แล้ววันแรกของการสอนภาษาให้กับเตชินท์ก็มาถึง หลังจากที่อาทิตย์ก่อนธารดาราได้เข้ามานั่งพูดคุยตกลงเรื่องวัน เวลา และสถานที่สำหรับการเรียนการสอน ซึ่งวันนี้เธอก็มาด้วยการแต่งกายแบบที่ดูน่าเชื่อถือในความคิดของตนเองเหมือนเดิม แต่จะต่างกันก็เพียงแค่สีของชุดเท่านั้น เพราะเธอได้เพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเองด้วยชุดสูทกระโปรงยาวสีเทา แล้วหลังจากนี้เธอก็ตั้งใจจะแต่งกายแบบนี้มาสอนพิเศษให้กับเตชินท์ทุกครั้ง
ซึ่งเมื่อธารดาราขับรถมาถึงหน้าบ้านของเตชินท์ เธอก็เดินลงมาจากรถแล้วไปกดกริ่ง รอเพียงไม่นานก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินมาเปิดประตูรั้วให้กับเธอ แล้วหลังจากนั้นอีกฝ่ายก็เดินตามมาหาเธอที่ลานจอดรถ
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อจ๋าเป็นลูกสาวของแม่บ้านจีน ถ้าคุณต้องการอะไรสามารถเรียกใช้จ๋าได้เลยนะคะ”
“สวัสดีค่ะจ๋า อย่างนั้นสองเดือนหลังจากนี้ น้ำหวานก็ขอรบกวนด้วยนะคะ” ธารดาราตอบกลับ ก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในตัวบ้าน
เมื่อธารดาราเดินเข้ามาถึงหน้าบันไดกลางบ้าน จ๋าก็แจ้งว่าเตชินท์รออยู่ที่ห้องนอนของเจ้าตัวแล้ว จากนั้นอีกฝ่ายก็ขอแยกกลับไปทำงานของตนเองต่อ
ซึ่งธารดาราที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ได้แวะเข้าไปกล่าวคำทักทายเจ้าของบ้าน แล้วพอคิดจะถามจ๋าว่าตอนนี้ภัสสรอยู่ที่ไหน อีกฝ่ายก็เดินห่างออกไปไกลแล้ว ธารดาราจึงตัดสินใจเดินขึ้นไปยืนบนบันไดขั้นที่ห้าเพื่อมองหาภัสสร แล้วในขณะที่เธอกำลังจ้องมองเข้าไปในห้องรับแขก
“ถ้าพี่น้ำหวานกำลังมองหาแม่ ตอนนี้แม่ไม่อยู่บ้านครับ พอดีมีผู้ถือหุ้นของบริษัทท่านหนึ่งป่วยจนต้องเข้าไปนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล แม่ก็เลยต้องรีบออกไปเยี่ยมครับ”
ธารดาราเมื่อได้ยินเสียงของเตชินท์ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง เธอก็ตกใจจนเกือบจะก้าวพลาดตกลงไปจากบันได แล้วเมื่อดึงสติของตนเองกลับมาได้ เธอก็สังเกตเห็นว่า...มือของอีกฝ่ายกำลังโอบอยู่ที่เอวของเธอ
ธารดาราจึงขยับร่างกายของตนเองเล็กน้อย เพื่อส่งสัญญาณเตือนอีกฝ่ายให้รีบปล่อยมือ
“ขอโทษครับ เมื่อครู่ผมเห็นพี่น้ำหวานตกใจเลยกลัวว่าพี่จะตกลงไปจากบันไดครับ”
“ขอบคุณค่ะ” ธารดารากล่าวตอบพร้อมกับหันกลับไปเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่ม หลังจากที่เจ้าตัวคลายมือออกจากเอวของเธอแล้ว
จากนั้นธารดาราก็เดินตามเตชินท์ขึ้นไปยังห้องนอนของเจ้าตัว ซึ่งเมื่อเดินเข้าไปในห้อง...อีกฝ่ายก็ได้จัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องเขียน สมุด รวมไปถึงของว่างพร้อมกับน้ำดื่ม และเบาะรองนั่งวางไว้ที่ข้างโต๊ะญี่ปุ่นแล้ว
เมื่อเห็นเช่นนั้นธารดาราจึงรีบเดินเข้าไปวางของ จากนั้นเธอก็เริ่มลงมือสอนภาษาให้กับเตชินท์ทันที แล้วในระหว่างที่สอนเธอก็คอยสังเกตท่าทางการหยิบจับของ รวมไปถึงท่าทางการนั่งเรียนของเตชินท์ไปด้วย
จนเวลาผ่านล่วงเลยไปถึงตอนเที่ยงภัสสรก็ยังไม่กลับมา ธารดาราจึงเดินตามเตชินท์ลงนั่งไปทานข้าวด้วยกันเพียงสองคนที่ห้องรับประทานอาหารด้านล่าง
แล้วหลังจากที่เธอกับเด็กหนุ่มนั่งทานข้าวด้วยกันไปได้สักพัก ธารดาราก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า
“เตชอบไปเที่ยวกลางคืนหรือเปล่าคะ?”
