ลี่อินเลิกถามบุตรสาวแล้วว่านางรู้วิธีทำได้อย่างไร แต่หันมาช่วยเหลือนางแทน เมื่อเห็นว่ากระทะใบใหญ่ที่นางหาได้ร้อนกำลังดี จือหลินจึงให้มารดาเทน้ำที่กรองเรียบร้อยแล้วลงในกระทะเพื่อต้ม
นางไม่ได้อยู่เฝ้าตลอดเวลา แต่หันไปเก็บเรือนต่อแทน เพราะเกลือต้องต้มจนกว่าน้ำทั้งหมดจะระเหยไปจนเหลือเพียงเกล็ดเกลือสีขาวเท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลานั่งเฝ้า
จือหลินลงมือถางหญ้ารอบเรือน โดยมีลี่อินที่ร่างกายเริ่มใช้แรงได้แล้วแต่ก็ยังไม่มาก เก็บกวาดภายในเรือน
เพียงครึ่งวันก็ทำได้ไม่ถึงครึ่ง ทั้งสองจึงหยุดมือแล้วรับประทานอาหารเพื่อเพิ่มพลังเสียก่อน
“ท่านแม่ท่านดูฟืนด้วยนะเจ้าค่ะ” จือหลินร้องบอกมารดาให้ดูฟืนอย่าให้มอด ก่อนที่นางจะออกจากเรือนไปเก็บฟืนที่ตีนเขาไม่ไกลจากหลังบ้าน
“ยังไม่ตายอีกรึ” เสียงด้านหลังดังขึ้น
ทำให้จือหลินที่กำลังก้มเก็บฟืนอยู่ต้องหันกลับไปมองอย่างสงสัย ตะวันตรงหัวเช่นนี้ยังมีผู้ใดออกมาหาฟืนเช่นนางอีก
“แล้วเห็นหรือไม่เล่าว่าข้าตายหรือไม่” เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดจือหลินจึงสวนกลับไปอย่างไม่ยอม
“หึ ปากดีเช่นนี้สมควรตายไปเสีย” อี้เฉินจ้องมองจือหลินด้วยแววตาที่ดุดัน
“เช่นนั้นหรือ หากผู้อื่นรู้ว่า เด็กน้อยเช่นเจ้าคิดจะฆ่าคนจะเกิดสิ่งใดขึ้น” จือหลินกอดอกพูดอย่างท้าทาย
“เจ้ากล้ารึ” อี้เฉินตวาดกลับเสียงดัง
“จะลองดูหรือไม่เล่า ชื่อเสียงของเจ้าคงมีแต่คนไม่กล้ามาสู่ขอ” จือหลินรู้ดีว่าชื่อเสียงของสตรียุคนี้สำคัญมากเพียงใดจึงนำมาใช้ขู่อี้เฉิน
แล้วก็ได้ผลเมื่ออี้เฉินทำหน้าประหลาดออกมาจากไม่เชื่อว่าจือหลินจะกล้าข่มขู่นาง
“ผู้ใดจะเชื่อเจ้า มารดาของเจ้ากล้าอ้าขาให้บุรุษที่ใดก็ไม่รู้กระทำจนตั้งท้อง คลอดเด็กเช่นเจ้าออกมา” อี้เฉินตอบโต้กลับอย่างเผ็ดร้อน ยิ่งเห็นใบหน้าของจือหลินที่สลดลงนางก็เริ่มพ่นคำหยาบคายออกมาไม่ยั้ง
“โอวโยว แม่หนูเฉิน ผู้ใดสอนเจ้าให้พูดเช่นนี้ออกมาได้”
“เป็นเพียงแม่นางน้อยพูดเรื่องเช่นนี้ไม่อายปากเลยหรือ”
เพราะจือหลินเห็นชาวบ้านที่กลับเรือนไปพักผ่อนกำลังกลับไปที่นาของตนนางจึงยอมปล่อยให้อี้เฉินพ่นคำพูดน่ารังเกียจออกมาได้อย่างเต็มที่
"ไม่ใช่นะเจ้าค่ะ ข้ามิได้พูด" อี้เฉินรีบส่ายหน้าอย่างลนลาน
นางเป็นหลานสาวของผู้นำหมู่บ้านต่อไปบิดาของนางก็จะเป็นผู้นำหมู่บ้าน หากชาวบ้านเอาเรื่องนี้ไปฟ้องท่านปู่และบิดา นางต้องโดนลงโทษเป็นแน่
บิดาของนางยิ่งไม่ได้รักใคร่มารดาของนางอยู่ด้วย ที่ต้องแต่งกลับมารดาของนางเพราะผิดหวังจากมารดาของจือหลิน ผู้ใหญ่ทั้งสองตระกูลจึงเปลี่ยนตัวเจ้าสาว
“ข้าได้ยินกับหู คงต้องบอกบิดาเจ้าให้สั่งสอนเสียแล้ว” อี้เฉินตื่นตระหนกจนทำสิ่งใดไม่ถูก นางที่กำลังร้องห้ามก็ไม่ทันเสียแล้วเพราะชาวบ้านเดินจากไปไกลแล้ว
ก่อนที่ชาวบ้านจะเดินจากไปยังส่งสายตาเห็นใจมาทางจือหลินอีกด้วย
“เจ้า เจ้า เหตุใดถึงไม่บอกข้าว่ามีผู้อื่นเดินมาทางนี้” อี้เฉินหันมาโทษจือหลินแทน
“แล้วเหตุใดข้าต้องเตือนเจ้าด้วยเล่า” จือหลินยกยิ้มเยาะเย้ยนาง
อี้เฉินที่ทำอันใดไม่ได้ ก็กระทืบเท้าอย่างอารมณ์เสียก่อนจะวิ่งกลับเรือนไป จือหลินนางหยิบก้อนหินเล็กๆ ขึ้นมาแล้วดีดออกไปที่ข้อเท้าของอี้เฉินอย่างแม่นยำ
“โอ๊ย” อี้เฉินล้มกระแทกลงพื้น นางส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ก่อนจะหันมาทางจือหลิน เพื่อกล่าวโทษนาง
