น้ำผึ้งหรือธารดารา รัตนัน ยืนกดกริ่งประตูหน้าบ้านขนาดใหญ่หลังหนึ่ง ซึ่งเพียงไม่นานก็มีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมามองเธอผ่านช่องว่างของซี่รั้วเหล็ก ก่อนจะถามเธอว่า
“คุณมาหาใครหรือคะ?”
“สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อน้ำหวานค่ะ คุณภัสสรนัดให้ดิฉันเข้ามาพบที่นี่ค่ะ”
“คุณคือติวเตอร์น้ำหวานใช่ไหมคะ?”
“ใช่ค่ะ”
“งั้นรอสักครู่นะคะ” พูดจบ หญิงวัยกลางคนก็ขยับเข้าไปเปิดประตูรั้วเหล็ก
เมื่อเห็นดังนั้นธารดาราจึงเดินกลับขึ้นไปนั่งในรถยนต์คู่ใจ ก่อนจะขับเข้าไปจอดที่ลานจอดรถภายในบริเวณบ้านหลังนั้น แล้วในขณะที่เธอกำลังก้มลงไปหยิบกระเป๋าสะพายและกระเป๋าใส่เอกสารออกมาจากรถ หญิงวัยกลางคนที่เปิดประตูรั้วให้กับเธอเมื่อครู่ ก็เดินตามมาหาเธอที่รถแล้ว จากนั้นอีกฝ่ายก็พาเธอเดินเข้าไปนั่งรอในห้องรับแขก
โดยระหว่างที่เดินเข้าไปในตัวบ้าน...ธารดาราก็คอยลอบมองส่วนต่าง ๆ ในบ้านหลังนี้ไปด้วย เพราะนี่คือครั้งแรกที่เธอได้มาเยือน หลังจากพ่อกับแม่ของเธอเล่าเรื่องเกี่ยวกับที่นี่ให้ฟัง แล้วในขณะที่นั่งรอเธอก็หันไปมองภาพถ่ายในตู้โชว์ ภาพถ่ายใบนั้นคือภาพครอบครัวซึ่งประกอบด้วยคนเป็นพ่อ แม่ และบุตรชายวัยสิบขวบคนหนึ่ง โดยคนทั้งสามกำลังยืนส่งยิ้มให้แก่กัน ซึ่งเด็กชายในภาพก็คือนายเตชินท์ งามรุ่ง หนุ่มน้อยหน้าหวานที่เคยเป็นอดีตน้องชายข้างบ้านของเธอ คนที่เธอจะมาเป็นครูสอนพิเศษให้ในวันนี้
เนื่องจากในอดีตครอบครัวของเตชินท์เคยอาศัยอยู่ในบ้านหลังที่อยู่ติดกับบ้านของธารดารา จึงทำให้ครอบครัวของอีกฝ่ายค่อนข้างที่จะสนิทกับครอบครัวของเธอ จนเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว...ที่ครอบครัวนี้สูญเสียเสาหลักไป ซึ่งธารดารายังจำเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้นได้...
วันนั้นหลังจากที่ครอบครัวของธารดารารู้ข่าวการจากไปของพ่อเตชินท์ โดยเกิดขึ้นในระหว่างที่เจ้าตัวเดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศ ครอบครัวของเธอก็รีบพากันเข้าไปหาภัสสรกับเตชินท์ที่บ้านทันที แต่ในตอนนั้นภัสสรได้พาเตชินท์นั่งรถออกไปขึ้นเครื่องบินแล้ว ครอบครัวของเธอจึงตัดสินใจขับรถตามไปส่งคนทั้งคู่ที่สนามบิน แต่ด้วยการจราจรที่ติดขัด เมื่อไปถึงครอบครัวของเธอก็ทำได้เพียงมองส่งผู้หญิงแกร่งคนหนึ่งที่ยืนลูบศีรษะและส่งยิ้มปลอบโยนให้บุตรชายของตนเอง ก่อนที่อีกฝ่ายจะจับจูงมือบุตรชายเดินเข้าประตูผู้โดยสารไปเท่านั้น
แล้วหลังจากที่ภัสสรกับเตชินท์เดินทางกลับมาถึงประเทศไทย ภัสสรก็ตัดสินใจขายบ้าน ขายสำนักงานในกรุงเทพฯ ทันที เพราะต้องการรักษาโรงงานส่งออกอะไหล่รถยนต์ที่พ่อของเตชินท์ได้สร้างเอาไว้ เนื่องจากคนที่เคยเป็นหุ้นส่วนหลังรู้ข่าวการจากไปของผู้บริหารก็พากันเทขายหุ้น จนทำให้บริษัทขนาดใหญ่ที่กำลังจะไปได้ดีเริ่มขาดสภาพคล่อง ซึ่งในวันนั้นพ่อกับแม่ของธารดาราก็ได้เสนอตัวขอเข้าไปเป็นหุ้นส่วน แต่ภัสสรก็ขอรับไว้เพียงแค่น้ำใจจากพ่อกับแม่ของเธอเท่านั้น
