รุ่งเช้าสองแม่ลูกก็ตื่นมาอย่างสดชื่น เมื่อทานมื้อเช้าเรียบร้อยต่างก็ช่วยกันนำเห็ดที่จือหลินหั่นไว้เมื่อวานไปตากแดดทันที
“ท่านแม่ข้าจะเข้าเมืองต้องเดินทางไปเช่นไรเจ้าคะ” จือหลินเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อจัดการนำเห็ดตากแดดแล้ว
“หากเจ้าขึ้นเกวียนวัวหน้าหมู่บ้านก็ต้องรีบเตรียมตัวแล้ว” ลี่อินขมวดคิ้วคิด
เพราะว่านางก็ไม่ได้เมืองมานับสิบปีแล้ว หมู่บ้านไห่เหอ อยู่ห่างจากเมืองกว่างซียี่สิบลี้ (1ลี้=500เมตร) หากเดินเท้าก็ต้องมีถึงหนึ่งชั่วยาม หากนั่งเกวียนวัวก็เพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น
หมู่บ้านไห่เหอมีลุงจงเป็นผู้ขับเกวียนรับส่งคนในหมู่บ้าน โดยมีค่านั่งเกวียนคนละสองอิแปะ (ค่าเงินในยุคนั้น) เพราะระยะทางไปกลับเพียงครั้งละหนึ่งชั่วยามเท่านั้น ลุงจงจึงว่งเกวียนไปกลับไปวันละสองรอบ
หากจือหลินนางจะเข้าเมืองวันนี้ก็คงต้องเตรียมตัวออกจากเรือนได้แล้ว จือหลินจึงเก็บเห็ดหลินจือที่ผึงแห้งแล้วใส่ลงในถุงที่มารดาเตรียมไว้ให้ ก่อนจะรีบแบกตะกร้าออกจากเรือนไปอย่างรวดเร็ว
ลี่อินต้องวิ่งออกมาจากเรือนเพื่อนำเงินให้จือหลินติดตัวไปเป็นค่าเกวียนและค่าเข้าเมือง เพราะนางรีบร้อนจนลืมแม้กระทั่งจะขอเงินจากมารดา
“อ้าวหลินเออร์ เจ้าจะรีบร้อนไปที่ใด” ชาวบ้านที่หน้าหมู่บ้านเอ่ยถามเด็กสาวอย่างสงสัย เพราะน้อยครั้งนักที่นางจะออกมาจากท้ายหมู่บ้าน
“ท่านป้า ข้าจะเข้าเมืองนำของป่าไปขายเจ้าค่ะ ไม่รู้จะทันเกวียนวัวหรือไม่” นางปาดเหงื่อที่เร่งรีบจากการเดินบอกกล่าวหญิงวัยกลางคนที่ถามนาง
“ทันทัน รีบไปเสีย ตาแก่จงยังไม่ออกเกวียน” จือหลินก้มหัวขอบคุณก่อนจะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
“หลินเออร์เจ้าจะเข้าเมืองหรือ” ลุงจงที่กำลังจะออกเกวียนก็เอ่ยถามเมื่อเห็นนางเร่งฝีเท้ามาทางเกวียน
“เจ้าค่ะ” จือหลินหยุดหอบของเกวียนก่อนจะคลำหาเหรียญอิแปะที่มารดาให้มาแล้วส่งให้ลุงจง
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง ขึ้นมานั่งข้างข้าด้านหน้านี้” ลุงจงตบที่ข้างที่นั่งของเขา เพราะด้านในมีคนนั่งอยู่เต็มแล้ว
“ท่านรับไปเถิดเจ้าค่ะ” จือหลินที่ขึ้นไปนั่งเรียบร้อยแล้วก็ยังคงยื่นเงินให้อย่างไม่ยอม
“ตัวเล็กเพียงนี้จะหนักอันใดเล่า ข้าไม่เอาเงินเจ้าหรอกเก็บไว้เสียเถิด” ลุงจงโบกมืออย่างไม่ยินยอมเช่นกัน
ภรรยาของเขาก็เอ็นดูจือหลินมากนัก ทุกครั้งที่เห็นนางตัวเล็กเพียงนี้ แต่ต้องแบกตะกร้าขึ้นเขาเพื่อหาของป่าก็นำกลับมาเล่าให้เขาฟังที่เรือนอยู่เสมอ
เมื่อถึงหน้าเก็บเกี่ยวเขายังแบ่งข้าวที่ปลูกกับแป้งไปให้สองแม่ลูกที่เรือนท้ายหมู่บ้านอยู่เป็นประจำ เพราะทั้งคู่ไม่มีที่ทำกินเช่นผู้อื่น อีกอย่างทั้งเขาและภรรยาก็อดที่จะเห็นสองแม่ลูกที่อาภัพไม่ได้
ลุงจงถามจือหลินว่านางจะเข้าเมืองด้วยเรื่องอันใด เมื่อรู้ว่านางจะนำของป่าไปขายก็แนะนำให้นางไปขายให้กับผู้ใด หรือตั้งขายที่ใดถึงจะขายดีอีกด้วย
“ท่านปู่จง ท่านช่วยแนะนำร้านยาให้ข้าได้ไหมเจ้าคะ” จือหลินพยายามปรับน้ำเสียงให้ดูน่าเอ็นดูที่สุด แม้ดวงตาของนางไม่ได้ฉายแววเช่นเด็กน้อยทั่วไปก็ตาม
“ไปที่ร้านยาฟาไฉ ขายหรือซื้อล้วนให้ราคายุติธรรม” ลุงจงคิดว่าลี่อินนางเจ็บป่วยอีกแล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้
เด็กน้อยวัยเพียงสิบหนาวกลับต้องคอยดูแลมารดาจนไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นเช่นเด็กคนอื่น แล้วครั้งนี้นางยังต้องเข้าเมืองเพื่อขายผักป่าที่มีอยู่ทั่วไปมาซื้อยาให้มารดาอีก
