กลางดึกเงียบสงัดซู่เยียนอาบน้ำเสร็จ ก็มานั่งบนเก้าอี้หวายตรงระเบียง ดูข้อความในโทรศัพท์ที่เธอเคยทำหายไปแล้วได้คืนมาพี่หู่ที่จับเธอไว้เป็นตัวประกันถูกยิงตายคาที่ ผู้บาดเจ็บของสวนเทคโนโลยีได้รับการช่วยเหลือออกมา คนร้ายที่สมรู้ร่วมคิดเหล่านั้นก็โดนทีมของโม่หนานเจ๋อจับกุม ก่อนส่งตัวให้ทางตำรวจกระเป๋าและโทรศัพท์ของเธอกลับมาแล้ว แต่น่าเสียดายเงินเก็บตลอดสามปีของเธอ ถูกพี่ชายเอาไปหมดแล้วตัวเธอในตอนนี้ นอกจากโทรศัพท์เครื่องนี้ ก็ไม่เหลือเงินแม้แต่แดงเดียวปีนั้น หลังจากเธอสูญเสียความทรงจำ ได้เจอกับคุณนายผู้เฒ่า คุณหญิงเจอเธอครั้งแรกก็ดวงสมพงษ์ จะเอาเธอมาอยู่ด้วยให้ได้เธอจึงเป็นผู้ดูแลส่วนตัวให้คุณนายผู้เฒ่ามาตลอดสามปีเธอไม่มีเพื่อน ญาติพี่น้องก็นำพาแต่ความโชคร้ายและหายนะมาให้เธอ ตอนนี้ชีวิตอัตคัดขัดสน แต่กลับไม่รู้ว่าจะขอยืมเงินใครได้บ้างขณะซู่เยียนตกอยู่ในภวังค์ความคิด ทันใดนั้นเสียงเปิดประตูพลันดังขึ้นเธอดึงสติกลับมา หันมองประตูทางเข้าแผ่นหลังกำยำของโม่หนานเจ๋อแทรกเข้ามาในสายตาเธอ ฝ่ายชายกำลังปิดประตูชั่วเวลานั้น หัวใจของเธอกลับสั่นไหวอย่างน่าประหลาดอีกครั้งเธอรีบดึงสา
ซู่เยียนชี้ไปที่ชั้นวางหนังสือในห้องอีกครั้ง "หลายวันมานี้ ฉันอ่านหนังสือบนชั้นวางหนังสือของคุณหมดแล้วค่ะ"โม่หนานเจ๋อ "จะไม่คิดทบทวนใหม่จริงๆ เหรอ?"ซู่เยียนก้มหน้าลง "ไม่ล่ะค่ะ พรุ่งนี้เช้าฉันก็จะไปแล้ว วันหลังคงไม่มีโอกาสมาที่นี่อีกแล้วล่ะ"โม่หนานเจ๋อไม่เกลี้ยกล่อมอีก เดินผ่านเธอไปเข้าไปในห้อง เขาปลดกระดุมเสื้อพลางพูดว่า "กลับไปที่บ้าน ก็อย่าพูดเรื่องหย่ากับคุณย่า มันจะกระตุ้นอาการป่วยของท่านได้"มือของซู่เยียนกำโทรศัพท์โดยไม่รู้ตัว ตัวสั่นไหวเล็กน้อย ความรู้สึกอึดอัดที่ไม่อาจปกปิดได้พรั่งพรูออกมา "ฉันขอโทษที่เห็นรูปถ่ายของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในหนังสือของคุณ ด้านหลังเขียนว่า เด็กผู้หญิงที่ฉันรักมากที่สุด ไป๋จิ่นชู"การปลดกระดุมของโม่หนานเจ๋อนั้นชะงักค้าง ร่างกายของเขาแข็งทื่อและแน่นิ่งไปดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม ไม่พูดอะไรสักคําซู่เยียนรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ ความเจ็บปวดนี้ยากที่จะอธิบายได้ ทําได้เพียงแสร้งทําเป็นไม่สนใจ พูดอย่างใจเย็นว่า "ถ้าฉันเดาไม่ผิด ผู้หญิงที่คุณอยากแต่งงานด้วยมากที่สุดคือไป๋จิ่นชูใช่ไหมคะ"ผ่านไปครู่ใหญ่ โม่หนานเจ๋อถึงได้สติกลับมา และถอดเสื้อผ้าต