แต่ตัวของจือหลินก็อยู่ไกลเกินกว่าที่จะยื่นขาไปสกัดให้นางล้มได้ และยิ่งเห็นท่าทางของจือหลินที่ยักไหล่อย่างไม่สนใจก็ยิ่งทำให้โทสะของอี้เฉินพุ่งขึ้นสูง
ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ต่างเดินเข้ามาดูว่าอี้เฉินได้รับบาดเจ็บมากเพียงใดหรือไม่ แต่เมื่อเห็นเพียงหัวเข่าของนางแตกก็คิดจะเดินจากไป แต่อี้เฉินกลับลุกขึ้นยืนไม่ได้ ข้อเท้าของนางที่ถูกก้อนหินของจือหลินดีดใส่บวมเป่งอย่างน่ากลัว
“นางทำข้าเจ้าค่ะ” อี้เฉินฟ้องชาวบ้านที่เขามาช่วยเหลือนางทันที
“แม่หนูเฉิน หลินเออร์จะทำเจ้าได้อย่างไร นางยืนอยู่ไกลเสียขนาดนั้น” ชาวบ้านต่างส่ายหัวให้อี้เฉินที่ล้มเองแล้วยังโทษผู้อื่น
อี้เฉินที่ยังเป็นเด็กไม่ต่างจากจือหลินก็ไม่รู้จะทำเช่นใดได้แต่ร้องออกมาอย่างคับแค้นใจ
ชาวบ้านที่พาอี้เฉินไปส่งเรือนก็เล่าตามเหตุการณ์ที่พวกตนได้เห็น จางอู๋จ้องหน้าบุตรสาวอย่างไม่สบอารมณ์ยิ่งรู้คำพูดนางที่ต่อว่าจือหลินเขาก็ยิ่งโมโห
“อยู่แต่ในเรือนเสีย หากออกไปแล้วก่อแต่เรื่อง” จางอู๋เดินสะบัดแขนเสื้อออกจากเรือนไปทันที
จางอู๋เขาเป็นคนรักเก่าของลี่อิน และไม่เคยเชื่อเรื่องที่นางยินยอมไปหลับนอนกับผู้อื่น วันที่เกิดเรื่องเขายังไปถามจากปากของนางด้วยตนเอง
ยิ่งรู้ว่าเป็นจินฮวาที่หลอกนางไปก็โกรธแค้นถึงขั้นจะไปเอาเรื่อง แต่เรื่องนี้ก็ถูกผู้อาวุโสคัดค้าน เพราะไม่มีหลักฐานที่จะไปเอาความผิดกับจินฮวาได้ อีกอย่างทั้งสองตระกูลมีสัญญาหมั้นหมายกันผู้อาวุโสต้องทำตามบรรพชนก่อนที่ให้สัญญาไว้ เขาจึงต้องแต่งกับจินฮวาอย่างเลี่ยงไม่ได้
แม้จะแต่งนางเข้ามาแล้ว เขาที่รังเกียจนางก็ไม่อาจร่วมหอกับนางได้ แต่จินฮวาก็ใช้เล่ห์ของนางวางยากำหนัดเขาจนตั้งครรภ์เป็นจางอี้เฉินขึ้นมา
จางอู๋ที่เดินออกมาจากเรือนอย่างหัวเสียก็คิดอยากจะไปดูสองแม่ลูกที่ท้ายหมู่บ้าน แต่ก็ถูกจินฮวาที่รู้ทันขัดขวางไว้ โดยนางขู่ว่าถ้าหากเขาไปหาสองแม่ลูกที่เรือน นางจะบอกชาวบ้านว่าทั้งคู่คบชู้กัน เพื่อให้สองแม่ลูกอยู่ที่หมู่บ้านต่อไปอีกไม่ได้
จางอู๋จ้องมองใบหน้าของจินฮวาเหมือนอยากจะฆ่านางเสียให้ตายก่อนจะเดินกลับเข้าเรือนไป
จินฮวานางร่ำไห้ออกมาอย่างปวดใจ ไม่รู้ว่าการที่นางแย่งคนรักมาจากญาติผู้น้องคือสิ่งที่นางคิดถูกหรือไม่ แต่เมื่อนึกถึงความชอกช้ำที่ลี่อินได้รับนางก็เช็ดน้ำตาอย่างนึกสะใจ แล้วกลับเข้าไปดูบุตรสาวแทน
จือหลินไม่ได้รับรู้เรื่องราวหลังจากนั้น เมื่ออี้เฉินถูกชาวบ้านพากลับไป นางก็รีบเร่งมือเก็บฟืนกลับเรือน เพื่อไปดูเกลือที่นางต้มไว้แต่กว่าที่เกลือจะเสร็จก็เกือบฟ้ามืดเสียแล้ว ลี่อินเข้ามาช่วยบุตรสาวขนฟืนเข้าไปห้องครัวจือหลินเติมฟืนเข้าเตาเพื่อเร่งฟืนในช่วงสุดท้าย น้ำในกระทะเริ่มเป็นเกลือขาวโผล่มาให้เห็นแล้ว จือหลินใช้ทัพพีช้อนเกลือที่เป็นเม็ดขึ้นมาใส่กระด้งที่มารดาหามาให้นางน้ำที่ยังไม่ระเหยในกระทะนางก็ปล่อยไว้เช่นนั้น ก่อนที่จะหันมาเกลี่ยเกลือเพื่อให้คายความร้อนไว้ขึ้นนางจะได้เก็บเข้าไห ป้องกันคนที่มาหาที่เรือนพบเห็นเขาแต่ส่วนน้อยที่จะมีผู้ใดมาหานางทั้งสองคนแม่ลูก แต่กันไว้ก่อนย่อมดีกว่า เพราะเกลือเป็นสินค้าต้องห้าม หากมีคนล่วงรู้ว่านางสามารถทำเกลือขึ้นมาได้ต้องเกิดเรื่องใหญ่เป็นแน่ลี่อินมองเกลือที่เสร็จแล้วในกระด้งอย่างตกตะลึง นางไม่คิดว่าเพียงดินที่บุตรสาวนำกลับมาจะได้เกลือออกมาเช่นนี้ ถึงแม้น้ำที่เกือบเต็มกระทะจะต้มออกมาได้ไม่มากอย่างที่คิด แต่เท่านี้ก็มากพอกับทั้งชีวิตที่นางได้กินมาเสียอีก“หลินเออร์ หากมีผู้ใดรู้เข้าเจ้าต้องเป็นอันตรายแน่” ลี่อินพูดขึ้นอย่างกังวล“ข้าไม่พูด ท
