แล้ววันแรกของการสอนภาษาให้กับเตชินท์ก็มาถึง หลังจากที่อาทิตย์ก่อนธารดาราได้เข้ามานั่งพูดคุยตกลงเรื่องวัน เวลา และสถานที่สำหรับการเรียนการสอน ซึ่งวันนี้เธอก็มาด้วยการแต่งกายแบบที่ดูน่าเชื่อถือในความคิดของตนเองเหมือนเดิม แต่จะต่างกันก็เพียงแค่สีของชุดเท่านั้น เพราะเธอได้เพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเองด้วยชุดสูทกระโปรงยาวสีเทา แล้วหลังจากนี้เธอก็ตั้งใจจะแต่งกายแบบนี้มาสอนพิเศษให้กับเตชินท์ทุกครั้ง
ซึ่งเมื่อธารดาราขับรถมาถึงหน้าบ้านของเตชินท์ เธอก็เดินลงมาจากรถแล้วไปกดกริ่ง รอเพียงไม่นานก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินมาเปิดประตูรั้วให้กับเธอ แล้วหลังจากนั้นอีกฝ่ายก็เดินตามมาหาเธอที่ลานจอดรถ
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อจ๋าเป็นลูกสาวของแม่บ้านจีน ถ้าคุณต้องการอะไรสามารถเรียกใช้จ๋าได้เลยนะคะ”
“สวัสดีค่ะจ๋า อย่างนั้นสองเดือนหลังจากนี้ น้ำหวานก็ขอรบกวนด้วยนะคะ” ธารดาราตอบกลับ ก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในตัวบ้าน
เมื่อธารดาราเดินเข้ามาถึงหน้าบันไดกลางบ้าน จ๋าก็แจ้งว่าเตชินท์รออยู่ที่ห้องนอนของเจ้าตัวแล้ว จากนั้นอีกฝ่ายก็ขอแยกกลับไปทำงานของตนเองต่อ
ซึ่งธารดาราที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ได้แวะเข้าไปกล่าวคำทักทายเจ้าของบ้าน แล้วพอคิดจะถามจ๋าว่าตอนนี้ภัสสรอยู่ที่ไหน อีกฝ่ายก็เดินห่างออกไปไกลแล้ว ธารดาราจึงตัดสินใจเดินขึ้นไปยืนบนบันไดขั้นที่ห้าเพื่อมองหาภัสสร แล้วในขณะที่เธอกำลังจ้องมองเข้าไปในห้องรับแขก
“ถ้าพี่น้ำหวานกำลังมองหาแม่ ตอนนี้แม่ไม่อยู่บ้านครับ พอดีมีผู้ถือหุ้นของบริษัทท่านหนึ่งป่วยจนต้องเข้าไปนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล แม่ก็เลยต้องรีบออกไปเยี่ยมครับ”
ธารดาราเมื่อได้ยินเสียงของเตชินท์ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง เธอก็ตกใจจนเกือบจะก้าวพลาดตกลงไปจากบันได แล้วเมื่อดึงสติของตนเองกลับมาได้ เธอก็สังเกตเห็นว่า...มือของอีกฝ่ายกำลังโอบอยู่ที่เอวของเธอ
ธารดาราจึงขยับร่างกายของตนเองเล็กน้อย เพื่อส่งสัญญาณเตือนอีกฝ่ายให้รีบปล่อยมือ
“ขอโทษครับ เมื่อครู่ผมเห็นพี่น้ำหวานตกใจเลยกลัวว่าพี่จะตกลงไปจากบันไดครับ”
“ขอบคุณค่ะ” ธารดารากล่าวตอบพร้อมกับหันกลับไปเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่ม หลังจากที่เจ้าตัวคลายมือออกจากเอวของเธอแล้ว
จากนั้นธารดาราก็เดินตามเตชินท์ขึ้นไปยังห้องนอนของเจ้าตัว ซึ่งเมื่อเดินเข้าไปในห้อง...อีกฝ่ายก็ได้จัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องเขียน สมุด รวมไปถึงของว่างพร้อมกับน้ำดื่ม และเบาะรองนั่งวางไว้ที่ข้างโต๊ะญี่ปุ่นแล้ว
เมื่อเห็นเช่นนั้นธารดาราจึงรีบเดินเข้าไปวางของ จากนั้นเธอก็เริ่มลงมือสอนภาษาให้กับเตชินท์ทันที แล้วในระหว่างที่สอนเธอก็คอยสังเกตท่าทางการหยิบจับของ รวมไปถึงท่าทางการนั่งเรียนของเตชินท์ไปด้วย
จนเวลาผ่านล่วงเลยไปถึงตอนเที่ยงภัสสรก็ยังไม่กลับมา ธารดาราจึงเดินตามเตชินท์ลงนั่งไปทานข้าวด้วยกันเพียงสองคนที่ห้องรับประทานอาหารด้านล่าง
แล้วหลังจากที่เธอกับเด็กหนุ่มนั่งทานข้าวด้วยกันไปได้สักพัก ธารดาราก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า
“เตชอบไปเที่ยวกลางคืนหรือเปล่าคะ?”
