น้ำผึ้งหรือธารดารา รัตนัน ยืนกดกริ่งประตูหน้าบ้านขนาดใหญ่หลังหนึ่ง ซึ่งเพียงไม่นานก็มีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมามองเธอผ่านช่องว่างของซี่รั้วเหล็ก ก่อนจะถามเธอว่า
“คุณมาหาใครหรือคะ?”
“สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อน้ำหวานค่ะ คุณภัสสรนัดให้ดิฉันเข้ามาพบที่นี่ค่ะ”
“คุณคือติวเตอร์น้ำหวานใช่ไหมคะ?”
“ใช่ค่ะ”
“งั้นรอสักครู่นะคะ” พูดจบ หญิงวัยกลางคนก็ขยับเข้าไปเปิดประตูรั้วเหล็ก
เมื่อเห็นดังนั้นธารดาราจึงเดินกลับขึ้นไปนั่งในรถยนต์คู่ใจ ก่อนจะขับเข้าไปจอดที่ลานจอดรถภายในบริเวณบ้านหลังนั้น แล้วในขณะที่เธอกำลังก้มลงไปหยิบกระเป๋าสะพายและกระเป๋าใส่เอกสารออกมาจากรถ หญิงวัยกลางคนที่เปิดประตูรั้วให้กับเธอเมื่อครู่ ก็เดินตามมาหาเธอที่รถแล้ว จากนั้นอีกฝ่ายก็พาเธอเดินเข้าไปนั่งรอในห้องรับแขก
โดยระหว่างที่เดินเข้าไปในตัวบ้าน...ธารดาราก็คอยลอบมองส่วนต่าง ๆ ในบ้านหลังนี้ไปด้วย เพราะนี่คือครั้งแรกที่เธอได้มาเยือน หลังจากพ่อกับแม่ของเธอเล่าเรื่องเกี่ยวกับที่นี่ให้ฟัง แล้วในขณะที่นั่งรอเธอก็หันไปมองภาพถ่ายในตู้โชว์ ภาพถ่ายใบนั้นคือภาพครอบครัวซึ่งประกอบด้วยคนเป็นพ่อ แม่ และบุตรชายวัยสิบขวบคนหนึ่ง โดยคนทั้งสามกำลังยืนส่งยิ้มให้แก่กัน ซึ่งเด็กชายในภาพก็คือนายเตชินท์ งามรุ่ง หนุ่มน้อยหน้าหวานที่เคยเป็นอดีตน้องชายข้างบ้านของเธอ คนที่เธอจะมาเป็นครูสอนพิเศษให้ในวันนี้
เนื่องจากในอดีตครอบครัวของเตชินท์เคยอาศัยอยู่ในบ้านหลังที่อยู่ติดกับบ้านของธารดารา จึงทำให้ครอบครัวของอีกฝ่ายค่อนข้างที่จะสนิทกับครอบครัวของเธอ จนเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว...ที่ครอบครัวนี้สูญเสียเสาหลักไป ซึ่งธารดารายังจำเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้นได้...