โดยภัสสรได้ให้เหตุผลกลับมาว่า...ยังไม่รู้เลยว่าตนเองจะรักษาสิ่งที่มีอยู่ไว้ได้นานแค่ไหน จากนั้นภัสสรก็พาเตชินท์เดินทางกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด
ซึ่งหลังจากนั้นสามปี...ภัสสรได้ทำให้โรงงานส่งออกอะไหล่รถยนต์ที่เกือบจะถูกปิดตัวกลับมาเจริญรุ่งเรืองและเติบโต จนทำอีกฝ่ายสามารถพาบุตรชายกลับมาซื้อบ้านขนาดใหญ่หลังนี้ในกรุงเทพฯ แล้วยังสามารถซื้ออาคารแถวย่านกลางใจเมืองมาใช้เป็นสำนักงานขายได้อีกด้วย
ธารดาราจึงค่อนข้างที่จะชื่นชมในความสามารถของภัสสร และยังยกย่องอีกฝ่ายให้เป็นผู้หญิงแกร่งในสายตาของเธอ
โดยหลังจากที่ครอบครัวของเตชินท์กลับมา...ก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะกลับมาสนิทสนมกับครอบครัวของเธออีกครั้ง ซึ่งก็มีแต่ตัวของธารดาราเองที่ในช่วงเวลานั้น เธอมัวแต่ยุ่งอยู่กับการทำเรื่องจบจากมหาวิทยาลัย แล้วไหนจะยุ่งอยู่กับเรื่องการเปิดสถาบันสอนภาษากับกลุ่มเพื่อนของเธออีก จึงทำให้เธอได้แต่ฝากแสดงความยินดีและคอยถามไถ่เรื่องราวของคนในครอบครัวนี้ผ่านพ่อกับแม่ของเธอเท่านั้น
แล้วก็ด้วยเพราะเหตุผลเหล่านี้จึงทำให้ธารดาราเป็นคนเดียวในครอบครัวที่ยังไม่ได้มาเที่ยวบ้านหลังนี้และยังไม่ได้เจอกับคนในครอบครัวนี้แบบตัวเป็น ๆ เลยสักครั้ง
เสียงพูดคุยและเสียงความเคลื่อนไหวที่ดังมาจากภายนอกห้องทำให้ธารดาราหลุดออกมาจากภวังค์ความคิด แล้วเพียงไม่นานนายหญิงของบ้านหลังนี้ก็เดินเข้ามาในห้องรับแขกพร้อมกับผู้หญิงวัยกลางคนคนเมื่อครู่ เมื่อเห็นดังนั้นธารดาราจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับยกมือไหว้ แล้วกล่าวว่า
“สวัสดีค่ะ ดิฉันติวเตอร์น้ำหวานค่ะ” แต่เมื่อเห็นสายตาที่แสดงออกถึงความเคลือบแคลงใจจากอีกฝ่าย ธารดาราจึงรีบพูดต่อว่า
“ดิฉันติวเตอร์น้ำหวานมาจากสถาบันสอนภาษายิ้มรับที่คุณภัสสรโทรนัดให้เข้ามาพบบ่ายวันนี้ค่ะ”
“ติวเตอร์น้ำหวาน! เออ...อย่างนั้นเชิญนั่งก่อนนะคะ คือ...ติวเตอร์ดูเด็กกว่าที่แม่คิดเอาไว้อีกน่ะค่ะ ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าจะยี่สิบสี่แล้ว หากแม่เจอด้านนอก...แม่คงคิดว่าติวเตอร์อายุน่าจะประมาณสิบแปดสิบเก้าเท่ากับลูกชายของแม่แน่เลยค่ะ”
“ขอบคุณมากค่ะ” ธารดาราตอบกลับ ก่อนจะก้มลงไปมองชุดสูทของตัวเอง ‘ป้าหมิวยังคงปากหวานไม่เปลี่ยน... แต่ก็โชคดีที่จำเราไม่ได้’
แล้วเมื่อเห็นภัสสรเดินเข้าไปนั่งที่โซฟาตัวใหญ่ด้านใน ธารดาราจึงนั่งลงไปที่เก้าอี้ตัวเดิม จากนั้นเธอก็เห็นอีกฝ่ายหันไปสั่งจีนผู้หญิงวัยกลางคนที่เดินเข้ามาพร้อมกับเจ้าตัวให้ขึ้นไปตามเตชินท์ลงมา ก่อนที่ภัสสรจะหันมามองเธอแล้วพูดว่า
“ติวเตอร์นั่งรอสักครู่นะคะ แม่ให้จีนขึ้นไปตามเตชินท์ลงมาให้แล้ว เจ้าเด็กนี่อีกไม่กี่เดือนก็อาจจะต้องเดินทางไปหาที่เรียนต่อในประเทศอังกฤษแล้ว แต่วัน ๆ เจ้าตัวดีก็เอาแต่ขลุกตัวอยู่ในห้อง หนังสือหนังหาไม่รู้ว่าหยิบขึ้นมาอ่านบ้างหรือเปล่า? หรือเอาแต่เล่นเกมส์?