“ไม่ค่อยชอบครับ แต่ถ้าเพื่อนในกลุ่มโทรมาชวนบางครั้งก็ไป แต่บางครั้งผมก็ไม่ไป ส่วนใหญ่ผมจะถามสถานที่เที่ยวก่อนครับ เพราะถ้าไปในสถานที่ที่คนเยอะ ๆ ผมก็จะไม่ค่อยไป คือ...ผมไม่ค่อยชอบกลิ่นบุหรี่น่ะครับ”
‘จริงด้วย! เตไม่ชอบกลิ่นบุหรี่หนิ!’ ธารดารานึกขึ้นได้ในใจ จากนั้นเธอก็เอ่ยคำถามถัดไป
“เตชอบทำอาหารหรือเปล่าคะ?”
“ไม่ถึงขั้นชอบ แต่พอทำกินเองได้ครับ”
“แล้วเตชอบแมวไหมคะ?”
“ไม่ครับ ผมชอบหมามากกว่า เพราะหมาเป็นสัตว์ที่ซื่อสัตย์และรักเจ้าของของมัน...เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น! แล้วหมามันก็ยังจดจำและรอคอยคนที่มันรักได้เสมอ ไม่ว่าคนคนนั้นจะมีรูปร่างหรือหน้าตาที่เปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนก็ตาม หมามันก็ไม่เคยเปลี่ยนใจไปจากเจ้าของของมันเลยครับ”
‘ไม่น่า...เตชินท์ถึงชอบทำสีหน้าราวกับลูกหมากำลังจะถูกทิ้ง’ ธารดาราคิดในใจ ซึ่งวันนี้เธอได้แอบถามข้อมูลจากอีกฝ่ายมาพอสมควรแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าข้อมูลที่ได้กลับมาส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งที่เธออยู่แล้วตั้งแต่ในวัยเด็ก
ตอนนี้ธารดาราจึงคิดว่าเธอควรจะต้องหยุดถาม เพราะถ้าหากเธอถามมากไปกว่านี้ มันอาจจะทำให้เตชินท์เริ่มสงสัยในตัวเธอได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นธารดาราจึงก้มลงไปทานอาหารบนจานข้าวของตนเองต่อ แล้วในขณะนั้นเธอก็เห็นสิ่งที่น่าสนใจวางอยู่บนจานผัดผัก...
ธารดาราเอื้อมมือออกไปตักผัดผักรวมโดยเน้นที่ผักคะน้า จากนั้นเธอก็นำไปวางไว้บนจานข้าวของเตชินท์
“ผักมีประโยชน์และดีต่อสุขภาพอย่างมากเลยค่ะ ดังนั้นเตควรกินผักให้เยอะ ๆ นะคะ” ธารดาราที่รู้อยู่แล้วว่าเตชินท์ไม่ชอบกลิ่นของผักคะน้า ดังนั้นสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่จึงถือว่าเป็นการเอาคืนเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อีกฝ่ายทำให้เธอตกใจในช่วงเช้าที่ผ่านมา
“ขอบคุณมากครับ อย่างนั้นพี่น้ำหวานก็ลองชิมยำรวมมิตรฝีมือของป้าจีนดูนะครับ รับรองว่าหากพี่ได้ชิมแล้วจะต้องติดใจครับ”
“เออ...ก็ได้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” ธารดาราพูดพร้อมกับมองลงไปยังของที่เตชินท์ตักมาวางไว้บนจานข้าวของเธอ
‘หมูยอหนึ่งชิ้นกับมะเขือเทศหั่นเป็นแว่นถึงสามชิ้น! ทำไมเตถึงเน้นตักมะเขือเทศมาให้กับเรา? หรือ...เตจะรู้แล้วว่าเราคือน้ำผึ้ง? แต่ไม่หรอก...มันไม่น่าจะเป็นไปได้’ ธารดาราคิดในใจ และเมื่อเห็นว่าเตชินท์กินผักคะน้าที่เธอตักให้หมดแล้ว ซึ่งในฐานะของครูสอนพิเศษและคนที่เคยอยู่ในตำแหน่งลูกพี่! เออ...พี่สาวข้างบ้านอย่างเธอ มะเขือเทศหั่นเป็นแว่นแค่เพียงสามชิ้น! มันคงทำอะไรเธอไม่ได้หรอก เมื่อคิดได้ดังนั้นธารดาราจึงตักมะเขือเทศขึ้นมาแล้วใส่เข้าไปในปากของตนเอง
‘ฮือ...หวานก็ไม่หวาน เปรี้ยวก็ไม่เปรี้ยว เนื้อสัมผัสมันก็แหยะ ๆ’
แล้วพอธารดารามองไปทางเด็กหนุ่มฝั่งตรงข้าม เธอก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังตักมะเขือเทศในยำขึ้นไปกิน ซึ่งก็ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะเคี้ยวและกินมันได้อย่างมีความสุขมาก!
