แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่
ภายในบ้านสกุลเซี่ย
“ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า”
เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น
“ท่านพี่กินสิ ๆ”
เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง
“ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่”
“นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ
เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก !
“พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้
“ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ
“ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !”
ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว
แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง
“ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว[1] ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร”
“ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป
“หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา
“ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า
แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง
“แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย
“เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง
“น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้”
“แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ
ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา
ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน
ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด
“ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ
“เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า”
คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน
“ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา
“มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก
“ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ
“พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย
“พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ
“ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที นางก็แค่เด็กสิบขวบ พอเจอเรื่องแบบนี้ก็ไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป
“อาซานเจ้าอย่าร้อง น้องเล็กเป็นอะไรมากไหม” เซี่ยซือซือพยายามลุกขึ้นนั่ง รู้สึกพลังงานของร่างกายหายไปเกือบหมด คงเพราะเพิ่งผ่านการทะลุมิติมา เลยทำให้เธอปรับตัวยังไม่ค่อยได้
“ท่านพี่” เด็กน้อยวิ่งเข้ามาสู่อ้อมกอดของพี่สาวคนโตในทันที แววตาหวาดหวั่นไร้ความสุข
เซี่ยซือซือเห็นรอยเขียวจ้ำบนแขนเล็ก ๆ ของน้องชาย โชคดีแค่ไหนที่กระดูกไม่หัก จับดูความผอมแห้งไร้ไขมันตรงหน้า พลันน้ำตาก็ไหลอาบหน้าในทันที
“ท่านพี่ท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะ” เซี่ยซานซานเองก็ทนไม่ไหว โผเข้าสู่อ้อมกอดของพี่สาวตามน้องชายไป
“ข้าขอโทษพวกเจ้าทั้งสอง ต่อไปข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว”