ลุงจงจึงบอกจือหลินก่อนที่นางจะลงจากเกวียนว่า หากเงินไม่พอให้วิ่งมาหาเขาที่เกวียนวัวหน้าประตูเมืองถึงอย่างไรก็เป็นเที่ยวสุดท้ายแล้วไม่ได้กลับเข้าหมู่บ้านแต่จะจอดรออยู่ที่หน้าประตูเมือง
จือหลินกล่าวขอบคุณก่อนที่จะเดินไปจ่ายค่าเข้าเมืองคนละหนึ่งอิแปะ แล้วเดินไปตามทิศทางที่ลุงจงได้บอกกล่าวนางไว้อย่างรวดเร็ว
เพราะถามมาแล้วว่าควรไปร้านไหนดีจึงไม่ต้องไปเดินถามขายให้กับร้านอื่น
“มาซื้อยาหรือขายสมุนไพรเล่า” เสี่ยวเอ้อหน้าร้านก็ไม่ได้ดูถูกจือหลินที่เห็นนางเป็นเด็กน้อยเสื้อผ้ามีแต่รอยปะชุน
“มาขายเจ้าค่ะ” จือหลินไม่โง่พอที่จะนำเห็ดหลินจือออกมาให้ดูหน้าร้าน เพราะยังมีชาวบ้านเดินเพ่นพ่านไปมาอย่างหนาตา
จือหลินนำตะกร้ามาวางด้านหน้าของนาง พร้อมเปิดแง้มให้เสี่ยวเอ้อดูถุงที่ใส่เห็ดหลินจือเพียงเขาเห็นผู้เดียว
“เจ้าเดินตามข้ามาทางนี้” เสี่ยวเอ้อรีบแหวกทางให้จือหลินจากชาวบ้านที่เขามาถามซื้อยา ก่อนจะพานางเข้าไปในห้องรับรองที่ด้านหลังอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวเอ้อยังนำน้ำชากับของว่างเข้ามาให้นางได้ดื่มกินตามคำสั่งของท่านหมอ ที่ยังไม่อาจปลีกตัวมาจากตรวจคนป่วยได้
“ไหน นำออกมาให้ข้าดูเสียหน่อย” เสียงของชายชราที่รีบร้อนเข้ามาเอ่ยขึ้นเมื่อเขาเปิดประตูห้องรับรอง
ทั้งท่านหมอและจือหลินต่างมองประเมินกันและกันก่อนที่เขาจะมานั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับนาง
หมอหวงไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่นำเห็ดหลินจือมาขายจะเป็นเด็กน้อยเพียงเท่านี้ แต่ท่าทางที่จิบชาของนางตอนที่เขาเข้ามาหากไม่บอกเป็นสตรีชาวบ้านคงคิดว่านางเป็นคุณหนูตกยากเป็นแน่
จือหลินก็มองชายชราตรงหน้าเช่นกัน จ้องมองไปที่แววตาที่มองมาที่นางเมื่อไม่เห็นถึงความเหยียดหยามและสายตาละโมบเมื่อรู้ว่านางนำสิ่งใดมาจึงได้หยิบเห็ดหลินจือดอกแดงออกมาหนึ่งดอก
“สวรรค์ เจ้าไปหามาจากที่ใด” หมอหวงลูบเห็ดหลินจือแดงดอกใหญ่กว่าสองฝ่ามือของเขารวมกันอย่างสั่นเทา
“ท่านรับซื้อหรือไม่เจ้าคะ” จือหลินนางไม่ตอบคำถามแต่เอ่ยถามเข้าเรื่องแทน
“ซื้อ ซื้อ แน่นอน เจ้าจะขายเท่าใด”
“หึหึ เป็นข้าที่ต้องถามไม่ใช่หรือเจ้าคะ ว่าท่านซื้อเท่าใด” จือหลินเลิกคิ้วถาม
“ใช่ ใช่ ข้าขอคิดก่อน” หมอหวงจ้องมองเด็กน้อยตรงหน้าอย่างแปลกใจ เพราะไม่คิดว่านางจะฉลาดมากเช่นนี้
ยิ่งได้เห็นแววตาที่จ้องมองเขาราวกับพยัคฆ์รอขย้ำเหยื่อ เขาก็อดสะท้านในอกวูบหนึ่งไม่ได้ หากบอกราคาที่นางไม่พอใจ นางคงไปร้านอื่นทันทีแต่แววตาของนางที่มองเขาอยู่ในยามนี้ ช่างให้ความคุ้นเคยที่ประหลาด แต่เขาก็ตอบไม่ได้ว่าเคยเห็นแววตาที่คล้ายกับนางจากที่ใด“ข้าหมอหวง เจ้าเล่าชื่อแซ่อันใด”“ข้าแซ่ฟู่ นามจือหลิน เจ้าค่ะ” จือหลินลุกขึ้นคารวะหมอหวงอย่างนอบน้อม ตามแบบซีรีส์ที่เคยผ่านตานางมา“เช่นนั้นสองพันตำลึงทองเจ้าพอใจหรือไม่” จือหลินลองคคิดค่าเงินคร่าวๆ จากที่นางจ่ายค่าเกวียนและค่าเข้าเมืองอย่างใช้ความคิด“สองพันห้าร้อยตำลึงทอง ข้าให้เจ้าเต็มที่แล้ว” หมอหวงที่เห็นจือหลินขมวดคิ้วคิดก็คิดว่านางไม่พอใจกับราคาที่เขาให้จึงกัดฟันเพิ่มให้นางอีกห้าร้อยตำลึงทอง“เจ้าค่ะ แล้วถ้าดอกนี้เล่า” จือหลินเมื่อได้ราคาที่นางพอใจก็เริ่มหยิบดอกสีดำกับสีม่วงออกมาอย่างละดอก“สวรรค์ เจ้า เจ้า โชคดีเกินไปแล้ว” หมอหวงกระโดดลุกจากเก้าอี้อย่างตกใจ เมื่อเห็นเด็กน้อยนำเห็ดหลินจือออกมาอีกสองดอก“เจ้าต้องการให้ข้าตกใจจนตายหรือ” เขาถลึงตามองจือหลิน เมื่อเห็นนางขบขันกับท่าทางตกใจของเขา“เหอะ หากมีอีกก็รีบเอาออกมาให้หมดเสีย ข้