“ไม่ค่อยชอบครับ แต่ถ้าเพื่อนในกลุ่มโทรมาชวนบางครั้งก็ไป แต่บางครั้งผมก็ไม่ไป ส่วนใหญ่ผมจะถามสถานที่เที่ยวก่อนครับ เพราะถ้าไปในสถานที่ที่คนเยอะ ๆ ผมก็จะไม่ค่อยไป คือ...ผมไม่ค่อยชอบกลิ่นบุหรี่น่ะครับ”
‘จริงด้วย! เตไม่ชอบกลิ่นบุหรี่หนิ!’ ธารดารานึกขึ้นได้ในใจ จากนั้นเธอก็เอ่ยคำถามถัดไป
“เตชอบทำอาหารหรือเปล่าคะ?”
“ไม่ถึงขั้นชอบ แต่พอทำกินเองได้ครับ”
“แล้วเตชอบแมวไหมคะ?”
“ไม่ครับ ผมชอบหมามากกว่า เพราะหมาเป็นสัตว์ที่ซื่อสัตย์และรักเจ้าของของมัน...เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น! แล้วหมามันก็ยังจดจำและรอคอยคนที่มันรักได้เสมอ ไม่ว่าคนคนนั้นจะมีรูปร่างหรือหน้าตาที่เปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนก็ตาม หมามันก็ไม่เคยเปลี่ยนใจไปจากเจ้าของของมันเลยครับ”
‘ไม่น่า...เตชินท์ถึงชอบทำสีหน้าราวกับลูกหมากำลังจะถูกทิ้ง’ ธารดาราคิดในใจ ซึ่งวันนี้เธอได้แอบถามข้อมูลจากอีกฝ่ายมาพอสมควรแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าข้อมูลที่ได้กลับมาส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งที่เธออยู่แล้วตั้งแต่ในวัยเด็ก
ตอนนี้ธารดาราจึงคิดว่าเธอควรจะต้องหยุดถาม เพราะถ้าหากเธอถามมากไปกว่านี้ มันอาจจะทำให้เตชินท์เริ่มสงสัยในตัวเธอได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นธารดาราจึงก้มลงไปทานอาหารบนจานข้าวของตนเองต่อ แล้วในขณะนั้นเธอก็เห็นสิ่งที่น่าสนใจวางอยู่บนจานผัดผัก...
ธารดาราเอื้อมมือออกไปตักผัดผักรวมโดยเน้นที่ผักคะน้า จากนั้นเธอก็นำไปวางไว้บนจานข้าวของเตชินท์
“ผักมีประโยชน์และดีต่อสุขภาพอย่างมากเลยค่ะ ดังนั้นเตควรกินผักให้เยอะ ๆ นะคะ” ธารดาราที่รู้อยู่แล้วว่าเตชินท์ไม่ชอบกลิ่นของผักคะน้า ดังนั้นสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่จึงถือว่าเป็นการเอาคืนเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อีกฝ่ายทำให้เธอตกใจในช่วงเช้าที่ผ่านมา
“ขอบคุณมากครับ อย่างนั้นพี่น้ำหวานก็ลองชิมยำรวมมิตรฝีมือของป้าจีนดูนะครับ รับรองว่าหากพี่ได้ชิมแล้วจะต้องติดใจครับ”
“เออ...ก็ได้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” ธารดาราพูดพร้อมกับมองลงไปยังของที่เตชินท์ตักมาวางไว้บนจานข้าวของเธอ
‘หมูยอหนึ่งชิ้นกับมะเขือเทศหั่นเป็นแว่นถึงสามชิ้น! ทำไมเตถึงเน้นตักมะเขือเทศมาให้กับเรา? หรือ...เตจะรู้แล้วว่าเราคือน้ำผึ้ง? แต่ไม่หรอก...มันไม่น่าจะเป็นไปได้’ ธารดาราคิดในใจ และเมื่อเห็นว่าเตชินท์กินผักคะน้าที่เธอตักให้หมดแล้ว ซึ่งในฐานะของครูสอนพิเศษและคนที่เคยอยู่ในตำแหน่งลูกพี่! เออ...พี่สาวข้างบ้านอย่างเธอ มะเขือเทศหั่นเป็นแว่นแค่เพียงสามชิ้น! มันคงทำอะไรเธอไม่ได้หรอก เมื่อคิดได้ดังนั้นธารดาราจึงตักมะเขือเทศขึ้นมาแล้วใส่เข้าไปในปากของตนเอง
‘ฮือ...หวานก็ไม่หวาน เปรี้ยวก็ไม่เปรี้ยว เนื้อสัมผัสมันก็แหยะ ๆ’
แล้วพอธารดารามองไปทางเด็กหนุ่มฝั่งตรงข้าม เธอก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังตักมะเขือเทศในยำขึ้นไปกิน ซึ่งก็ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะเคี้ยวและกินมันได้อย่างมีความสุขมาก!
