็นไรนะอาชุน แม่อยู่นี่แล้ว”เสียงหวานละมุนเอ่ยปลอบโยน พลางใช้ฝ่ามือนุ่มลูบบนแผ
บทที่ 4.3แม่ตัวอย่างเฉินซิ่วลี่จับมือเด็กชายสองคนเดินกลับบ้าน หลี่ชุนที่ได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้วว่าแม่มีความสามารถในการคิดคำนวณและอ่านเขียนได้ดีเยี่ยมก็ชื่นชมเธอไม่หยุด“แม่ครับ แม่สอนผมกับพี่ชายคิดบัญชีบ้างได้ไหมครับ”“ได้สิ อย่างนั้นเริ่มจากนับเลขก่อนดีหรือไม่”เด็กในวัยสามขวบ หากเทียบเท่าในยุคของเธอพวกเขาก็น่าจะอยู่ในช่วงอนุบาลหนึ่ง ดังเริ่มต้นเรียนรู้จากการนับลำดับก็นับว่าถูกต้องแล้ว“อาหมิงลูกนับเลขได้หรือไม่”เฉินซิ่วลี่ชวนเด็กชายที่เอาแต่เดินเงียบๆ สนทนา แต่หลี่หมิงก็คือหลี่หมิงเขากลับตอบเพียงสั้นๆ คำเดียวเท่านั้น“ครับ”“พวกลูกนับเลขได้แล้ว ใครสอนกัน”“อารองสอนครับ แม่ลืมไปแล้วเหรอครับว่า...”“ถึงสะพานแล้วอาชุนเดินระวัง”อยู่ดีๆ หลี่หมิงก็พูดขัดกลางประโยค คิ้วเรียวของเฉินซิ่วลี่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เรื่องนี้ต้องมีบางอย่างที่เจ้าของร่างไปสร้างวีรกรรมเอาไว้แน่ๆ ไม่เช่นนั้นหลี่หมิงคงไม่มีท่าทีคล้ายกลับไม่อยากให้เธอจำได้เช่นนี้เพราะไร่ตระกูลถังอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน ตอนที่เดินกลับจึงต้องผ่านลำธารสายหลักของหมู่บ้าน ขณะที่เดินข้ามสะพานเฉินซิ่วลี่เห็นปลาตัวโตกระโดดอยู่ขึ้นมาเหนือผิวน
บทที่ 5.1ลูกชายที่เชื่อฟังเฉินซิ่วลี่นั่งนับเงินหยวนที่เพิ่มเข้ามาอีกห้าหยวนแล้วยิ้มกว้าง การค้าขายในชนบทนั้นจะว่ายากก็ไม่ยาก แต่จะกล่าวว่าง่ายก็ไม่ง่าย นั่นเพราะผู้เขียนได้สร้างให้หมู่บ้านต้าหยางแห่งนี้มาสมบูรณ์เกินกว่ายุค 80 ในความเป็นจริง เมื่ออยู่ในสถานที่อันสมบูรณ์ย่อมไม่มีความต้องการของผู้คน เมื่อไม่มีความต้องการย่อมไม่มีความมั่นคงในการค้าขายเฉินซิ่วลี่ที่ต้องการความมั่นคงในการใช้ชีวิต จึงไม่คิดลงทุนในชนบทแห่งนี้ เพียงแต่ทุกอย่างจะเริ่มขึ้นก็ต่อเมื่อเธอได้รับอิสระจากหนังสือสมรสตรงหน้านี้เสียก่อน หากเธอยังไม่หย่ากิจการใดๆ ที่เธอสร้างขึ้นล้วนต้องแบ่งให้เขากึ่งหนึ่งดวงตาเรียวมองหนังสือสมรสที่เป็นดั่งเชือกเส้นใหญ่ผูกมัดเธอเอาไว้กับหลี่อันเฉิง