จือหลินเมื่อเข้ามาในเรือนแล้ว นางก็นำสิ่งของออกมา ก่อนที่จะส่งถุงในใหญ่ที่เดิมที่ใส่เห็ดหลินจือ แต่ตอนนี้บรรจุตั๋วเงินจนแน่นขนัดให้ลี่อิน“สวรรค์ มากถึงเพียงนี้” ลี่อินไม่รู้ว่าเงินมีมากเท่าใด แต่นางดูจากจำนวนตั๋วเงินที่เห็น“ทั้งหมด สองหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบห้าตำลึงทองเจ้าค่ะ”เมื่อจือหลินพูดจบ ตั๋วเงินในมือของลี่อินก็ร่วงหล่นเต็มพื้น จือหลินส่ายหน้าก่อนจะก้มเก็บตั๋วเงินทั้งหมดใส่ถุงตามเดิม“ท่านแม่ ท่านดื่มน้ำเสียก่อน” จือหลินรินน้ำส่งให้ลี่อิน“หากผู้ใดรู้เข้าคงได้มาขโมยไปจนหมดแน่” ลี่อินเอ่ยพูดอย่างลนลาน“หากท่านทำอาการเช่นนี้ต่อหน้าผู้อื่นคงได้มีคนสงสัยเป็นแน่เจ้าค่ะ” จือหลินกลอกตาอย่างเหนื่อยใจ เรือนของนางนอกจากชาวบ้านที่อยู่ใกล้ไม่กี่หลังก็ไม่มีผู้ใดคิดจะมาจือหลินนำตั๋วเงินไปเก็บไว้ที่ห้องของนาง เพราะหากให้มารดาเป็นผู้เก็บเห็นทีคืนนี้นางคงนอนไม่หลับเป็นแน่“ท่านแม่ข้าจะนำเห็ดดอกเล็กไปท่านปู่จง ท่านป้าหลิว และท่านป้าหั่ว เจ้าค่ะ”ลี่อินนางพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เพราะทั้งสามเรือนล้วนแล้วแต่หยิบยื่นสิ่งของให้นางสองคนแม่ลูกอยู่เสมอจือหลินเอ่ยเตือนมารดาไม่ให้ทำท่าทางประหลาดก่อ
เมื่อส่งทุกคนกลับไปแล้วจือหลินก็เดินหน้าเรียบเฉยเข้าไปในเรือน ชาวบ้านพวกนี้ช่างทำให้นางเสียอารมณ์ยิ่งนัก“ท่านแม่ หรือว่าพวกเราจะออกไปอยู่ที่อื่นดีเจ้าคะ” จือหลินเอ่ยถามมารดา“จะไปอยู่ที่ใดเล่า” เรื่องนี้ไม่ใช่ว่านางไม่เคยคิดนางต้องทนอยู่ในหมู่บ้านให้คนนินทารังเกียจมานับสิบปี ที่ไปไหนไม่ได้เพราะไม่มีเงิน แต่เมื่อมีเงินก็ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ใด นางเคยไปไหนไกลจากหมู่บ้านนอกจากในเมืองครั้งนั้นเสียที่ไหนเล่า“เอาไว้ค่อยว่ากันเจ้าค่ะ” จือหลินก็ไม่รู้ถึงความเป็นอยู่แต่ละเมืองเสียด้วย และไม่รู้ว่าจะไปถามผู้ใดดีสองแม่ลูกแยกย้ายกันเข้านอน จือหลินที่กำลังจะเข้าสู่ห้วงความฝันก็ได้ยินเสียงสัญญาณที่นางไม่ได้ยินมานานแล้วขึ้น“ระบบกำลังประมวลผล” จือหลินเด้งตัวขึ้นจากที่นอนทันที“โปรดยืนยันตัวตน”“จือหลิน” นางรีบร้องตอบทันที“ยืนยันตัวตน ยินดีต้อนรับการกลับมาจือหลิน” นางไม่รู้ว่าในตอนนี้รู้สึกดีใจมากเพียงใดเมื่อได้ยินเสียงสวรรค์อีกครั้วแต่ก่อนที่จือหลินจะเข้าไปสำรวจภายในห้วงมิติของนาง ด้านนอกก็มีเสียงค้นหาสิ่งของดังขึ้น จือหลินรีบนำถุงใส่ตั๋วเงินและเห็ดหลินจือที่ยังเหลืออยู่เก็บเข้าไปในมิติทันทีนา
พ่อแม่ของต้าจูต่างเข้ามาขอร้องสองแม่ลูกไม่ให้ส่งเรื่องให้ทางการ ต้าจูในยามนี้ได้ยินสิ่งที่จือหลินพูดก็เป็นลมหมดสติไปเสียแล้วจินฮวานางก็แข้งขาอ่อนเมื่อได้ยินว่าจะส่งตัวต้าจูให้ทางการ หากเขาถูกจับไปจริงนางก็คงไม่พ้นความผิดเป็นแน่เป็นนางที่พูดยุยงให้ต้าจูที่กำลังหาเงินไปใช้หนี้พนันมาขโมยเห็ดหลินจือที่เรือนของสองแม่นาง นางอิจฉาในความโชคดีที่สองแม่ลูกได้รับ แต่ไม่คิดว่าต้าจูจะโง่ถึงขั้นล้มจนมีแทงตัวเองได้เช่นนี้อี้เฉินก็เดินเข้ามาประคองมารดาไว้ จางอู๋จ้องมองจินฮวาอย่างดุดัน หากต้าจูไม่โง่ล้มลงเสียก่อนเข้าไม่อยากจะนึกว่าสองคนแม่สองที่อ่อนแอจะเป็นเช่นใดลี่อินที่เห็นสายตาห่วงใยของจางอู๋นางก็ก้มหน้าลงโดยไม่กล้ามอง