ดวงตาของเซี่ยซือซือมืดลง เธอจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร ยุคสมัยนี้ดูเหมือนชีวิตลูกหลานไม่สามารถจัดการเองได้ ทุกอย่างต้องอยู่กับผู้ใหญ่ในบ้านเท่านั้น แล้วเธอก็แค่เด็กสาวอายุสิบสาม กินไม่อิ่มร่างกายก็ไม่แข็งแรง อีกไม่กี่วันเธอก็ต้องถูกขายไปบ้านอื่นแล้ว
ไม่อยากเชื่อว่าพนักงานออฟฟิศธรรมดาแบบเธอ จะทะลุมิติมาอยู่ในโลกที่แร้นแค้น แถมไม่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์แห่งนี้ ใครจะเชื่อว่าเธอนั้นได้ตายคาโต๊ะทำงานที่บริษัทด้วยความเหนื่อยล้า ไม่ว่าโลกเก่าหรือโลกนี้ เธอล้วนแต่พบเจอแต่ความทุกข์ทรมานทั้งนั้น
บิดามารดาของเจ้าของร่างนี้ได้ตายไปเมื่อสองปีก่อน ตอนขึ้นไปหาของป่าแล้วถูกโจรป่าฆ่าตาย คนในตระกูลเซี่ยเห็นเด็กทั้งสามคนเป็นขยะไร้ค่า เซี่ยซือซือต้องแบกน้องชายบนหลังทำงานในบ้านอย่างหนัก เซี่ยซานซานเองก็ต้องออกไปซักผ้าให้ทุกคนภายในบ้าน ทุกวันมีแต่ทำงานไม่มีวันหยุด ไหนเลยจะมีวันไหนได้อยู่ดีกินดีเหมือนคนอื่น ยิ่งความทรงจำผุดขึ้น ในใจของเซี่ยซือซือก็เจ็บร้าว ทำยังไงน้อง ๆ ของเธอจะมีชีวิตรอด ไม่แคล้วท่านย่าของเธอได้เอาไปขายแลกเงินเป็นแน่
“อาซานใครเป็นคนพาข้ากลับมา”
“ท่านป้าถานไปซักผ้าแล้วเห็นท่านพี่สลบอยู่ที่ริมแม่น้ำ เลยไปตามผู้ใหญ่บ้านพาคนมาช่วยเจ้าค่ะ ตอนแรกข้านึกว่าท่านพี่จะตายเสียแล้ว ท่านหมออวี่ก็ไม่อยู่ทุกคนเลยไม่รู้จะทำอย่างไร ทิ้งให้ท่านพี่นอนอยู่ในห้องแบบนี้” ความอัดอั้นของเซี่ยซานซานนั้นมีมากนัก ในหมู่บ้านไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกนางเลย ต่างปล่อยให้พี่สาวของนางนอนแน่นิ่งอยู่แบบนี้
“ท่านป้าถาน” ความทรงจำของเซี่ยซือซือนั้น เรื่องของท่านป้าถานเหลียนฮวาไม่ค่อยชัดเจนเท่าใดนัก เพราะนางค่อนข้างเก็บตัวกับลูกชายพิการของนาง แทบจะไม่ได้พูดคุยกันด้วยซ้ำ
“ท่านพี่ท่านป้าถานซื้อท่านพี่ไปเป็นเมียพี่จ้าน ไม่มีสินสอดไม่มีการสู่ขอ แค่จ่ายเงินแล้วพาท่านพี่ไป เห็นว่าท่านป้าถานไม่มีเงินเหมือนกัน แต่ว่าอยากได้ลูกสะใภ้เพราะกลัวว่าจะไม่มีใครดูแลลูกชายพิการของนาง” คำพูดของน้องสาวทำให้เซี่ยซือซือยิ้มขื่นเล็กน้อย ทะลุมิติมาก็ถูกขายเป็นภรรยาคนพิการ
“นอนเถิดน้องเล็กตาจะปิดอยู่แล้ว” หากมียานางคงหามาทาให้น้องชายแล้ว แต่ว่าในความทรงจำนั้นในห้องนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่ายาอยู่ เตียงเก่าผุพังผ้าห่มเน่า ๆ ผืนหนึ่ง สามพี่น้องนอนกอดกันกลม ช่างน่าเวทนาเหลือเกิน
[1] หมาป่าตาขาว หมายถึง คนเนรคุณ อกตัญญู มักถูกเปรียบเทียบว่าเป็นคนเนรคุณ โหดเหี้ยม ดุร้าย ไม่ยอมจดจำบุญคุณคน ทำร้ายได้แม้กระทั่งคนที่เคยช่วยเหลือตน เป็นคนจำพวกที่สมควรถูกดูถูกที่สุด
2 : ขึ้นเขาหาของกิน “ท่านพี่ ๆ ตื่นเร็วเข้า” เซี่ยซานซานเขย่าปลุกพี่สาวด้วยน้ำเสียงเบาหวิว คล้ายกลัวว่าคนอื่นในบ้านจะมาได้ยินเข้า “อาซานนี่ยามใดแล้ว” เซี่ยซือซืองัวเงียตื่นขึ้นมา พร้อมขยี้ตาตัวเองเบา ๆ “ยามเหม่า[1]ท่านพี่" “เช้าเพียงนี้หรือ” ท้องฟ้ายังมืดแต่เซี่ยซานซานปลุกพี่สาวเสียแล้ว คล้ายเป็นกิจวัตรประจำวัน ต้องตื่นขึ้นมาตักน้ำทำงานบ้าน คิดแล้วให้เศร้าใจยิ่งนัก “อาซานวันนี้พวกเราไม่ต้องทำงานหรอก” “เช่นนั้นได้อย่างไรท่านพี่ ท่านย่ากับท่านป้าสะใภ้ทั้งสองต้องทุบตีพวกเราแน่” “บ้านสามของพวกเราถูกสั่งงดอาหาร เจ้าจะมีแรงที่ใดไปทำงาน สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือหาอาหาร เจ้ากับข้ายังพอทนไหวแต่น้องเล็กยังเด็กนัก วันนี้เจ้าพาข้าขึ้นเขาไปได้หรือไม่ ข้าจำได้ว่าบนเขาไฉ่หง[2]มีผักป่ากับผลไม้ป่าอยู่” เซี่ยซือซือจำเป็นต้องมีชีวิตรอด ร่างกายอันบอบบางของเธอถ้าไม่ได้รับอาหารในตอนนี้ เกรงว่าจะไม่สามารถอยู่รอดได้เกินสองวันแน่ “แต่ข้ากลัวว่าท่านย่า” “ไม่ต้องกลัวไป ถูกตียังดีกว่าอดข้าวตายนะอาซาน”
3 : มิติพิเศษ เซี่ยซือซือขยำ ๆ ต้นหอมป่ายัดใส่ในท้องปลา ช่วยกลบกลิ่นคาวปลาได้บ้างเล็กน้อย หากมีเกลือมีเครื่องปรุง ปลาตัวนี้คงจะอร่อยไม่น้อย “ท่านพี่ ปลา ซู้ด” เสียงสูดน้ำลายของเซี่ยซือหยาง ทำให้พี่สาวทั้งสองหัวเราะออกมาดัง ๆ “ดูเจ้าตัวตะกละตัวนี้สิท่านพี่ แทบจะทนรอปลาสุกไม่ไหวอยู่แล้ว รีบเช็ดน้ำลายของเจ้าเสียน้องเล็ก น่าอายชะมัด” “ข้าไม่ได้กินเนื้อมานานมากแล้ว ขอข้ามองปลาตัวนี้นาน ๆ หน่อยเถอะท่านพี่” เด็กน้อยยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำลาย จ้องปลาตัวโตแทบไม่วางตา เซี่ยซือซือยกฝ่ามือลูบศีรษะน้องชายตัวเองเบา ๆ ไม่รู้สึกว่าท่าทางของน้องชายน่ารังเกียจแต่อย่างใด “ต่อไปในภายภาคหน้าเจ้าจะได้กินเนื้อบ่อย ๆ” “จริงหรือท่านพี่” “จริงสิข้าจะหลอกเจ้าทำไม” “ไอหยา ! ข้าจะได้กินเนื้อบ่อย ๆ แล้ว จะกินเนื้อ ๆ ๆ” เซี่ยซือหยางกระโดดโลดเต้นไปรอบ ๆ กองไฟอย่างมีความสุข “ท่านพี่ท่านก็อย่าตามใจน้องเล็กมากนักเลยเจ้าค่ะ เดี๋ยวก็เก็บเอาไปฝันว่าได้กินเนื้อทุกวันหรอก” เซี่ยซานซานใช้ไม้เขี่ยท่อนไฟตรงหน้า มุมปากก
4 : ท่านย่า ! ท่านจะฆ่าน้องชายข้าอีกคนหรือเจ้าคะ เสียงร้องไห้โหยหวนปานคนกำลังจะขาดใจตายของเซี่ยซือซือ ไม่เพียงทำให้เด็กน้อยอย่างเซี่ยซือหยางร้องไห้ตาม เซี่ยฮุ่ยหนิงกับสหายของนางที่กำลังปีนขึ้นจากคูนา หมายจะตามมาตบตีทั้งคู่เป็นอันต้องชะงักอยู่กับที่ ได้แต่มองหน้ากันไปมาอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าพูดบ้าอันใดกันอาซือ มีใครตายที่ไหนกัน” เซี่ยฮุ่ยหนิงรีบเดินเข้าไปใกล้ ๆ สองพี่น้อง พอเห็นศีรษะของเซี่ยซานซานปูดบวม มุมปากก็มีเลือดไหลออกมา ยังทั้งยังไม่ได้สติไม่รู้เป็นหรือตาย นางตกใจจนผงะถอยหลังไปสองก้าว “พี่ฮุ่ยหนิง ท่านมันฆาตกร ! ท่านทำให้อาซานของข้าต้องตาย ฮือ ๆ ๆ” เซี่ยซือซือชี้นิ้วก่นด่านาง ส่งเสียงร้องไห้ดังขึ้นกว่าเดิม มีชาวบ้านสี่ห้าคนทยอยเดินมามุงดูเหตุการณ์ ก่อนหน้าพวกเขาแค่มองดูอยู่ไกล ๆ เสียงร้องไห้ของนางเรียกร้องความสนใจจากชาวบ้านได้ นางจงใจเอ่ยชื่อเซี่ยฮุ่ยหนิงเพียงผู้เดียว ยัดเยียดให้นางเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ “อย่ามาใส่ร้ายข้านะ ข้าไม่ได้ทำ !” เซี่ยฮุ่ยหนิงสะบัดแขนเสื้อหันไปทางอวี่ไป๋ชิงกับอวี่เยี่ยนเอ๋อ พวกนางกลับหลบตาไปทางอ