ทว่ายังไม่ทันคิดวางแผนชีวิตต่อเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่หน้าประตูห้อง“แม่ครับ ผมเข้าไปได้ไหมครับ”คำขออนุญาตที่ดังเข้ามาฟังจากน้ำเสียงแล้วเฉินซิ่วลี่ก็คาดเดาได้ว่าคงเป็นหลี่หมิง“อาหมิงเข้ามาได้เลย”หลี่หมิงเปิดประตู แต่ก้าวข้ามประตูมาเพียงสามก้าวเขาก็หยุดเท้าลง หลี่หมิงจำได้ดีว่าห้องของแม่คือเขตหวงห้าม ดังนั้นเขาจึงไม่คิดเข้าไปเกินกว่าสามก้า
บทที่ 5.2ลูกชายทีเชื่อฟัง“แม่นางเฉิน”เสียงเรียกที่รั้วนอกบ้านทำให้เฉินซิ่วลี่ต้องลุกเดินออกมาดู เมื่อพบว่าเป็นกู้เหยียนก็ยิ้มกว้างต้อนรับเขาด้วยท่าทีสุภาพ“คุณหมอกู้มาหาฉันมีอะไรหรือเปล่าคะ”กู้เหยียนยิ้มอ่อนโยน พร้อมกับยกปิ่นโตเปล่าในมือขึ้นให้หญิงสาวดู“ผมเอาปิ่นโตมาคืนครับ”เฉินซิ่วลี่แทบลืมไปเลยว่าครั้งก่อนเธอทำอาหารใส่ปิ่นไปให้เขาเพื่อตอบแทนที่เขาให้เธอกับลูกนอนที่ห้องพักฟื้นในสถานพยาบาลหมู่บ้าน"ฉันลืมไปเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ"เฉินซิ่วลี่เดินออกจากประตูรั้วมารับของคืน พร้อมเอ่ยขอบคุณเขาอีกครั้ง"ไม่เป็นไรครับ พอดีผมเอายามาให้ป้าชุน เลยถือโอกาสแวะเอามาคืนคุณด้วยครับ"กู้เหยียนยิ้มกว้าง สายตาอบอุ่นส่งผ่านแว่นกลมๆ มายังหญิงสาว ทว่าเพียงแต่พริบตาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม จดจ้องคนตรงหน้านิ่ง มือหนายกขึ้นขยับแว่นเพื่อพิจารณาอีกฝ่ายอย่างจริงจัง จนเฉินซิ่วลี่รู้สึกประหม่าคิดว่าตนเองทำสิ่งใดผิด"มะ... มีอะไรหรือเปล่าคะ"เสียงเล็กถามแผ่วเบา คนที่จดจ้องพลันได้สติ เมื่อรู้ตัวว่าทำสิ่งที่ไม่ควร สองแก้มก็ร้อนผ่าวจนผิวหน้าขาวเนียนแดงก่ำไปถึงใบหู“ขอโทษครับ เอ่อ... คุณเฉิน หลังของคุณได้รับบาดเจ็บหรื
บทที่ 5.3ลูกชายที่เชื่อฟัง“แม่ไม่สบายหรือครับ”เฉินซิ่วลี่กำลังวางแผนสำหรับเปิดร้านบะหมี่ในอนาคตได้ยินคำพูดของลูกชายคนโตความคิดทั้งหมดก็พลันความคิดสะดุด รอยยิ้มกว้างพลันแข็งค้าง ไม่ทันพูดอะไรเสียงเรียกก็ดังขึ้นที่หน้าบ้าน หลี่ชุนอาสาวิ่งออกไปดูก่อนจะวิ่งเข้ามารายงาน“ลุงสามถังมาครับ”คนที่กำลังใช้ความคิดถอนหายใจยาว วันนี้ที่บ้านเธอช่างครึกครื้นนัก คนหนึ่งไปคนหนึ่งมาราวกับเป็นร้านอาหาร“สวัสดีค่ะคุณถัง มาหาฉันมีเรื่องอะไรหรือคะ”ถังซานไม่ตอบคำถามของเธอทันที