ติวเตอร์รู้ไหมคะ หากแม่หรือเพื่อนของเจ้าตัวดีไม่ขึ้นไปลากตัวออกมาจากห้องนะ เชื่อไหม...วันทั้งวันแม่แทบจะไม่ได้เห็นหน้าลูกชายของแม่เลยด้วยซ้ำ เนี่ย....”
ธารดาราทำเพียงส่งยิ้มให้กับภัสสรพร้อมกับเก็บข้อมูลของเตชินท์จากคำบ่นของอีกฝ่ายไปด้วย ซึ่งเพียงไม่นานเธอก็เห็นคนที่กำลังถูกบ่นเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเธอแล้ว
“เต นี่คือติวเตอร์น้ำหวาน! จากนี้เธอจะเข้ามาสอนภาษาให้กับลูก”
“ติวเตอร์น้ำหวานคะ นี่คือเตชินท์ลูกชายที่แม่เล่าให้ฟังค่ะ จากนี้แม่ขอฝากด้วยนะคะ”
ภัสสรหลังจากเอ่ยแนะนำพร้อมกับกล่าวฝากฝังบุตรชายไว้ในมือของครูสอนพิเศษเสร็จแล้ว เธอก็กล่าวขอตัวก่อนจะเดินออกมาจากห้องรับแขกพร้อมกับจีน
“สวัสดีค่ะเตชินท์ พี่ชื่อน้ำหวานนะคะ สองเดือนหลังจากนี้เรามาพยายามด้วยกันนะคะ” ธารดาราเอ่ยแนะนำตัวกับเด็กหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง
“สวัสดีครับ...พี่น้ำหวาน! เรียกผมว่า ‘เต’ นะครับ สองเดือนหลังจากนี้ผมขอฝากตัวด้วยนะครับพี่”
“ได้ค่ะ” ธารดาราพูดพร้อมกับยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยตอบกลับเด็กหนุ่มที่ยังคงนั่งส่งยิ้มหวานมาให้กับเธอ
จากนั้นธารดาราก็เริ่มชวนเตชินท์พูดคุยไปถึงเรื่องความชอบและเรื่องอื่น ๆ ต่ออีกเล็กน้อยเพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน แล้วเมื่อเตชินท์เริ่มวางใจเล่าเรื่องส่วนตัวของตนเองออกมา ธารดาราก็เริ่มถามไถ่ถึงพื้นฐานด้านภาษา จากนั้นเธอก็ลองให้เด็กหนุ่มทำแบบทดสอบวัดความรู้ทางภาษาต่อทันที
ซึ่งในระหว่างการพูดคุย ธารดาราก็คอยจับสังเกตเตชินท์ไปด้วยว่าเด็กหนุ่มจะจำเธอได้หรือเปล่า แล้วคำตอบที่ได้ก็คือ...อีกฝ่ายก็จำเธอไม่ได้เช่นกัน!