วันนั้นหลังจากที่ครอบครัวของธารดารารู้ข่าวการจากไปของพ่อเตชินท์ โดยเกิดขึ้นในระหว่างที่เจ้าตัวเดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศ ครอบครัวของเธอก็รีบพากันเข้าไปหาภัสสรกับเตชินท์ที่บ้านทันที แต่ในตอนนั้นภัสสรได้พาเตชินท์นั่งรถออกไปขึ้นเครื่องบินแล้ว ครอบครัวของเธอจึงตัดสินใจขับรถตามไปส่งคนทั้งคู่ที่สนามบิน แต่ด้วยการจราจรที่ติดขัด เมื่อไปถึงครอบครัวของเธอก็ทำได้เพียงมองส่งผู้หญิงแกร่งคนหนึ่งที่ยืนลูบศีรษะและส่งยิ้มปลอบโยนให้บุตรชายของตนเอง ก่อนที่อีกฝ่ายจะจับจูงมือบุตรชายเดินเข้าประตูผู้โดยสารไปเท่านั้น
แล้วหลังจากที่ภัสสรกับเตชินท์เดินทางกลับมาถึงประเทศไทย ภัสสรก็ตัดสินใจขายบ้าน ขายสำนักงานในกรุงเทพฯ ทันที เพราะต้องการรักษาโรงงานส่งออกอะไหล่รถยนต์ที่พ่อของเตชินท์ได้สร้างเอาไว้ เนื่องจากคนที่เคยเป็นหุ้นส่วนหลังรู้ข่าวการจากไปของผู้บริหารก็พากันเทขายหุ้น จนทำให้บริษัทขนาดใหญ่ที่กำลังจะไปได้ดีเริ่มขาดสภาพคล่อง ซึ่งในวันนั้นพ่อกับแม่ของธารดาราก็ได้เสนอตัวขอเข้าไปเป็นหุ้นส่วน แต่ภัสสรก็ขอรับไว้เพียงแค่น้ำใจจากพ่อกับแม่ของเธอเท่านั้น
โดยภัสสรได้ให้เหตุผลกลับมาว่า...ยังไม่รู้เลยว่าตนเองจะรักษาสิ่งที่มีอยู่ไว้ได้นานแค่ไหน จากนั้นภัสสรก็พาเตชินท์เดินทางกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด
ซึ่งหลังจากนั้นสามปี...ภัสสรได้ทำให้โรงงานส่งออกอะไหล่รถยนต์ที่เกือบจะถูกปิดตัวกลับมาเจริญรุ่งเรืองและเติบโต จนทำอีกฝ่ายสามารถพาบุตรชายกลับมาซื้อบ้านขนาดใหญ่หลังนี้ในกรุงเทพฯ แล้วยังสามารถซื้ออาคารแถวย่านกลางใจเมืองมาใช้เป็นสำนักงานขายได้อีกด้วย
ธารดาราจึงค่อนข้างที่จะชื่นชมในความสามารถของภัสสร และยังยกย่องอีกฝ่ายให้เป็นผู้หญิงแกร่งในสายตาของเธอ
โดยหลังจากที่ครอบครัวของเตชินท์กลับมา...ก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะกลับมาสนิทสนมกับครอบครัวของเธออีกครั้ง ซึ่งก็มีแต่ตัวของธารดาราเองที่ในช่วงเวลานั้น เธอมัวแต่ยุ่งอยู่กับการทำเรื่องจบจากมหาวิทยาลัย แล้วไหนจะยุ่งอยู่กับเรื่องการเปิดสถาบันสอนภาษากับกลุ่มเพื่อนของเธออีก จึงทำให้เธอได้แต่ฝากแสดงความยินดีและคอยถามไถ่เรื่องราวของคนในครอบครัวนี้ผ่านพ่อกับแม่ของเธอเท่านั้น
แล้วก็ด้วยเพราะเหตุผลเหล่านี้จึงทำให้ธารดาราเป็นคนเดียวในครอบครัวที่ยังไม่ได้มาเที่ยวบ้านหลังนี้และยังไม่ได้เจอกับคนในครอบครัวนี้แบบตัวเป็น ๆ เลยสักครั้ง