นางรู้ว่าเพราะความหึงหวงจึงทำจินฮวาทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาแม้ว่านางกับจางอู๋จะไม่ได้พบเจอหรือพูดคุยกันแล้ว แต่จินฮวานนางก็ยังไม่ยอมเลิกรา ลี่อินจึงคิดเรื่องที่บุตรสาวถามเรื่องที่ย้ายไปอยู่อีกครั้งขึ้นมา“ช่างเถิดเจ้าค่ะ ข้ากับหลินเออร์จะย้ายไปอยู่ที่อื่น” ลี่อินเอ่ยออกมาด้วยเสียงอันเบา“อาอิน” ชาวบ้านรวมทั้งจางอู๋เอ่ยเรียกนางอย่างไม่อยากเชื่อหูตนเอง“ท่านพาต้าจูกลับไปรักษาตัวเถิด
จือหลินเข้าไปด้านในของมิติทันที นางยืนมองรอบๆ มิติอย่างคะนึงหา ไม่อยากจะเชื่อว่าในยามนี้ภายนอกล้วนไม่ต่างจากเมื่อก่อนเลยสักนิดนางเดินเข้าไปด้านใน ก่อนจะหยุดมองที่ห้องทดลองของนางอย่างเหม่อลอย ในยามนี้ได้แต่ถอนหายใจออกมา เพราะสิ่งของด้านในล้วนไม่อาจนำออกมาใช้ให้ผู้อื่นในภพนี้เห็นได้ อีกอย่างเหตุการณ์ในครั้งนั้นนางก็ไม่คิดอยากจะทดลองยาตัวใดขึ้นมาอีกเลยข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างที่นางนำเข้ามาล้วนอยู่ครบ จือหลินเดินไปล้มตัวลงนอนที่เตียงอย่างโหยหา ก่อนนางจะหลับตาที่เหนื่อยล้าลงแล้วเข้าสู่ความฝันอย่างรวดเร็วจือหลินไม่รู้ว่าตอนที่นางสะดุ้งตื่นนั้นเป็นเวลาเท่าใด แต่ที่นางตกใจตื่นเพราะได้ยินเสียงร้องของมารดา จือหลินรีบออกจากมิติทันทีเพื่อดูว่าเกิดสิ่งใดขึ้นก็พบมารดาที่วิ่งหานางพร้อมกับร้องเรียกไปทั่วเรือน“ท่านแม่ ข้าอยู่นี่เจ้าค่ะ” จือหลินเข้าไปหามารดาอย่างรวดเร็ว“หลินเออร์ หลินเออร์ เจ้าหายไปที่ใดมา แม่ แม่กลัวเหลือเกิน” ลี่อินคิดว่าต้าจูหรือจินฮวามาลักพาตัวบุตรสาวของนางไปเสียแล้วจือหลินที่ตกใจกับท่าทางของลี่อินก็ไม่รู้จะปลอบนางเช่นไร จึงได้สวมกอดมารดาไว้แน่นเพื่อให้นางวางใจลง ลี่อินก็กอ
จือหลินเดินเข้าไปด้านในห้องทดลองของนาง ข้าวของทุกอย่างยังจัดวางอยู่เช่นเดิม นางลูบโต๊ะที่เคยนั่งทำงานทุกวันด้วยความคิดถึง แต่เพราะทุกสิ่งภายในห้องนี้ล้วนไม่มีผลกับนางเมื่ออยู่ในยุคโบราณอีกแล้วนางจึงเดินเข้าไปด้านในสุดของห้อง หากไม่สังเกตให้ดีก็จะเห็นทั้งหมดเป็นเพียงผนังห้องขาวๆ แต่ถ้ามองให้ละเอียดจะพบปุ่มกลไกเล็กๆ ที่ฝั่งอยู่บนผนัง เพื่อใช้เปิดเข้าไปภายในห้องอีกห้องหนึ่งด้านในห้องมีตู้เก็บยาหลายพันขวด ทั้งยารักษาทั่วไปที่พบเห็นได้ตามร้านขายยา หรือยาเฉพาะที่มีเพียงในโรงพยาบาล ทุกขวดล้วนแต่ถูกเก็บไว้ในตู้กระจกสีขาวที่มองแล้วสบายตาแต่จะมีอยู่ตู้ที่โดดเด่นที่สุดภายในห้อง ตู้สีดำทึบ ด้านในเป็นยาพิษที่ทำให้อ่อนแรงไปจนถึงชีวิต มีอยู่หลายขวดที่ถูกทำขึ้นโดยจือหลินเองนางเกือบลืมไปแล้วว่าการทดลองทุกครั้งนอกจากจะใช้หนูทดลอง บางครั้งยังเป็นมนุษย์ที่ถูกองค์กรส่งมาให้นางได้ทดลองด้วยจือหลินเพียงปรายตามองที่ตู้สีดำเท่านั้น นางไม่คิดจะเปิดนำสิ่งที่อยู่ด้านในออกมาใช้ หากไม่จำเป็นจริงๆจือหลินเดินไปที่ตู้ยาเพื่อค้นหายาที่รักษาโรคโลหิตจาง คนที่เป็นโรคโลหิตจางไม่ได้ร้ายแรงเช่นมารดาของนาง เพียงให้ธาตุเ
เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกอย่างล้วนแล้วยังสามารถเปิดใช้งานภายในมิติได้ปกติ จือหลินนางจึงเดินไปที่โต๊ะทำงานเพื่อเปิดคอมของนางดูมันเปิดใช้งานได้ แต่ไม่อาจเข้าดูข้อมูลของงานที่นางเก็บไว้ คงได้แต่เปิดเล่นเกมที่ไม่ต้องเชื่อมเน็ตฆ่าเวลาเท่านั้นจือหลินปิดคอมลงแล้วเดินเข้าไปแช่น้ำในห้องน้ำของนาง หากร่างกายนี้เติบโตมากพอที่จะนั่งจิบไวน์ได้คงดีไม่น้อย ทำได้เพียงจิบน้ำส้มไปก่อนนางหลับตาพริ้มแช่น้ำอุ่นอย่างสบายตัว นับตั้งแต่ที่มาอยู่ภพนี้ การอาบน้ำครั้งนี้เรียกได้ว่าดีสุดแล้วของนางชุดนอนที่มีอยู่ในตู้ก็หลวมเกินที่จะนำมาใส่ได้ จือหลินจึงใส่เพียงเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ก็คลุมเข่าของนางแล้ว อย่างน้อยสิ่งที่ดีอีกเรื่องก็เห็นจะเป็นมีเสื้อชั้นใน กางเกงชั้นในให้ใส่ได้เมื่อก้มลงมองหน้าอกของตนในยามนี้ก็ได้แต่ปิดลิ้นชักเสื้อชั้นในลงเสีย ขยะจากกล่องอาหารหรือถุงขนมที่นางกิน เมื่อทิ้งลงในถังขยะก็อันตรธานหายไปทันที หากพามารดาเข้ามาด้วยได้คงจะดีกว่านี้ จือหลินได้แต่คิดแล้วก็หลับตาลงบนเตียงอย่างสบายตัววันต่อมาก่อนออกจากมิติ จือหลินนางนำมีดสั้นออกมาด้วย ทั้งยังใช้สายรัดซ่อนไว้ที่ต้นขาของนาง ยังดีที่สายรัดปรับขนาดได้ไม่เช่
จือหลินนางเดินนำหน้าทุกครั้งไปตำแหน่งที่นายพรานกงนอนหมดสติอยู่ ชาวบ้านเมื่อเห็นบาดแผลต่างก็ตกใจกลัวหากนายพรานกงที่เก่งกาจยังพลาดท่าเช่นนี้ ต่อไปพวกเขาจะไปหาของป่ากันได้อย่างไรจือหลินมองพวกเขาที่ช่วยกันหามนายพรานกงลงเขานางก็ไม่คิดที่จะเอ่ยเตือน เพราะนางตรวจดูขาของเขาแล้วมันไม่ได้หักยังไม่ต้องระวังในการเคลื่อนย้ายมากนัก“แม่หนู เจ้านามอันใดหรือ” อี้หนิงเอ่ยถามจือหลิน หลังจากที่นางให้บุตรชายพาท่านหมอตามเข้าไปดูสามีที่ในเรือนแล้ว“ข้า ฟู่จือหลินเจ้าค่ะ” อี้หนิงเอ่ยขอบคุณจือหลินก่อนจะเข้าไปในเรือนเพื่อดูสามี“นังหนูหลิน เจ้ามาทำอันใดที่นี่” ผู้นำหมู่บ้านจางที่เพิ่งจะมาก็เอ่ยถามจือหลินที่เห็นนางมาอยู่อีกฟากของหมู่บ้านอย่างแปลกใจ“วันนี้ข้าขึ้นเขาเจ้าค่ะ แต่เดินออกนอกเส้นทางที่เคยเดินทุกวัน จนหลงมาถึงป่าฟากนี้แล้วพบกับพรานกงเข้า” จือหลินเอ่ยเล่าเรื่องให้ท่านผู้นำหมู่บ้านฟัง“เด็กดี คราวหน้าอย่าได้ขึ้นเขาคนเดียวเล่า กลับเรือนเจ้าเถิดประเดี๋ยวแม่ของเจ้าจะเป็นห่วง” ผู้นำหมู่บ้านไม่แปลกใจที่จือหลินบอกเรื่องหลงป่าเพราะครั้งนั้นเขาก็พาชาวบ้านออกตามหานางที่นางตกเขา ยิ่งนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับ
จือหลินนางพาชิงชางเข้าไปภายในมิติ ชิงชางเมื่อรู้ตอนนี้ตนอยู่ที่ใดเขาก็อุ้มจือหลินเข้าไปในห้องของนางนางรู้ว่าเขาต้องการทำสิ่งใดกับนางก็อดที่จะเอ่ยถามอย่างสงสัยไม่ได้“ท่านอยู่ในขั้นใด”“ข้าเร่งเดินลมปราณ เพื่อวันนี้หลินหลิน”ชิงชางไม่ยอมบอกนางแต่เขากับจุมพิตนางอย่างดูดดื่มแทน จือหลินราวกับต้องมนต์เมื่อได้รับสัมผัสที่อ่อนโยนของเขาชิงชางไล้นิ้วไปตามเรือนร่างของนาง พร้อมทั้งปลดชุดของนางอย่างรวดเร็ว“เจ้างามยิ่งนักหลินหลิน” เมื่อได้เห็นเรือนร่างที่เปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้าของนาง เขาก็อดที่จะจ้องมองอย่างตกตะลึงมิได้จือหลินนางก็ไม่ได้มีท่าทีที่เขินอายเช่นหญิงสาวทั่วไป กลับใจกล้ากว่าที่เขาคิด เพียงนางช้อนสายตายั่วยวนเขา ชิงชางก็รีบปลดชุดออกด้วยมือที่สั่นเทาก่อนจะขึ้นคร่อมตัวนางพร้อมกับมอบจุมพิตที่ร้อนแรงเต็มไปด้วยไฟปรารถนา จือหลินโอบรอบคอของเขาไว้ พร้อมทั้งใช้มือที่ซุกซนของนางสัมผัสไปที่เครื่องเพศของเขาโดยตรง“หลินหลิน เจ้าช่าง ซุก ซนนัก” ชิงชางเอ่ยแสงสั่นเทาออกมาอย่างไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้จือหลินนางเงยหน้าขึ้นหัวเราะอย่างชอบใจเมื่อเห็นสีหน้าที่อดกลั้นของเขา แต่ต่อมานางก็รู้ตัวว่านางนั้นคิดผ