‘จ้า...พ่อคนชอบกินมะเขือเทศ!!’ โมโหไปก็เท่านั้น ธารดาราจึงรีบกลั้นใจเคี้ยวของที่อยู่ในปากแล้วกลืนมันลงคอไปทันที
ซึ่งหลังจากทานข้าวด้วยกันเสร็จ เตชินท์กับธารดาราก็กลับขึ้นไปติวภาษากันต่อ
จนเวลาผ่านล่วงเลยไปถึงบ่ายสามโมง ภัสสรที่เพิ่งเดินทางกลับมาถึงบ้าน เธอก็เดินขึ้นไปดูครูสอนพิเศษกับบุตรชายบนห้องนอนของเจ้าตัว แล้วเมื่อเห็นว่าเตชินท์กำลังตั้งใจเรียน ภัสสรจึงอยู่พูดคุยกับคนทั้งคู่เพียงเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ขอตัวกลับลงมาจัดการงานของตนเองต่อด้านล่าง พอถึงเวลาหกโมงเย็น ธารดาราก็กล่าวลาภัสสรกับเตชินท์เพื่อขอตัวกลับบ้าน ซึ่งคนทั้งคู่ก็ได้เอ่ยชวนเธอให้อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนกลับ แต่ก็ด้วยเพราะที่บ้านของธารดารามีกฎว่าหากไม่ติดธุระหรือมีนัดสังสรรค์ ทุกคนจะต้องกลับไปทานข้าวเย็นด้วยกันที่บ้านทุกวัน ซึ่งกฎประจำบ้านของธารดาราข้อนี้สองคนตรงหน้าต่างก็รู้ดี เธอจึงไม่สามารถหยิบเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดได้ ธารดาราก็ได้แต่หาข้ออ้างอย่างอื่นมาใช้กล่าวปฏิเสธคนทั้งคู่ ก่อนที่เธอจะขอตัวกลับออกมาจากบ้านหลังนั้นได้แบบเนียน ๆ หลังจากวันนั้นชีวิตของธารดาราก็เริ่มเปลี
ธารดาราที่ยังคงตกใจ เพราะอยู่ดี ๆ เธอก็ได้รับคำตอบในเรื่องที่ตนเองสงสัยมาโดยตลอดอย่างไม่คาดคิด แต่เมื่อเธอได้ยินคำถามและได้เห็นสายตาที่แสดงออกว่าเจ้าตัวเริ่มไม่พอใจแล้วจากเตชินท์ เธอก็รีบดึงสติแล้วตอบคำถามเด็กหนุ่มกลับไปว่า “เปล่าค่ะ พี่ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น! แต่ทำไมเตถึงคิดว่า...พี่จะต้องคิดแบบนั้นกับเตด้วยล่ะคะ?” “ก็อาจจะเป็นเพราะผมหน้าหวาน แล้วคนที่เพิ่งรู้จักกับผมส่วนใหญ่ก็มักจะคิด และมองผมว่าเป็นแบบนั้นด้วย ซึ่งส่วนหนึ่งที่ทำให้คนภายนอกคิดแบบนั้นกับผม...มันก็อาจจะมาจากตัวผมเอง เพราะที่ผ่านมาผมยังไม่เคยมีแฟนเลยสักคนมั้งครับ” “แล้วทำไมเตถึงยังไม่เคยมีแฟนเลยล่ะคะ?” ถามจบ ธารดาราก็เห็นความสั่นไหวในแววตาของเตชินท์ เธอจึงรีบพูดต่อทันทีว่า “เออ...ถ้าไม่สะดวกที่จะตอบ เตไม่ต้องตอบพี่ก็ได้นะคะ”
ธารดาราเงยหน้าขึ้นมาจ้องเตชินท์ หลังจากได้ยินคำถามของอีกฝ่าย “ผมขอโทษครับ พอดีผมมีแต่เพื่อนผู้ชาย ผมก็เลยไม่รู้ว่าเรื่องแบบนี้...ผมสามารถถามกับพี่น้ำหวานได้หรือเปล่า?” พอได้เห็นสีหน้าราวกับลูกหมากำลังจะถูกทิ้งของเตชินท์อีกครั้ง ธารดาราจึงได้ถอนหายใจออกมา ก่อนที่เธอจะตอบกลับอีกฝ่ายไปว่า “พี่เคยจูบค่ะ แต่...” พูดยังไม่ทันจบ เตชินท์ก็ถามแทรกขึ้นมาเสียก่อน “จูบตอนไหน? แล้วมันเป็นใครครับ!” “เออ...ผมขอโทษ พอดีผมฟังแล้วรู้สึกตื่นเต้นมากเกินไปหน่อยน่ะครับ คือผมยังไม่เคยไปจูบกับใครเลย แต่พี่...พี่เคยไปจูบกับคนอื่นมาแล้ว! พอได้รู้มันก็เลย...” “พี่ว่า...เรากลับมาสนใจเรื่องเรียนกันต่อดีกว่าค่ะ?” 