เสียงพูดคุยและเสียงความเคลื่อนไหวที่ดังมาจากภายนอกห้องทำให้ธารดาราหลุดออกมาจากภวังค์ความคิด แล้วเพียงไม่นานนายหญิงของบ้านหลังนี้ก็เดินเข้ามาในห้องรับแขกพร้อมกับผู้หญิงวัยกลางคนคนเมื่อครู่ เมื่อเห็นดังนั้นธารดาราจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับยกมือไหว้ แล้วกล่าวว่า
“สวัสดีค่ะ ดิฉันติวเตอร์น้ำหวานค่ะ” แต่เมื่อเห็นสายตาที่แสดงออกถึงความเคลือบแคลงใจจากอีกฝ่าย ธารดาราจึงรีบพูดต่อว่า
“ดิฉันติวเตอร์น้ำหวานมาจากสถาบันสอนภาษายิ้มรับที่คุณภัสสรโทรนัดให้เข้ามาพบบ่ายวันนี้ค่ะ”
“ติวเตอร์น้ำหวาน! เออ...อย่างนั้นเชิญนั่งก่อนนะคะ คือ...ติวเตอร์ดูเด็กกว่าที่แม่คิดเอาไว้อีกน่ะค่ะ ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าจะยี่สิบสี่แล้ว หากแม่เจอด้านนอก...แม่คงคิดว่าติวเตอร์อายุน่าจะประมาณสิบแปดสิบเก้าเท่ากับลูกชายของแม่แน่เลยค่ะ”
“ขอบคุณมากค่ะ” ธารดาราตอบกลับ ก่อนจะก้มลงไปมองชุดสูทของตัวเอง ‘ป้าหมิวยังคงปากหวานไม่เปลี่ยน... แต่ก็โชคดีที่จำเราไม่ได้’
แล้วเมื่อเห็นภัสสรเดินเข้าไปนั่งที่โซฟาตัวใหญ่ด้านใน ธารดาราจึงนั่งลงไปที่เก้าอี้ตัวเดิม จากนั้นเธอก็เห็นอีกฝ่ายหันไปสั่งจีนผู้หญิงวัยกลางคนที่เดินเข้ามาพร้อมกับเจ้าตัวให้ขึ้นไปตามเตชินท์ลงมา ก่อนที่ภัสสรจะหันมามองเธอแล้วพูดว่า
“ติวเตอร์นั่งรอสักครู่นะคะ แม่ให้จีนขึ้นไปตามเตชินท์ลงมาให้แล้ว เจ้าเด็กนี่อีกไม่กี่เดือนก็อาจจะต้องเดินทางไปหาที่เรียนต่อในประเทศอังกฤษแล้ว แต่วัน ๆ เจ้าตัวดีก็เอาแต่ขลุกตัวอยู่ในห้อง หนังสือหนังหาไม่รู้ว่าหยิบขึ้นมาอ่านบ้างหรือเปล่า? หรือเอาแต่เล่นเกมส์?
ติวเตอร์รู้ไหมคะ หากแม่หรือเพื่อนของเจ้าตัวดีไม่ขึ้นไปลากตัวออกมาจากห้องนะ เชื่อไหม...วันทั้งวันแม่แทบจะไม่ได้เห็นหน้าลูกชายของแม่เลยด้วยซ้ำ เนี่ย....”
ธารดาราทำเพียงส่งยิ้มให้กับภัสสรพร้อมกับเก็บข้อมูลของเตชินท์จากคำบ่นของอีกฝ่ายไปด้วย ซึ่งเพียงไม่นานเธอก็เห็นคนที่กำลังถูกบ่นเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเธอแล้ว
“เต นี่คือติวเตอร์น้ำหวาน! จากนี้เธอจะเข้ามาสอนภาษาให้กับลูก”
“ติวเตอร์น้ำหวานคะ นี่คือเตชินท์ลูกชายที่แม่เล่าให้ฟังค่ะ จากนี้แม่ขอฝากด้วยนะคะ”