จือหลินดวงตาของนางเปล่งประกายเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่บนผนังของถ้ำ ก่อนนางจะเงยหน้าหัวเราะเสียงก้องสะท้านไปทั่วถ้ำอย่างบ้าคลั่งหากมีผู้ใดผ่านมาบริเวณถ้ำที่นางอยู่คงได้ตกใจเสียงนางจนวิ่งหนีไปแน่ แม้แต่นกที่เกาะอยู่ตามต้นไม้ใกล้ๆ ถ้ำ ยังต้องบินหนีด้วยความตกใจจือหลินหาที่เหมาะๆ ปักคบไฟของนาง ก่อนจะนำมืดที่อยู่ด้านหลังตะกร้าออกมาเพื่อจัดการกับสิ่งที่นางพบเจออย่างน้อยสวรรค์ก็ไม่ได้กลั่นแกล้งนางมากเกินไป ยังพาให้นางมาพบ ‘เห็ดหลินจือ’ มากมายหลายดอก“ฮ่า ฮ่า ชื่อข้าจือหลิน ข้าถึงได้มาเจอเห็ดหลินจือ” จือหลินนางพูดกับตนเองราวกับคนเสียสตินางเก็บเห็ดลงมาจากผนังอย่างเบามือ พร้อมกับฮัมเพลงอย่างสบายใจ แม้นางจะเรียนแพทย์แผนปัจจุบันไม่ใช่แพทย์แผนจีน แต่ความรู้เรื่องสมุนไพรนางก็พอมีติดตัวหลินหลินจือที่นางพบบางดอกมีอายุหลายร้อยปี บางดอกนับพันปีก็มี หากมองไปตามผนังถ้ำดีๆ จะพบรากของต้นไม้ที่แห้งตายมาเป็นเวลานานจึงทำให้เกิดเห็ดหลินจือขึ้นมาได้จือหลินมิได้เก็บไปทั้งหมดในทันที ถ้ำแห่งนี้ไม่มีผู้ใดรู้ถึงการมีอยู่ของมัน นางค่อยขึ้นมาเก็บในภายหลังก็ยังได้ นางเลือกเก็บไปสีละสองดอก เพื่อดูว่าในยุคนี้สีใดขายได้เง
รุ่งเช้าสองแม่ลูกก็ตื่นมาอย่างสดชื่น เมื่อทานมื้อเช้าเรียบร้อยต่างก็ช่วยกันนำเห็ดที่จือหลินหั่นไว้เมื่อวานไปตากแดดทันที“ท่านแม่ข้าจะเข้าเมืองต้องเดินทางไปเช่นไรเจ้าคะ” จือหลินเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อจัดการนำเห็ดตากแดดแล้ว“หากเจ้าขึ้นเกวียนวัวหน้าหมู่บ้านก็ต้องรีบเตรียมตัวแล้ว” ลี่อินขมวดคิ้วคิดเพราะว่านางก็ไม่ได้เมืองมานับสิบปีแล้ว หมู่บ้านไห่เหอ อยู่ห่างจากเมืองกว่างซียี่สิบลี้ (1ลี้=500เมตร) หากเดินเท้าก็ต้องมีถึงหนึ่งชั่วยาม หากนั่งเกวียนวัวก็เพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้นหมู่บ้านไห่เหอมีลุงจงเป็นผู้ขับเกวียนรับส่งคนในหมู่บ้าน โดยมีค่านั่งเกวียนคนละสองอิแปะ (ค่าเงินในยุคนั้น) เพราะระยะทางไปกลับเพียงครั้งละหนึ่งชั่วยามเท่านั้น ลุงจงจึงว่งเกวียนไปกลับไปวันละสองรอบหากจือหลินนางจะเข้าเมืองวันนี้ก็คงต้องเตรียมตัวออกจากเรือนได้แล้ว จือหลินจึงเก็บเห็ดหลินจือที่ผึงแห้งแล้วใส่ลงในถุงที่มารดาเตรียมไว้ให้ ก่อนจะรีบแบกตะกร้าออกจากเรือนไปอย่างรวดเร็วลี่อินต้องวิ่งออกมาจากเรือนเพื่อนำเงินให้จือหลินติดตัวไปเป็นค่าเกวียนและค่าเข้าเมือง เพราะนางรีบร้อนจนลืมแม้กระทั่งจะขอเงินจากมารดา“อ้าวหลินเออร์ เจ้าจ
ยิ่งได้เห็นแววตาที่จ้องมองเขาราวกับพยัคฆ์รอขย้ำเหยื่อ เขาก็อดสะท้านในอกวูบหนึ่งไม่ได้ หากบอกราคาที่นางไม่พอใจ นางคงไปร้านอื่นทันทีแต่แววตาของนางที่มองเขาอยู่ในยามนี้ ช่างให้ความคุ้นเคยที่ประหลาด แต่เขาก็ตอบไม่ได้ว่าเคยเห็นแววตาที่คล้ายกับนางจากที่ใด“ข้าหมอหวง เจ้าเล่าชื่อแซ่อันใด”“ข้าแซ่ฟู่ นามจือหลิน เจ้าค่ะ” จือหลินลุกขึ้นคารวะหมอหวงอย่างนอบน้อม ตามแบบซีรีส์ที่เคยผ่านตานางมา“เช่นนั้นสองพันตำลึงทองเจ้าพอใจหรือไม่” จือหลินลองคคิดค่าเงินคร่าวๆ จากที่นางจ่ายค่าเกวียนและค่าเข้าเมืองอย่างใช้ความคิด“สองพันห้าร้อยตำลึงทอง ข้าให้เจ้าเต็มที่แล้ว” หมอหวงที่เห็นจือหลินขมวดคิ้วคิดก็คิดว่านางไม่พอใจกับราคาที่เขาให้จึงกัดฟันเพิ่มให้นางอีกห้าร้อยตำลึงทอง“เจ้าค่ะ แล้วถ้าดอกนี้เล่า” จือหลินเมื่อได้ราคาที่นางพอใจก็เริ่มหยิบดอกสีดำกับสีม่วงออกมาอย่างละดอก“สวรรค์ เจ้า เจ้า โชคดีเกินไปแล้ว” หมอหวงกระโดดลุกจากเก้าอี้อย่างตกใจ เมื่อเห็นเด็กน้อยนำเห็ดหลินจือออกมาอีกสองดอก“เจ้าต้องการให้ข้าตกใจจนตายหรือ” เขาถลึงตามองจือหลิน เมื่อเห็นนางขบขันกับท่าทางตกใจของเขา“เหอะ หากมีอีกก็รีบเอาออกมาให้หมดเสีย ข้
