รุ่งเช้าสองแม่ลูกก็ตื่นมาอย่างสดชื่น เมื่อทานมื้อเช้าเรียบร้อยต่างก็ช่วยกันนำเห็ดที่จือหลินหั่นไว้เมื่อวานไปตากแดดทันที
“ท่านแม่ข้าจะเข้าเมืองต้องเดินทางไปเช่นไรเจ้าคะ” จือหลินเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อจัดการนำเห็ดตากแดดแล้ว
“หากเจ้าขึ้นเกวียนวัวหน้าหมู่บ้านก็ต้องรีบเตรียมตัวแล้ว” ลี่อินขมวดคิ้วคิด
เพราะว่านางก็ไม่ได้เมืองมานับสิบปีแล้ว หมู่บ้านไห่เหอ อยู่ห่างจากเมืองกว่างซียี่สิบลี้ (1ลี้=500เมตร) หากเดินเท้าก็ต้องมีถึงหนึ่งชั่วยาม หากนั่งเกวียนวัวก็เพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น
หมู่บ้านไห่เหอมีลุงจงเป็นผู้ขับเกวียนรับส่งคนในหมู่บ้าน โดยมีค่านั่งเกวียนคนละสองอิแปะ (ค่าเงินในยุคนั้น) เพราะระยะทางไปกลับเพียงครั้งละหนึ่งชั่วยามเท่านั้น ลุงจงจึงว่งเกวียนไปกลับไปวันละสองรอบ
หากจือหลินนางจะเข้าเมืองวันนี้ก็คงต้องเตรียมตัวออกจากเรือนได้แล้ว จือหลินจึงเก็บเห็ดหลินจือที่ผึงแห้งแล้วใส่ลงในถุงที่มารดาเตรียมไว้ให้ ก่อนจะรีบแบกตะกร้าออกจากเรือนไปอย่างรวดเร็ว
ลี่อินต้องวิ่งออกมาจากเรือนเพื่อนำเงินให้จือหลินติดตัวไปเป็นค่าเกวียนและค่าเข้าเมือง เพราะนางรีบร้อนจนลืมแม้กระทั่งจะขอเงินจากมารดา
“อ้าวหลินเออร์ เจ้าจะรีบร้อนไปที่ใด” ชาวบ้านที่หน้าหมู่บ้านเอ่ยถามเด็กสาวอย่างสงสัย เพราะน้อยครั้งนักที่นางจะออกมาจากท้ายหมู่บ้าน
“ท่านป้า ข้าจะเข้าเมืองนำของป่าไปขายเจ้าค่ะ ไม่รู้จะทันเกวียนวัวหรือไม่” นางปาดเหงื่อที่เร่งรีบจากการเดินบอกกล่าวหญิงวัยกลางคนที่ถามนาง
“ทันทัน รีบไปเสีย ตาแก่จงยังไม่ออกเกวียน” จือหลินก้มหัวขอบคุณก่อนจะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
“หลินเออร์เจ้าจะเข้าเมืองหรือ” ลุงจงที่กำลังจะออกเกวียนก็เอ่ยถามเมื่อเห็นนางเร่งฝีเท้ามาทางเกวียน
“เจ้าค่ะ” จือหลินหยุดหอบของเกวียนก่อนจะคลำหาเหรียญอิแปะที่มารดาให้มาแล้วส่งให้ลุงจง
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง ขึ้นมานั่งข้างข้าด้านหน้านี้” ลุงจงตบที่ข้างที่นั่งของเขา เพราะด้านในมีคนนั่งอยู่เต็มแล้ว
“ท่านรับไปเถิดเจ้าค่ะ” จือหลินที่ขึ้นไปนั่งเรียบร้อยแล้วก็ยังคงยื่นเงินให้อย่างไม่ยอม
“ตัวเล็กเพียงนี้จะหนักอันใดเล่า ข้าไม่เอาเงินเจ้าหรอกเก็บไว้เสียเถิด” ลุงจงโบกมืออย่างไม่ยินยอมเช่นกัน
ภรรยาของเขาก็เอ็นดูจือหลินมากนัก ทุกครั้งที่เห็นนางตัวเล็กเพียงนี้ แต่ต้องแบกตะกร้าขึ้นเขาเพื่อหาของป่าก็นำกลับมาเล่าให้เขาฟังที่เรือนอยู่เสมอ
เมื่อถึงหน้าเก็บเกี่ยวเขายังแบ่งข้าวที่ปลูกกับแป้งไปให้สองแม่ลูกที่เรือนท้ายหมู่บ้านอยู่เป็นประจำ เพราะทั้งคู่ไม่มีที่ทำกินเช่นผู้อื่น อีกอย่างทั้งเขาและภรรยาก็อดที่จะเห็นสองแม่ลูกที่อาภัพไม่ได้
ลุงจงถามจือหลินว่านางจะเข้าเมืองด้วยเรื่องอันใด เมื่อรู้ว่านางจะนำของป่าไปขายก็แนะนำให้นางไปขายให้กับผู้ใด หรือตั้งขายที่ใดถึงจะขายดีอีกด้วย
“ท่านปู่จง ท่านช่วยแนะนำร้านยาให้ข้าได้ไหมเจ้าคะ” จือหลินพยายามปรับน้ำเสียงให้ดูน่าเอ็นดูที่สุด แม้ดวงตาของนางไม่ได้ฉายแววเช่นเด็กน้อยทั่วไปก็ตาม
“ไปที่ร้านยาฟาไฉ ขายหรือซื้อล้วนให้ราคายุติธรรม” ลุงจงคิดว่าลี่อินนางเจ็บป่วยอีกแล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้