หลังจากโม่หนานเจ๋อออกจากห้อง เดินผ่านระเบียงยาวมาถึงห้องหนังสือ เปิดไฟแล้วโทรหาไป๋จิ่นชูเขามาคุยโทรศัพท์ที่ห้องหนังสือเพราะกลัวจะรบกวนซู่เยียนที่หลับสนิทแล้วเมื่อรับสาย เสียงออดอ้อนของไป๋จิ่นชูก็ดังขึ้น "พี่เจ๋อ ทําไมพี่ยังไม่มาอีก? เค้ากลัวมากเลยนะ"โม่หนานเจ๋อรู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อย ถามด้วยเสียงอ่อนโยนว่า "กลัวอะไร?"ไป๋จิ่นชูออดอ้อน "ก็กลัวมากก็แล้วกัน พี่มานี่สิ! มาอยู่เป็นเพื่อนเขาหน่อย!"โม่หนานเจ๋อมองดูเวลา ตอนนี้เวลา 23.00 น. เขาจึงตัดสินใจปฏิเสธ "ดึกเกินไปมันไม่เหมาะสม พี่จะส่งคนไปเฝ้าหน้าประตูห้องเธอเถอะ เจ้าไม่ต้องกลัว รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้พี่ยังต้องตื่นแต่เช้าไปส่งซู่เยียนกลับไปเมืองเฟิ่งเฉิง"ไป๋จิ่นชูพึมพําอย่างไม่พอใจ "ไม่ใช่เเฉิงฮ่าวส่งหรือ ทําไมพี่เป็นคนส่งล่ะ?"โม่หนานเจ๋อนั่งอยู่หน้าโต๊ะทํางาน มือข้างหนึ่งยันหน้าผากที่หนักอึ้ง อธิบายอย่างอดทนว่า "ตอนนี้เธอเป็นภรรยาของพี่ ความรับผิดชอบและหน้าที่บางอย่างยังต้องทำ"ไป๋จิ่นชูตื่นเต้นไม่หยุด "พี่เจ๋อ ร่างกายมันสกปรกมาก พี่อย่านอนกับมันเด็ดขาดนะ"สีหน้าของโม่หนานเจ๋อมืดครึ้มลง หัวคิ้วขมวดแน่น น้ำเสียงเคร่งขรึมขึ้น
ซู่เยียนก้มหน้าก้มตา กระซิบเสียงแผ่วด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ "ไม่ใช่ว่าคุณอยากอยู่กับไป๋จิ่นชูเหรอ?"เสียงนุ่มนวลของหญิงสาว เต็มไปด้วยความเสียใจและความน้อยใจที่คอยระวังตัว ไม่ว่าผู้ชายคนไหนได้ยิน เป็นอันต้องใจอ่อนทั้งสิ้นโม่หนานเจ๋อเองก็ไม่เว้นหากแต่ตัวเขาเกลียดความรู้สึกนี้ จึงแสร้งทำท่าทีเย็นชา “ไม่เป็นไร”ซู่เยียนสูดหายใจลึก ช่างเถอะเขาจะส่งก็ให้เขาส่งแล้วกัน กลับไปหย่าก็ประจวบเหมาะพอดี ตอนนี้ความเจ็บปวดของเธอก็บรรเทาลงแล้วเช่นกันซู่เยียนล้างหน้าบ้วนปากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จสรรพ หยิบแค่โทรศัพท์และกระเป๋าสะพายข้างที่เธอมี ตามโม่หนานเจ๋อออกจากประตูห้อง ตรงสู่โรงอาหารเพื่อทานมื้อเช้าโรงอาหารในยามเช้าตรู่ เหล่าพนักงานเดินขวักไขว่ไปมาไม่ขาดสายทุกคนที่เห็นพวกเขาต่างทักทายด้วยความเคารพ"นายท่านห้า นายหญิง อรุณสวัสด์ครับ"โม่หนานเจ๋อไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใดเพราะคนทักทายมากเกินไป จึงตอบกลับได้ไม่ทั่วถึงแต่ซู่เยียนกลับตรงกันข้าม ทุกคนที่ทักทายเธอ เธอต่างยกยิ้มบางด้วยความถ่อมตัว ตอบกลับไปด้วยความสุภาพ “อรุณสวัสดิ์จ้ะ”หลายวันมานี้ที่ซู่เยียนอยู่ในค่าย เธอทั้งมีมารยาททั้งสุภาพอ่