จือหลินเมื่อเข้ามาในเรือนแล้ว นางก็นำสิ่งของออกมา ก่อนที่จะส่งถุงในใหญ่ที่เดิมที่ใส่เห็ดหลินจือ แต่ตอนนี้บรรจุตั๋วเงินจนแน่นขนัดให้ลี่อิน“สวรรค์ มากถึงเพียงนี้” ลี่อินไม่รู้ว่าเงินมีมากเท่าใด แต่นางดูจากจำนวนตั๋วเงินที่เห็น“ทั้งหมด สองหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบห้าตำลึงทองเจ้าค่ะ”เมื่อจือหลินพูดจบ ตั๋วเงินในมือของลี่อินก็ร่วงหล่นเต็มพื้น จือหลินส่ายหน้าก่อนจะก้มเก็บตั๋วเงินทั้งหมดใส่ถุงตามเดิม“ท่านแม่ ท่านดื่มน้ำเสียก่อน” จือหลินรินน้ำส่งให้ลี่อิน“หากผู้ใดรู้เข้าคงได้มาขโมยไปจนหมดแน่” ลี่อินเอ่ยพูดอย่างลนลาน“หากท่านทำอาการเช่นนี้ต่อหน้าผู้อื่นคงได้มีคนสงสัยเป็นแน่เจ้าค่ะ” จือหลินกลอกตาอย่างเหนื่อยใจ เรือนของนางนอกจากชาวบ้านที่อยู่ใกล้ไม่กี่หลังก็ไม่มีผู้ใดคิดจะมาจือหลินนำตั๋วเงินไปเก็บไว้ที่ห้องของนาง เพราะหากให้มารดาเป็นผู้เก็บเห็นทีคืนนี้นางคงนอนไม่หลับเป็นแน่“ท่านแม่ข้าจะนำเห็ดดอกเล็กไปท่านปู่จง ท่านป้าหลิว และท่านป้าหั่ว เจ้าค่ะ”ลี่อินนางพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เพราะทั้งสามเรือนล้วนแล้วแต่หยิบยื่นสิ่งของให้นางสองคนแม่ลูกอยู่เสมอจือหลินเอ่ยเตือนมารดาไม่ให้ทำท่าทางประหลาดก่อ
เมื่อส่งทุกคนกลับไปแล้วจือหลินก็เดินหน้าเรียบเฉยเข้าไปในเรือน ชาวบ้านพวกนี้ช่างทำให้นางเสียอารมณ์ยิ่งนัก“ท่านแม่ หรือว่าพวกเราจะออกไปอยู่ที่อื่นดีเจ้าคะ” จือหลินเอ่ยถามมารดา“จะไปอยู่ที่ใดเล่า” เรื่องนี้ไม่ใช่ว่านางไม่เคยคิดนางต้องทนอยู่ในหมู่บ้านให้คนนินทารังเกียจมานับสิบปี ที่ไปไหนไม่ได้เพราะไม่มีเงิน แต่เมื่อมีเงินก็ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ใด นางเคยไปไหนไกลจากหมู่บ้านนอกจากในเมืองครั้งนั้นเสียที่ไหนเล่า“เอาไว้ค่อยว่ากันเจ้าค่ะ” จือหลินก็ไม่รู้ถึงความเป็นอยู่แต่ละเมืองเสียด้วย และไม่รู้ว่าจะไปถามผู้ใดดีสองแม่ลูกแยกย้ายกันเข้านอน จือหลินที่กำลังจะเข้าสู่ห้วงความฝันก็ได้ยินเสียงสัญญาณที่นางไม่ได้ยินมานานแล้วขึ้น“ระบบกำลังประมวลผล” จือหลินเด้งตัวขึ้นจากที่นอนทันที“โปรดยืนยันตัวตน”“จือหลิน” นางรีบร้องตอบทันที“ยืนยันตัวตน ยินดีต้อนรับการกลับมาจือหลิน” นางไม่รู้ว่าในตอนนี้รู้สึกดีใจมากเพียงใดเมื่อได้ยินเสียงสวรรค์อีกครั้วแต่ก่อนที่จือหลินจะเข้าไปสำรวจภายในห้วงมิติของนาง ด้านนอกก็มีเสียงค้นหาสิ่งของดังขึ้น จือหลินรีบนำถุงใส่ตั๋วเงินและเห็ดหลินจือที่ยังเหลืออยู่เก็บเข้าไปในมิติทันทีนา