เด็กน้อยวัยเพียงสิบหนาวกลับต้องคอยดูแลมารดาจนไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นเช่นเด็กคนอื่น แล้วครั้งนี้นางยังต้องเข้าเมืองเพื่อขายผักป่าที่มีอยู่ทั่วไปมาซื้อยาให้มารดาอีก
ลุงจงจึงบอกจือหลินก่อนที่นางจะลงจากเกวียนว่า หากเงินไม่พอให้วิ่งมาหาเขาที่เกวียนวัวหน้าประตูเมืองถึงอย่างไรก็เป็นเที่ยวสุดท้ายแล้วไม่ได้กลับเข้าหมู่บ้านแต่จะจอดรออยู่ที่หน้าประตูเมือง
จือหลินกล่าวขอบคุณก่อนที่จะเดินไปจ่ายค่าเข้าเมืองคนละหนึ่งอิแปะ แล้วเดินไปตามทิศทางที่ลุงจงได้บอกกล่าวนางไว้อย่างรวดเร็ว
เพราะถามมาแล้วว่าควรไปร้านไหนดีจึงไม่ต้องไปเดินถามขายให้กับร้านอื่น
“มาซื้อยาหรือขายสมุนไพรเล่า” เสี่ยวเอ้อหน้าร้านก็ไม่ได้ดูถูกจือหลินที่เห็นนางเป็นเด็กน้อยเสื้อผ้ามีแต่รอยปะชุน
“มาขายเจ้าค่ะ” จือหลินไม่โง่พอที่จะนำเห็ดหลินจือออกมาให้ดูหน้าร้าน เพราะยังมีชาวบ้านเดินเพ่นพ่านไปมาอย่างหนาตา
จือหลินนำตะกร้ามาวางด้านหน้าของนาง พร้อมเปิดแง้มให้เสี่ยวเอ้อดูถุงที่ใส่เห็ดหลินจือเพียงเขาเห็นผู้เดียว
“เจ้าเดินตามข้ามาทางนี้” เสี่ยวเอ้อรีบแหวกทางให้จือหลินจากชาวบ้านที่เขามาถามซื้อยา ก่อนจะพานางเข้าไปในห้องรับรองที่ด้านหลังอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวเอ้อยังนำน้ำชากับของว่างเข้ามาให้นางได้ดื่มกินตามคำสั่งของท่านหมอ ที่ยังไม่อาจปลีกตัวมาจากตรวจคนป่วยได้
“ไหน นำออกมาให้ข้าดูเสียหน่อย” เสียงของชายชราที่รีบร้อนเข้ามาเอ่ยขึ้นเมื่อเขาเปิดประตูห้องรับรอง
ทั้งท่านหมอและจือหลินต่างมองประเมินกันและกันก่อนที่เขาจะมานั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับนาง
หมอหวงไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่นำเห็ดหลินจือมาขายจะเป็นเด็กน้อยเพียงเท่านี้ แต่ท่าทางที่จิบชาของนางตอนที่เขาเข้ามาหากไม่บอกเป็นสตรีชาวบ้านคงคิดว่านางเป็นคุณหนูตกยากเป็นแน่
จือหลินก็มองชายชราตรงหน้าเช่นกัน จ้องมองไปที่แววตาที่มองมาที่นางเมื่อไม่เห็นถึงความเหยียดหยามและสายตาละโมบเมื่อรู้ว่านางนำสิ่งใดมาจึงได้หยิบเห็ดหลินจือดอกแดงออกมาหนึ่งดอก
“สวรรค์ เจ้าไปหามาจากที่ใด” หมอหวงลูบเห็ดหลินจือแดงดอกใหญ่กว่าสองฝ่ามือของเขารวมกันอย่างสั่นเทา
“ท่านรับซื้อหรือไม่เจ้าคะ” จือหลินนางไม่ตอบคำถามแต่เอ่ยถามเข้าเรื่องแทน
“ซื้อ ซื้อ แน่นอน เจ้าจะขายเท่าใด”
“หึหึ เป็นข้าที่ต้องถามไม่ใช่หรือเจ้าคะ ว่าท่านซื้อเท่าใด” จือหลินเลิกคิ้วถาม
“ใช่ ใช่ ข้าขอคิดก่อน” หมอหวงจ้องมองเด็กน้อยตรงหน้าอย่างแปลกใจ เพราะไม่คิดว่านางจะฉลาดมากเช่นนี้
ยิ่งได้เห็นแววตาที่จ้องมองเขาราวกับพยัคฆ์รอขย้ำเหยื่อ เขาก็อดสะท้านในอกวูบหนึ่งไม่ได้ หากบอกราคาที่นางไม่พอใจ นางคงไปร้านอื่นทันทีแต่แววตาของนางที่มองเขาอยู่ในยามนี้ ช่างให้ความคุ้นเคยที่ประหลาด แต่เขาก็ตอบไม่ได้ว่าเคยเห็นแววตาที่คล้ายกับนางจากที่ใด“ข้าหมอหวง เจ้าเล่าชื่อแซ่อันใด”“ข้าแซ่ฟู่ นามจือหลิน เจ้าค่ะ” จือหลินลุกขึ้นคารวะหมอหวงอย่างนอบน้อม ตามแบบซีรีส์ที่เคยผ่านตานางมา“เช่นนั้นสองพันตำลึงทองเจ้าพอใจหรือไม่” จือหลินลองคคิดค่าเงินคร่าวๆ จากที่นางจ่ายค่าเกวียนและค่าเข้าเมืองอย่างใช้ความคิด“สองพันห้าร้อยตำลึงทอง