‘จ้า...พ่อคนชอบกินมะเขือเทศ!!’ โมโหไปก็เท่านั้น ธารดาราจึงรีบกลั้นใจเคี้ยวของที่อยู่ในปากแล้วกลืนมันลงคอไปทันที
ซึ่งหลังจากทานข้าวด้วยกันเสร็จ เตชินท์กับธารดาราก็กลับขึ้นไปติวภาษากันต่อ
จนเวลาผ่านล่วงเลยไปถึงบ่ายสามโมง ภัสสรที่เพิ่งเดินทางกลับมาถึงบ้าน เธอก็เดินขึ้นไปดูครูสอนพิเศษกับบุตรชายบนห้องนอนของเจ้าตัว แล้วเมื่อเห็นว่าเตชินท์กำลังตั้งใจเรียน ภัสสรจึงอยู่พูดคุยกับคนทั้งคู่เพียงเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ขอตัวกลับลงมาจัดการงานของตนเองต่อด้านล่าง พอถึงเวลาหกโมงเย็น ธารดาราก็กล่าวลาภัสสรกับเตชินท์เพื่อขอตัวกลับบ้าน ซึ่งคนทั้งคู่ก็ได้เอ่ยชวนเธอให้อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนกลับ แต่ก็ด้วยเพราะที่บ้านของธารดารามีกฎว่าหากไม่ติดธุระหรือมีนัดสังสรรค์ ทุกคนจะต้องกลับไปทานข้าวเย็นด้วยกันที่บ้านทุกวัน ซึ่งกฎประจำบ้านของธารดาราข้อนี้สองคนตรงหน้าต่างก็รู้ดี เธอจึงไม่สามารถหยิบเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดได้ ธารดาราก็ได้แต่หาข้ออ้างอย่างอื่นมาใช้กล่าวปฏิเสธคนทั้งคู่ ก่อนที่เธอจะขอตัวกลับออกมาจากบ้านหลังนั้นได้แบบเนียน ๆ หลังจากวันนั้นชีวิตของธารดาราก็เริ่มเปลี
ธารดาราที่ยังคงตกใจ เพราะอยู่ดี ๆ เธอก็ได้รับคำตอบในเรื่องที่ตนเองสงสัยมาโดยตลอดอย่างไม่คาดคิด แต่เมื่อเธอได้ยินคำถามและได้เห็นสายตาที่แสดงออกว่าเจ้าตัวเริ่มไม่พอใจแล้วจากเตชินท์ เธอก็รีบดึงสติแล้วตอบคำถามเด็กหนุ่มกลับไปว่า “เปล่าค่ะ พี่ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น! แต่ทำไมเตถึงคิดว่า...พี่จะต้องคิดแบบนั้นกับเตด้วยล่ะคะ?” “ก็อาจจะเป็นเพราะผมหน้าหวาน แล้วคนที่เพิ่งรู้จักกับผมส่วนใหญ่ก็มักจะคิด และมองผมว่าเป็นแบบนั้นด้วย ซึ่งส่วนหนึ่งที่ทำให้คนภายนอกคิดแบบนั้นกับผม...มันก็อาจจะมาจากตัวผมเอง เพราะที่ผ่านมาผมยังไม่เคยมีแฟนเลยสักคนมั้งครับ” “แล้วทำไมเตถึงยังไม่เคยมีแฟนเลยล่ะคะ?” ถามจบ ธารดาราก็เห็นความสั่นไหวในแววตาของเตชินท์ เธอจึงรีบพูดต่อทันทีว่า “เออ...ถ้าไม่สะดวกที่จะตอบ เตไม่ต้องตอบพี่ก็ได้นะคะ”