พ่อแม่ของต้าจูต่างเข้ามาขอร้องสองแม่ลูกไม่ให้ส่งเรื่องให้ทางการ ต้าจูในยามนี้ได้ยินสิ่งที่จือหลินพูดก็เป็นลมหมดสติไปเสียแล้วจินฮวานางก็แข้งขาอ่อนเมื่อได้ยินว่าจะส่งตัวต้าจูให้ทางการ หากเขาถูกจับไปจริงนางก็คงไม่พ้นความผิดเป็นแน่เป็นนางที่พูดยุยงให้ต้าจูที่กำลังหาเงินไปใช้หนี้พนันมาขโมยเห็ดหลินจือที่เรือนของสองแม่นาง นางอิจฉาในความโชคดีที่สองแม่ลูกได้รับ แต่ไม่คิดว่าต้าจูจะโง่ถึงขั้นล้มจนมีแทงตัวเองได้เช่นนี้อี้เฉินก็เดินเข้ามาประคองมารดาไว้ จางอู๋จ้องมองจินฮวาอย่างดุดัน หากต้าจูไม่โง่ล้มลงเสียก่อนเข้าไม่อยากจะนึกว่าสองคนแม่สองที่อ่อนแอจะเป็นเช่นใดลี่อินที่เห็นสายตาห่วงใยของจางอู๋นางก็ก้มหน้าลงโดยไม่กล้ามอง นางรู้ว่าเพราะความหึงหวงจึงทำจินฮวาทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาแม้ว่านางกับจางอู๋จะไม่ได้พบเจอหรือพูดคุยกันแล้ว แต่จินฮวานนางก็ยังไม่ยอมเลิกรา ลี่อินจึงคิดเรื่องที่บุตรสาวถามเรื่องที่ย้ายไปอยู่อีกครั้งขึ้นมา“ช่างเถิดเจ้าค่ะ ข้ากับหลินเออร์จะย้ายไปอยู่ที่อื่น” ลี่อินเอ่ยออกมาด้วยเสียงอันเบา“อาอิน” ชาวบ้านรวมทั้งจางอู๋เอ่ยเรียกนางอย่างไม่อยากเชื่อหูตนเอง“ท่านพาต้าจูกลับไปรักษาตัวเถิด
จือหลินเข้าไปด้านในของมิติทันที นางยืนมองรอบๆ มิติอย่างคะนึงหา ไม่อยากจะเชื่อว่าในยามนี้ภายนอกล้วนไม่ต่างจากเมื่อก่อนเลยสักนิดนางเดินเข้าไปด้านใน ก่อนจะหยุดมองที่ห้องทดลองของนางอย่างเหม่อลอย ในยามนี้ได้แต่ถอนหายใจออกมา เพราะสิ่งของด้านในล้วนไม่อาจนำออกมาใช้ให้ผู้อื่นในภพนี้เห็นได้ อีกอย่างเหตุการณ์ในครั้งนั้นนางก็ไม่คิดอยากจะทดลองยาตัวใดขึ้นมาอีกเลยข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างที่นางนำเข้ามาล้วนอยู่ครบ จือหลินเดินไปล้มตัวลงนอนที่เตียงอย่างโหยหา ก่อนนางจะหลับตาที่เหนื่อยล้าลงแล้วเข้าสู่ความฝันอย่างรวดเร็วจือหลินไม่รู้ว่าตอนที่นางสะดุ้งตื่นนั้นเป็นเวลาเท่าใด แต่ที่นางตกใจตื่นเพราะได้ยินเสียงร้องของมารดา จือหลินรีบออกจากมิติทันทีเพื่อดูว่าเกิดสิ่งใดขึ้นก็พบมารดาที่วิ่งหานางพร้อมกับร้องเรียกไปทั่วเรือน“ท่านแม่ ข้าอยู่นี่เจ้าค่ะ” จือหลินเข้าไปหามารดาอย่างรวดเร็ว“หลินเออร์ หลินเออร์ เจ้าหายไปที่ใดมา แม่ แม่กลัวเหลือเกิน” ลี่อินคิดว่าต้าจูหรือจินฮวามาลักพาตัวบุตรสาวของนางไปเสียแล้วจือหลินที่ตกใจกับท่าทางของลี่อินก็ไม่รู้จะปลอบนางเช่นไร จึงได้สวมกอดมารดาไว้แน่นเพื่อให้นางวางใจลง ลี่อินก็กอ
จือหลินนางพาชิงชางเข้าไปภายในมิติ ชิงชางเมื่อรู้ตอนนี้ตนอยู่ที่ใดเขาก็อุ้มจือหลินเข้าไปในห้องของนางนางรู้ว่าเขาต้องการทำสิ่งใดกับนางก็อดที่จะเอ่ยถามอย่างสงสัยไม่ได้“ท่านอยู่ในขั้นใด”“ข้าเร่งเดินลมปราณ เพื่อวันนี้หลินหลิน”ชิงชางไม่ยอมบอกนางแต่เขากับจุมพิตนางอย่างดูดดื่มแทน จือหลินราวกับต้องมนต์เมื่อได้รับสัมผัสที่อ่อนโยนของเขาชิงชางไล้นิ้วไปตามเรือนร่างของนาง พร้อมทั้งปลดชุดของนางอย่างรวดเร็ว“เจ้างามยิ่งนักหลินหลิน” เมื่อได้เห็นเรือนร่างที่เปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้าของนาง เขาก็อดที่จะจ้องมองอย่างตกตะลึงมิได้จือหลินนางก็ไม่ได้มีท่าทีที่เขินอายเช่นหญิงสาวทั่วไป กลับใจกล้ากว่าที่เขาคิด เพียงนางช้อนสายตายั่วยวนเขา ชิงชางก็รีบปลดชุดออกด้วยมือที่สั่นเทาก่อนจะขึ้นคร่อมตัวนางพร้อมกับมอบจุมพิตที่ร้อนแรงเต็มไปด้วยไฟปรารถนา จือหลินโอบรอบคอของเขาไว้ พร้อมทั้งใช้มือที่ซุกซนของนางสัมผัสไปที่เครื่องเพศของเขาโดยตรง“หลินหลิน เจ้าช่าง ซุก ซนนัก” ชิงชางเอ่ยแสงสั่นเทาออกมาอย่างไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้จือหลินนางเงยหน้าขึ้นหัวเราะอย่างชอบใจเมื่อเห็นสีหน้าที่อดกลั้นของเขา แต่ต่อมานางก็รู้ตัวว่านางนั้นคิดผ