แต่กลับยืนสมุดเล่มหนึ่งให้เฉินซิ่วลี่รับมาถือด้วยสีหน้าสงสัย“บัญชีที่ฉันคิดมีปัญหาหรือคะ”เธอมั่นใจว่าตนเองคำนวณไม่ผิดพลาดแน่นอน ในอดีตนอกจากทำบะหมี่ขายแล้วที่ชำนาญก็คือการคิดบัญชี ดังนั้นจึงมั่นใจว่าไม่มีทางผิดพลาด“บัญชีที่เธอคิดไม่มีปัญหา เธอทำได้ถูกต้องทั้งหมด”“เช่นนั้นคุณเอาสมุดบัญชีมาให้ฉันอีกรอบแบบนี้หมายความว่า…”“ฉันอยากจ้างเธอมาทำบัญชีที่ไร่”จ้าง เมื่อจ้างงานก็ต้องจ่ายเงิน ดังนั้นสีหน้าของเฉินซิ่วลี่จึงระบายไปด้วยรอยยิ้มกว้าง เริ่มต่อรองค่าแรงขึ้นมา“งานบัญชีค่อนข้างยากกว่างานในไร่ดังนั้น…”“วันละ สองหยวน”ปกติแล้วค่า
บทที่ 6.1การกลับมาของคนที่หายไปเฉินซิ่วลี่มาที่ร้านสหกรณ์หมู่บ้านเพื่อซื้อแป้ง และของใช้สำหรับทำซาลาเปาในวันพรุ่งนี้ เธอนำเงินเก็บออกมาใช้ก่อนอย่างไม่ลังเล ตงเหยามองหญิงสาวที่เคยประกาศก้องว่าต้องการเป็นภรรยาของเขา และมักส่งสายตากับท่าทียั่วยวนให้เขาอยู่เสมอด้วยความสงสัย เกิดอะไรขึ้นกับเฉินซิ่วลี่กัน เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าเธอเป็นคนละคนกับเฉินซิ่วลี่ที่เขาเคยรู้จัก “ซิ่วลี่ เธอ... เอ่อ...”เพราะความสงสัยตงเหยาจึงเผลอเรียกคน แต่เมื่อเรียกแล้วก็ไม่รู้ว่าจะสนทนากับเธอต่ออย่างไร ร่วมหกปีแล้วที่เขาพยายามรักษาระยะห่างระหว่างเธอเอาไว้เพื่อไม่ให้ใครตำหนิเธอเพิ่ม แต่ถึงอย่างนั้นทุกครั้งที่เข้าเมืองเขาก็จะให้คนไปถามเฉินซิ่วลี่อยู่เสมอว่าต้องการฝากซื้อสิ่งใดหรือไม่ ดังนั้นแม้ไม่ได้แต่งเธอเป็นภรรยาตามที่เคยสัญญาแต่เขาก็คอยดูแลเธออยู่ห่างๆ เสมอไม่เคยเปลี่ยนไป“มีอะไรหรือคะ”ท่าทีสุภาพ แววตาที่ใสซื่อเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะมีใบหน้าที่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงตงเหยาย่อมคิดว่าเธอไม่ใช่เฉินซิ่วลี่ที่เขารู้จักอย่างแน่นอน“เอ่อ... เธอซื้อของมากมายขนาดนี้จะทำอะไรหรือ”“อ่อ... พอดีว่าคุณถังให้ฉันทำซาลาเปาไ