ธารดาราก้าวขาออกจากรถยนต์คู่ใจ แล้วมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูรั้วซี่เหล็กบานใหญ่หน้าบ้านของเตชินท์เพื่อเตรียมที่จะกดกริ่ง แต่ผ่านมาได้สักพักเธอก็ยังไม่ยกมือขึ้นไปกด เพราะตอนนี้ในใจของธารดารามันคิดแค่เพียงว่า... ‘ทำไมวันเสาร์มันจึงได้เวียนมาถึงเร็วนักนะ!’ นั่นก็เพราะในอาทิตย์ที่ผ่านมาคำขอแปลก ๆ ของเตชินท์มันยังคงวนเวียนเข้ามาในความคิดของธารดาราอยู่บ่อยครั้ง แล้วยิ่งเด็กหนุ่มได้แอบไปเพิ่มเพื่อนในโปรแกรมส่งข้อความกับเธอ แต่ก็ยังดีที่อีกฝ่ายไม่เคยส่งสติ๊กเกอร์หรือส่งข้อความอะไรเข้ามาพูดคุยกับธารดาราเลยสักครั้ง แล้วก็โชคดีที่เตชินท์แอบไปเพิ่มเพื่อนกับบัญชีที่มีชื่อว่า...น้องยิ้ม! เนื่องจากธารดารามีบัญชีในโปรแกรมส่งข้อความอยู่สองบัญชี นั่นก็คือบัญชีที่มีชื่อว่าน้ำผึ้งหวาน...โดยบัญชีนี้มีข้อมูลตัวตนที่แท้จริงของเธออยู่ กับบัญ
“นี่เรียกว่าจูบหรือครับ? แบบนี้มันเหมือนกับที่ผมเคยเห็นเด็กอนุบาลจุ๊บกันที่หน้าโรงเรียนเลยครับพี่ เออ...จริงด้วย ผมก็ลืมไปเลยว่าพี่น้ำหวานเสียจูบแรกตอนเมา แต่ผมว่าจูบครั้งนั้น...พี่อย่านับมันเลยดีกว่าครับ พี่น้ำหวานมาดูนี่สิครับ...วันนั้นเพราะพี่ไม่ยอมตอบ ผมก็เลยลองไปศึกษาวิธีการจูบแบบคนรักกันมา คลิปนี้เห็นวิธีการจูบแบบชัดมากเลยครับพี่” แม้จะรู้สึกโกรธแต่ธารดาราก็ยอมขยับเข้าไปดูคลิปวีดีโอในโทรศัพท์มือถือของเตชินท์ ซึ่งภาพเคลื่อนไหวที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอก็คือชายหญิงคู่หนึ่งกำลังยืนจูบกันแบบดูดดื่มท่ามกลางวิวทะเลยามค่ำคืน โดยความยาวของคลิปวีดีโอนั้นกินเวลาไปถึงห้านาที ซึ่งตลอดทั้งห้านาทีคนทั้งสองในคลิปก็เรียกได้ว่า...แทบจะกลืนกินปากกันเลยก็ว่าได้ หลังจากที่คลิปวีดีโอนั้นจบลงเตชินท์ก็เก็บโทรศัพท์มือถือ ก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยประโยคระคายหูของธารดาราขึ้นมาอีกครั้งว่า &
‘สดชื่นมากม๊ากก...เลยวันนี้!’ ธารดาราคิดในใจ ก่อนจะเดินตามจ๋าเข้าไปในตัวบ้านของเตชินท์ เพราะว่าเมื่อคืนหลังจากที่เธอตัดสินใจพยายามข่มตาหลับ แต่สุดท้าย...จนถึงหกโมงเช้า ธารดาราก็ยังไม่ได้หลับเลยแม้แต่วินาทีเดียว “จ๋าคะ เช้านี้เครื่องดื่มในของว่าง น้ำหวานรบกวนขอเป็นกาแฟแบบเข็ม ๆ เลยนะคะ” “ได้ค่ะ หรือว่าคุณน้ำหวานจะให้จ๋าชงขึ้นไปให้พร้อมกับของคุณเตตอนนี้เลยดีคะ?” หลังจากได้ยินคำถามของจ๋า ธารดาราคงเผลอแสดงความสงสัยทางสีหน้า เพราะยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไรออกมา อีกฝ่ายก็บอกสิ่งที่เธอกำลังจะถามออกมาแล้ว “พอดีเมื่อครู่คุณเตก็เพิ่งลงมาบอกกับจ๋าให้ช่วยชงกาแฟแบบเข้ม ๆ ขึ้นไปให้เหมือนกันน่ะค่ะ” “อย่างนั้นก็เอาขึ้นไปพร้อมกันตอนนี้เลยก็ได้ค่ะ ขอบคุ