ภายในมิติผ่านมาได้สองปี แต่ด้านนอกเพียงผ่านไปแล้วสี่เดือนเท่านั้น ชิงชางก็คิดจะออกไปจัดการเรื่องของตนในวังหลวง แม้แต่ขั้นระดับเขาก็ไม่ให้จือหลินตรวจสอบนางก็ไม่ว่าอันใด พาเขาออกไปส่งด้านนอกอย่างที่เขาต้องการ ชิงชางมองจือหลินอย่างลึกซึ้งก่อนจะเดินจากไปโดยที่เขาไม่เอ่ยอันใดสักคำจือหลินยืนมองแผ่นหลังของเขาอย่างสะท้านในอก นางคิดว่าตัวนางไม่อยากยึดติดหรือหวังในตัวของชิงชางแล้วแต่ก็ยังอดเศร้าใจไม่ได้“ชางเออร์เจ้ากลับมาเสียที” หลีจิ้งมองบุตรชายที่รูปร่างและกลิ่นอายที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างแปลกใจ“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ลูกมีเรื่องจะพูดกับพวกท่าน”“หากเป็นเรื่องของหลินเออร์ พ่อเข้าใจ แต่เจ้าก็ต้องรู้ว่าต่อไปเจ้ามิอาจมีนางเพียงผู้เดียวได้”หลีจิ้งมองบุตรชายอย่างจริงจัง เพราะตัวเขาที่คิดจะมีเพียงอี้หนิงในวังหลังเพียงหนึ่งเดียวยังไม่อาจทำได้เขาจำต้องรับบุตรสาวของตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ทั้งผู้ที่เคยช่วยเหลือจนเขาได้นั่งในบัลลังก์ครั้งนี้ไว้อย่างเสียไม่ได้เพียงปีเดียวก็มีพระสนมมากถึงนับสิบคนแล้วชิงชางฟังคำพูดของบิดาหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด“ลูกไม่คิดจะเป็นฮ่องเต้เช่นเสด็จพ่อ ลูกต้องการออกเดิ
ชิงชางอับอายจนใบหูของเขาแดงก่ำ ตัวเขาจะเคยทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ที่ทำกับนางก็เป็นครั้งแรกของเขาเช่นกันแล้วสตรีเช่นนางกับพูดเรื่องเช่นนี้ออกมาได้อย่างไม่อายบอก หรือว่านางเคยถูกผู้ใดจุมพิตมาแล้วชิงชางยิ่งคิดก็ยิ่งเกิดอาการหึงหวง เขาเดินเข้าไปจับใบหน้าของนางไว้แล้วจุมพิตนางอีกครั้งอย่างรุนแรงแต่ครั้งนี้จือหลินนางตกตะลึงอย่างแท้จริง เพราะไม่คิดว่าชิงชางจะจุมพิตนางอีกครั้ง นางคิดว่าคำพูดของนางจะทำให้เขาเกิดอยากเปลี่ยนใจจือหลินกลับเป็นฝ่ายดึงรั้งคอของชิงชางไว้ แล้วเริ่มใช้เรียวลิ้นของนางหยอกล้อกับเรียวลิ้นของชิงชางแทนในตอนแรกชิงชางก็นิ่งชะงักอย่างตกตะลึง เขาไม่คิดว่านางจะจุมพิตได้ช่ำชองเช่นนี้ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นความรัญจวนที่นางมอบให้ทั้งสองไม่รู้ว่าตนจุมพิตกันนานเพียงใด แต่เมื่อจือหลินนางถอนริมฝีปากออก ชิงชางกลับอาลัยอาวรณ์อย่างไม่สิ้นสุด“หลินเออร์ เหตุใดเจ้า”“ท่านอยากจะรู้ว่าเหตุใดข้าถึงจุมพิตเป็นใช่หรือไม่”จือหลินนางจ้องมองเด็กน้อยตรงหน้าอย่างหยอกล้อ ก่อนจะเล่าเรื่องที่นางไม่ใช่คนในภพนี้ให้ชิงชางได้ฟังทั้งคู่เข้ามานั่งในห้องนั่งเล่นที่โซฟาแทนห้องทดลองของจือหลินนางบอกเล่า
บ่าวไพร่ในจวนตระกูลถานรวมทั้งองครักษ์ของชิงชางต่างแตกตื่นกันให้วุ่น เพราะเรื่องที่จือหลินและชิงชางหายตัวไปจากห้องนอนในเรือนของป๋อฉิวอย่างไร้ร่องรอยลี่อินที่ยังไม่หายดีก็ให้ตงฟางประคองตนมาที่ห้องของจือหลินอย่างร้อนใจจือหลินนางออกทันเห็นคนกำลังเข้าช่วยมารดาที่หมดสติอยู่ในห้องของนางพอดี“เกิดเรื่องใดขึ้นหรือเจ้าคะ” เสียงของนางทำให้ทุกคนหยุดนิ่งอยู่กับที่ คนที่มีสติที่สุดเห็นจะเป็นตงฟางที่วิ่งเข้ามากอดเอวพี่สาวไว้แน่น แล้วปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใครจือหลินต้องลูบหลังปลอบประโลมเขาอยู่พักใหญ่กว่าจะเงียบเสียงลง คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตงฟางต้องแสร้งเข้มแข็งมากเพียงใด เมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับพี่สาวของตน เพราะเขาต้องดูแลมารดาที่ล้มป่วยทั้งยังน้องชายคนเล็กที่เสียขวัญอีกด้วย“หลินเออร์ เจ้ากลับมาหาแม่แล้ว” ลี่อินเมื่อได้สติก็ลุกขึ้นดึงตัวบุตรสาวเข้ามาสวมกอดอย่างหวงแหนท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อบ่าวไปแจ้งว่าพบตัวจือหลินแล้วก็รีบร้อนเดินมาทันที“หลินเออร์” ผู้เฒ่าถานมองหลานสาวด้วยดวงตาที่เออคลอไปด้วยน้ำตาส่วนฮูหยินผู้เฒ่าถานเดินเข้ามาสวมดอกนางไม่ต่างจากที่ลี่อินทำเลย“พวกท่านใจเย็นก่