ธารดาราเงยหน้าขึ้นมาจ้องเตชินท์ หลังจากได้ยินคำถามของอีกฝ่าย “ผมขอโทษครับ พอดีผมมีแต่เพื่อนผู้ชาย ผมก็เลยไม่รู้ว่าเรื่องแบบนี้...ผมสามารถถามกับพี่น้ำหวานได้หรือเปล่า?” พอได้เห็นสีหน้าราวกับลูกหมากำลังจะถูกทิ้งของเตชินท์อีกครั้ง ธารดาราจึงได้ถอนหายใจออกมา ก่อนที่เธอจะตอบกลับอีกฝ่ายไปว่า “พี่เคยจูบค่ะ แต่...” พูดยังไม่ทันจบ เตชินท์ก็ถามแทรกขึ้นมาเสียก่อน “จูบตอนไหน? แล้วมันเป็นใครครับ!” “เออ...ผมขอโทษ พอดีผมฟังแล้วรู้สึกตื่นเต้นมากเกินไปหน่อยน่ะครับ คือผมยังไม่เคยไปจูบกับใครเลย แต่พี่...พี่เคยไปจูบกับคนอื่นมาแล้ว! พอได้รู้มันก็เลย...” “พี่ว่า...เรากลับมาสนใจเรื่องเรียนกันต่อดีกว่าค่ะ?” 
ธารดาราก้าวขาออกจากรถยนต์คู่ใจ แล้วมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูรั้วซี่เหล็กบานใหญ่หน้าบ้านของเตชินท์เพื่อเตรียมที่จะกดกริ่ง แต่ผ่านมาได้สักพักเธอก็ยังไม่ยกมือขึ้นไปกด เพราะตอนนี้ในใจของธารดารามันคิดแค่เพียงว่า... ‘ทำไมวันเสาร์มันจึงได้เวียนมาถึงเร็วนักนะ!’ นั่นก็เพราะในอาทิตย์ที่ผ่านมาคำขอแปลก ๆ ของเตชินท์มันยังคงวนเวียนเข้ามาในความคิดของธารดาราอยู่บ่อยครั้ง แล้วยิ่งเด็กหนุ่มได้แอบไปเพิ่มเพื่อนในโปรแกรมส่งข้อความกับเธอ แต่ก็ยังดีที่อีกฝ่ายไม่เคยส่งสติ๊กเกอร์หรือส่งข้อความอะไรเข้ามาพูดคุยกับธารดาราเลยสักครั้ง แล้วก็โชคดีที่เตชินท์แอบไปเพิ่มเพื่อนกับบัญชีที่มีชื่อว่า...น้องยิ้ม! เนื่องจากธารดารามีบัญชีในโปรแกรมส่งข้อความอยู่สองบัญชี นั่นก็คือบัญชีที่มีชื่อว่าน้ำผึ้งหวาน...โดยบัญชีนี้มีข้อมูลตัวตนที่แท้จริงของเธออยู่ กับบัญ
“นี่เรียกว่าจูบหรือครับ? แบบนี้มันเหมือนกับที่ผมเคยเห็นเด็กอนุบาลจุ๊บกันที่หน้าโรงเรียนเลยครับพี่ เออ...จริงด้วย ผมก็ลืมไปเลยว่าพี่น้ำหวานเสียจูบแรกตอนเมา แต่ผมว่าจูบครั้งนั้น...พี่อย่านับมันเลยดีกว่าครับ พี่น้ำหวานมาดูนี่สิครับ...วันนั้นเพราะพี่ไม่ยอมตอบ ผมก็เลยลองไปศึกษาวิธีการจูบแบบคนรักกันมา คลิปนี้เห็นวิธีการจูบแบบชัดมากเลยครับพี่” แม้จะรู้สึกโกรธแต่ธารดาราก็ยอมขยับเข้าไปดูคลิปวีดีโอในโทรศัพท์มือถือของเตชินท์ ซึ่งภาพเคลื่อนไหวที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอก็คือชายหญิงคู่หนึ่งกำลังยืนจูบกันแบบดูดดื่มท่ามกลางวิวทะเลยามค่ำคืน โดยความยาวของคลิปวีดีโอนั้นกินเวลาไปถึงห้านาที ซึ่งตลอดทั้งห้านาทีคนทั้งสองในคลิปก็เรียกได้ว่า...