ภัสสรหลังจากเอ่ยแนะนำพร้อมกับกล่าวฝากฝังบุตรชายไว้ในมือของครูสอนพิเศษเสร็จแล้ว เธอก็กล่าวขอตัวก่อนจะเดินออกมาจากห้องรับแขกพร้อมกับจีน
“สวัสดีค่ะเตชินท์ พี่ชื่อน้ำหวานนะคะ สองเดือนหลังจากนี้เรามาพยายามด้วยกันนะคะ” ธารดาราเอ่ยแนะนำตัวกับเด็กหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง
“สวัสดีครับ...พี่น้ำหวาน! เรียกผมว่า ‘เต’ นะครับ สองเดือนหลังจากนี้ผมขอฝากตัวด้วยนะครับพี่”
“ได้ค่ะ” ธารดาราพูดพร้อมกับยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยตอบกลับเด็กหนุ่มที่ยังคงนั่งส่งยิ้มหวานมาให้กับเธอ
จากนั้นธารดาราก็เริ่มชวนเตชินท์พูดคุยไปถึงเรื่องความชอบและเรื่องอื่น ๆ ต่ออีกเล็กน้อยเพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน แล้วเมื่อเตชินท์เริ่มวางใจเล่าเรื่องส่วนตัวของตนเองออกมา ธารดาราก็เริ่มถามไถ่ถึงพื้นฐานด้านภาษา จากนั้นเธอก็ลองให้เด็กหนุ่มทำแบบทดสอบวัดความรู้ทางภาษาต่อทันที
ซึ่งในระหว่างการพูดคุย ธารดาราก็คอยจับสังเกตเตชินท์ไปด้วยว่าเด็กหนุ่มจะจำเธอได้หรือเปล่า แล้วคำตอบที่ได้ก็คือ...อีกฝ่ายก็จำเธอไม่ได้เช่นกัน!
โดยในระหว่างที่เตชินท์ก้มลงไปทำแบบทดสอบที่เธอให้ ธารดาราก็ทำเป็นหยิบหนังสือสอนภาษาในกระเป๋าขึ้นมาเปิดอ่าน แต่ความจริงแล้วเธอกำลังแอบใช้ดวงตากลมโตของตนเองลอบมองไปที่เด็กหนุ่มฝั่งตรงข้าม ‘เตชินท์เป็นคนหน้าตาดี ผิวขาว รูปร่างสมส่วนแบบชายไทย แต่ติดตรงที่ใบหน้าของเจ้าตัวออกไปทางหวานมากเกิน ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะริมฝีปากที่มันออกสีชมพูระเรื่อ หรือไม่...ก็อาจจะเป็นเพราะขนตา ก็ขนตาของเตมันทั้งงอนทั้งยาวเลยหนิ!’ธารดาราแอบคิดในใจ แล้วก็นึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดในร้านคาราโอเกะเมื่อสามวันก่อน... วันนั้นหลังจากเลิกงานธารดารากับกลุ่มเพื่อนพากันไปกินเลี้ยงที่ร้านคาราโอเกะ เนื่องในโอกาสที่สถาบันสอนภาษายิ้มรับของพวกเธอเริ่มได้รับผลกำไรตอบกลับมาบ้างแล้ว ซึ่งกว่าจะมีวันนี้พวกเธอทั้งสี่คนก็ผ่านความยากลำบากมาไม่น้อยเลย แล้วในระหว่างที่ธารดาราเดินออกมาจากห้องร้องคาราโอเกะเพื่อไปเข้าห้องน้ำ เธอ