ภายนอกมิติต่างวิ่งวุ่นตามหมอกันไปทั่ว เพราะหลายวันแล้วที่จือหลินนางนอนอย่างไม่ได้สติ พวกเขาที่รอเวลาให้นางตื่นก็ไม่อาจทนรอได้อีกหมอที่มาตรวจก็ไม่อาจหาสาเหตุที่ทำให้จือหลินนางหมดสติเช่นนี้ได้ เพราะร่างกายของนางเหมือนกับคนที่หลับสนิทเท่านั้นหลีจิ้งเมื่อจัดการเรื่องภายในวังหลวงเสร็จสิ้นก็มารับอี้หนิงกับอวี่ซีกลับเข้าวังหลวง เพื่อสถาปนาตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้และฮองเฮาพระองค์ใหม่ป๋อฉิวถูกราชโองการแต่งตั้งเป็นเสนาบดีกรมกลาโหมทันทีที่หลีจิ้งขึ้นนั่งบัลลังก์ เขาไม่ได้รู้สึกยินดีกับตำแหน่งที่ได้จวนตระกูลถานยังไม่เปิดรับผู้คนที่เดินทางมาร่วมแสดงความยินดี เพราะบุตรสาวที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่ในเรือนของเขาชิงชางเมื่อช่วยบิดาจัดการเรื่องในวังหลวงเสร็จสิ้น ตัวเขาก็แทบจะอยู่ที่จวนตระกูลถานไม่ยอมขยับไปที่ใด ได้แต่นั่งเฝ้าจือหลินที่นอนหลับอยู่บนเตียงเขามักจะนำตำรา หรือเรื่องที่พบเจอมาตลอดที่ไม่ได้อยู่กับนางมาเล่าให้นางฟัง จนคนที่เข้ามาพบเห็นอกเห็นใจเขาไม่ได้ป๋อฉิวก็ไม่ทำใจไล่เข้ากลับวังไม่ลง จึงปล่อยให้เขานั่งพูดอยู่เช่นนั้น เรื่องร้านค้าของจือหลินก็ไม่มีปัญหา เพราะของที่นางทำไว้ยังมีอีกมาก ลี่อินที่
ป๋อฉิวไม่เคยเห็นด้านที่อ่อนแอเช่นนี้ของนาง เขาอดที่จะจุกในอกไม่ได้ สุดท้ายแล้วอย่างไรนางก็เป็นเด็กสาวที่ต้องการคนปลอบประโลมชิงชางกับหลีจิ้งทรุดตัวลงอย่างสิ้นแรง ทุกคนล้วนได้รับผลกระทบจากการระเบิดพลังครั้งนี้ของจือหลินแต่เพียงไม่นาน ร่างกายที่ทุกคนได้รับบาดเจ็บ แม้แต่โรคที่รักษาไม่หายเมื่อถูกแสงสีขาวของจือหลินต่างก็หายราวปาฏิหาริย์ เรื่องนี้ชาวเมืองที่หนีไม่ทันจากแสงก็รับรู้ได้เช่นกันชาวชราที่เดินกลับเรือนเขาไม่อาจวิ่งหนีได้เช่นคนหนุ่มสาว เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งร่างกายที่ทรุดโทรมก็กลับแข็งแรงขึ้นอย่างน่าประหลาดใจคนขอทานที่ขาหัก ล้มอยู่ที่พื้น เพราะโดนชนจนหนีไม่ทันก็กลับมาลุกขึ้นเดินได้เมื่อแสงสีขาวหายไปกลายเป็นที่ร่ำลือไปทั่ว ชาวเมืองทั้งหมดต่างออกจากเรือนเพื่อมารอแสงสีขาวอีกครั้ง แต่ก็ไม่เคยปรากฏขึ้นอีกเลยป๋อฉิวประคองบุตรสาวขึ้น ก่อนที่ทั้งคู่จะร่ำลาสองพ่อลูกกับจวนของตนไป“หลินเออร์” ชิงชางร้องเรียกนาง“ท่านจัดการเรื่องของท่านเถิด ข้าจะกลับจวนเพื่อไปดูมารดาและน้องชาย” จือหลินนางไม่ได้หันไปมองชิงชางเลยสักนิดจือหลินพูดจบนางก็หมดสติไปทันที เพราะการระเบิดพลังและการเลื่อนขั้นที่เกิดข