โดยในระหว่างที่เตชินท์ก้มลงไปทำแบบทดสอบที่เธอให้ ธารดาราก็ทำเป็นหยิบหนังสือสอนภาษาในกระเป๋าขึ้นมาเปิดอ่าน แต่ความจริงแล้วเธอกำลังแอบใช้ดวงตากลมโตของตนเองลอบมองไปที่เด็กหนุ่มฝั่งตรงข้าม ‘เตชินท์เป็นคนหน้าตาดี ผิวขาว รูปร่างสมส่วนแบบชายไทย แต่ติดตรงที่ใบหน้าของเจ้าตัวออกไปทางหวานมากเกิน ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะริมฝีปากที่มันออกสีชมพูระเรื่อ หรือไม่...ก็อาจจะเป็นเพราะขนตา ก็ขนตาของเตมันทั้งงอนทั้งยาวเลยหนิ!’ธารดาราแอบคิดในใจ แล้วก็นึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดในร้านคาราโอเกะเมื่อสามวันก่อน... วันนั้นหลังจากเลิกงานธารดารากับกลุ่มเพื่อนพากันไปกินเลี้ยงที่ร้านคาราโอเกะ เนื่องในโอกาสที่สถาบันสอนภาษายิ้มรับของพวกเธอเริ่มได้รับผลกำไรตอบกลับมาบ้างแล้ว ซึ่งกว่าจะมีวันนี้พวกเธอทั้งสี่คนก็ผ่านความยากลำบากมาไม่น้อยเลย แล้วในระหว่างที่ธารดาราเดินออกมาจากห้องร้องคาราโอเกะเพื่อไปเข้าห้องน้ำ เธอ
ธารดาราหลังจากตรวจคำตอบในแบบทดสอบข้อสุดท้ายเสร็จ เธอก็นั่งไล่นับคะแนนไปพร้อมกับไล่ตรวจทานคำตอบในแบบทดสอบฉบับนั้นอีกครั้ง ‘แปลกแฮะ! ตอนเรียนอยู่ชั้นประถมเตชินท์เป็นเด็กที่เรียนเก่งมากคนหนึ่งเลยไม่ใช่หรือ? ถ้าจำไม่ผิดผลสอบออกมาแต่ละครั้งหากเตไม่ได้ลำดับที่หนึ่งก็ไม่เคยตกลงมาเกินลำดับสามของห้อง แล้วทำไมตอนนี้ถึง...’ “ผมทำคะแนนได้เท่าไหร่หรือครับ...สามสิบแปดส่วนหนึ่งร้อย!” ธารดารามองเตชินท์ที่เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเธอ แล้วเมื่อได้เห็นสายตาและสีหน้าราวกับลูกหมากำลังจะถูกทิ้งของอีกฝ่าย เธอจึงกล่าวว่า “คะแนนเท่านี้มันก็ไม่ได้ถือว่าแย่มากนะ” “แต่ผม...อีกไม่กี่เดือนผมก็อาจจะต้องเดินทางไปหาที่เรียนต่อในประเทศอังกฤษแล้วนะครับ แต่ถ้าหากว่าภาษาของผมยังใช้การไม่ได้ แล้วผมจะไปติดต่อสื่
“น้ำผึ้ง! ทำไมวันนี้...หนูถึงแต่งตัวแบบนี้ล่ะลูก?” ธันวามองบุตรสาวคนเดียวของเขาที่กำลังเดินเข้ามานั่งยังโต๊ะกินข้าว เนื่องจากวันนี้อีกฝ่ายสวมแว่นตาหนาเตอะ ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวก็ไม่ใช่คนสายตาสั้น แล้วไหนจะชุดสูทกระโปรงยาวสีน้ำตาลกับทรงผมแสกกลางที่มัดเป็นหางม้าเอาไว้ต่ำ ๆ ตรงกลางหลังนั่นอีก “ตอนบ่ายฉันก็ตกใจแบบคุณเลยค่ะ นึกว่ามนุษย์ป้าที่ไหนแอบเข้ามาเดินอยู่ในบ้านของเรา” “แม่อะ...นี่ผึ้งเอง น้ำผึ้งลูกสาวคนสวยของแม่ไงคะ” “แล้วเป็นอย่างไรบ้างล่ะวันนี้ โดนสองคนนั้นจับได้ไหม?” สายธารเอ่ยถามพร้อมกับตักเต้าหู้ไข่ในแกงจืดไปวางลงบนจานข้าวของสามีและบุตรสาวคนละชิ้น “ไม่ค่ะ ป้าหมิวกับเตไม่มีใครจำผึ้งได้เลยสักคน” &nbs
แล้ววันแรกของการสอนภาษาให้กับเตชินท์ก็มาถึง หลังจากที่อาทิตย์ก่อนธารดาราได้เข้ามานั่งพูดคุยตกลงเรื่องวัน เวลา และสถานที่สำหรับการเรียนการสอน ซึ่งวันนี้เธอก็มาด้วยการแต่งกายแบบที่ดูน่าเชื่อถือในความคิดของตนเองเหมือนเดิม แต่จะต่างกันก็เพียงแค่สีของชุดเท่านั้น เพราะเธอได้เพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเองด้วยชุดสูทกระโปรงยาวสีเทา แล้วหลังจากนี้เธอก็ตั้งใจจะแต่งกายแบบนี้มาสอนพิเศษให้กับเตชินท์ทุกครั้ง