ธารดาราหลังจากตรวจคำตอบในแบบทดสอบข้อสุดท้ายเสร็จ เธอก็นั่งไล่นับคะแนนไปพร้อมกับไล่ตรวจทานคำตอบในแบบทดสอบฉบับนั้นอีกครั้ง ‘แปลกแฮะ! ตอนเรียนอยู่ชั้นประถมเตชินท์เป็นเด็กที่เรียนเก่งมากคนหนึ่งเลยไม่ใช่หรือ? ถ้าจำไม่ผิดผลสอบออกมาแต่ละครั้งหากเตไม่ได้ลำดับที่หนึ่งก็ไม่เคยตกลงมาเกินลำดับสามของห้อง แล้วทำไมตอนนี้ถึง...’ “ผมทำคะแนนได้เท่าไหร่หรือครับ...สามสิบแปดส่วนหนึ่งร้อย!” ธารดารามองเตชินท์ที่เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเธอ แล้วเมื่อได้เห็นสายตาและสีหน้าราวกับลูกหมากำลังจะถูกทิ้งของอีกฝ่าย เธอจึงกล่าวว่า “คะแนนเท่านี้มันก็ไม่ได้ถือว่าแย่มากนะ” “แต่ผม...อีกไม่กี่เดือนผมก็อาจจะต้องเดินทางไปหาที่เรียนต่อในประเทศอังกฤษแล้วนะครับ แต่ถ้าหากว่าภาษาของผมยังใช้การไม่ได้ แล้วผมจะไปติดต่อสื่
“น้ำผึ้ง! ทำไมวันนี้...หนูถึงแต่งตัวแบบนี้ล่ะลูก?” ธันวามองบุตรสาวคนเดียวของเขาที่กำลังเดินเข้ามานั่งยังโต๊ะกินข้าว เนื่องจากวันนี้อีกฝ่ายสวมแว่นตาหนาเตอะ ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวก็ไม่ใช่คนสายตาสั้น แล้วไหนจะชุดสูทกระโปรงยาวสีน้ำตาลกับทรงผมแสกกลางที่มัดเป็นหางม้าเอาไว้ต่ำ ๆ ตรงกลางหลังนั่นอีก “ตอนบ่ายฉันก็ตกใจแบบคุณเลยค่ะ นึกว่ามนุษย์ป้าที่ไหนแอบเข้ามาเดินอยู่ในบ้านของเรา” “แม่อะ...นี่ผึ้งเอง น้ำผึ้งลูกสาวคนสวยของแม่ไงคะ” “แล้วเป็นอย่างไรบ้างล่ะวันนี้ โดนสองคนนั้นจับได้ไหม?” สายธารเอ่ยถามพร้อมกับตักเต้าหู้ไข่ในแกงจืดไปวางลงบนจานข้าวของสามีและบุตรสาวคนละชิ้น “ไม่ค่ะ ป้าหมิวกับเตไม่มีใครจำผึ้งได้เลยสักคน” &nbs
“น้ำผึ้ง! ทำไมวันนี้...หนูถึงแต่งตัวแบบนี้ล่ะลูก?” ธันวามองบุตรสาวคนเดียวของเขาที่กำลังเดินเข้ามานั่งยังโต๊ะกินข้าว เนื่องจากวันนี้อีกฝ่ายสวมแว่นตาหนาเตอะ ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวก็ไม่ใช่คนสายตาสั้น แล้วไหนจะชุดสูทกระโปรงยาวสีน้ำตาลกับทรงผมแสกกลางที่มัดเป็นหางม้าเอาไว้ต่ำ ๆ ตรงกลางหลังนั่นอีก “ตอนบ่ายฉันก็ตกใจแบบคุณเลยค่ะ นึกว่ามนุษย์ป้าที่ไหนแอบเข้ามาเดินอยู่ในบ้านของเรา” “แม่อะ...นี่ผึ้งเอง น้ำผึ้งลูกสาวคนสวยของแม่ไงคะ” “แล้วเป็นอย่างไรบ้างล่ะวันนี้ โดนสองคนนั้นจับได้ไหม?” สายธารเอ่ยถามพร้อมกับตักเต้าหู้ไข่ในแกงจืดไปวางลงบนจานข้าวของสามีและบุตรสาวคนละชิ้น “ไม่ค่ะ ป้าหมิวกับเตไม่มีใครจำผึ้งได้เลยสักคน” &nbs