ธารดาราพยายามรวบรวมสติแล้วนึกไปถึงสัมผัสที่เธอได้รับมาจากเตชินท์เมื่อวาน จากนั้นเธอก็ขยับริมฝีปากของตัวเองทาบทับลงไปที่ริมฝีปากของเด็กหนุ่มตรงหน้า แล้วหลับตาของเธอลง... หลังจากนั้นธารดาราก็ค่อย ๆ ขบเม้มริมฝีปากของเตชินท์สลับทั้งบนและล่างเบา ๆ ก่อนที่เธอจะส่งลิ้นเล็กออกไปไล่เลียริมฝีปากล่างของเด็กหนุ่ม แล้วในขณะที่เธอยังไม่ทันจะได้ตั้งตัว เตชินท์ก็ดูดลิ้นของเธอเข้าไปในปากของเจ้าตัวแล้ว โดยหลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็ขึ้นมาเป็นผู้คุมเกมส์การสอนจูบในครั้งนี้ทันที จนเวลาผ่านล่วงเลยไปได้สักพัก... “อือ...อื้อ!!” ธารดาราใช้มือของตัวเองทุบลงไปที่ไหล่ของเตชินท์ซ้ำ ๆ เนื่องจากตอนนี้เธอกำลังจะขาดอากาศหายใจ แล้วเมื่อเด็กหนุ่มผละริมฝีปากของเจ้าตัวออก เธอก็รีบโกยเอาอากาศเข้าปอดพร้อมกับจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกโมโห “เต พี่ว่า...”
ธารดาราเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูห้องนอนของเตชินท์ เธอก็ยืนทำใจอยู่ตรงนั้นสักพัก เพราะถ้าหากว่าเธอก้าวเท้าเข้าไปภายในห้อง นั่นก็หมายถึงการเผชิญหน้ากับเรื่องที่เธอได้ทำผิดพลาดลงไปในเรื่องที่สอง เนื่องจากการใช้ชีวิตที่ผ่านมา ธารดารามักจะลำดับและแบ่งแยกทุกความสัมพันธ์ของผู้คนที่อยู่รายล้อมรอบกายเธออย่างชัดเจน แต่ก็อาจจะเป็นเพราะเตชินท์ที่เริ่มเข้ามาในชีวิตของเธอด้วยสถานะของคำว่า‘น้องชายข้างบ้าน’ แล้วต่อมาสถานะของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนมาใช้คำว่า‘ลูกศิษย์’ และก็ด้วยเพราะสถานะนี้ รวมไปถึงการกระทำล่าสุดของเธอกับเตชินท์ มันได้ส่งผลกระทบไปถึงกฎระเบียบข้อบังคับในสถาบันสอนภาษายิ้มรับที่ว่า... ‘คนเป็นครูห้ามคิดเกินเลยกับลูกศิษย์ของตัวเอง และก็ห้ามมีความสัมพันธ์ในรูปแบบอื่นนอกจากคำว่า‘ครู’ กับคำว่า‘ลูกศิษย์’ ซึ่งถ้าหากฝ่าฝืนแล้วถูกจับได้ โทษสถานเดียวที่จะได้รับก็คือ...การถูกไล่ออก’