ข้าให้เจ้าเต็มที่แล้ว” หมอหวงที่เห็นจือหลินขมวดคิ้วคิดก็คิดว่านางไม่พอใจกับราคาที่เขาให้จึงกัดฟันเพิ่มให้นางอีกห้าร้อยตำลึงทอง“เจ้าค่ะ แล้วถ้าดอกนี้เล่า” จือหลินเมื่อได้ราคาที่นางพอใจก็เริ่มหยิบดอกสีดำกับสีม่วงออกมาอย่างละดอก“สวรรค์ เจ้า เจ้า โชคดีเกินไปแล้ว” หมอหวงกระโดดลุกจากเก้าอี้อย่างตกใจ เมื่อเห็นเด็กน้อยนำเห็ดหลินจือออกมาอีกสองดอก“เจ้าต้องการให้ข้าตกใจจนตายหรือ” เขาถลึงตามองจือหลิน เมื่อเห็นนางขบขันกับท่าทางตกใจของเขา“เหอะ หากมีอีกก็รีบเอาออกมาให้หมดเสีย ข้
จือหลินเมื่อเข้ามาในเรือนแล้ว นางก็นำสิ่งของออกมา ก่อนที่จะส่งถุงในใหญ่ที่เดิมที่ใส่เห็ดหลินจือ แต่ตอนนี้บรรจุตั๋วเงินจนแน่นขนัดให้ลี่อิน“สวรรค์ มากถึงเพียงนี้” ลี่อินไม่รู้ว่าเงินมีมากเท่าใด แต่นางดูจากจำนวนตั๋วเงินที่เห็น“ทั้งหมด สองหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบห้าตำลึงทองเจ้าค่ะ”เมื่อจือหลินพูดจบ ตั๋วเงินในมือของลี่อินก็ร่วงหล่นเต็มพื้น จือหลินส่ายหน้าก่อนจะก้มเก็บตั๋วเงินทั้งหมดใส่ถุงตามเดิม“ท่านแม่ ท่านดื่มน้ำเสียก่อน” จือหลินรินน้ำส่งให้ลี่อิน“หากผู้ใดรู้เข้าคงได้มาขโมยไปจนหมดแน่” ลี่อินเอ่ยพูดอย่างลนลาน“หากท่านทำอาการเช่นนี้ต่อหน้าผู้อื่นคงได้มีคนสงสัยเป็นแน่เจ้าค่ะ” จือหลินกลอกตาอย่างเหนื่อยใจ เรือนของนางนอกจากชาวบ้านที่อยู่ใกล้ไม่กี่หลังก็ไม่มีผู้ใดคิดจะมาจือหลินนำตั๋วเงินไปเก็บไว้ที่ห้องของนาง เพราะหากให้มารดาเป็นผู้เก็บเห็นทีคืนนี้นางคงนอนไม่หลับเป็นแน่“ท่านแม่ข้าจะนำเห็ดดอกเล็กไปท่านปู่จง ท่านป้าหลิว และท่านป้าหั่ว เจ้าค่ะ”ลี่อินนางพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เพราะทั้งสามเรือนล้วนแล้วแต่หยิบยื่นสิ่งของให้นางสองคนแม่ลูกอยู่เสมอจือหลินเอ่ยเตือนมารดาไม่ให้ทำท่าทางประหลาดก่อ
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้นครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตายจือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้นนับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วยเมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขายิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันทีนานวั
จือหลินลุกขึ้นเพื่อเดินกลับไปที่บ้านของเจ้าของร่างตามความทรงจำเดิม เพราะตัวนางในยามนี้เป็นเพียงเด็กน้อยวัยสิบขวบเท่านั้นและที่ที่อยู่ก็ไม่รู้ว่าคือที่ไหน ต้องทำอย่างไร จึงได้เลือกที่จะกลับไปที่บ้านของฟู่จือหลินเสียก่อนใช่แล้ว เด็กน้อยที่วิญญาณของจือหลินนางมาอยู่ร่างคือ ฟู่จือหลิน ที่มีชื่อเดียวกับเธอ เด็กน้อยจบชีวิตลงเพราะถูกคนผลักลงมาจากเขา ทำให้หัวไปกระแทกก้อนหินจนจบชีวิตในตอนนี้ความเจ็บปวดที่ศีรษะจือหลินเธอยังรู้สึกได้ เสียงตะโกนเรียกชื่อของจือหลินดังไปทั่วป่า ตอนนี้เธอจึงเรียกเดินไปตามเสียงเรียกก็พบชาวบ้านหลายคนกำลังร้องเรียกและวิ่งมาทางเธอ“โอวโยว หลินเออร์เหตุใดเจ้าถึงเป็นเช่นนี้” เสียงสตรีวัยกลางคนร้องขึ้นอย่างตกใจ เมื่อเห็นว่าจือหลินมีเลือดไหลเปื้อนไปตามเสื้อผ้าจือหลินมองไปที่กลุ่มคนอย่างมึนงง ทั้งเสื้อผ้าและการพูดไม่ใช่คนยุคเดียวกันกับเธอแน่นอน ตอนที่ยังไม่หายมึนงงก็มีสตรีนางหนึ่งวิ่งเข้ามาสวมกอดแล้วร้องไห้เสียงดังจือหลินรู้ได้ทันทีว่านี้คือมารดาของเจ้าของร่างเดิม ฟู่ลี่อิน หญิงหม้ายที่เลี้ยงดูนางมาแต่เพียงผู้เดียวเจ้าของร่างเดิมไม่รู้แม้กระทั่งว่าบิดาเป็นผู้ใด เพราะมาร