บทที่ 12.4ไม่อาจหลีกหนีไปชั่วชีวิตเฉินซิ่วลี่ปั่นจักรยานกลับบ้านเส้นทางเดิมเช่นทุกครั้ง หากแต่ครั้งนี้กลับพบเจอเรื่องที่แตกต่างจากทุกวัน“แม่! ฉันไม่อยากไป แม่อย่าบังคับฉันเลยนะ”“ไม่ไปได้ยังไง ฉันตกลงยกแกให้เขาไปแล้วยังไงแกก็ต้องไป”เสียงบทสนทนาของหญิงสาวสองคนบนถนนเส้นหลักของหมู่บ้านดังก้องเรียกสายตาของผู้คนโดยรอบให้หยุดมองรวมถึงเฉินซิ่วลี่ด้วย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย หญิงสาวสองคนนั้นมองดูแล้วคล้ายว่าจะมีสถานะเป็นแม่ลูกกัน เพียงแต่ที่น่าแปลกใจคือ เหตุใดคนเป็นแม่จึงคิดยกลูกสาวที่โตเต็มวัยให้ผู้อื่นเช่นนี้“อาซีช่างน่าสงสารจริงๆ เลย ดูสิอายุแค่ 16 ก็ถูกขายไปเป็นเมียน้อยคนอื่นแล้ว”ดวงตาของเฉินซิ่วลี่เบิกกว้างที่แท้เป็นการขายลูกสาวอย่างนั้นหรือ“นั่นน่ะสิ สะใภ้หวังคนนี้ช่างเกินไปจริงๆ ถึงแม้ว่าอาซีจะเป็นลูกเลี้ยง แต่ก็ไม่เห็นต้องทำกันถึงเพียงนี้”"ไม่ทำแบบนี้บ้านหวังจะเอาเงินที่ไหนแต่งสะใภ้เล่า"เฉินซิ่วลี่ได้ยินบทสนทนาของหญิงชาวบ้านในใจก็รู้สึกเวทนาคนขึ้นมา ขายลูกเลี้ยงแต่งสะใภ้ นี่มันเกินไปหรือไม่ก่อนหน้านี้เฉินซิ่วลี่เคยอ่านนิยายเจอเรื่องราวยากลำบากของผู้อื่นที่ผู้เขีย
บทที่ 12.3ไม่อาจหลีกหนีไปชั่วชีวิตเฉินซิ่วลี่ตื่นเช้ามาด้วยอาการอ่อนเพลีย ต้องยอมรับว่าเรื่องราวที่พบเจอเมื่อวานทำให้เธอรู้สึกวิตกไม่น้อย ส่งผลให้นอนไม่หลับทั้งคืน วันนี้แม้แต่อาหารเช้าก็ยังกลืนไม่ลง สุดท้ายเพราะความเครียดที่โถมเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว ร่างกายก็เกินกว่าจะทนไหว ภาพตรงหน้าโคลงเคลง พร่ามัว ใบหน้าก็ซีดเซียวจนหลี่หมิงสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ“หน้าแม่ซีดมาก อาชุนพาแม่ไปนอนพี่จะไปบอกลุงหมอกู้”พูดจบหลี่หมิงก็วางตะเกียบวิ่งออกไปจากบ้านด้วยความรวดเร็ว ไปนานก็มาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านพักของกู้เหยียน“ลุงหมอกู้ครับ ลุงหมอกู้”เสียงเรียกที่มีความร้อนรนอยู่ในทีทำให้กู้เหยียนที่กำลังสวมเสื้อรีบวิ่งออกมาพลางติดกระดุมเสื้อไปด้วย “มีเรื่องอะไรอาหมิง”ถึงแม้จะเอ่ยถามออกไปแต่ในใจกู้เหยียนก็คาดเดาได้ว่า จะต้องเกิดเรื่องกับเฉินซิ่วลี่อย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นคนที่ยืนตรงนี้ต้องเป็นเธอ“แม่ไม่สบายครับ”กู้เหยียนไม่เสียเวลาแม้แต่จะสอบถามอาการรีบสวมรองเท้าวิ่งตรงไปยังบ้านพักอีกฝั่งของสถานพยาบาลหมู่บ้านทันที นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าการให้เฉินซิ่วลี่พักห่างไกลจากเขาเป็นเรื่องที่ผิดพลาด“อาชุน