“น้ำผึ้งปวดแผลหรือลูก?” ธารดาราหลุดออกมาจากภวังค์ความคิดหลังจากได้ยินคำถามของผู้เป็นแม่ แล้วเมื่อเงยหน้ากลับขึ้นมาเธอก็ได้เห็นสายตาที่แสดงออกถึงความเป็นห่วงจากธันวาและสายธาร เธอจึงรีบตอบกลับไปว่า “ผึ้งไม่ได้ปวดแผลค่ะแม่ คือ...เมื่อครู่ผึ้งเผลอคิดอะไรนิดหน่อยเท่านั้นเองค่ะ ผึ้งขอโทษที่ทำให้พ่อกับแม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” “ไม่เป็นไรเลยลูก แต่ถ้าหนูรู้สึกไม่ดี ปวดแผลหรือรู้สึกเจ็บตรงไหนขึ้นมา น้ำผึ้งต้องรีบบอกพ่อกับแม่เลยนะลูก” “ได้ค่ะพ่อ” เพียงไม่นานพวกเธอก็มาถึงหน้าห้องฉุกเฉิน แล้วที่หน้าประตูห้อง...เวลานี้ก็มีแค่ภัสสรที่นั่งเฝ้ารออยู่ที่หน้าห้องนั้นคนเดียว “ป้าหมิวคะ” “น้ำผึ้ง! ทำ
“น้ำผึ้ง น้ำผึ้ง นี่แม่เองนะลูก เงยหน้าขึ้นมามองแม่ก่อนเร็วลูก แม่อยู่ตรงนี้แล้ว...น้ำผึ้ง คุณคะ...ลูกของเรา ฮึก! ฮือออ...” “น้ำผึ้งลูก น้ำผึ้ง! น้ำผึ้งเงยหน้าขึ้นมามองพ่อแล้วปล่อยตัวเตชินท์ก่อนลูก” หลังจากได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นหูและรับรู้ได้ถึงแรงเขย่าเบา ๆ ซึ่งมันไม่ใช่แรงดึง แรงตบหรือแรงกระชากเหมือนกับที่ผ่านมาเมื่อครู่ ธารดาราจึงเงยหน้ากลับขึ้นมามอง... “พ่อ แม่ พ่อคะ แม่คะช่วยเตด้วยค่ะ ช่วยเตชินท์ด้วยค่ะพ่อ ฮึก...ฮือออ” “ได้ลูก...ได้เดี๋ยวพ่อช่วยเตให้เอง แต่ตอนนี้น้ำผึ้งต้องใจเย็น ๆ แล้วปล่อยตัวเตชินท์ออกมาก่อน เวลานี้รถพยาบาลมาถึงแล้วลูก” ธารดารายอมปล่อยตัวเตชินท์ออกมาจากอ้อมแขน จากนั้นบุรุษพยาบาลก็รีบเข้ามาดูแลบาดแผลตามร่างกายของเธอกับเตชินท์ โดยมีธันวากับสายธารคอย
ซึ่งหลังจากที่ธารดาราตะโกน ผู้ชายที่น่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มโจรก็วิ่งเข้ามาแล้วหมายจะใช้มือปิดปากของเธอ ธารดาราจึงรีบก้มตัวหลบพร้อมกับสะบัดแขน จนเธอเป็นอิสระจากมือของผู้ชายร่างใหญ่ จากนั้นธารดาราก็หันมาเตะตัดขา แล้วต่อยเข้าไปที่ใบหน้าของผู้ชายที่น่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มโจร แต่ด้วยความที่เรี่ยวแรงของเธอมีน้อยกว่าอีกฝ่ายมาก รวมไปถึงความชำนาญในเรื่องของการชกต่อยข้างถนนที่ผู้ชายคนนั้นมีอยู่ ทำให้ในจังหวะที่ธารดาราออกหมัด...ผู้ชายคนนั้นก็ได้ยกมือข้างซ้ายขึ้นมารับหมัดของเธอเอาไว้ จากนั้นอีกฝ่ายก็ใช้มือข้างขวาพุ่งเข้ามาบีบที่ต้นคอของธารดาราพร้อมกับออกแรงผลัก จนทั้งศีรษะและตัวของเธอกระแทกลงไปฟาดกับพื้นอย่างแรง หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็พลิกกลับขึ้นมานั่งคร่อมอยู่บนตัวของธารดาราทันที “ถุย! ฤทธิ์เยอะนักนะมึง” อั๊ก!