แทบจะกลืนกินปากกันเลยก็ว่าได้ หลังจากที่คลิปวีดีโอนั้นจบลงเตชินท์ก็เก็บโทรศัพท์มือถือ ก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยประโยคระคายหูของธารดาราขึ้นมาอีกครั้งว่า &
‘สดชื่นมากม๊ากก...เลยวันนี้!’ ธารดาราคิดในใจ ก่อนจะเดินตามจ๋าเข้าไปในตัวบ้านของเตชินท์ เพราะว่าเมื่อคืนหลังจากที่เธอตัดสินใจพยายามข่มตาหลับ แต่สุดท้าย...จนถึงหกโมงเช้า ธารดาราก็ยังไม่ได้หลับเลยแม้แต่วินาทีเดียว “จ๋าคะ เช้านี้เครื่องดื่มในของว่าง น้ำหวานรบกวนขอเป็นกาแฟแบบเข็ม ๆ เลยนะคะ” “ได้ค่ะ หรือว่าคุณน้ำหวานจะให้จ๋าชงขึ้นไปให้พร้อมกับของคุณเตตอนนี้เลยดีคะ?” หลังจากได้ยินคำถามของจ๋า ธารดาราคงเผลอแสดงความสงสัยทางสีหน้า เพราะยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไรออกมา อีกฝ่ายก็บอกสิ่งที่เธอกำลังจะถามออกมาแล้ว “พอดีเมื่อครู่คุณเตก็เพิ่งลงมาบอกกับจ๋าให้ช่วยชงกาแฟแบบเข้ม ๆ ขึ้นไปให้เหมือนกันน่ะค่ะ” “อย่างนั้นก็เอาขึ้นไปพร้อมกันตอนนี้เลยก็ได้ค่ะ ขอบคุ
ธารดาราพยายามรวบรวมสติแล้วนึกไปถึงสัมผัสที่เธอได้รับมาจากเตชินท์เมื่อวาน จากนั้นเธอก็ขยับริมฝีปากของตัวเองทาบทับลงไปที่ริมฝีปากของเด็กหนุ่มตรงหน้า แล้วหลับตาของเธอลง... หลังจากนั้นธารดาราก็ค่อย ๆ ขบเม้มริมฝีปากของเตชินท์สลับทั้งบนและล่างเบา ๆ ก่อนที่เธอจะส่งลิ้นเล็กออกไปไล่เลียริมฝีปากล่างของเด็กหนุ่ม แล้วในขณะที่เธอยังไม่ทันจะได้ตั้งตัว เตชินท์ก็ดูดลิ้นของเธอเข้าไปในปากของเจ้าตัวแล้ว โดยหลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็ขึ้นมาเป็นผู้คุมเกมส์การสอนจูบในครั้งนี้ทันที จนเวลาผ่านล่วงเลยไปได้สักพัก... “อือ...อื้อ!!” ธารดาราใช้มือของตัวเองทุบลงไปที่ไหล่ของเตชินท์ซ้ำ ๆ เนื่องจากตอนนี้เธอกำลังจะขาดอากาศหายใจ แล้วเมื่อเด็กหนุ่มผละริมฝีปากของเจ้าตัวออก เธอก็รีบโกยเอาอากาศเข้าปอดพร้อมกับจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกโมโห “เต พี่ว่า...”
ธารดาราเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูห้องนอนของเตชินท์ เธอก็ยืนทำใจอยู่ตรงนั้นสักพัก เพราะถ้าหากว่าเธอก้าวเท้าเข้าไปภายในห้อง นั่นก็หมายถึงการเผชิญหน้ากับเรื่องที่เธอได้ทำผิดพลาดลงไปในเรื่องที่สอง เนื่องจากการใช้ชีวิตที่ผ่านมา ธารดารามักจะลำดับและแบ่งแยกทุกความสัมพันธ์ของผู้คนที่อยู่รายล้อมรอบกายเธออย่างชัดเจน แต่ก็อาจจะเป็นเพราะเตชินท์ที่เริ่มเข้ามาในชีวิตของเธอด้วยสถานะของคำว่า‘น้องชายข้างบ้าน’ แล้วต่อมาสถานะของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนมาใช้คำว่า‘ลูกศิษย์’ และก็ด้วยเพราะสถานะนี้ รวมไปถึงการกระทำล่าสุดของเธอกับเตชินท์ มันได้ส่งผลกระทบไปถึงกฎระเบียบข้อบังคับในสถาบันสอนภาษายิ้มรับที่ว่า... ‘คนเป็นครูห้ามคิดเกินเลยกับลูกศิษย์ของตัวเอง และก็ห้ามมีความสัมพันธ์ในรูปแบบอื่นนอกจากคำว่า‘ครู’ กับคำว่า‘ลูกศิษย์’ ซึ่งถ้าหากฝ่าฝืนแล้วถูกจับได้ โทษสถานเดียวที่จะได้รับก็คือ...การถูกไล่ออก’
“เตคะ พรุ่งนี้เตต้องเข้าไปที่โรงงานกี่โมงหรือคะ?” ธารดาราเอ่ยถามเตชินท์ แต่มือทั้งสองข้างกับดวงตาก็ไล่ตรวจดูของใช้ในตะกร้า และกระเป๋าเสื้อผ้าให้กับบุตรทั้งสอง “ไม่เข้าครับ เพราะผมสั่งให้ไอ้นัฐเข้าไปตรวจดูการติดตั้งแทนผมแล้ว” “อย่างนั้นวันพรุ่งนี้...” พูดยังไม่ทันจบ เสียงของบุตรชายก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน “คุณแม่ครับ น้าซูซี่โทรมาครับ” “ขอบคุณครับลูก” จากนั้นธารดาราก็เดินไปคุยโทรศัพท์กับเพื่อนสาว แต่ผ่านไปไม่ถึงสองนาที เธอก็เดินกลับมาหาเตชินท์ แล้วก็คงจะด้วยเพราะระยะเวลาในการพูดคุยที่ไม่ปกติ รวมกับความไม่พอใจเล็กน้อยที่เธอน่าจะเผลอแสดงออกทางสีหน้า เตชินท์จึงเอ่ยถามออกมาว่า “มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือปล่าครับ?”
ธารดารานั่งมองความวุ่นวายในห้องรับแขก เนื่องจากตอนนี้พี่ธีร์หรือเด็กชายธีร์ธาดางามรุ่งวัยห้าขวบกำลังรับบทลงโทษจากผู้เป็นพ่อด้วยการไปนั่งเข้ามุมเป็นเวลาสามนาที หลังจากที่เจ้าตัวกระชากหุ่นยนต์ตัวโปรดออกมาจากมือของน้องฟ้าหรือเด็กหญิงเนตรนภา งามรุ่งวัยสามขวบครึ่ง เป็นเหตุให้น้องฟ้าล้มก้นกระแทกพื้นร้องไห้จ้า ซึ่งเหตุผลที่พี่ธีร์กระชากหุ่นยนต์ออกมาจากมือน้องฟ้าก็เพราะว่า น้องฟ้าจับหุ่นยนต์ตัวโปรดของพี่ธีร์ฟาดลงกับพื้นไปแล้วสองครั้ง ธารดาราก้มมองบุตรสาวตัวน้อยบนตัก เมื่อครู่เจ้าตัวเพิ่งจะร้องไห้ฟ้องพ่อว่าโดนพี่ชายแกล้ง แต่เวลานี้กลับนั่งอมยิ้มกินขนมอยู่บนตักของเธอเสียแล้ว นี่ขนาดเธอกับเตชินท์มีบุตรด้วยกันเพียงแค่สองคนนะเนี่ย! แล้วถ้าหากในวันนั้นชายหนุ่มไม่ยอมเปลี่ยนความคิดของตัวเอง แล้วยังคงยืนยันที่จะมีลูกด้วยกันให้ได้หกคนตามความคิดของเธอ