บทที่ 12.2ไม่อาจหลีกหนีไปชั่วชีวิตหลังจากที่ปลอบโยนเด็กชายทั้งสองและส่งเขาเข้านอนแล้ว เฉินซิ่วลี่ก็ออกมานั่งทบทวนเรื่องราวต่างๆที่พบเจอในวันนี้แน่นอนว่าการพบเจอกับหลี่อันเฉิงในนั้นป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย แต่เมื่อทบทวนเส้นเรื่องในนิยายดูคล้ายว่าเหตุผลที่เย่ชิงเหวินและหลี่อันเฉิงไม่ลงรอยกันตั้งแต่แรกพบนั้น เพราะครั้งหนึ่งพ่อตัวร้ายเคยทำให้การเจรจาต่อสัญญาค้าไม้ของเย่ชิงเหวินล้มเหลว ขณะเดียวกันเย่ชิงเหวินก็ทำให้ภารกิจของเขาถูกเปิดโปงเช่นกันหรือจุดเริ่มต้นของการบาดหมางที่ในนิยายเอ่ยถึงจะเป็นเรื่องราวในวันนี้ใบหน้าของเฉินซิ่วลี่ชาวาบ เพราะหากวันนี้คนที่เข้างานไปกับเย่ชิงเหวินคือของเจ้าของร่างเดิม เมื่อได้พบเจอกับชายที่มีหน้าตาคล้ายคลึงสามีเก่าที่ตายไปแล้ว สิ่งแรกที่เธอจะทำแน่นอนว่าต้องเป็นการเปิดโปงตัวตนของเขาหรือนี่จะเป็นเหตุผลที่หลี่อันเฉิงจับตัวเฉินซิ่วลี่ไปขังไว้ ไม่ใช่เพราะโกรธแค้นเรื่องการกระทำอันฉาวโฉ่ร้ายกาจของภรรยา แต่เพราะโกรธเคืองเรื่องที่เธอเปิดโปงภารกิจของเขาเมื่อนึกมาถึงตรงนี้เฉินซิ่วลี่ก็ใจสั่นระรัว นึกขอบคุณตนเองที่วันนี้ไม่ได้เปิดโปงตัวตนของหลี่อันเฉิง พูดให้ถูกคื
บทที่ 12.1ไม่อาจหลีกหนีไปชั่วชีวิต“แล้วถ้าผมไม่ปล่อย! คุณจะทำไม!”ไม่เพียงแต่พูดโต้กลับอย่างไม่เกรงกลัว หลี่อันเฉิงยังกระชับอ้อมแขนโอบกอดคนให้แน่นมากขึ้น เฉินซิ่วลี่พลันขมวดคิ้วเรียวเพราะความอึดอัดยกมือขึ้นวางดันอกเขาออกห่างด้วยท่าทางต่อต้านเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงผลักจากฝ่ามือเล็ก หลี่อันเฉิงก็ก้มมองคนในอ้อมแขนด้วยสายตาไม่พอใจเธอกล้าผลักไสเขาหรือ...ที่ผ่านมาขอเพียงมีโอกาสเฉินซิ่วลี่มักจะฉกฉวยอยากสัมผัสแนบชิดกับเขาเสมอ ทว่าเพียงห้าเดือนที่เขาแจ้งข่าวการตายของตนเองไป หญิงสาวก็เปลี่ยนท่าทีเป็นเช่นนี้แล้ว ช่างน่าโมโหจริงๆ“เฉินซิ่วลี่อย่าได้ลืมสถานะตนเอง”แม้น้ำเสียงที่ใช้เอ่ยออกมาจะแผ่วเบา ทว่าเฉินซิ่วลี่ก็สัมผัสได้ถึงความเกรี้ยวกราดไม่พอใจอยู่ในทีของเขา มือเรียวที่ผลักไสพลันหยุดชะงัก