ซึ่งเมื่อธารดาราขับรถมาถึงหน้าบ้านของเตชินท์ เธอก็เดินลงมาจากรถแล้วไปกดกริ่ง รอเพียงไม่นานก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินมาเปิดประตูรั้วให้กับเธอ แล้วหลังจากนั้นอีกฝ่ายก็เดินตามมาหาเธอที่ลานจอดรถ “สวัสดีค่ะ หนูชื่อจ๋าเป็นลูกสาวของแม่บ้านจีน ถ้าคุณต้องการอะไรสามารถเรียกใช้จ๋าได้เลยนะคะ” “สวัสดีค่ะจ๋า อย่างนั้นสองเดือนหลังจากนี้ น้ำหวานก็ขอรบกวนด้วยนะคะ” ธารดาราตอบกลับ ก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในตัวบ้าน
จนเวลาผ่านล่วงเลยไปถึงบ่ายสามโมง ภัสสรที่เพิ่งเดินทางกลับมาถึงบ้าน เธอก็เดินขึ้นไปดูครูสอนพิเศษกับบุตรชายบนห้องนอนของเจ้าตัว แล้วเมื่อเห็นว่าเตชินท์กำลังตั้งใจเรียน ภัสสรจึงอยู่พูดคุยกับคนทั้งคู่เพียงเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ขอตัวกลับลงมาจัดการงานของตนเองต่อด้านล่าง พอถึงเวลาหกโมงเย็น ธารดาราก็กล่าวลาภัสสรกับเตชินท์เพื่อขอตัวกลับบ้าน ซึ่งคนทั้งคู่ก็ได้เอ่ยชวนเธอให้อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนกลับ แต่ก็ด้วยเพราะที่บ้านของธารดารามีกฎว่าหากไม่ติดธุระหรือมีนัดสังสรรค์ ทุกคนจะต้องกลับไปทานข้าวเย็นด้วยกันที่บ้านทุกวัน ซึ่งกฎประจำบ้านของธารดาราข้อนี้สองคนตรงหน้าต่างก็รู้ดี เธอจึงไม่สามารถหยิบเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดได้ ธารดาราก็ได้แต่หาข้ออ้างอย่างอื่นมาใช้กล่าวปฏิเสธคนทั้งคู่ ก่อนที่เธอจะขอตัวกลับออกมาจากบ้านหลังนั้นได้แบบเนียน ๆ หลังจากวันนั้นชีวิตของธารดาราก็เริ่มเปลี
ธารดาราที่ยังคงตกใจ เพราะอยู่ดี ๆ เธอก็ได้รับคำตอบในเรื่องที่ตนเองสงสัยมาโดยตลอดอย่างไม่คาดคิด แต่เมื่อเธอได้ยินคำถามและได้เห็นสายตาที่แสดงออกว่าเจ้าตัวเริ่มไม่พอใจแล้วจากเตชินท์ เธอก็รีบดึงสติแล้วตอบคำถามเด็กหนุ่มกลับไปว่า “เปล่าค่ะ พี่ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น! แต่ทำไมเตถึงคิดว่า...พี่จะต้องคิดแบบนั้นกับเตด้วยล่ะคะ?” “ก็อาจจะเป็นเพราะผมหน้าหวาน แล้วคนที่เพิ่งรู้จักกับผมส่วนใหญ่ก็มักจะคิด และมองผมว่าเป็นแบบนั้นด้วย ซึ่งส่วนหนึ่งที่ทำให้คนภายนอกคิดแบบนั้นกับผม...มันก็อาจจะมาจากตัวผมเอง เพราะที่ผ่านมาผมยังไม่เคยมีแฟนเลยสักคนมั้งครับ” “แล้วทำไมเตถึงยังไม่เคยมีแฟนเลยล่ะคะ?” ถามจบ ธารดาราก็เห็นความสั่นไหวในแววตาของเตชินท์ เธอจึงรีบพูดต่อทันทีว่า “เออ...ถ้าไม่สะดวกที่จะตอบ เตไม่ต้องตอบพี่ก็ได้นะคะ”
ธารดาราเงยหน้าขึ้นมาจ้องเตชินท์ หลังจากได้ยินคำถามของอีกฝ่าย “ผมขอโทษครับ พอดีผมมีแต่เพื่อนผู้ชาย ผมก็เลยไม่รู้ว่าเรื่องแบบนี้...ผมสามารถถามกับพี่น้ำหวานได้หรือเปล่า?” พอได้เห็นสีหน้าราวกับลูกหมากำลังจะถูกทิ้งของเตชินท์อีกครั้ง ธารดาราจึงได้ถอนหายใจออกมา ก่อนที่เธอจะตอบกลับอีกฝ่ายไปว่า “พี่เคยจูบค่ะ แต่...” พูดยังไม่ทันจบ เตชินท์ก็ถามแทรกขึ้นมาเสียก่อน “จูบตอนไหน? แล้วมันเป็นใครครับ!” “เออ...ผมขอโทษ พอดีผมฟังแล้วรู้สึกตื่นเต้นมากเกินไปหน่อยน่ะครับ คือผมยังไม่เคยไปจูบกับใครเลย แต่พี่...พี่เคยไปจูบกับคนอื่นมาแล้ว! พอได้รู้มันก็เลย...” “พี่ว่า...เรากลับมาสนใจเรื่องเรียนกันต่อดีกว่าค่ะ?” 