5 : จ่ายเงินค่าหมอหรือแยกบ้าน ภายในห้องโถงของบ้านสกุลเซี่ย ท่านหมออวี่กำลังบอกเล่าถึงอาการของเซี่ยซานซานให้ทุกคนได้รับรู้ เซี่ยซือซือให้น้องชายอยู่เป็นเพื่อนน้องสาวในห้องนอน ตัวนางออกมายืนฟังผู้ใหญ่คุยกันอยู่ในห้องโถง อยากรู้ว่าเรื่องนี้จะเป็นไปตามที่นางคาดคิดไว้หรือไม่ “ค่าหมอสองตำลึง ส่วนเทียบยาใบนี้ข้าคิดแค่หนึ่งตำลึงเป็นพอ” ท่านหมออวี่บอกค่ารักษาให้ทุกคนได้รับรู้ “อันใดกันท่านหมออวี่ คนก็รักษาไม่ฟื้นท่านยังมีหน้าจะมาคิดค่าหมอกับข้าอีก” แม่เฒ่าเซี่ยไม่พึงพอใจเป็นอย่างมาก ตวัดตาไปมองเซี่ยซือซืออย่างเอาเรื่อง “นังตัวดีใครใช้ให้เจ้าไปตามท่านหมออวี่มา เจ้ากี้เจ้าการนักนะ !” “ท่านย่าข้าไม่ได้ให้คนไปตามท่านหมออวี่มานะเจ้าคะ เป็นชาวบ้านที่เขาสงสารพวกข้าเลยพากันไปตามมาต่างหาก” เซี่ยซือซือเม้มปากทำท่าคล้ายอยากร้องไห้อีกรอบ “ตอนนี้อาซานถูกทำร้ายนอนแน่นิ่งไม่ฟื้นคืนสติ อีกทั้งยังไม่รู้ว่าชีวิตนี้นางจะฟื้นขึ้นมาอีกไหม ฮืออ ท่านย่านางต้องได้กินยาที่ท่านหมออวี๋เขียนให้นะเจ้าคะ ข้าขอร้องท่านย่าท่านช่วยอาซานของข้าด้วยเถอะ”
6 : กั้นกำแพง “ตามธรรมเนียมการแยกบ้านนั้น จำต้องระบุไว้ว่าคนเป็นลูก จะต้องแสดงความกตัญญูต่อบิดามารดาด้วยนะพี่ใหญ่” แม่เฒ่าเซี่ยยังหมายหวังผลประโยชน์จากเด็กทั้งสาม “เจ้ายังมีหน้ามาพูดเรื่องนี้อีกหรือจิ่วเม่ย เจ้าขายอาซือไปแล้วจะให้นางเอาอันใดมาตอบแทนบุญคุณเจ้า นางกลายเป็นคนบ้านอื่นไปแล้ว อาซานก็ป่วยติดเตียงซือหยางยังเป็นเด็กเล็ก จิ่วเม่ยไหนเจ้าลองบอกพี่ใหญ่คนนี้ให้กระจ่างซิ เจ้ายังต้องการสิ่งใดจากเด็กน่าสงสารพวกนี้อีก !” เซี่ยคุนทั้งโกรธทั้งอยากทุบตีน้องสะใภ้คนนี้เหลือเกิน หากน้องชายของเขายังอยู่ เด็กทั้งสามไม่มีทางวันได้รับความคับข้องใจแบบนี้เป็นแน่ “ข้าเห็นด้วยกับท่านผู้นำตระกูล แม่เฒ่าเซี่ยเจ้าอย่าได้คิดเอาเปรียบเด็ก ๆ เหล่านี้เลย ไม่เพียงแค่นั้นเจ้ายังต้องมอบธัญพืชให้เด็ก ๆ ไว้สำหรับเลี้ยงชีพอีกด้วย” อวี่กังออกความเห็นช่วยเด็กบ้านสาม “อันใดกัน ! พวกนางอยากแยกบ้านออกไปเอง มีสิทธิ์อันใดมาขอธัญพืชจากข้าอีก” “จิ่วเม่ยนั่นหลานของเจ้าเองนะ เป็นสายเลือดของเจ้าแท้ ๆ แค่ให้ธัญพืชพวกเขาไว้กินสักสองสามวันจะเป็นอันใดไป ยังมีบ้านกับที่
7 : เซี่ยเหมยลี่ เซี่ยซือซือบอกน้องสาวให้สงบจิตใจเอาไว้ก่อน นางกำลังพยายามหาหนทางให้สามพี่น้องได้อยู่ด้วยกัน ระหว่างนี้เซี่ยซานซานยังต้องแกล้งนอนติดเตียงเช่นเดิมอยู่ แม้แต่น้องเล็กก็ห้ามบอกความจริง เหตุเพราะเขายังเด็กนัก เกิดออกไปวิ่งเล่น แล้วมีชาวบ้านมาหลอกถาม อาจทำให้หลุดพูดความจริงออกไปแบบไม่รู้ตัว “ข้าเชื่อฟังท่านพี่เจ้าค่ะ” เซี่ยซานซานไม่มีทางเลือกอื่น นางจำเป็นต้องนอนติดเตียงไปก่อนสักระยะ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย นางจะกลับมาใช้ชีวิตได้ดังเดิม “ลำบากเจ้าต่อไปอีกสักพักนะอาซาน แต่ไม่นานนักหรอกเจ้าอย่าได้กังวลเกินเหตุ ให้ข้าไปดูลาดเลาที่บ้านท่านป้าถานก่อน ข้าไม่รู้ว่าทางนั้นเขาอยู่กันอย่างไร” เซี่ยซือซือมีความคิดแก้ไขสถานการณ์อยู่ในใจ แต่ยังไม่กล้าตัดสินใจในทันที นางเพิ่งทะลุมิติมาที่นี่ได้ไม่กี่วัน ผลีผลามเกินไปย่อมไม่เป็นผลดี “ท่านพี่ท่านคงไม่คิดจะพาข้ากับน้องเล็กไปอยู่กับท่าน ที่บ้านท่านป้าถานหรอกนะเจ้าคะ” “ทำไมเล่า ทำเช่นนั้นไม่ได้หรือ” นางเอียงคอมองน้องสาวคล้ายไม่เข้าใจ “ไม่ได้เจ้าค่ะ มีชาวบ้านคนไหนแต่งภรรยาแล้วต้องให้ที