ธารดารารีบเด้งตัวออกมา แล้ววิ่งลงไปที่ไหล่ถนนห่างจากจุดที่เธอจอดรถพอสมควร จากนั้นเธอก็หันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้ชายที่เธอก้าวถอยหลังไปชนเมื่อครู่ แต่ในระหว่างนั้นสายตาของธารดาราก็เหลือบไปเห็นผู้ชายร่างเล็กคนหนึ่งกำลังพยายามปลดล็อคประตูรถยนต์ของเธออยู่... “เฮ้ย! นั่นแก...” ธารดาราที่กำลังจะตะโกนต่อ ต้องหยุดชะงักทันที เพราะเธอสัมผัสได้ถึงความเย็นจากเหล็กแหลมที่จี้เข้ามาตรงบริเวณช่วงเอวข้างขวาของเธอ จากนั้นธารดาราก็ได้ยินเสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นมาที่ข้างหูซ้ายว่า “หากยังไม่อยากตายอยู่ตรงนี้ น้องสาวคนสวยก็รีบหุบปากของตัวเองลงไปซะ” ธารดารารีบหุบปากของตัวเองลงทันที หลังจากนั้นเธอก็พยายามมองรอบกาย เวลานี้ไม่มีใครอยู่ใกล้ตัวเธอเลยสักคนนอกจากโจรสามคนนี้ แล้วก็คงจะด้วยเพราะตอนนี้มันได้เลยเวลาเที่ยงคืนมามากแล้ว คน รถยนต์ หรือแม้แต่รถจักรยานยนต์ที่มักจะขับผ่านเข้ามายังเส้นทางนี้จ
“ครับ พี่ส่งข้อความมาบอกว่า ‘พี่ขอเวลา’ แต่เวลาที่พี่ขอมันกี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปีกันล่ะครับ ก็พี่ไม่ยอมบอกว่า...พี่จะขอเวลาจากผมนานเท่าไหร่? ผมก็เลยไม่รู้ว่าตนเองจะต้องรอพี่อีกนานแค่ไหน?” เตชินท์พยายามสงบใจของตัวเองลง ก่อนจะพูดต่อ “พี่ผึ้งครับ ผมรู้ว่าที่ผ่านมา...ผมทำผิดต่อพี่ ผมขอโทษพี่จริง ๆ นะครับ แต่พี่...พี่อย่าเฉยชากับผมแบบนี้ได้ไหมครับ? แล้วพี่ก็อย่าหายไปจากชีวิตของผมแบบนี้อีกเลย! ผมโทรเข้าไปหาพี่กี่ครั้ง พี่ก็ไม่เคยรับ ผมส่งข้อความไปหาพี่หลังจากวันนั้น พี่ก็ไม่เคยเข้าไปเปิดอ่านข้อความของผมอีกเลย ผมพยายามใช้ช่องทางอื่นติดต่อเข้าไปหาพี่ แต่พี่ก็ไม่เคยสนใจ ถึงผมจะรอวันที่พี่ให้อภัยและให้คำตอบกับผมได้ แต่ผมก็...” “อย่างนั้นก็ไม่ต้องรอ” “พี่ผึ้ง!”&
ธารดารารู้ว่าตอนนี้เพื่อนสนิททั้งสามคนกำลังรู้สึกเป็นห่วงเธอ ซึ่งที่ผ่านมาไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัวพวกเธอไม่เคยมีเรื่องอะไรปิดบังกัน แล้วก็ด้วยเพราะเวลานี้พวกเธออยู่ในห้องทำงานของผู้บริหาร ซึ่งก็มีเพียงแค่พวกเธอสี่คนเท่านั้นที่สามารถเข้าออกห้องนี้ได้ ธารดาราจึงตัดสินใจเล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นระหว่างเธอกับเตชินท์ให้คนทั้งสามฟัง... แล้วหลังจากที่ธารดาราเล่าจบ ซูซี่ก็ออกความเห็นขึ้นมาทันทีว่า “โอ้ย! แก...เด็กแกน่ารักอ่ะ ออกแนวใส ๆ ผึ้งแกมีรูปของน้องเตชินท์แบบที่อัปเดตแล้วให้ดูไหม?” เนื่องจากพวกซูซี่เคยเห็นแต่รูปในวัยเด็กของเตชินท์ที่ถ่ายคู่กับธารดาราเท่านั้น “มี” ธารดาราเปิดรูปโปรไฟล์ของเตชินท์ในโปรแกรมส่งข้อความ ก่อนจะยื่นโทรศัพท์มือถือไปทางซูซี่ “แต่ฉันว่าเด็กคนนี้ออกแนวเจ้าเล่ห์มากกว่าใสซื่อนะ” วิวรดาพูดพร้อมกับยื่น