ธารดาราก้าวขาออกจากรถยนต์คู่ใจ แล้วมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูรั้วซี่เหล็กบานใหญ่หน้าบ้านของเตชินท์เพื่อเตรียมที่จะกดกริ่ง แต่ผ่านมาได้สักพักเธอก็ยังไม่ยกมือขึ้นไปกด เพราะตอนนี้ในใจของธารดารามันคิดแค่เพียงว่า... ‘ทำไมวันเสาร์มันจึงได้เวียนมาถึงเร็วนักนะ!’ นั่นก็เพราะในอาทิตย์ที่ผ่านมาคำขอแปลก ๆ ของเตชินท์มันยังคงวนเวียนเข้ามาในความคิดของธารดาราอยู่บ่อยครั้ง แล้วยิ่งเด็กหนุ่มได้แอบไปเพิ่มเพื่อนในโปรแกรมส่งข้อความกับเธอ แต่ก็ยังดีที่อีกฝ่ายไม่เคยส่งสติ๊กเกอร์หรือส่งข้อความอะไรเข้ามาพูดคุยกับธารดาราเลยสักครั้ง แล้วก็โชคดีที่เตชินท์แอบไปเพิ่มเพื่อนกับบัญชีที่มีชื่อว่า...น้องยิ้ม! เนื่องจากธารดารามีบัญชีในโปรแกรมส่งข้อความอยู่สองบัญชี นั่นก็คือบัญชีที่มีชื่อว่าน้ำผึ้งหวาน...โดยบัญชีนี้มีข้อมูลตัวตนที่แท้จริงของเธออยู่ กับบัญ
“เตคะ พรุ่งนี้เตต้องเข้าไปที่โรงงานกี่โมงหรือคะ?” ธารดาราเอ่ยถามเตชินท์ แต่มือทั้งสองข้างกับดวงตาก็ไล่ตรวจดูของใช้ในตะกร้า และกระเป๋าเสื้อผ้าให้กับบุตรทั้งสอง “ไม่เข้าครับ เพราะผมสั่งให้ไอ้นัฐเข้าไปตรวจดูการติดตั้งแทนผมแล้ว” “อย่างนั้นวันพรุ่งนี้...” พูดยังไม่ทันจบ เสียงของบุตรชายก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน “คุณแม่ครับ น้าซูซี่โทรมาครับ” “ขอบคุณครับลูก” จากนั้นธารดาราก็เดินไปคุยโทรศัพท์กับเพื่อนสาว แต่ผ่านไปไม่ถึงสองนาที เธอก็เดินกลับมาหาเตชินท์ แล้วก็คงจะด้วยเพราะระยะเวลาในการพูดคุยที่ไม่ปกติ รวมกับความไม่พอใจเล็กน้อยที่เธอน่าจะเผลอแสดงออกทางสีหน้า เตชินท์จึงเอ่ยถามออกมาว่า “มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือปล่าครับ?”
ธารดารานั่งมองความวุ่นวายในห้องรับแขก เนื่องจากตอนนี้พี่ธีร์หรือเด็กชายธีร์ธาดางามรุ่งวัยห้าขวบกำลังรับบทลงโทษจากผู้เป็นพ่อด้วยการไปนั่งเข้ามุมเป็นเวลาสามนาที หลังจากที่เจ้าตัวกระชากหุ่นยนต์ตัวโปรดออกมาจากมือของน้องฟ้าหรือเด็กหญิงเนตรนภา งามรุ่งวัยสามขวบครึ่ง เป็นเหตุให้น้องฟ้าล้มก้นกระแทกพื้นร้องไห้จ้า ซึ่งเหตุผลที่พี่ธีร์กระชากหุ่นยนต์ออกมาจากมือน้องฟ้าก็เพราะว่า น้องฟ้าจับหุ่นยนต์ตัวโปรดของพี่ธีร์ฟาดลงกับพื้นไปแล้วสองครั้ง ธารดาราก้มมองบุตรสาวตัวน้อยบนตัก เมื่อครู่เจ้าตัวเพิ่งจะร้องไห้ฟ้องพ่อว่าโดนพี่ชายแกล้ง แต่เวลานี้กลับนั่งอมยิ้มกินขนมอยู่บนตักของเธอเสียแล้ว นี่ขนาดเธอกับเตชินท์มีบุตรด้วยกันเพียงแค่สองคนนะเนี่ย! แล้วถ้าหากในวันนั้นชายหนุ่มไม่ยอมเปลี่ยนความคิดของตัวเอง แล้วยังคงยืนยันที่จะมีลูกด้วยกันให้ได้หกคนตามความคิดของเธอ