8 : สำรวจมิติพิเศษ นางยิ้มอย่างพึงพอใจ ละสายตาจากบ่อน้ำพุมองไปยังทุ่งหญ้ากว้างไกล ก่อนจะวกสายตาไปที่กระท่อมหลังน้อย รีบก้าวเท้าตรงไปสำรวจในทันที ภายในกระท่อมมีเพียงเตียงนอนหนึ่งหลัง ชั้นวางตำราที่มีตำราวางเรียงรายอยู่นับสิบเล่ม แน่นอนว่าเป็นภาษาโบราณซึ่งนางอ่านไม่ออก ไม่รู้ว่ามันเขียนสิ่งใดเอาไว้ มีสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ[1]วางอยู่บนโต๊ะ นางใช้พู่กันกับหมึกโบราณเป็นเสียที่ไหนกัน ไม่ใช่ว่าสิ่งนี้มันเปล่าประโยชน์สำหรับนางหรอกหรือ มีห้องครัวสำหรับทำอาหารด้วย มีเพียงอุปกรณ์พวกเตาหม้อกระทะเหล็ก แต่กลับไร้เงาของวัตถุดิบประกอบอาหาร ในกระท่อมหมดความน่าสนใจไปเพียงเท่านั้น แต่พอเปิดประตูด้านหลังกระท่อมออกไป พลันดวงตาของนางก็สว่างจ้าขึ้นด้วยทิวทัศน์แสนงดงาม มีธารน้ำไหลมาจากที่ไหนสักแห่ง นางลองชิมดูแล้วไม่ปรากฏว่ามีพลังพิเศษแต่อย่างใด แตกต่างจากน้ำพุใจกลางลาน ต้นไม้น้อยใหญ่เรียงรายอยู่รอบด้าน มีต้นผิงกั่ว[2] อยู่สามต้น ซึ่งผลของมันสีแดงสุกเต็มต้น รีบเอื้อมมือออกไปเด็ดมาชิมดูผลหนึ่ง เซี่ยซือซืออ้าปากกว้างกัดดังกร๊วบ ! ผิงกั่วผลนี้หวานอร่อยสดชื่น
9 : นางถานมารับตัวเซี่ยซือซือ ยามเฉิน[1] เสียงดังเหมือนคนกำลังก่อสร้างบางอย่าง รบกวนสามพี่น้องในตอนเช้าของอีกวัน เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นด้วยความหงุดหงิดใจ น้องสาวของนางยันตัวลุกขึ้นมานั่งเหมือนกัน ทั้งคู่หันไปมองเจ้าตัวน้อยมุมในสุดของเตียง เซี่ยซือหยางยังคงนอนหลับอุตุอยู่ที่เดิม สองพี่น้องจึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก “ข้าจะออกไปดูเองเจ้านอนต่อเถอะ” เซี่ยซือซือกระซิบเสียงเบา น้องสาวของนางก็เอนตัวลงนอนอย่างว่าเชื่อฟัง พอเดินออกมาอยู่หน้าบ้าน เซี่ยซือซือถึงได้รู้ว่าท่านลุงใหญ่กับท่านลุงรองของนาง กำลังช่วยกันปั้นก้อนดินก่อกำแพงกั้นบ้านอยู่ ทำงานกันเช้าเพียงนี้เชียวหรือ ดูท่าแม่เฒ่าเซี่ยคงอยากตัดขาดพวกนางให้เร็วที่สุด เซี่ยฉางเงยหน้าขึ้นมาเห็นหลานสาวของตน สายตาพลันเย็นชาขึ้นในทันที “ข้าไม่อยู่แค่วันเดียวเจ้าก็ปีกกล้าขาแข็งขอแยกบ้าน ช่างเป็นเด็กเนรคุณจริง ๆ” เมื่อวานเซี่ยฉางกับน้องชายเซี่ยชุน พากันเข้าไปเยี่ยมบุตรชายที่สำนักศึกษาในอำเภอ จึงไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ขอแยกบ้าน พอกลับมาถึงช่วงเย็นภรรยาของพวกเขา ต่างก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่
114 : ยวนยางคู่ (จบ) สองเดือนต่อมา เสียงประทัดจุดขึ้นตรงหน้าคฤหาสน์ตระกูลเซี่ย ถานจ้านเป็นฝ่ายแต่งเข้ามาเป็นเขยของตระกูล คนนอกไม่รู้มักคิดติฉินนินทา แต่การที่เซี่ยซือซืออยู่กับสองแม่ลูกตระกูลถานมาตั้งแต่ต้น พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกันมาหลายปีแล้ว ไม่แบ่งแยกว่าใครต้องแต่งเข้าบ้านใคร นางถานเองย่อมรู้ว่าการที่บุตรชายแต่งเข้าบ้านของภรรยา เป็นเพราะเขาต้องการช่วยนางดูแลน้อง ๆ ทั้งสองคน ตัวนางเองมีวันนี้ได้เพราะเซี่ยซือซือเช่นเดียวกัน “เจ้าไม่เสียใจแน่นะเหลี่ยฮวา” แม่เฒ่าจางแอบถามก่อนพิธีเริ่มต้นขึ้น “ข้าไม่เสียใจเจ้าค่ะแม่เฒ่าจาง ลูกชายข้ายังใช้แซ่ของข้ามาตั้งแต่เกิด ข้าไม่สนใจเรื่องชื่อแซ่หรอกเจ้าค่ะ สนใจแค่ว่าเขามีความสุขในชีวิตหรือไม่ ข้าเคยถามเรื่องซื้อเรือนเป็นของตัวเอง จ้านเออร์ปฏิเสธในทันที เขาไม่ยอมแยกจากซือซือไปไหน และรู้ว่านางเองก็ไม่สามารถแยกจากน้อง ๆ ไปได้เช่นเดียวกัน พวกเราอยู่ด้วยกันเช่นนี้ก็มีความสุขดีแล้วนี่เจ้าคะ ยังท่านมีครอบครัวอาจารย์ฮู่ ล้วนแล้วแต่เป็นครอบครัวเดียวกัน” “เจ้าคิดเช่นนี้ย่อมดีแก่พวกเขา อย่าไปฟังเสียงผ