ไม่กล้าออกแรงดิ้นรนต่อต้านเขาอีกเพียงแต่ไม่ต่อต้านก็ไม่ได้หมายความว่าเธอยินยอมแต่เพราะรู้ดีว่าพ่อตัวร้ายหลี่อันเฉิงคนนี้มีนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นและไม่ยอมคน ดังนั้นการสร้างปัญหากับเขาย่อมไม่ส่งผลดีต่อตัวเธอในอนาคต ครั้งนี้เฉินซิ่วลี่จึงยอมถอยให้เขาหนึ่งก้าว เธอสูดลมหายใจเข้าพยายามข่มกลั้นความโกรธเคืองในใจ
บทที่ 11.4บางอย่างที่เปลี่ยนไปเย่ชิงเหวินใช้เวลาราว 15 นาทีก็ขับรถมาหยุดที่หน้าภัตตาคารหรูใจกลางเมือง ร่างสูงโปร่งลงจากรถลงมายืนด้านข้าง ปรายตามองดูหญิงสาวที่นั่งนิ่งในรถแล้วยกมุมปากขึ้น ก่อนจะเดินอ้อมมาเปิดประตูส่งแขนให้เธอวางฝ่ามือแล้วก้าวลงจากรถ“ขอบคุณค่ะ”เสียงหวานเอ่ยบอกก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยน ท่าทางเช่นนี้ชวนให้ผู้คนโดยรอบจดจ้องมาที่คนทั้งสองในทันทีขณะที่พนักงานชายคนหนึ่งเร่งเดินเข้ามาต้อนรับพวกเขาด้วยท่าทางสุภาพ “สวัสดีครับคุณเย่”เย่ชิงเหวินพยักหน้ารับคำทักทายก่อนจะยื่นบัตรเชิญให้อีกฝ่าย โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรคนก็นำทางเขาเข้าไปยังห้องรับรองระดับVVIP“หากคุณเดินไม่สะดวกบอกผมนะครับ”เฉินซิ่วลี่ยกมุมปากขึ้นยิ้มบางๆ บอกเขาแล้วอย่างไร หากเธอเดินไม่ไหวจริงๆ เย่ชิงเหวินจะอุ้มเธอเขางานอย่างนั้นหรือ“คุณโจวกำลังเดินทางมา คุณเย่เชิญตามสบายครับ”เย่ชิงเหวินพยักหน้ารับคำคนนำทางแล้วพาเฉินซิ่วลี่ไปนั่งยังโต๊ะด้านใน เพื่อที่จะลดความอึดอัดใจของเธอ“คุณนั่งรอสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมไปตักของว่างให้”เฉินซิ่วลี่ย่อมเข้าใจดีว่าที่เย่ชิงเหวินใส่ใจเธอเช่นนี้เพียงแค่ไม่ต้องการให้เธอเป็นที่สนใจของผู้ค
บทที่ 11.3บางอย่างที่เปลี่ยนไปเฉินซิ่วลี่นำเงินหยวนที่ได้รับมาจากการขายจักรยานให้เกาหย่ง เก็บใส่ไว้ในถุงผ้าก่อนจะยัดซ่อนไว้ในไส้หมอนอีกครั้ง ตอนนี้คำนวณดูแล้วเธอมีเงินเก็บรวมๆ กันร่วม 4,000 หยวน อนาคตในภายหน้าย่อมไม่กลัวความลำบากอีกต่อไปแต่ถึงจะมีเงินแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่ต้องหาเงินเพิ่ม เพียงแต่บนฝ่ามือยังมีแผลทำให้เฉินซิ่วลี่ไม่สามารถทำซาลาเปาไปขายให้ถังซานได้เช่นเดิม ดังนั้นจึงเอาเวลาทั้งวันอยู่กับกองเศษผ้าเริ่มจัดการเย็บโบว์ติดผมอย่างขะมักเขม้น