ภายในมิติผ่านมาได้สองปี แต่ด้านนอกเพียงผ่านไปแล้วสี่เดือนเท่านั้น ชิงชางก็คิดจะออกไปจัดการเรื่องของตนในวังหลวง แม้แต่ขั้นระดับเขาก็ไม่ให้จือหลินตรวจสอบนางก็ไม่ว่าอันใด พาเขาออกไปส่งด้านนอกอย่างที่เขาต้องการ ชิงชางมองจือหลินอย่างลึกซึ้งก่อนจะเดินจากไปโดยที่เขาไม่เอ่ยอันใดสักคำจือหลินยืนมองแผ่นหลังของเขาอย่างสะท้านในอก นางคิดว่าตัวนางไม่อยากยึดติดหรือหวังในตัวของชิงชางแล้วแต่ก็ยังอดเศร้าใจไม่ได้“ชางเออร์เจ้ากลับมาเสียที” หลีจิ้งมองบุตรชายที่รูปร่างและกลิ่นอายที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างแปลกใจ“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ลูกมีเรื่องจะพูดกับพวกท่าน”“หากเป็นเรื่องของหลินเออร์ พ่อเข้าใจ แต่เจ้าก็ต้องรู้ว่าต่อไปเจ้ามิอาจมีนางเพียงผู้เดียวได้”หลีจิ้งมองบุตรชายอย่างจริงจัง เพราะตัวเขาที่คิดจะมีเพียงอี้หนิงในวังหลังเพียงหนึ่งเดียวยังไม่อาจทำได้เขาจำต้องรับบุตรสาวของตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ทั้งผู้ที่เคยช่วยเหลือจนเขาได้นั่งในบัลลังก์ครั้งนี้ไว้อย่างเสียไม่ได้เพียงปีเดียวก็มีพระสนมมากถึงนับสิบคนแล้วชิงชางฟังคำพูดของบิดาหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด“ลูกไม่คิดจะเป็นฮ่องเต้เช่นเสด็จพ่อ ลูกต้องการออกเดิ
ชิงชางอับอายจนใบหูของเขาแดงก่ำ ตัวเขาจะเคยทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ที่ทำกับนางก็เป็นครั้งแรกของเขาเช่นกันแล้วสตรีเช่นนางกับพูดเรื่องเช่นนี้ออกมาได้อย่างไม่อายบอก หรือว่านางเคยถูกผู้ใดจุมพิตมาแล้วชิงชางยิ่งคิดก็ยิ่งเกิดอาการหึงหวง เขาเดินเข้าไปจับใบหน้าของนางไว้แล้วจุมพิตนางอีกครั้งอย่างรุนแรงแต่ครั้งนี้จือหลินนางตกตะลึงอย่างแท้จริง เพราะไม่คิดว่าชิงชางจะจุมพิตนางอีกครั้ง นางคิดว่าคำพูดของนางจะทำให้เขาเกิดอยากเปลี่ยนใจจือหลินกลับเป็นฝ่ายดึงรั้งคอของชิงชางไว้ แล้วเริ่มใช้เรียวลิ้นของนางหยอกล้อกับเรียวลิ้นของชิงชางแทนในตอนแรกชิงชางก็นิ่งชะงักอย่างตกตะลึง เขาไม่คิดว่านางจะจุมพิตได้ช่ำชองเช่นนี้ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นความรัญจวนที่นางมอบให้ทั้งสองไม่รู้ว่าตนจุมพิตกันนานเพียงใด แต่เมื่อจือหลินนางถอนริมฝีปากออก ชิงชางกลับอาลัยอาวรณ์อย่างไม่สิ้นสุด“หลินเออร์ เหตุใดเจ้า”“ท่านอยากจะรู้ว่าเหตุใดข้าถึงจุมพิตเป็นใช่หรือไม่”จือหลินนางจ้องมองเด็กน้อยตรงหน้าอย่างหยอกล้อ ก่อนจะเล่าเรื่องที่นางไม่ใช่คนในภพนี้ให้ชิงชางได้ฟังทั้งคู่เข้ามานั่งในห้องนั่งเล่นที่โซฟาแทนห้องทดลองของจือหลินนางบอกเล่า
บ่าวไพร่ในจวนตระกูลถานรวมทั้งองครักษ์ของชิงชางต่างแตกตื่นกันให้วุ่น เพราะเรื่องที่จือหลินและชิงชางหายตัวไปจากห้องนอนในเรือนของป๋อฉิวอย่างไร้ร่องรอยลี่อินที่ยังไม่หายดีก็ให้ตงฟางประคองตนมาที่ห้องของจือหลินอย่างร้อนใจจือหลินนางออกทันเห็นคนกำลังเข้าช่วยมารดาที่หมดสติอยู่ในห้องของนางพอดี“เกิดเรื่องใดขึ้นหรือเจ้าคะ” เสียงของนางทำให้ทุกคนหยุดนิ่งอยู่กับที่ คนที่มีสติที่สุดเห็นจะเป็นตงฟางที่วิ่งเข้ามากอดเอวพี่สาวไว้แน่น แล้วปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใครจือหลินต้องลูบหลังปลอบประโลมเขาอยู่พักใหญ่กว่าจะเงียบเสียงลง คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตงฟางต้องแสร้งเข้มแข็งมากเพียงใด เมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับพี่สาวของตน เพราะเขาต้องดูแลมารดาที่ล้มป่วยทั้งยังน้องชายคนเล็กที่เสียขวัญอีกด้วย“หลินเออร์ เจ้ากลับมาหาแม่แล้ว” ลี่อินเมื่อได้สติก็ลุกขึ้นดึงตัวบุตรสาวเข้ามาสวมกอดอย่างหวงแหนท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อบ่าวไปแจ้งว่าพบตัวจือหลินแล้วก็รีบร้อนเดินมาทันที“หลินเออร์” ผู้เฒ่าถานมองหลานสาวด้วยดวงตาที่เออคลอไปด้วยน้ำตาส่วนฮูหยินผู้เฒ่าถานเดินเข้ามาสวมดอกนางไม่ต่างจากที่ลี่อินทำเลย“พวกท่านใจเย็นก่