เตชินท์เดินออกมาจากห้องน้ำ เขาก็ไม่เห็นธารดารานั่งรออยู่บนเตียง หรือที่โต๊ะเครื่องแป้งเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา แล้วเมื่อเขาหันไปมองแถวโถงทางเดิน เขาก็เห็นหญิงสาวกำลังนั่งดื่มเบียร์อยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์บาร์น้ำ ‘ผึ้งดื่มเบียร์!’ ตั้งแต่รู้จักกันมาธารดาราไม่ใช่คนดื่ม หากไม่ใช่ในงานเลี้ยงหรืองานสังสรรค์ หญิงสาวไม่เคยหยิบเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอร์ขึ้นมาดื่มให้เห็นเลยสักครั้ง ‘แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น?’ เตชินท์เดินเข้าไปหาธารดาราพร้อมกับเอ่ยเรียก และเอื้อมมือไปเขย่าที่ต้นแขนของหญิงสาวเบา ๆ “ผึ้งครับ” “เตอาบน้ำเสร็จแล้วหรือคะ?” “ครับ เออ...ผึ้งเป็นหรือเปล่าครับ? หรือว่ามี...” ถามยังไม่ทันจบ ธารดาราก็ลากเตชินท์
“เตคะ ตื่น! วันนี้เรามีแพลนที่ต้องไปทำกันหลายอย่างเลยนะคะ” ธารดาราเขย่าแขนคนที่โอบกอดร่างกายของเธอเอาไว้ จนเธอไม่สามารถขยับตัวออกมาได้ “ตอนนี้กี่โมงแล้วหรือครับ?” “สิบโมงค่ะ” “เมื่อรู้สึกตัว...ก็รีบปล่อยผึ้งได้แล้วค่ะ ผึ้งจะได้ลุกไปอาบน้ำ” “แต่ผมยังไม่อยากลุกเลยนี่ครับ” ธารดารามองสามีของตัวเองอย่างระอา เวลานี้อ้อมแขนของอีกฝ่ายก็ยังคงกอดรัดร่างกายเธอเอาไว้จนแน่น แถมเตชินท์ก็ยังขยับใบหน้าเข้ามาซุกไซร้ที่ซอกคอของเธออีก ธารดาราจึงกล่าวเสียงเข้มขึ้นว่า “เตคะ เราคุยกันไว้แล้วไม่ใช่หรือคะ? และวันนี้...มันก็วันที่ห้าแล้วนะคะ ที่ผึ้งยังไม่ได้ก้าวขาออกจากบ้านพักไปไหนเลย” “ขอโทษครับ” 
แล้วเมื่อเตชินท์ได้รับอนุญาต เขาก็กระตุกปมสายผูกเอวของหญิงสาวใต้ร่างพร้อมกับแหวกชุดคลุมออกทันที “อ่ะ! เตคะ!” ธารดาราตกใจจนเผลอยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดหน้าอกพร้อมกับหนีบขาของตนเองเอาไว้ “ผึ้งสวยขนาดนี้ อย่าปิดเลยนะครับ” พูดจบ เตชินท์ก็ยกมือทั้งสองข้างของธารดาราขึ้นมาจูบ ก่อนจะจับกางออก จากนั้นเขาก็ก้มลงจูบที่ริมฝีปาก ก่อนจะผละออกมาไล่เลียพร้อมกับขบเม้มไปตามร่างกายขาวผ่องของอีกฝ่าย ซึ่งในขณะเดียวกันฝ่ามือใหญ่ทั้งสองข้างของเตชินท์ก็ขยับกลับเข้ามาบีบขยำหน้าอกพอดีตัวของธารดารา แล้วเพียงไม่นานริมฝีปากหนาก็ก้มลงไปครอบครองยอดอกของหญิงสาวใต้ร่างทันที “อื้อ...เตคะ เต...” ธารดาราสั่นสะท้านเมื่อต้องรับสัมผัสจากฝ่ามือหนาที่เข้ามาบดคลึงอยู่ที่ทรวงอกของเธอ ไปพร้อมกับปลายลิ้นร้ายและริมฝีปากของคนบนร่างที่ทั้งไล่เลีย ขบกัด ดูดดึงยอดอกทั้งสองข้างของเธอสลับกันไปมา ซึ่งบางทีก็คล้ายกับว่าจะ
หลังจากวันที่ธารดารารับปากเรื่องแต่งงานกับเตชินท์ พ่อกับแม่ของเธอและแม่ของเตชินท์ก็นัดกันไปดูฤกษ์แต่งงานให้กับพวกเธอทันที ซึ่งวันมงคลสมรสที่ผู้ใหญ่ทั้งสองครอบครัวหามาได้มีทั้งหมดสามวัน โดยเตชินท์กับธารดาราตกลงใจเลือกวันมงคลที่อยู่ในช่วงเดือนสิบสองของปีนี้ แล้วหลังจากนั้นความวุ่นวายจากการจัดเตรียมงานแต่งก็เริ่มต้นขึ้นทันที แต่ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยหรืออาจจะมีบางเรื่องที่มันดูติดขัดไปบ้าง แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ตลอดจนถึงวันแต่งงาน... วันงานมงคลสมรส... ในช่วงเช้าเริ่มต้นด้วยฝ่ายเจ้าบ่าวอย่างเตชินท์เดินทางมาจัดเตรียมขบวนขันหมาก ก่อนจะเคลื่อนขบวนตั้งแต่ปากซอยทางเข้าหมู่บ้าน ซึ่งพอมาถึงประตูบ้านเจ้าสาว...ขบวนเจ้าบ่าวก็ต้องหยุดชะงัก เพราะเจอเข้ากับเพื่อนเจ้าสาวของธารดารา รวมไปถึงบรรดาคุณครูในสถาบันสอนภาษายิ้มรับที่มาช่วยกันกั้นประตูเงินประตูทอง แต่ขบวนเจ้าบ