ผ่านไปสามวันโบว์ติดผมร่วมสามร้อยชิ้นก็เสร็จสิ้นเฉินซิ่วลี่คำนวณราคาคร่าวๆ เธอตกลงราคาซื้อขายโบว์ติดผมกับแม่ค้าขายผ้าไว้ที่ 2 ชิ้น 1 เหมา ตอนนี้เธอมีโบว์ติดผม 300 ชิ้น ย่อมเปลี่ยนเป็นเงินได้ประมาณ 15 หยวน หักค่าอุปกรณ์ต่างๆ แล้วก็ยังคงเหลือที่ 12 หยวน นับว่าทำเงินได้ดีเลยทีเดียวและถึงแม้ร้านผ้าที่ตกลงซื้อขายไว้จะรับซื้อโบว์ติดผมของเธอเพียง 50 ชิ้น อีก 250 ชิ้นก็สามารถนำไปขายที่ร้านอื่นได้ อย่างไรเสียที่นั่นก็คือตัวเมือง ย่อมต้องมีร้านค้าที่ยินดีรับซื้อโบว์ของเธอแน่นอนเมื่อมองเห็นตัวเงินแม้จะเป็นเพียงในความคิด แต่ก็ทำให้เฉินซิ่
บทที่ 11.2บางอย่างที่เปลี่ยนไป“แม่ครับ แม่จะแต่งงานใหม่ไหมครับ”เมื่อกลับถึงบ้าน หลี่หมิงก็เอ่ยถามคนเป็นแม่ด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคงนัก ขณะที่หลี่ชุน เม้มริมฝีปาก ก้มหน้าซ่อนดวงตาที่แดงก่ำของตนเอาไว้ หากแม่แต่งงานใหม่ย่อมต้องมีลูกใหม่ แล้วพวกเขาสองคนพี่น้องเล่า แม่จะยังต้องการอยู่หรือไม่ความคิดที่ว่ามารดาอาจจะขายพวกเขาออกไปเพื่อลดภาระย้อนกลับเข้ามาในใจของเด็กชายทั้งสองอีกครั้ง“ทำไมลูกถึงถามแม่แบบนี้ล่ะ”เฉินซิ่วลี่มองใบหน้าที่แฝงความเศร้าของเด็กๆ แล้วในใจเกิดความปวดหนึบขึ้นมา เธอย่อมไม่คิดแต่งงานใหม่ ชีวิตในยุคที่เธอไม่คุ้นเคยนี้เพียงคิดหาหนทางให้มีชีวิตรอดจากเงื้อมมือหลี่อันเฉิงก็ยากลำบากมากพอแล้ว เธอย่อมไม่คิดหาเรื่องวุ่นวายอย่างการแต่งงานใหม่มาใส่ตัว“หรือว่าลูกๆ อยากให้แม่หาพ่อให้”เด็กๆ อายุยังน้อย บางทีพวกเขาอาจต้องการใครสักคนมาคอยดูแลปกป้องในฐานะพ่อ ทว่าเฉินซิ่วลี่ยังไม่ทันอธิบายว่าภายหน้าพ่อตัวจริงของพวกเขาก็จะกลับมาปกป้องพวกเขาศีรษะเล็กของทั้งสองคนก็ส่ายไปมาในทันที“ไม่ครับ พวกเราไม่อยากได้พ่อ”หลี่หมิงเอ่ยบอกเสียงหนักแน่น หลี่ชุนที่ยืนข้างๆ ก็พยักหน้ารับอย่างเห็นพ้องก่อนจะพู