ธารดาราหลังจากตรวจคำตอบในแบบทดสอบข้อสุดท้ายเสร็จ เธอก็นั่งไล่นับคะแนนไปพร้อมกับไล่ตรวจทานคำตอบในแบบทดสอบฉบับนั้นอีกครั้ง ‘แปลกแฮะ! ตอนเรียนอยู่ชั้นประถมเตชินท์เป็นเด็กที่เรียนเก่งมากคนหนึ่งเลยไม่ใช่หรือ? ถ้าจำไม่ผิดผลสอบออกมาแต่ละครั้งหากเตไม่ได้ลำดับที่หนึ่งก็ไม่เคยตกลงมาเกินลำดับสามของห้อง แล้วทำไมตอนนี้ถึง...’ “ผมทำคะแนนได้เท่าไหร่หรือครับ...สามสิบแปดส่วนหนึ่งร้อย!” ธารดารามองเตชินท์ที่เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเธอ แล้วเมื่อได้เห็นสายตาและสีหน้าราวกับลูกหมากำลังจะถูกทิ้งของอีกฝ่าย เธอจึงกล่าวว่า “คะแนนเท่านี้มันก็ไม่ได้ถือว่าแย่มากนะ” “แต่ผม...อีกไม่กี่เดือนผมก็อาจจะต้องเดินทางไปหาที่เรียนต่อในประเทศอังกฤษแล้วนะครับ แต่ถ้าหากว่าภาษาของผมยังใช้การไม่ได้ แล้วผมจะไปติดต่อสื่
โดยในระหว่างที่เตชินท์ก้มลงไปทำแบบทดสอบที่เธอให้ ธารดาราก็ทำเป็นหยิบหนังสือสอนภาษาในกระเป๋าขึ้นมาเปิดอ่าน แต่ความจริงแล้วเธอกำลังแอบใช้ดวงตากลมโตของตนเองลอบมองไปที่เด็กหนุ่มฝั่งตรงข้าม ‘เตชินท์เป็นคนหน้าตาดี ผิวขาว รูปร่างสมส่วนแบบชายไทย แต่ติดตรงที่ใบหน้าของเจ้าตัวออกไปทางหวานมากเกิน ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะริมฝีปากที่มันออกสีชมพูระเรื่อ หรือไม่...ก็อาจจะเป็นเพราะขนตา ก็ขนตาของเตมันทั้งงอนทั้งยาวเลยหนิ!’ธารดาราแอบคิดในใจ แล้วก็นึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดในร้านคาราโอเกะเมื่อสามวันก่อน... วันนั้นหลังจากเลิกงานธารดารากับกลุ่มเพื่อนพากันไปกินเลี้ยงที่ร้านคาราโอเกะ เนื่องในโอกาสที่สถาบันสอนภาษายิ้มรับของพวกเธอเริ่มได้รับผลกำไรตอบกลับมาบ้างแล้ว ซึ่งกว่าจะมีวันนี้พวกเธอทั้งสี่คนก็ผ่านความยากลำบากมาไม่น้อยเลย แล้วในระหว่างที่ธารดาราเดินออกมาจากห้องร้องคาราโอเกะเพื่อไปเข้าห้องน้ำ เธอ
น้ำผึ้งหรือธารดารา รัตนัน ยืนกดกริ่งประตูหน้าบ้านขนาดใหญ่หลังหนึ่ง ซึ่งเพียงไม่นานก็มีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมามองเธอผ่านช่องว่างของซี่รั้วเหล็ก ก่อนจะถามเธอว่า “คุณมาหาใครหรือคะ?” “สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อน้ำหวานค่ะ คุณภัสสรนัดให้ดิฉันเข้ามาพบที่นี่ค่ะ” “คุณคือติวเตอร์น้ำหวานใช่ไหมคะ?” “ใช่ค่ะ” “งั้นรอสักครู่นะคะ” พูดจบ หญิงวัยกลางคนก็ขยับเข้าไปเปิดประตูรั้วเหล็ก เมื่อเห็นดังนั้นธารดาราจึงเดินกลับขึ้นไปนั่งในรถยนต์คู่ใจ ก่อนจะขับเข้าไปจอดที่ลานจอดรถภายในบริเวณบ้านหลังนั้น แล้วในขณะที่เธอกำลังก้มลงไปหยิบกระเป๋าสะพายและกระเป๋าใส่เอกส