“แล้วกูจะรู้ไหมเนี่ยว่าบ้านพี่ผึ้งของมึงอยู่ที่ไหน?” อัศวินก้มมองเตชินท์ ตั้งแต่ทำความรู้จักจนคบหาเป็นเพื่อนสนิทกับมันมา เขาก็เพิ่งเคยเห็นมันอยู่ในสภาพนี้เป็นครั้งแรก “ไม่รู้ก็ปล่อยกูไว้ที่นี่ กูจะกินเหล้าต่อ...พวกมึงจะไปที่ไหนก็ไป!” “ไอ้เต กูถามจริง ๆ ทำไมมึงถึงรักคนที่... เออ...กูขอพูดตรง ๆ นะ พี่ผึ้งของมึงเขาก็ยังไม่ได้รักมึงตอบเลยด้วยซ้ำ แล้วไม่แน่ว่า...ที่ผ่านมาเขาก็อาจจะมองมึงเป็นเพียงแค่อดีตน้องชายข้างบ้านเท่านั้นเอง” “กูก็ไม่รู้ แต่ที่กูรู้ก็คือ...ตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมาไม่มีวันไหนเลยที่กูไม่คิดถึงพี่ผึ้ง และไม่ว่าจะสุขหรือจะทุกข์ คนที่กูมักจะคิดถึงเป็นคนแรกก็คือพี่ผึ้ง แล้วที่สำคัญพี่ผึ้งคือแรงบันดาลใจของกู เพราะมีพี่ผึ้งอยู่...กูถึงได้พยายามทำตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิมในทุก ๆ วัน” “แล้วจากนี้มึงจะทำยังไงต่อ?”
ในระหว่างที่เตชินท์ทำแบบทดสอบที่ได้รับมาจากธารดารา เขาก็คิดขึ้นได้ว่าตอนนี้ตัวเองต้องการเวลาและความใกล้ชิด เพื่อที่เขาจะได้กลับไปสนิทกับหญิงสาวให้ได้เหมือนเดิมก่อน เตชินท์จึงตัดสินใจทำแบบทดสอบให้มันผิดพลาดมากที่สุด เพื่อเรียกคะแนนสงสารจากธารดารา จนอีกฝ่ายยินยอมเพิ่มระยะเวลาในการเข้ามาสอน จากนั้นเขาจึงรีบเสนอให้ใช้ห้องนอนของตัวเองเป็นห้องเรียนแทนห้องรับแขก แล้วเมื่อธารดาราตอบตกลง หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา...เตชินท์จึงเริ่มทำตามแผนการที่เขาแอบคิดไว้ต่อทันที โดยในช่วงแรก ๆ เตชินท์ก็แอบเป็นกังวล เพราะธารดาราเลือกเดินกลับเข้ามาในชีวิตของเขาด้วยการเป็นคนอื่น ซึ่งมันอาจจะกระทบกับแผนที่เขาได้เตรียมการเอาไว้ แต่เมื่อเตชินท์ลองปรับเปลี่ยนแผน...แล้วเริ่มเดินเกมส์รุก หลังจากนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเขากับธารดารา มันก็เริ่มกลับมาใกล้ชิด และเริ่มสนิทกันยิ่งกว่าที่เขาคิดเอาไว้ด้วยซ้ำ คงด้วยเพราะในตอนแรกเตชิน
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าด้วยเพราะฤทธิ์ของสุราที่ยังคงเหลืออยู่ในร่างกายหรือด้วยเพราะอะไร หลังจากนั้นเตชินท์ถึงได้กล้าเล่าเรื่องระหว่างเขากับธารดารา ตั้งแต่ในวัยเด็ก...มาจนถึงสถานการณ์ล่าสุดของพวกเขาให้อัศวินฟัง แล้วเมื่ออีกฝ่ายฟังจบ เจ้าตัวก็หันกลับมาถามว่า “แล้วมึง...จะมานั่งดักรอเจอพี่ผึ้งของมึงแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เลยหรือ?” “กูไม่ได้มาดักเจอ กูก็แค่มาแอบมอง แต่...ถ้าได้เข้าไปทักทายหรือพูดคุยกันบ้างก็คงดี” พูดจบ เตชินท์ก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรงหนึ่งครั้ง คงเพราะสามปีกว่า ๆ ที่ผ่านมาเขาเอาแต่เฝ้ามองธารดาราอยู่ห่าง ๆ มาโดยตลอด แล้วการที่วันนี้เขาบังเอิญได้เข้าไปอยู่ในสายตา และได้สบตากับคนที่เขาแอบรัก มันจึงทำให้เขาเกือบเผลอเดินตามเธอไปเสียอย่างนั้น จนผ่านไปได้สักพักเตชินท์กับอัศวินก็กลับเข้าไปหาเพื่อน ๆ ที่รออยู่ในห้องร้องคาราโอเกะ จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันกลับบ้าน