ลี่อินประคองจือหลินให้นอนลงก่อนที่นางจะช่วยห่มผ้าให้อย่างใส่ใจ แม้รู้ดีว่าบุตรสาวมีท่าทางที่ต่อต้านนางอย่างประหลาดแต่ก็คิดว่านางยังคงหวาดกลัวกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันต่อมาจือหลินนางก็ไม่ได้พักผ่อนอย่างที่ควรจะทำ เพราะนางรู้สึกว่าไม่ได้เป็นอันใดมาก และอีกอย่างร่างกายของมารดาก็ไม่อาจจะทำงานหนักได้เมื่อรู้มาจากความทรงจำเดิมเมื่อคืนนี้ตอนที่จือหลินนางหลับไปยังฝันถึงจือหลินเจ้าของร่างเดิมอีกด้วย จือหลินร้องไห้อย่างน่าสงสารแล้วบอกให้นางช่วยดูแลมารดาแทนด้วยจือหลินไม่รู้จะทำเช่นไรจะให้นางกลับเข้าร่างก็ไม่อาจจะทำได้ จึงได้รับปากจือหลินคนเดิมไปเพื่อให้นางวางใจอย่างน้อยชาตินี้ก็มีมารดากับเขาบ้างแล้ว เพียงแค่สตรีอ่อนแอคนหนึ่งนางคงไม่ลำบากมากนักที่ต้องคอยดูแลแต่ร่างนี้ก็เป็นเพียงแค่เด็กน้อยวัยสิบหนาวนางจะไปทำอันใดได้มากก็ยังไม่รู้จือหลินเดินไปที่ห้องครัวตามความทรงจำเดิม ก่อนที่จะเห็นลี่อินนางจุดไปอยู่“ข้าทำเองเจ้าค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปแย่งตะบันไฟและฟืนในมือของลี่อินมาก่อนที่จะทำทุกอย่างอย่างคล่องแคร่วไม่ใช่ว่านางเก่งแต่อย่างใด ถ้าไม่มีความทรงจำเดิมของจือหลินคนก่อน การจุดไฟเช่นนี้นางก็คงทำไม่
จือหลินไม่มีเวลาให้โทษฟ้าดิน นางจำต้องลงมือเก็บกวาดทั้งในเรือนและนอกเรือน ส่วนเรื่องห้องน้ำไว้ค่อยจัดการในภายหลัง นางต้องไปคิดหาหนทางเสียก่อนทำได้ไม่ถึงครึ่งนางก็ทิ้งตัวลงนอนที่พื้นห้องโถงอย่างหมดแรง จะใช้เวลาแค่วันเดียวอย่างที่คิดไว้ไม่ได้เสียแล้วยิ่งอาหารในห้องครัวตอนนี้ก็เหลือไม่มาก พรุ่งนี้นางคงต้องขึ้นเขาเพื่อหาอาหารมาเพิ่มเสียก่อน หากไม่มีอะไรตกถึงท้องก็ไม่อาจจะทำงานหนักได้เช่นกันจือหลินจึงเดินเข้าไปในครัวเพื่อหาสิ่งที่จะนำมาทำเป็นอาวุธได้บ้าง แต่ก็พบเพียงมีดทำครัวเท่านั้นนางจึงเริ่มมองหาสิ่งอื่นที่ใช้ล่าสัตว์ได้บ้าง แต่ก็ไม่พบสิ่งใดที่ดูเข้าตาในตอนกินอาหารมื้อเย็นนางจึงได้เอ่ยถามมารดาจึงได้รู้ว่า ท่านตาของนางทิ้งธนูกับมีดพร้าไว้ด้วย ลี่อินจึงไปนำออกมาให้บุตรสาว ถึงแม้จะยังไม่เชื่อว่าจือหลินสามารถล่าสัตว์ได้อย่างที่นางพูดแต่เมื่อเห็นแววตาที่มองมาอย่างมุ่งมั่นของนาง ลี่อินก็ไม่กล้าจะเอ่ยสิ่งใดออกมา“ท่านแม่ ท่านมีอาการป่วยช่วยใดบ้าง” จือหลินถามสิ่งที่นางสงสัยเพราะจากสิ่งที่นางดูภายนอกโดยที่ยังไม่ได้ลงมือตรวจ นางคิดว่าลี่อินต้องป่วยเป็นโรคโลหิตจางอย่างแน่นอนลี่อินจึงบอกอาก
จือหลินนางยังไม่คิดจะนำไก่ป่ากับกระต่ายป่าที่หามาได้นำไปขาย เพราะมารดาของนางและร่างนี้ของนางไม่ได้รับสารอาหารที่พอเพียงมาเป็นระยะเวลานานนางจึงจะเก็บไว้กินเองก่อนที่จะไปล้างตัว จือหลินนางยังไปจัดการกับเนื้อสัตว์ที่ได้มาเพื่อจะเก็บไว้ได้กินในมือต่อไป เครื่องปรุงในเรือนแทบจะไม่มีนางจึงทำได้แต่แช่เนื้อไว้ในโอ่งน้ำก่อนเพื่อเก็บรักษาไม่ให้เน่าเสียพรุ่งนี้นางคิดจะขึ้นเขาเพื่อหาดินโป่งที่มีความเค็มเพื่อนำมาสกัดเป็นเกลือเก็บไว้ใช้กินในเรือนแต่หากนางโชคดีของได้พบดินเค็มแทนก็ได้จือหลินเดินไปดูลี่อินที่ห้องของนางก่อนที่นางจะกลับห้องของตนเอง ก็พบว่ามารดาของนางนั้นนอนหลับสบายอยู่บนเตียงเรียบร้อยแล้ว