ภายนอกมิติต่างวิ่งวุ่นตามหมอกันไปทั่ว เพราะหลายวันแล้วที่จือหลินนางนอนอย่างไม่ได้สติ พวกเขาที่รอเวลาให้นางตื่นก็ไม่อาจทนรอได้อีกหมอที่มาตรวจก็ไม่อาจหาสาเหตุที่ทำให้จือหลินนางหมดสติเช่นนี้ได้ เพราะร่างกายของนางเหมือนกับคนที่หลับสนิทเท่านั้นหลีจิ้งเมื่อจัดการเรื่องภายในวังหลวงเสร็จสิ้นก็มารับอี้หนิงกับอวี่ซีกลับเข้าวังหลวง เพื่อสถาปนาตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้และฮองเฮาพระองค์ใหม่ป๋อฉิวถูกราชโองการแต่งตั้งเป็นเสนาบดีกรมกลาโหมทันทีที่หลีจิ้งขึ้นนั่งบัลลังก์ เขาไม่ได้รู้สึกยินดีกับตำแหน่งที่ได้จวนตระกูลถานยังไม่เปิดรับผู้คนที่เดินทางมาร่วมแสดงความยินดี เพราะบุตรสาวที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่ในเรือนของเขาชิงชางเมื่อช่วยบิดาจัดการเรื่องในวังหลวงเสร็จสิ้น ตัวเขาก็แทบจะอยู่ที่จวนตระกูลถานไม่ยอมขยับไปที่ใด ได้แต่นั่งเฝ้าจือหลินที่นอนหลับอยู่บนเตียงเขามักจะนำตำรา หรือเรื่องที่พบเจอมาตลอดที่ไม่ได้อยู่กับนางมาเล่าให้นางฟัง จนคนที่เข้ามาพบเห็นอกเห็นใจเขาไม่ได้ป๋อฉิวก็ไม่ทำใจไล่เข้ากลับวังไม่ลง จึงปล่อยให้เขานั่งพูดอยู่เช่นนั้น เรื่องร้านค้าของจือหลินก็ไม่มีปัญหา เพราะของที่นางทำไว้ยังมีอีกมาก ลี่อินที่
ป๋อฉิวไม่เคยเห็นด้านที่อ่อนแอเช่นนี้ของนาง เขาอดที่จะจุกในอกไม่ได้ สุดท้ายแล้วอย่างไรนางก็เป็นเด็กสาวที่ต้องการคนปลอบประโลมชิงชางกับหลีจิ้งทรุดตัวลงอย่างสิ้นแรง ทุกคนล้วนได้รับผลกระทบจากการระเบิดพลังครั้งนี้ของจือหลินแต่เพียงไม่นาน ร่างกายที่ทุกคนได้รับบาดเจ็บ แม้แต่โรคที่รักษาไม่หายเมื่อถูกแสงสีขาวของจือหลินต่างก็หายราวปาฏิหาริย์ เรื่องนี้ชาวเมืองที่หนีไม่ทันจากแสงก็รับรู้ได้เช่นกันชาวชราที่เดินกลับเรือนเขาไม่อาจวิ่งหนีได้เช่นคนหนุ่มสาว เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งร่างกายที่ทรุดโทรมก็กลับแข็งแรงขึ้นอย่างน่าประหลาดใจคนขอทานที่ขาหัก ล้มอยู่ที่พื้น เพราะโดนชนจนหนีไม่ทันก็กลับมาลุกขึ้นเดินได้เมื่อแสงสีขาวหายไปกลายเป็นที่ร่ำลือไปทั่ว ชาวเมืองทั้งหมดต่างออกจากเรือนเพื่อมารอแสงสีขาวอีกครั้ง แต่ก็ไม่เคยปรากฏขึ้นอีกเลยป๋อฉิวประคองบุตรสาวขึ้น ก่อนที่ทั้งคู่จะร่ำลาสองพ่อลูกกับจวนของตนไป“หลินเออร์” ชิงชางร้องเรียกนาง“ท่านจัดการเรื่องของท่านเถิด ข้าจะกลับจวนเพื่อไปดูมารดาและน้องชาย” จือหลินนางไม่ได้หันไปมองชิงชางเลยสักนิดจือหลินพูดจบนางก็หมดสติไปทันที เพราะการระเบิดพลังและการเลื่อนขั้นที่เกิดข