บทที่ 11.1บางอย่างที่เปลี่ยนไปเฉินซิ่วลี่มองแปลงผักที่ลุงอวี้ขึ้นให้ด้วยความปลาบปลื้ม ก่อนจะหันไปขอบคุณอีกฝ่ายและมอบซาลาเปาหนึ่งถุงให้เขาเป็นการตอบแทน“หมอกู้ หมอกู้ อยู่หรือไม่”เสียงคุ้นหูดังขึ้นเฉินซิ่วลี่ขมวดคิ้วเรียวในทันที เธอจำได้แม่นว่านี่เป็นเสียงของหม่าอิงหง ทว่าอีกฝ่ายมาที่นี่ทำไม หรือว่าคนพวกนี้จะไม่ยอมรามือจึงตามมาหาเรื่องเธอถึงที่นี่ ในใจของเฉินซิ่วลี่รู้สึกเป็นห่วงเด็กๆ ขึ้นมาในทันที รีบวางถุงเมล็ดผักกาดในมือแล้วออกไปที่หน้าบ้าน แต่เมื่อเห็นว่าหม่าอิงหงประคองหลี่อันอันเดินเข้าไปในสถานพยาบาลหมู่บ้านก็ผ่อนลมหายใจยาวอย่างโล่งใจ“คุณนายหลี่ คุณหนูหลี่ มีอะไรหรือครับ”“หมอกู้ช่วยตรวจอาการของอันอันให้หน่อย เธอถูกนางเฉิน...”หลี่อันอันเห็นว่าแม่กำลังจะพาดพิงถึงเฉินซิ่วลี่ก็รีบสะกิดห้าม นั่นเพราะยังจดจำท่าทีปกป้องเฉินซิ่วลี่ของกู้เหยียนในวันแยกบ้านได้ไม่ลืม หากคิดจะเข้าไปนั่งในใจของชายหนุ่มเธอจะต้องวางตัวให้น่าสงสารกว่าเฉินซิ่วลี่“เอ่อ... หญิงชั่วน่ะ เป็นหญิงชั่วหน้าหนาคนหนึ่งทำร้ายอันอัน หมอกู้คุณช่วยดูอันอันของพวกเราที”กู้เหยียนยกมุมปากเล็กน้อย มือหนาขยับแว่นสายตาให้เข้าท
บทที่ 10.4คิดบัญชีเฉินซิ่วลี่กลับถึงบ้านก็อาบน้ำล้างตัว ก่อนจะสอนเด็กๆ คัดตัวอักษร รอจนตอนบ่ายพวกเขาเข้านอนกลางวันเธอจึงไปหากู้เหยียนที่สถานพยาบาลหมู่บ้าน“คุณเฉิน... มาหาผมไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าครับ”เมื่อเช้าหลี่อันอันมาหาเรื่องเฉินซิ่วลี่ บางทีอาจทำร้ายจนเธอบาดเจ็บ ดังนั้นเมื่อเห็นเฉินซิ่วลี่มาหาเขาถึงตัวอาคารสถานพยาบาลหมู่บ้าน กู้เหยียนจึงรีบลุกขึ้นเดินมาหาเธอด้วยความห่วงใยในทันที“ฉันสบายดีค่ะ มีแค่แผลถลอกนิดหน่อย”เฉินซิ่วลี่ยกฝ่ามือของตนเองให้คุณหมอหนุ่มดู คิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย หมุนตัวไปหยิบชุดทำแผลออกมาจากในตู้เก็บอุปกรณ์ทางการแพทย์“จะมากจะน้อยก็เป็นแผลครับ นั่งลงเดี๋ยวผมล้างให้นะครับ”น้ำเสียงที่เข้มขึ้นเล็กน้อยทำให้เฉินซิ่วลี่ยิ้มแห้ง ทิ้งตัวนั่งลงตรงหน้าเขาอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะยื่นมือไปเบื้องหน้ากู้เหยียนมองท่าทางว่าง่ายนร้แล้วยกยิ้ม ช่างเป็นหญิงสาวที่ชวนให้มองได้ทุกกิริยาจริงๆ มือหนาเทน้ำยาล้างแผลลงในถ้วยยา ก่อนจะขยับตัวทำแผลให้เฉินซิ่วลี่อย่างเบามือ"โอ๊ะ!"เสียงเล็กร้องทันทีที่ก้านสำลีจรดลงบนกลางฝ่ามือ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน เม้มริมฝีปากกลั้นเสียงร้องไว้ในลำ