จือหลินจึงกลับห้องไปพักผ่อนลี่อินที่นอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ก็ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า นางเห็นจือหลินที่กำลังยกอาหารขึ้นตั้งโต๊ะเสร็จก็กำลังจะออกจากเรือนเพื่อขึ้นเขา“กินข้าวแล้วหรือหลินเออร์” ลี่อินร้องถามบุตรสาวที่กำลังจะเดินออกจากเรือน“เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่มื้อกลางวันข้าเตรียมให้แล้ว ท่านอย่าได้ลืมกินเสียเล่า” เพราะทุกครั้งสองแม่ลูกจะกินข้าวแค่มื้อเช้ากับเย็นเท่านั้นจือหลินอยากจะบำรุงร่างกายของ
ลี่อินเลิกถามบุตรสาวแล้วว่านางรู้วิธีทำได้อย่างไร แต่หันมาช่วยเหลือนางแทน เมื่อเห็นว่ากระทะใบใหญ่ที่นางหาได้ร้อนกำลังดี จือหลินจึงให้มารดาเทน้ำที่กรองเรียบร้อยแล้วลงในกระทะเพื่อต้มนางไม่ได้อยู่เฝ้าตลอดเวลา แต่หันไปเก็บเรือนต่อแทน เพราะเกลือต้องต้มจนกว่าน้ำทั้งหมดจะระเหยไปจนเหลือเพียงเกล็ดเกลือสีขาวเท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลานั่งเฝ้าจือหลินลงมือถางหญ้ารอบเรือน โดยมีลี่อินที่ร่างกายเริ่มใช้แรงได้แล้วแต่ก็ยังไม่มาก เก็บกวาดภายในเรือนเพียงครึ่งวันก็ทำได้ไม่ถึงครึ่ง ทั้งสองจึงหยุดมือแล้วรับประทานอาหารเพื่อเพิ่มพลังเสียก่อน“ท่านแม่ท่านดูฟืนด้วยนะเจ้าค่ะ” จือหลินร้องบอกมารดาให้ดูฟืนอย่าให้มอด ก่อนที่นางจะออกจากเรือนไปเก็บฟืนที่ตีนเขาไม่ไกลจากหลังบ้าน“ยังไม่ตายอีกรึ” เสียงด้านหลังดังขึ้นทำให้จือหลินที่กำลังก้มเก็บฟืนอยู่ต้องหันกลับไปมองอย่างสงสัย ตะวันตรงหัวเช่นนี้ยังมีผู้ใดออกมาหาฟืนเช่นนางอีก“แล้วเห็นหรือไม่เล่าว่าข้าตายหรือไม่” เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดจือหลินจึงสวนกลับไปอย่างไม่ยอม“หึ ปากดีเช่นนี้สมควรตายไปเสีย” อี้เฉินจ้องมองจือหลินด้วยแววตาที่ดุดัน“เช่นนั้นหรือ หากผู้อื่นรู้ว
จือหลินเมื่อเข้ามาในเรือนแล้ว นางก็นำสิ่งของออกมา ก่อนที่จะส่งถุงในใหญ่ที่เดิมที่ใส่เห็ดหลินจือ แต่ตอนนี้บรรจุตั๋วเงินจนแน่นขนัดให้ลี่อิน“สวรรค์ มากถึงเพียงนี้” ลี่อินไม่รู้ว่าเงินมีมากเท่าใด แต่นางดูจากจำนวนตั๋วเงินที่เห็น“ทั้งหมด สองหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบห้าตำลึงทองเจ้าค่ะ”เมื่อจือหลินพูดจบ ตั๋วเงินในมือของลี่อินก็ร่วงหล่นเต็มพื้น จือหลินส่ายหน้าก่อนจะก้มเก็บตั๋วเงินทั้งหมดใส่ถุงตามเดิม“ท่านแม่ ท่านดื่มน้ำเสียก่อน” จือหลินรินน้ำส่งให้ลี่อิน“หากผู้ใดรู้เข้าคงได้มาขโมยไปจนหมดแน่” ลี่อินเอ่ยพูดอย่างลนลาน“หากท่านทำอาการเช่นนี้ต่อหน้าผู้อื่นคงได้มีคนสงสัยเป็นแน่เจ้าค่ะ” จือหลินกลอกตาอย่างเหนื่อยใจ เรือนของนางนอกจากชาวบ้านที่อยู่ใกล้ไม่กี่หลังก็ไม่มีผู้ใดคิดจะมาจือหลินนำตั๋วเงินไปเก็บไว้ที่ห้องของนาง เพราะหากให้มารดาเป็นผู้เก็บเห็นทีคืนนี้นางคงนอนไม่หลับเป็นแน่“ท่านแม่ข้าจะนำเห็ดดอกเล็กไปท่านปู่จง ท่านป้าหลิว และท่านป้าหั่ว เจ้าค่ะ”ลี่อินนางพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เพราะทั้งสามเรือนล้วนแล้วแต่หยิบยื่นสิ่งของให้นางสองคนแม่ลูกอยู่เสมอจือหลินเอ่ยเตือนมารดาไม่ให้ทำท่าทางประหลาดก่อ