ป๋อฉิวจ้องมองฉีหลีเจียวอย่างโกรธแค้น ไม่รู้ว่าเมื่อคนของเขาไปถึงจวนตระกูลถานบุตรสาวจะออกจากการกักตัวแล้วหรือยังต่อให้ใบหน้าของเขาเรียบเฉยมากเพียงใด แต่ในอกของเขากับสะท้านอย่างหวาดกลัว กลัวว่าคนในตระกูลจะเคราะห์ร้ายไปกับเขาด้วยจือหลินนางมาถึงประตูวังหลวงเพียงลำพังหลังจากที่นางใช้ปราณรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดแล้วก็ออกเดินทางมาทันที“มีป้ายคำสั่งเข้าวังหรือไม่” ทหารหน้าประตูวังเอ่ยถามจือหลินเขามองนางอย่างแปลกใจ นางไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในวังหลวงหรือ จึงได้อาจหาญเข้ามาวังหลวงเช่นนี้“ไม่มี” นางเอ่ยเสียงเหยียบเย็น“กลับไปเสีย ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน” ทหารดึงกระบี่ออกมาข่มขู่จือหลินเพียงแค่นางปรายตาไปมอง ลมปราณในร่างของนางก็ทำให้ทหารที่กำลังถือกระบี่ข่มขู่นางกระเด็นถอยหลังไปกระแทกกับประตูวังจนหมดสติเสียงร้องตกใจของทหารที่อยู่รอบบริเวณนั้น วิ่งมาทางนาง เพื่อจัดการกับนางทันทีจือหลินโบกมืออย่างนึกรำคาญ นางไม่มีเวลามากพอที่จะเล่นสนุกกับพวกเขาฉีหลีเจียวดึงกระบี่ขององครักษ์ออกมาหวังจะบั่นคอป๋อฉิวอย่างมีโทสะ ก็ถูกองครักษ์ที่อยู่หน้าประตูคุกใต้ดินวิ่งเข้ามาแจ้งเรื่องผู้บุกรุก
จือหลินเดินลมปราณโดยไร้สิ่งรบกวน นางนั่งจนลืมวันลืมคืนเช่นเดิม ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด สิ่งที่จือหลินรับรู้ได้ครั้งนี้ ร่างกายของนางเลื่อนระดับได้เร็วขึ้นเพราะทนความเจ็บปวดจากลมปราณทั้งห้าที่ขยายใหญ่ขึ้นได้ ตัวนางจึงนั่งต่อไปเรื่อยๆ“หลินเออร์ บิดาเจ้าตกอยู่ในอันตราย” เสียงของชิงชางที่ออกมาจากหยกสื่อสารทำให้จือหลินนางหลุดออกจากการเลื่อนระดับดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำราวกับสัตว์ร้าย“บิดาข้าอยู่ที่ใด” น้ำเสียงของจือหลินที่สื่อสารกลับไปเต็มไปด้วยไอสังหาร จนชิงชางที่ถือหยกสื่อสารในมืออดสั่นสะท้านไม่ได้แรงโทสะของจือหลินเมื่อรู้ว่าบิดาของนางกำลังได้รับอันตราย ทำให้ค่ายกลที่ววางไว้ระเบิดออก เรือนของนางเสียหายไปกว่าครึ่ง ค่ายกลทั้งหมดถูกทำลายลงคนภายในจวนตระกูลถานรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือน ต่างพากันวิ่งมาที่เรือนของจือหลิน“คะ คุณหนู ท่านได้รับบาดเจ็บหรือไม่ขอรับ” พ่อบ้านถานคือคนแรกที่เขามาถามนางอย่างใจกล้า เพราะไม่มีบ่าวคนใดกล้าเดินเข้ามาใกล้นางในยามนี้นอกจากแววตาที่ลุกโชนไปด้วยโทสะของนางแล้ว ร่างกายของนางยังมีเปลวไฟแผดเผาไปทุกย่างก้าวที่นางเดิน“หลินเออร์/พี่หญิง” ลี่อินกับตงฟางเ
แต่ผู้ใดในจวนตระกูลถานจะคิด ว่าวันต่อมาดอกไม้มากมายก็ถูกส่งมาที่จวนตระกูลถาน พร้อมทั้งผู้ส่งขอไม่รับเป็นเงิน ขอแลกกับน้ำหอมเพียงหนึ่งขวดเท่านั้นผู้อาวุโสต่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมาเพียงจือหลินที่หัวเราะร่วนอย่างชอบใจ มีคนนำของมาให้เช่นนี้นางจะไม่รับไว้ได้อย่างไร แล้วก็แรกกับน้ำหอมเพียงขวดเดียวเท่านั้นจือหลินนางก็แสนจะฉลาด นำน้ำหอมจากภพของนางบรรจุลงในขวดกระเบื้องธรรมดาที่นางนำไปวางขาย มอบให้ผู้ที่ส่งดอกไม้มาให้ที่จวนกลายเป็นที่เลื่องลือไปทั่วเมืองหลวง เพราะน้ำหอมที่เขาได้ ไม่มีวางขายในเมืองหลวงตอนนี้วันต่อๆ มา ดอกไม้หาอยากที่มีกลิ่นหอมก็ถูกส่งมาที่จวนตระกูลถานมากมาย จนบ่าวในจวนไม่มีเวลาได้พักหายใจ เพราะถูกคุณหนูใช้ให้ทั้งเด็ด ล้าง ตาก ดอกไม้ทั้งหมดที่ได้มาจือหลินนางก็ไม่ได้ใช้เปล่าๆ นางมอบสินน้ำใจให้อย่างเต็มที่ บ่าวในเรือนแม้จะเหนื่อยเพิ่มแต่ก็ยินยอมทำอย่างไม่ปริปากบ่นถึงแม้นางจะมีดอกไม้ไว้ทำน้ำหอมจำนวนมากแล้ว แต่น้ำหอมที่นำออกวางขายก็ยังมีเท่าเดิม ยิ่งทำให้สินค้าของนางกลายเป็นที่พูดถึง จนพ่อค้าจากต่างแคว้นและหัวเมืองอื่นๆ เดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อมาทำการค้ากับนางแต่ราคาที่จือหล