เตชินท์เดินออกมาจากห้องน้ำ เขาก็ไม่เห็นธารดารานั่งรออยู่บนเตียง หรือที่โต๊ะเครื่องแป้งเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา แล้วเมื่อเขาหันไปมองแถวโถงทางเดิน เขาก็เห็นหญิงสาวกำลังนั่งดื่มเบียร์อยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์บาร์น้ำ ‘ผึ้งดื่มเบียร์!’ ตั้งแต่รู้จักกันมาธารดาราไม่ใช่คนดื่ม หากไม่ใช่ในงานเลี้ยงหรืองานสังสรรค์ หญิงสาวไม่เคยหยิบเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอร์ขึ้นมาดื่มให้เห็นเลยสักครั้ง ‘แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น?’ เตชินท์เดินเข้าไปหาธารดาราพร้อมกับเอ่ยเรียก และเอื้อมมือไปเขย่าที่ต้นแขนของหญิงสาวเบา ๆ “ผึ้งครับ” “เตอาบน้ำเสร็จแล้วหรือคะ?” “ครับ เออ...ผึ้งเป็นหรือเปล่าครับ? หรือว่ามี...” ถามยังไม่ทันจบ ธารดาราก็ลากเตชินท์
“เตคะ ตื่น! วันนี้เรามีแพลนที่ต้องไปทำกันหลายอย่างเลยนะคะ” ธารดาราเขย่าแขนคนที่โอบกอดร่างกายของเธอเอาไว้ จนเธอไม่สามารถขยับตัวออกมาได้ “ตอนนี้กี่โมงแล้วหรือครับ?” “สิบโมงค่ะ” “เมื่อรู้สึกตัว...ก็รีบปล่อยผึ้งได้แล้วค่ะ ผึ้งจะได้ลุกไปอาบน้ำ” “แต่ผมยังไม่อยากลุกเลยนี่ครับ” ธารดารามองสามีของตัวเองอย่างระอา เวลานี้อ้อมแขนของอีกฝ่ายก็ยังคงกอดรัดร่างกายเธอเอาไว้จนแน่น แถมเตชินท์ก็ยังขยับใบหน้าเข้ามาซุกไซร้ที่ซอกคอของเธออีก ธารดาราจึงกล่าวเสียงเข้มขึ้นว่า “เตคะ เราคุยกันไว้แล้วไม่ใช่หรือคะ? และวันนี้...มันก็วันที่ห้าแล้วนะคะ ที่ผึ้งยังไม่ได้ก้าวขาออกจากบ้านพักไปไหนเลย” “ขอโทษครับ” 
แล้วเมื่อเตชินท์ได้รับอนุญาต เขาก็กระตุกปมสายผูกเอวของหญิงสาวใต้ร่างพร้อมกับแหวกชุดคลุมออกทันที “อ่ะ! เตคะ!” ธารดาราตกใจจนเผลอยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดหน้าอกพร้อมกับหนีบขาของตนเองเอาไว้ “ผึ้งสวยขนาดนี้ อย่าปิดเลยนะครับ” พูดจบ เตชินท์ก็ยกมือทั้งสองข้างของธารดาราขึ้นมาจูบ ก่อนจะจับกางออก จากนั้นเขาก็ก้มลงจูบที่ริมฝีปาก ก่อนจะผละออกมาไล่เลียพร้อมกับขบเม้มไปตามร่างกายขาวผ่องของอีกฝ่าย ซึ่งในขณะเดียวกันฝ่ามือใหญ่ทั้งสองข้างของเตชินท์ก็ขยับกลับเข้ามาบีบขยำหน้าอกพอดีตัวของธารดารา แล้วเพียงไม่นานริมฝีปากหนาก็ก้มลงไปครอบครองยอดอกของหญิงสาวใต้ร่างทันที “อื้อ...เตคะ เต...” ธารดาราสั่นสะท้านเมื่อต้องรับสัมผัสจากฝ่ามือหนาที่เข้ามาบดคลึงอยู่ที่ทรวงอกของเธอ ไปพร้อมกับปลายลิ้นร้ายและริมฝีปากของคนบนร่างที่ทั้งไล่เลีย ขบกัด ดูดดึงยอดอกทั้งสองข้างของเธอสลับกันไปมา ซึ่งบางทีก็คล้ายกับว่าจะ
หลังจากวันที่ธารดารารับปากเรื่องแต่งงานกับเตชินท์ พ่อกับแม่ของเธอและแม่ของเตชินท์ก็นัดกันไปดูฤกษ์แต่งงานให้กับพวกเธอทันที ซึ่งวันมงคลสมรสที่ผู้ใหญ่ทั้งสองครอบครัวหามาได้มีทั้งหมดสามวัน โดยเตชินท์กับธารดาราตกลงใจเลือกวันมงคลที่อยู่ในช่วงเดือนสิบสองของปีนี้ แล้วหลังจากนั้นความวุ่นวายจากการจัดเตรียมงานแต่งก็เริ่มต้นขึ้นทันที แต่ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยหรืออาจจะมีบางเรื่องที่มันดูติดขัดไปบ้าง แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ตลอดจนถึงวันแต่งงาน... วันงานมงคลสมรส... ในช่วงเช้าเริ่มต้นด้วยฝ่ายเจ้าบ่าวอย่างเตชินท์เดินทางมาจัดเตรียมขบวนขันหมาก ก่อนจะเคลื่อนขบวนตั้งแต่ปากซอยทางเข้าหมู่บ้าน ซึ่งพอมาถึงประตูบ้านเจ้าสาว...ขบวนเจ้าบ่าวก็ต้องหยุดชะงัก เพราะเจอเข้ากับเพื่อนเจ้าสาวของธารดารา รวมไปถึงบรรดาคุณครูในสถาบันสอนภาษายิ้มรับที่มาช่วยกันกั้นประตูเงินประตูทอง แต่ขบวนเจ้าบ