ยิ่งได้เห็นแววตาที่จ้องมองเขาราวกับพยัคฆ์รอขย้ำเหยื่อ เขาก็อดสะท้านในอกวูบหนึ่งไม่ได้ หากบอกราคาที่นางไม่พอใจ นางคงไปร้านอื่นทันทีแต่แววตาของนางที่มองเขาอยู่ในยามนี้ ช่างให้ความคุ้นเคยที่ประหลาด แต่เขาก็ตอบไม่ได้ว่าเคยเห็นแววตาที่คล้ายกับนางจากที่ใด“ข้าหมอหวง เจ้าเล่าชื่อแซ่อันใด”“ข้าแซ่ฟู่ นามจือหลิน เจ้าค่ะ” จือหลินลุกขึ้นคารวะหมอหวงอย่างนอบน้อม ตามแบบซีรีส์ที่เคยผ่านตานางมา“เช่นนั้นสองพันตำลึงทองเจ้าพอใจหรือไม่” จือหลินลองคคิดค่าเงินคร่าวๆ จากที่นางจ่ายค่าเกวียนและค่าเข้าเมืองอย่างใช้ความคิด“สองพันห้าร้อยตำลึงทอง ข้าให้เจ้าเต็มที่แล้ว” หมอหวงที่เห็นจือหลินขมวดคิ้วคิดก็คิดว่านางไม่พอใจกับราคาที่เขาให้จึงกัดฟันเพิ่มให้นางอีกห้าร้อยตำลึงทอง“เจ้าค่ะ แล้วถ้าดอกนี้เล่า” จือหลินเมื่อได้ราคาที่นางพอใจก็เริ่มหยิบดอกสีดำกับสีม่วงออกมาอย่างละดอก“สวรรค์ เจ้า เจ้า โชคดีเกินไปแล้ว” หมอหวงกระโดดลุกจากเก้าอี้อย่างตกใจ เมื่อเห็นเด็กน้อยนำเห็ดหลินจือออกมาอีกสองดอก“เจ้าต้องการให้ข้าตกใจจนตายหรือ” เขาถลึงตามองจือหลิน เมื่อเห็นนางขบขันกับท่าทางตกใจของเขา“เหอะ หากมีอีกก็รีบเอาออกมาให้หมดเสีย ข้
รุ่งเช้าสองแม่ลูกก็ตื่นมาอย่างสดชื่น เมื่อทานมื้อเช้าเรียบร้อยต่างก็ช่วยกันนำเห็ดที่จือหลินหั่นไว้เมื่อวานไปตากแดดทันที“ท่านแม่ข้าจะเข้าเมืองต้องเดินทางไปเช่นไรเจ้าคะ” จือหลินเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อจัดการนำเห็ดตากแดดแล้ว“หากเจ้าขึ้นเกวียนวัวหน้าหมู่บ้านก็ต้องรีบเตรียมตัวแล้ว” ลี่อินขมวดคิ้วคิดเพราะว่านางก็ไม่ได้เมืองมานับสิบปีแล้ว หมู่บ้านไห่เหอ อยู่ห่างจากเมืองกว่างซียี่สิบลี้ (1ลี้=500เมตร) หากเดินเท้าก็ต้องมีถึงหนึ่งชั่วยาม หากนั่งเกวียนวัวก็เพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้นหมู่บ้านไห่เหอมีลุงจงเป็นผู้ขับเกวียนรับส่งคนในหมู่บ้าน โดยมีค่านั่งเกวียนคนละสองอิแปะ (ค่าเงินในยุคนั้น) เพราะระยะทางไปกลับเพียงครั้งละหนึ่งชั่วยามเท่านั้น ลุงจงจึงว่งเกวียนไปกลับไปวันละสองรอบหากจือหลินนางจะเข้าเมืองวันนี้ก็คงต้องเตรียมตัวออกจากเรือนได้แล้ว จือหลินจึงเก็บเห็ดหลินจือที่ผึงแห้งแล้วใส่ลงในถุงที่มารดาเตรียมไว้ให้ ก่อนจะรีบแบกตะกร้าออกจากเรือนไปอย่างรวดเร็วลี่อินต้องวิ่งออกมาจากเรือนเพื่อนำเงินให้จือหลินติดตัวไปเป็นค่าเกวียนและค่าเข้าเมือง เพราะนางรีบร้อนจนลืมแม้กระทั่งจะขอเงินจากมารดา“อ้าวหลินเออร์ เจ้าจ
จือหลินดวงตาของนางเปล่งประกายเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่บนผนังของถ้ำ ก่อนนางจะเงยหน้าหัวเราะเสียงก้องสะท้านไปทั่วถ้ำอย่างบ้าคลั่งหากมีผู้ใดผ่านมาบริเวณถ้ำที่นางอยู่คงได้ตกใจเสียงนางจนวิ่งหนีไปแน่ แม้แต่นกที่เกาะอยู่ตามต้นไม้ใกล้ๆ ถ้ำ ยังต้องบินหนีด้วยความตกใจจือหลินหาที่เหมาะๆ ปักคบไฟของนาง ก่อนจะนำมืดที่อยู่ด้านหลังตะกร้าออกมาเพื่อจัดการกับสิ่งที่นางพบเจออย่างน้อยสวรรค์ก็ไม่ได้กลั่นแกล้งนางมากเกินไป ยังพาให้นางมาพบ ‘เห็ดหลินจือ’ มากมายหลายดอก“ฮ่า ฮ่า ชื่อข้าจือหลิน ข้าถึงได้มาเจอเห็ดหลินจือ” จือหลินนางพูดกับตนเองราวกับคนเสียสตินางเก็บเห็ดลงมาจากผนังอย่างเบามือ พร้อมกับฮัมเพลงอย่างสบายใจ แม้นางจะเรียนแพทย์แผนปัจจุบันไม่ใช่แพทย์แผนจีน แต่ความรู้เรื่องสมุนไพรนางก็พอมีติดตัวหลินหลินจือที่นางพบบางดอกมีอายุหลายร้อยปี บางดอกนับพันปีก็มี หากมองไปตามผนังถ้ำดีๆ จะพบรากของต้นไม้ที่แห้งตายมาเป็นเวลานานจึงทำให้เกิดเห็ดหลินจือขึ้นมาได้จือหลินมิได้เก็บไปทั้งหมดในทันที ถ้ำแห่งนี้ไม่มีผู้ใดรู้ถึงการมีอยู่ของมัน นางค่อยขึ้นมาเก็บในภายหลังก็ยังได้ นางเลือกเก็บไปสีละสองดอก เพื่อดูว่าในยุคนี้สีใดขายได้เง