113 : ขอแต่งงาน ถานจ้านพานางไปเลือกซื้อโคมไฟอันใหม่ จากนั้นก็ชวนกันไปล่องเรือในบึง เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของผืนน้ำ ที่สะท้อนแสงเป็นดวงไฟน้อยใหญ่เต็มไปหมด ฝีพายยืนอยู่ด้านหลังทำเป็นไม่สนใจคู่สามีภรรยา ที่กำลังอิงอกซบไหล่กันอยู่ ถานจ้านถอดเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกออกคลุมให้ภรรยา “ซือซือ” “หืม” “เจ้าอายุสิบแปดแล้วนะ” “อื้ม” “เราแต่งงานกันเถอะ” เซี่ยซือซือ “...” นางรีบดันศีรษะตัวเองออก เงยหน้ามองเขาด้วยความงุนงง “ไม่ใช่เราเป็นสามีภรรยากันแล้วรึ” “ใช่ แต่เราไม่เคยเข้าพิธีแต่งงานกัน และยังไม่เคยร่วมหอ” ทำไมเซี่ยซือซือได้ยินแล้วรู้สึกว่า เขาย้ำสองคำสุดท้ายแบบแปลก ๆ ก้มลงเล่นนิ้วมือตัวเองเงียบ ๆ “ร่วมเหอหรือ” พวงแก้มแดงปลั่ง ภายใต้แสงจากโคมไฟที่แขวนไว้ตรงหัวเรือ “เจ้าเคยเล่าให้ข้าฟังว่า โลกของเจ้าบุรุษขอสตรีแต่งงาน จะสวมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้าย” ถานจ้านล้วงหยิบแหวนหยกเนื้อดีสีขาวออกมาจากแขนเสื้อ บรรจงสวมใส่บนนิ้วนางข้างซ้ายให้นาง “แต่งงานกับข้านะซือซือ” เซี่ยซือซือมองแหวนบนนิ้ว
112 : ชีวิตในเมืองหลวง เมื่อแคว้นฉีแพ้สงครามย่อยยับ เพื่อแสดงความจริงใจว่าจะไม่บุกแคว้นจ้าวในช่วงสิบปีนับจากนี้ พวกเขาจึงยอมส่งองค์ชายหกซึ่งมีอายุเพียงห้าปี มาเป็นตัวประกันที่แคว้นจ้าว หลังจากนั้นเพียงห้าเดือน เมืองหลวงได้เกิดเหตุวุ่นวายขึ้น เนื่องจากฮ่องเต้ทรงสวรรคตลงด้วยโรคร้าย ท่านอ๋องเจ็ดกับท่านอ๋องห้าจึงต้องนำทัพ เข้าไปปราบปรามขุนนางชั่วที่ก่อกบฏ และปลดองค์รัชทายาทผู้ไร้ความสามารถลงจากบัลลังก์ ท่านอ๋องเจ็ดได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย ให้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้องค์ถัดไป เมืองหลวงที่เคยเต็มไปด้วยขุนนางชั่ว กลับถูกกำจัดทิ้งไปในเวลาเพียงสองปีกว่า แน่นอนว่าคนที่อยู่เบื้องหลัง คอยเฝ้าดูคนชั่วและชี้เป้าหมายความผิดได้อย่างแม่นยำ ยังเป็นเซี่ยซือซือคนเดิม แม้นางไม่ขอรับตำแหน่งใด ๆ เพราะอยากทำการค้าเพื่อความร่ำรวย แต่หากมีเรื่องสำคัญจริง ๆ อยากให้นางช่วย นางก็พร้อมช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ แม่ทัพโหย่วถูกย้ายมาเป็นแม่ทัพประจำเมืองหลวง ฮ่องเต้ได้มอบจวนให้เขาได้อยู่อาศัยอย่างสมเกียรติ และมอบตำแหน่งให้บุตรชายทั้งสอง โหย่วหยางหลงได้เป็นหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพร แม้เขาแขนพ
111 : ขับไล่ข้าศึก เซี่ยซือซือนอนไปได้เพียงหนึ่งชั่วยามเศษ ท่านอ๋องเจ็ดก็ส่งคนมาตามนางที่กระโจม ให้นางตรวจสอบดูสถานการณ์ที่ค่ายของข้าศึก เซี่ยซือซือใช้เวลาไม่นานก็พบว่าฤทธิ์ของยาเริ่มทำงาน ท่านหมอใช้ยาที่ทำให้ร่างกายอ่อนแรง ไร้รสไร้กลิ่นไร้สี ม้าศึกนับหมื่นตัวล้มเกลื่อนอยู่บนพื้น ส่วนทหารหนึ่งในสี่ต่างก็ลุกไม่ขึ้นเช่นกัน “ได้ผลเจ้าค่ะท่านอ๋อง แม้จำนวนที่ได้รับยาไม่มากนัก แต่ก็ทำให้กองทหารม้าทมิฬไร้อาชาสู้รบได้จริง ๆ” “เช่นนั้นดี