ป๋อฉิวจ้องมองฉีหลีเจียวอย่างโกรธแค้น ไม่รู้ว่าเมื่อคนของเขาไปถึงจวนตระกูลถานบุตรสาวจะออกจากการกักตัวแล้วหรือยังต่อให้ใบหน้าของเขาเรียบเฉยมากเพียงใด แต่ในอกของเขากับสะท้านอย่างหวาดกลัว กลัวว่าคนในตระกูลจะเคราะห์ร้ายไปกับเขาด้วยจือหลินนางมาถึงประตูวังหลวงเพียงลำพังหลังจากที่นางใช้ปราณรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดแล้วก็ออกเดินทางมาทันที“มีป้ายคำสั่งเข้าวังหรือไม่” ทหารหน้าประตูวังเอ่ยถามจือหลินเขามองนางอย่างแปลกใจ นางไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในวังหลวงหรือ จึงได้อาจหาญเข้ามาวังหลวงเช่นนี้“ไม่มี” นางเอ่ยเสียงเหยียบเย็น“กลับไปเสีย ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน” ทหารดึงกระบี่ออกมาข่มขู่จือหลินเพียงแค่นางปรายตาไปมอง ลมปราณในร่างของนางก็ทำให้ทหารที่กำลังถือกระบี่ข่มขู่นางกระเด็นถอยหลังไปกระแทกกับประตูวังจนหมดสติเสียงร้องตกใจของทหารที่อยู่รอบบริเวณนั้น วิ่งมาทางนาง เพื่อจัดการกับนางทันทีจือหลินโบกมืออย่างนึกรำคาญ นางไม่มีเวลามากพอที่จะเล่นสนุกกับพวกเขาฉีหลีเจียวดึงกระบี่ขององครักษ์ออกมาหวังจะบั่นคอป๋อฉิวอย่างมีโทสะ ก็ถูกองครักษ์ที่อยู่หน้าประตูคุกใต้ดินวิ่งเข้ามาแจ้งเรื่องผู้บุกรุก
จือหลินเดินลมปราณโดยไร้สิ่งรบกวน นางนั่งจนลืมวันลืมคืนเช่นเดิม ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด สิ่งที่จือหลินรับรู้ได้ครั้งนี้ ร่างกายของนางเลื่อนระดับได้เร็วขึ้นเพราะทนความเจ็บปวดจากลมปราณทั้งห้าที่ขยายใหญ่ขึ้นได้ ตัวนางจึงนั่งต่อไปเรื่อยๆ“หลินเออร์ บิดาเจ้าตกอยู่ในอันตราย” เสียงของชิงชางที่ออกมาจากหยกสื่อสารทำให้จือหลินนางหลุดออกจากการเลื่อนระดับดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำราวกับสัตว์ร้าย“บิดาข้าอยู่ที่ใด” น้ำเสียงของจือหลินที่สื่อสารกลับไปเต็มไปด้วยไอสังหาร จนชิงชางที่ถือหยกสื่อสารในมืออดสั่นสะท้านไม่ได้แรงโทสะของจือหลินเมื่อรู้ว่าบิดาของนางกำลังได้รับอันตราย ทำให้ค่ายกลที่ววางไว้ระเบิดออก เรือนของนางเสียหายไปกว่าครึ่ง ค่ายกลทั้งหมดถูกทำลายลงคนภายในจวนตระกูลถานรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือน ต่างพากันวิ่งมาที่เรือนของจือหลิน“คะ คุณหนู ท่านได้รับบาดเจ็บหรือไม่ขอรับ” พ่อบ้านถานคือคนแรกที่เขามาถามนางอย่างใจกล้า เพราะไม่มีบ่าวคนใดกล้าเดินเข้ามาใกล้นางในยามนี้นอกจากแววตาที่ลุกโชนไปด้วยโทสะของนางแล้ว ร่างกายของนางยังมีเปลวไฟแผดเผาไปทุกย่างก้าวที่นางเดิน“หลินเออร์/พี่หญิง” ลี่อินกับตงฟางเ
แต่ผู้ใดในจวนตระกูลถานจะคิด ว่าวันต่อมาดอกไม้มากมายก็ถูกส่งมาที่จวนตระกูลถาน พร้อมทั้งผู้ส่งขอไม่รับเป็นเงิน ขอแลกกับน้ำหอมเพียงหนึ่งขวดเท่านั้นผู้อาวุโสต่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมาเพียงจือหลินที่หัวเราะร่วนอย่างชอบใจ มีคนนำของมาให้เช่นนี้นางจะไม่รับไว้ได้อย่างไร แล้วก็แรกกับน้ำหอมเพียงขวดเดียวเท่านั้นจือหลินนางก็แสนจะฉลาด นำน้ำหอมจากภพของนางบรรจุลงในขวดกระเบื้องธรรมดาที่นางนำไปวางขาย มอบให้ผู้ที่ส่งดอกไม้มาให้ที่จวนกลายเป็นที่เลื่องลือไปทั่วเมืองหลวง เพราะน้ำหอมที่เขาได้ ไม่มีวางขายในเมืองหลวงตอนนี้วันต่อๆ มา ดอกไม้หาอยากที่มีกลิ่นหอมก็ถูกส่งมาที่จวนตระกูลถานมากมาย จนบ่าวในจวนไม่มีเวลาได้พักหายใจ เพราะถูกคุณหนูใช้ให้ทั้งเด็ด ล้าง ตาก ดอกไม้ทั้งหมดที่ได้มาจือหลินนางก็ไม่ได้ใช้เปล่าๆ นางมอบสินน้ำใจให้อย่างเต็มที่ บ่าวในเรือนแม้จะเหนื่อยเพิ่มแต่ก็ยินยอมทำอย่างไม่ปริปากบ่นถึงแม้นางจะมีดอกไม้ไว้ทำน้ำหอมจำนวนมากแล้ว แต่น้ำหอมที่นำออกวางขายก็ยังมีเท่าเดิม ยิ่งทำให้สินค้าของนางกลายเป็นที่พูดถึง จนพ่อค้าจากต่างแคว้นและหัวเมืองอื่นๆ เดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อมาทำการค้ากับนางแต่ราคาที่จือหล