จือหลินไม่ได้รับรู้เรื่องราวหลังจากนั้น เมื่ออี้เฉินถูกชาวบ้านพากลับไป นางก็รีบเร่งมือเก็บฟืนกลับเรือน เพื่อไปดูเกลือที่นางต้มไว้แต่กว่าที่เกลือจะเสร็จก็เกือบฟ้ามืดเสียแล้ว ลี่อินเข้ามาช่วยบุตรสาวขนฟืนเข้าไปห้องครัวจือหลินเติมฟืนเข้าเตาเพื่อเร่งฟืนในช่วงสุดท้าย น้ำในกระทะเริ่มเป็นเกลือขาวโผล่มาให้เห็นแล้ว จือหลินใช้ทัพพีช้อนเกลือที่เป็นเม็ดขึ้นมาใส่กระด้งที่มารดาหามาให้นางน้ำที่ยังไม่ระเหยในกระทะนางก็ปล่อยไว้เช่นนั้น ก่อนที่จะหันมาเกลี่ยเกลือเพื่อให้คายความร้อนไว้ขึ้นนางจะได้เก็บเข้าไห ป้องกันคนที่มาหาที่เรือนพบเห็นเขาแต่ส่วนน้อยที่จะมีผู้ใดมาหานางทั้งสองคนแม่ลูก แต่กันไว้ก่อนย่อมดีกว่า เพราะเกลือเป็นสินค้าต้องห้าม หากมีคนล่วงรู้ว่านางสามารถทำเกลือขึ้นมาได้ต้องเกิดเรื่องใหญ่เป็นแน่ลี่อินมองเกลือที่เสร็จแล้วในกระด้งอย่างตกตะลึง นางไม่คิดว่าเพียงดินที่บุตรสาวนำกลับมาจะได้เกลือออกมาเช่นนี้ ถึงแม้น้ำที่เกือบเต็มกระทะจะต้มออกมาได้ไม่มากอย่างที่คิด แต่เท่านี้ก็มากพอกับทั้งชีวิตที่นางได้กินมาเสียอีก“หลินเออร์ หากมีผู้ใดรู้เข้าเจ้าต้องเป็นอันตรายแน่” ลี่อินพูดขึ้นอย่างกังวล“ข้าไม่พูด ท
ลี่อินเลิกถามบุตรสาวแล้วว่านางรู้วิธีทำได้อย่างไร แต่หันมาช่วยเหลือนางแทน เมื่อเห็นว่ากระทะใบใหญ่ที่นางหาได้ร้อนกำลังดี จือหลินจึงให้มารดาเทน้ำที่กรองเรียบร้อยแล้วลงในกระทะเพื่อต้มนางไม่ได้อยู่เฝ้าตลอดเวลา แต่หันไปเก็บเรือนต่อแทน เพราะเกลือต้องต้มจนกว่าน้ำทั้งหมดจะระเหยไปจนเหลือเพียงเกล็ดเกลือสีขาวเท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลานั่งเฝ้าจือหลินลงมือถางหญ้ารอบเรือน โดยมีลี่อินที่ร่างกายเริ่มใช้แรงได้แล้วแต่ก็ยังไม่มาก เก็บกวาดภายในเรือนเพียงครึ่งวันก็ทำได้ไม่ถึงครึ่ง ทั้งสองจึงหยุดมือแล้วรับประทานอาหารเพื่อเพิ่มพลังเสียก่อน“ท่านแม่ท่านดูฟืนด้วยนะเจ้าค่ะ” จือหลินร้องบอกมารดาให้ดูฟืนอย่าให้มอด ก่อนที่นางจะออกจากเรือนไปเก็บฟืนที่ตีนเขาไม่ไกลจากหลังบ้าน“ยังไม่ตายอีกรึ” เสียงด้านหลังดังขึ้นทำให้จือหลินที่กำลังก้มเก็บฟืนอยู่ต้องหันกลับไปมองอย่างสงสัย ตะวันตรงหัวเช่นนี้ยังมีผู้ใดออกมาหาฟืนเช่นนางอีก“แล้วเห็นหรือไม่เล่าว่าข้าตายหรือไม่” เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดจือหลินจึงสวนกลับไปอย่างไม่ยอม“หึ ปากดีเช่นนี้สมควรตายไปเสีย” อี้เฉินจ้องมองจือหลินด้วยแววตาที่ดุดัน“เช่นนั้นหรือ หากผู้อื่นรู้ว
จือหลินนางยังไม่คิดจะนำไก่ป่ากับกระต่ายป่าที่หามาได้นำไปขาย เพราะมารดาของนางและร่างนี้ของนางไม่ได้รับสารอาหารที่พอเพียงมาเป็นระยะเวลานานนางจึงจะเก็บไว้กินเองก่อนที่จะไปล้างตัว จือหลินนางยังไปจัดการกับเนื้อสัตว์ที่ได้มาเพื่อจะเก็บไว้ได้กินในมือต่อไป เครื่องปรุงในเรือนแทบจะไม่มีนางจึงทำได้แต่แช่เนื้อไว้ในโอ่งน้ำก่อนเพื่อเก็บรักษาไม่ให้เน่าเสียพรุ่งนี้นางคิดจะขึ้นเขาเพื่อหาดินโป่งที่มีความเค็มเพื่อนำมาสกัดเป็นเกลือเก็บไว้ใช้กินในเรือนแต่หากนางโชคดีของได้พบดินเค็มแทนก็ได้จือหลินเดินไปดูลี่อินที่ห้องของนางก่อนที่นางจะกลับห้องของตนเอง