ออกคำสั่งไปให้เตรียมตัวออกรบ ส่งข่าวให้ทางซื่อจื่อได้รู้ด้วย” ท่านอ๋องเจ็ดจะรุกฆาตข้าศึกในเช้านี้ เซี่ยซือซือตัดสินใจพูดเรื่องน้ำพุวิเศษกับท่านอ๋องเจ็ดตามลำพัง นางไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องนี้มากนัก แต่ทหารนับแสนนาย นางไม่สามารถลงมือคนเดียวได้ “เจ้าบอกว่าน้ำพุวิเศษสามารถทำให้กำลังวังชาเพิ่มขึ้นได้เช่นนั้นรึ” “เจ้าค่ะ ท่านลองดื่มดูก็ได้แต่แค่อึกเดียวพอนะเจ้าคะ มันช่วยในการรักษาเป็นหลัก ร่างกายคนปกติหากดื่มเกินหนึ่งอึก มันจะส่งผลเสีย” นางล้วงหยิบขวดน้ำพุวิเศษยื่นให้ท่านอ๋องเจ็ด ท่านอ๋องเจ็ดรับข
110 : กำจัดหน่วยสอดแนม ซื่อจื่อได้รับจดหมายเตือนแล้วถึงกับหน้าดำคล้ำในทันที หากไม่มีการเตือนจากฝั่งท่านอ๋องเจ็ด เขาคงไม่ได้สนใจข้าศึกที่แอบมาด้านข้างเป็นแน่ รีบออกคำสั่งให้ทหารหลักสามหมื่นนาย ดักซุ่มโจมตีข้าศึกที่จ้องทำลายคลังเสบียงในคืนนี้ ส่วนข้าศึกด้านหน้าที่แสร้งทำเป็นบุกโจมตี ก็ให้กองทัพย่อย ๆ ออกไปจัดการส่วนหนึ่ง ที่เหลือตรึงกำลังอยู่กับที่ ห้ามผลีผลามโดยเด็ดขาด ยามดึกทหารทั้งสองฝั่งต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ ถานจ้านนำทหารร้อยนาย ตามด้วยเซี่ยซือซือกับอาจารย์ฮู่ ลอบเข้าไปโจมตีหน่วยสอดแนมของอีกฝ่าย หนนี้พวกมันมากันเพียงสิบสองคน แบ่งออกเป็นสองกลุ่มกลุ่มละหกคน เซี่ยซือซือชี้เป้าให้พลธนูโจมตีได้อย่างง่ายดาย จากนั้นนางก็ปลีกตัวไปช่วยสามีกับอาจารย์ฮู่ หน่วยสอดแนมทั้งแปดกลายเป็นศพในเวลาอันรวดเร็ว “จุดพลุส่งสัญญาณ” นางสั่งทหารด้านหลัง ปัง ! ปัง ! ตามที่ตกลงกันไว้ หากพลุส่งสัญญาณดังขึ้น รุ่งเช้าทหารทุกนายต้องเดินทางลงจากเทือกเขาชิงเทียนอย่างเงียบ ๆ กลุ่มของถานจ้านจะเดินทางนำหน้าไปก่อน เพื่อที่จะได้ส่งสัญญาณบอกคนด้านหลังเป็นระยะ เป
109 : เข้าสู่สมรภูมิรบ เรือนโหย่วเสวี่ยหยา เซี่ยซานซานฝึกฝนวรยุทธ์กับคุณหนูสามจนเหนื่อยล้า นางกำลังนั่งกินขนมที่สาวใช้นำมาให้ ส่วนโหย่วเสวี่ยหยาขอตัวเข้าไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ความจริงนางชวนเซี่ยซานซานไปอาบน้ำด้วย แต่เซี่ยซานซานปฏิเสธไม่อยากรบกวน “เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่” เสียงนุ่มทุ้มของโหย่วหยางหลงดังขึ้นอยู่ด้านหลัง “คุณชายใหญ่” เซี่ยซือซือรีบลุกขึ้นโค้งศีรษะให้เขา “ข้าเห็นสาวใช้บอกว่าเสวี่ยหยามีแขก นึกว่าจะเป็นใครที่ไหนเสียอีก นั่งลงสิเจ้ากำลังกินขนมอยู่ไม่ใช่รึ” “เจ้าค่ะ” เซี่ยซานซานไม่อยากอยู่กับคนผู้นี้ตามลำพัง นางเหมือนเด็กน้อยขี้ขลาด มองไปทางประตูห้องของโหย่วเสวี่ยหยาตลอดเวลา “เหตุใดถึงไม่นั่ง รังเกียจข้ารึ” “มะไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้านั่งแล้ว” นางไม่กล้ามองสบสายตากับเขาด้วยซ้ำ นั่งลงบนเก้าอี้อย่างจำใจ “กลัวข้ารึ” มุมปากของโหย่วหยางหลงกระตุกเบา ๆ นึกอยากแกล้งเด็กสาวคนนี้ขึ้นมา “เจ้ามาฝึกวรยุทธ์กับน้องสามของข้า เหตุใดไม่มาลองฝึกกับข้าดูบ้างล่ะ” “ข้าฝีมืออ่อนหัดนัก ไม่บังอาจไ