ธารดาราเดินเข้าไปไม่ถึงสิบก้าวเธอก็เห็นสติ๊กเกอร์เรืองแสงเป็นรูปลูกศรสีเขียวติดอยู่ที่พุ่มไม้เตี้ยข้างถนน โดยปลายลูกศรชี้ไปยังกระดาษที่ถูกพับเป็นรูปสีเหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งมันวางอยู่ไม่ห่างจากปลายลูกศรมากนัก ธารดาราจึงเดินเข้าไปดู...บนกระดาษแผ่นนั้นมีข้อความที่เขียนด้วยปากกาเรืองแสงสีส้ม (ยิ้มก่อนเปิดอ่าน)ซึ่งลายมือแบบนี้ธารดาราจำได้ทันทีว่า มันคือลายมือของเตชินท์ แล้วพอเธอเปิดเข้าไปอ่านด้านใน ก็มีข้อความเขียนด้วยปากกาเรืองแสงสีชมพูว่า... (ตามอ่านจดหมายมาเรื่อย ๆ นะครับ อย่าเพิ่งถอดใจไปก่อนนะ ผมรอคุณแฟนอยู่) “เล่นอะไรเนี่ยเต ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!” จากความรู้สึกเป็นห่วงเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกโมโห แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา ธารดาราจึงได้แต่เดินมองหาลูกศรอันต่อไป ซึ่งมันก็ติดอยู่กับพุ่มไม้ที่อยู
ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด... เสียงเตือนดังขึ้นมาจากโทรศัพท์มือถือ แต่มาดังในช่วงเย็นแบบนี้...ธารดาราหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเปิดดู ‘ใช่จริงด้วย เสียงแจ้งเตือนความจำในวันสำคัญ’ แล้วเมื่อธารดาราเปิดเข้าไปดูเรื่องที่บันทึกให้แจ้งเตือน ‘ครบสามปีแล้วหรือนี่?’ ในวันที่ธารดารากับเตชินท์ตกลงคบหากันเป็นแฟน วันนั้นชายหนุ่มได้ตั้งแจ้งเตือนเอาไว้ทั้งในโทรศัพท์มือถือของตัวเองและของเธอ แล้วในวันนั้นเตชินท์ก็ได้ขอเปลี่ยนคำเรียกขาน โดยอีกฝ่ายขอให้ธารดาราเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อ และเจ้าตัวก็ขอเรียกเธอแบบนั้นด้วยเช่นกัน ซึ่งเมื่อทั้งครอบครัวของเธอ และครอบครัวของเตชินท์รับรู้เรื่องการคบหากันแบบคนรักจากปากของพวกเธอ ทั้งสองครอบครัวก็ไม่ได้ขัดขวาง แล้วยังกล่าวคำอวยพรให้ค่อย ๆ รัก ค่อย ๆ เรียนร
ธารดาราเมื่อเดินทางมาถึงบ้านของเตชินท์ ป้าจีนก็ออกมาต้อนรับพร้อมกับพาเธอเดินขึ้นไปยังห้องนอนของเตชินท์ เนื่องจากตอนนี้ภัสสรก็อยู่บนห้องนั้นกับบุตรชาย หลังจากนั้นภัสสรก็นั่งพูดคุยอยู่กับพวกเธอครู่หนึ่ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยขอตัวลงไปเคลียร์งานที่คั่งค้างของตัวเองต่อ การมาหาเตชินท์ในวันนี้ของธารดาราความตั้งใจส่วนหนึ่งก็คือการมาเยี่ยม อีกส่วนก็คือเธอต้องการจะมาให้คำตอบกับเตชินท์ แต่เมื่อเธอได้กลับเข้ามาในบ้านหลังนี้ มันก็ทำให้ธารดารานึกได้ถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้ตัวเองก้าวขากลับเข้ามาในชีวิตของเด็กหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง “พี่ผึ้งเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” เตชินท์เอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าที่เริ่มเปลี่ยนไปของธารดารา “เต...เตจะต้องออกเดินทางวันไหนหรือคะ?” &