ธารดาราเดินเข้าไปไม่ถึงสิบก้าวเธอก็เห็นสติ๊กเกอร์เรืองแสงเป็นรูปลูกศรสีเขียวติดอยู่ที่พุ่มไม้เตี้ยข้างถนน โดยปลายลูกศรชี้ไปยังกระดาษที่ถูกพับเป็นรูปสีเหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งมันวางอยู่ไม่ห่างจากปลายลูกศรมากนัก ธารดาราจึงเดินเข้าไปดู...บนกระดาษแผ่นนั้นมีข้อความที่เขียนด้วยปากกาเรืองแสงสีส้ม (ยิ้มก่อนเปิดอ่าน)ซึ่งลายมือแบบนี้ธารดาราจำได้ทันทีว่า มันคือลายมือของเตชินท์ แล้วพอเธอเปิดเข้าไปอ่านด้านใน ก็มีข้อความเขียนด้วยปากกาเรืองแสงสีชมพูว่า... (ตามอ่านจดหมายมาเรื่อย ๆ นะครับ อย่าเพิ่งถอดใจไปก่อนนะ ผมรอคุณแฟนอยู่) “เล่นอะไรเนี่ยเต ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!” จากความรู้สึกเป็นห่วงเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกโมโห แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา ธารดาราจึงได้แต่เดินมองหาลูกศรอันต่อไป ซึ่งมันก็ติดอยู่กับพุ่มไม้ที่อยู
ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด... เสียงเตือนดังขึ้นมาจากโทรศัพท์มือถือ แต่มาดังในช่วงเย็นแบบนี้...ธารดาราหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเปิดดู ‘ใช่จริงด้วย เสียงแจ้งเตือนความจำในวันสำคัญ’ แล้วเมื่อธารดาราเปิดเข้าไปดูเรื่องที่บันทึกให้แจ้งเตือน ‘ครบสามปีแล้วหรือนี่?’ ในวันที่ธารดารากับเตชินท์ตกลงคบหากันเป็นแฟน วันนั้นชายหนุ่มได้ตั้งแจ้งเตือนเอาไว้ทั้งในโทรศัพท์มือถือของตัวเองและของเธอ แล้วในวันนั้นเตชินท์ก็ได้ขอเปลี่ยนคำเรียกขาน โดยอีกฝ่ายขอให้ธารดาราเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อ และเจ้าตัวก็ขอเรียกเธอแบบนั้นด้วยเช่นกัน ซึ่งเมื่อทั้งครอบครัวของเธอ และครอบครัวของเตชินท์รับรู้เรื่องการคบหากันแบบคนรักจากปากของพวกเธอ ทั้งสองครอบครัวก็ไม่ได้ขัดขวาง แล้วยังกล่าวคำอวยพรให้ค่อย ๆ รัก ค่อย ๆ เรียนร
ธารดาราเมื่อเดินทางมาถึงบ้านของเตชินท์ ป้าจีนก็ออกมาต้อนรับพร้อมกับพาเธอเดินขึ้นไปยังห้องนอนของเตชินท์ เนื่องจากตอนนี้ภัสสรก็อยู่บนห้องนั้นกับบุตรชาย หลังจากนั้นภัสสรก็นั่งพูดคุยอยู่กับพวกเธอครู่หนึ่ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยขอตัวลงไปเคลียร์งานที่คั่งค้างของตัวเองต่อ การมาหาเตชินท์ในวันนี้ของธารดาราความตั้งใจส่วนหนึ่งก็คือการมาเยี่ยม อีกส่วนก็คือเธอต้องการจะมาให้คำตอบกับเตชินท์ แต่เมื่อเธอได้กลับเข้ามาในบ้านหลังนี้ มันก็ทำให้ธารดารานึกได้ถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้ตัวเองก้าวขากลับเข้ามาในชีวิตของเด็กหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง “พี่ผึ้งเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” เตชินท์เอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าที่เริ่มเปลี่ยนไปของธารดารา “เต...เตจะต้องออกเดินทางวันไหนหรือคะ?” &