ก็พบว่ามารดาของนางนั้นนอนหลับสบายอยู่บนเตียงเรียบร้อยแล้ว จือหลินจึงกลับห้องไปพักผ่อนลี่อินที่นอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ก็ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า นางเห็นจือหลินที่กำลังยกอาหารขึ้นตั้งโต๊ะเสร็จก็กำลังจะออกจากเรือนเพื่อขึ้นเขา“กินข้าวแล้วหรือหลินเออร์” ลี่อินร้องถามบุตรสาวที่กำลังจะเดินออกจากเรือน“เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่มื้อกลางวันข้าเตรียมให้แล้ว ท่านอย่าได้ลืมกินเสียเล่า” เพราะทุกครั้งสองแม่ลูกจะกินข้าวแค่มื้อเช้ากับเย็นเท่านั้นจือหลินอยากจะบำรุงร่างกายของ
จือหลินไม่มีเวลาให้โทษฟ้าดิน นางจำต้องลงมือเก็บกวาดทั้งในเรือนและนอกเรือน ส่วนเรื่องห้องน้ำไว้ค่อยจัดการในภายหลัง นางต้องไปคิดหาหนทางเสียก่อนทำได้ไม่ถึงครึ่งนางก็ทิ้งตัวลงนอนที่พื้นห้องโถงอย่างหมดแรง จะใช้เวลาแค่วันเดียวอย่างที่คิดไว้ไม่ได้เสียแล้วยิ่งอาหารในห้องครัวตอนนี้ก็เหลือไม่มาก พรุ่งนี้นางคงต้องขึ้นเขาเพื่อหาอาหารมาเพิ่มเสียก่อน หากไม่มีอะไรตกถึงท้องก็ไม่อาจจะทำงานหนักได้เช่นกันจือหลินจึงเดินเข้าไปในครัวเพื่อหาสิ่งที่จะนำมาทำเป็นอาวุธได้บ้าง แต่ก็พบเพียงมีดทำครัวเท่านั้นนางจึงเริ่มมองหาสิ่งอื่นที่ใช้ล่าสัตว์ได้บ้าง แต่ก็ไม่พบสิ่งใดที่ดูเข้าตาในตอนกินอาหารมื้อเย็นนางจึงได้เอ่ยถามมารดาจึงได้รู้ว่า ท่านตาของนางทิ้งธนูกับมีดพร้าไว้ด้วย ลี่อินจึงไปนำออกมาให้บุตรสาว ถึงแม้จะยังไม่เชื่อว่าจือหลินสามารถล่าสัตว์ได้อย่างที่นางพูดแต่เมื่อเห็นแววตาที่มองมาอย่างมุ่งมั่นของนาง ลี่อินก็ไม่กล้าจะเอ่ยสิ่งใดออกมา“ท่านแม่ ท่านมีอาการป่วยช่วยใดบ้าง” จือหลินถามสิ่งที่นางสงสัยเพราะจากสิ่งที่นางดูภายนอกโดยที่ยังไม่ได้ลงมือตรวจ นางคิดว่าลี่อินต้องป่วยเป็นโรคโลหิตจางอย่างแน่นอนลี่อินจึงบอกอาก
ลี่อินประคองจือหลินให้นอนลงก่อนที่นางจะช่วยห่มผ้าให้อย่างใส่ใจ แม้รู้ดีว่าบุตรสาวมีท่าทางที่ต่อต้านนางอย่างประหลาดแต่ก็คิดว่านางยังคงหวาดกลัวกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันต่อมาจือหลินนางก็ไม่ได้พักผ่อนอย่างที่ควรจะทำ เพราะนางรู้สึกว่าไม่ได้เป็นอันใดมาก และอีกอย่างร่างกายของมารดาก็ไม่อาจจะทำงานหนักได้เมื่อรู้มาจากความทรงจำเดิมเมื่อคืนนี้ตอนที่จือหลินนางหลับไปยังฝันถึงจือหลินเจ้าของร่างเดิมอีกด้วย จือหลินร้องไห้อย่างน่าสงสารแล้วบอกให้นางช่วยดูแลมารดาแทนด้วยจือหลินไม่รู้จะทำเช่นไรจะให้นางกลับเข้าร่างก็ไม่อาจจะทำได้ จึงได้รับปากจือหลินคนเดิมไปเพื่อให้นางวางใจอย่างน้อยชาตินี้ก็มีมารดากับเขาบ้างแล้ว เพียงแค่สตรีอ่อนแอคนหนึ่งนางคงไม่ลำบากมากนักที่ต้องคอยดูแลแต่ร่างนี้ก็เป็นเพียงแค่เด็กน้อยวัยสิบหนาวนางจะไปทำอันใดได้มากก็ยังไม่รู้จือหลินเดินไปที่ห้องครัวตามความทรงจำเดิม ก่อนที่จะเห็นลี่อินนางจุดไปอยู่“ข้าทำเองเจ้าค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปแย่งตะบันไฟและฟืนในมือของลี่อินมาก่อนที่จะทำทุกอย่างอย่างคล่องแคร่วไม่ใช่ว่านางเก่งแต่อย่างใด ถ้าไม่มีความทรงจำเดิมของจือหลินคนก่อน การจุดไฟเช่นนี้นางก็คงทำไม่