108 : รักษาท่านอ๋องห้า แม่เฒ่าจางกับเสี่ยวเป่าเริ่มปรับตัวเข้ากับทุกคนได้แล้ว นางคอยช่วยเหลืองานบ้านทุกอย่าง ไม่ทำตัวนิ่งดูดายแต่อย่างใด แม้ว่านางถานจะบอกให้อยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอันใด แต่ความเกรงใจของหญิงชรานั้นมีมากเหลือเกิน เซี่ยซือซือเลยปล่อยให้ท่านทำไป การอยู่เฉย ๆ จะยิ่งทำให้รู้สึกเครียด นางคอยกำชับแม่เฒ่าจางว่า นางมีเงินสามารถเลี้ยงดูทั้งคู่ได้ ไม่ต้องคิดว่านางจะลำบาก แม่เฒ่าจางถึงได้วางใจ “ท่านพี่ข้าไปหาคุณหนูสามได้หรือไม่” เซี่ยซานซานอยากเจอหน้าโหย่วเสวี่ยหยา นางอยากรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไร ถอนหมั้นไปแล้วทางซื่อจื่อจะตำหนินางหรือไม่ “อืม” เซี่ยซือซือคิดหนักเพราะนางต้องไปทำงานนี่สิ “ไปเพิ่มอีกคนคงไม่เป็นไรหรอกซือซือ” ถานจ้านหน้าน้องสาวภรรยาแล้วรู้สึกสงสาร “แล้วน้องเล็กล่ะ” เซี่ยซือซือมองหาน้องชายบ้าง เพราะปกติเซี่ยซานซานจะเป็นคนคอยดูแลเขา เซี่ยซานซาน “เขาเล่นอยู่กับเสี่ยวเป่าหลังบ้านเจ้าค่ะ มีหนิงเซียนคอยดูอยู่” “เจ้าเข้าไปบอกท่านแม่ไว้ก่อน เผื่อไม่เห็นเจ้าท่านจะเป็นห่วงเอา” “ได้ท่านพี่” เซี่ยซา
107 : คุณชายเริ่นก้งเยว่กับพี่หญิงใหญ่ วันต่อมาโรงประมูลหยางชุนกระจายข่าวออกไปอย่างหนาหู ว่าคุณชายเริ่นก้งเยว่ได้นำของล้ำค่ามาร่วมประมูล ผู้คนต่างแห่มาซื้อตั๋วเข้าชมกันอย่างล้นหลาม รวมไปถึงคนในจวนท่านอ๋องห้าด้วย “เจ้าแน่ใจนะว่าข้าเหมือนสตรีแล้ว” สตรีร่างสูงอย่างถานจ้านเริ่มรู้สึกประหม่า เขาแอบออกมาแต่งตัวที่โรงเตี๊ยมด้านนอก เพราะไม่อยากให้คนในบ้านรู้เรื่องนี้ “พี่หญิงใหญ่เหตุใดไม่เชื่อมือข้าล่ะขอรับ” เซี่ยซือซือที่อยู่ในชุดของคุณชายเริ่นก้งเยว่กลั้นขำแทบตาย นางถักเปียทำมวยผมให้เขาอย่างน่ารัก ใบหน้าแต่งแต้มเครื่องสำอางอย่างสวยงาม “พี่หญิงใหญ่ท่านงามมากขอรับ บุรุษในโรงประมูลต้องคลั่งไคล้ท่านแน่” ถานจ้าน “...!?” เขามองพ่อหนุ่มน้อยหน้าตาเกลี้ยงเกลาตรงหน้า นางจะรู้บ้างไหมว่าแต่งเช่นนี้แล้วดึงดูดสายตาผู้คนยิ่งนัก “เจ้ารีบสวมหมวกเถอะ” เขาหยิบหมวกใบใหญ่ครอบลงบนศีรษะของนาง ก่อนจะสวมให้ตัวเองอีกด้วย หากเซี่ยซือซือไม่บอกว่านางสวมหมวกปิดบังใบหน้า ไว้ตลอดเวลาที่ปลอมตัวเป็นคุณชายเริ่นก้งเยว่ เขาคงห้ามไม่ให้นางเข้าไปยังโรงประมูลแล้ว ก่อนหน้
106 : เสี่ยวเป่า นั่นเจ้าใช่ไหม ! รถม้าวิ่งช้า ๆ ผ่านถนนที่มีขอทานกับคนไร้บ้านรวมตัวกันอยู่ เซี่ยซือซือไม่อยากให้น้องชายของนาง เห็นภาพน่าเวทนาเหล่านี้ นางอยากพาเขากลับเข้าไปนั่งในรถม้า แต่ไม่มีที่ให้จอดรถม้าได้อย่างปลอดภัย หากจอดไปแล้วเกรงว่าคนไร้บ้านเหล่านี้ จะกรูกันเข้ามารุมทึ้งรถม้าของนางเข้า จึงต้องให้เขานั่งอยู่บนตักของนางต่อไป เซี่ยซือหยางกินขนมในมือแล้วมองสองข้างทางไปด้วย เขาเห็นคนยากไร้นอนเกลื่อนข้างถนนเต็มไปหมด เขาได้แต่ถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า ก้มลงมองขาสั้น ๆ กับนิ้วมือป้อม ๆ ของตัวเอง จะไปช่วยเหลืออันใดผู้อื่นได้ “แต่เอ๋ ?” เขาหันกลับไปมองดูอีกที ขนมในมือถูกปล่อยทิ้งลงพื้น ลุกขึ้นยืนหันหน้ามองไปยังด้านหลัง “น้องเล็กอันตรายอย่าลุก” เซี่ยซือซือจับเขาเอาไว้แน่น ๆ แต่เหตุใดเขาถึงได้ดิ้นรน อยากมองไปด้านหลังเช่นนี้ “เสี่ยวเป่า นั่นเจ้าใช่ไหม !” ถานจ้านถึงกับค่อย ๆ หยุดรถม้าลง เขาหันไปมองหน้าเซี่ยซือหยางด้วยความแปลกใจ “เสี่ยวซือหยางเจ้าเรียกใคร” “เหมือนข้าจะเห็นเสี่ยวเป่า” เขาพูดคล้ายไม่แน่ใจ “เสี่ยวเป