รถเพิ่งจะจอดซู่เยียนก็พูดทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค "ขอบคุณที่คุณส่งฉันกลับมา"พูดจบก็ถือของขึ้นมาแล้วปิดประตูรถอย่างรีบร้อน ก่อนจะก้าวยาวๆ ตรงไปยังบ้านชั้นเดียวที่เรียบง่ายที่ด้านหน้าของประตูบ้านยังมีอัธพาลสองคนยืนสูบบุหรี่อยู่โม่หนานเจ๋อแค่เหลือบมองหนึ่งครั้งก็เห็นแล้วว่าสถานที่ที่ซู่เยียนจะไปนั้นไม่ปกติ เห็นได้ชัดเลยว่าอัธพาลสองคนนั้นกำลังดูต้นทางอยู่เขากำชับกับคนขับรถว่าให้โทรไปสั่งคนมาแล้วก็รีบลงจากรถก่อนจะกระแทกประตูรถลงแล้วเดินตามไปอัธพาลสองคนนั้นรู้จักกับซู่เยียนจึงปล่อยให้เธอเข้าไปอย่างง่ายดาย แต่กลับรั้งโม่หนานเจ๋อเอาไว้โม่หนานเจ๋อชี้ไปที่ประตู "ผู้หญิงที่เพิ่งจะเข้าไปเป็นภรรยาของฉัน ให้ฉันเข้าไปดูหน่อย"อัธพาลยิ้มเยอะเย้ย "แกบอกว่าน้องสาวของซู่เฉียงคือภรรยาของแก ทำไมแกถึงไม่พูดว่าฉันคือพ่อของแกล่ะ ? "เดิมที่โม่หนานเจ๋ออยากจะพูดกับพวกเขาดีๆ แต่ว่าคนพวกนี้พูดดีๆ แล้วไม่ยอมทำตามดวงตาของเข้าเข้มขึ้นก่อนที่จะยกมือขึ้นไปสับลงแรงๆ หนึ่งครั้งอย่างไร้สุ่มเสียงเข้าใช้ฝ่ามือที่แข็งแกร่งสับลงไปที่ท้ายทอยของอีกฝ่าย และแค่พริบตาเดียวก็ทำให้อัธพาลปากมากสลบไปอัธพาลอีกคนก็ตกใ
โม่หนานเจ๋อนึกไม่ถึงจริงๆว่าผู้หญิงที่ดูอ่อนโยนตรงหน้าจะมีด้านที่ดุร้ายขนาดนี้ซู่เยียนยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรอัธพาลคนหนึ่งก็วิ่งพุ่งเข้ามาด้วยร่างกายที่บาดเจ็บแล้วชี้ไปที่โม่หนานเจ๋อพร้อมพูดว่า "ลูกพี่ คนๆ นี้มาเพื่อสร้างความวุ่นวาย เขาตีต้าหงจนสลบแล้วยังต่อยผมอีกหนึ่งหมัด"วินาทีต่อมาอัธพาลสิบกว่าคนภายในคาสิโนก็ล้อมเข้ามาแล้วจ้องมองไปที่โม่หนานเจ๋อด้วยสีนาดุร้ายอย่างเปิดเผยเพราะเป็นคาสิโนใต้ดินที่ผิดกฎหมายที่นี้จึงต้อนรับแค่คนที่คุ้นเคยเท่านั้น แต่สำหรับคนแปลกหน้าอย่างโม่หนานเจ๋อผู้คนภายในคาสิโนจึงระมัดระวังตัวกันเป็นอย่างมากผู้ดูแลคาสิโนถามอย่างโมโห "แกตีลูกน้องของฉันจนสลบแล้วบุกลุกเข้ามาเพื่อจะทำอะไร ? "ซู่เยียนจึงไปยืนอยู่ที่ด้านหน้าของโม่หนานเจ๋ออย่างกล้าหาญแล้วมองสบตากับผู้ดูแลคาสิโน "พี่เฉินเขาเป็นเพื่อของฉัน"พี่เฉินหัวเราะในลำคอหนึ่งครั้งแล้วกัดฟันพูด "เธอเข้ามาตีพี่ของเธอแล้วยังมาทำให้ระเบียบ และธุรกิจคาสิโนของพวกเราวุ่นวายก็ว่าแล้ว ตอนนี้เพื่อนของเธอยังมาทำร้ายลูกน้องของฉัน ลักษณะแบบนี้ก็ไม่เหมือนกันแล้ว"ซู่เยียนกลัวว่าโม่หนานเจ๋อจะสู้อัธพาลสิบกว่าคนของคาสิโนไม่
อัธพาลสิบกว่าคนจึงหยิบอาวุธขึ้นมาพร้อมกันแล้วพุ่งเข้าไปทางโม่หนานเจ๋อซู่เยียนกังวลจนหัวใจแทบจะหลุดออกจากลำคอ ตกใจจนแทบจะพุ่งเข้าไปบังการโจมตีให้โม่หนานเจ๋อแต่โม่หนานเจ๋อกลับทำตัวสบายๆ ก่อนจะล่วงเอาปืนออกมาอย่างใจเย็น และรวดเร็วแล้วเล็งไปที่พี่เฉินทันใดนั้นพี่เฉินก็ตกใจจนใบหน้าซีดเผือดทั้งยังตื่นตระหนกจนตัวสั่วก่อนจะรีบบอกให้หยุด "อย่าขยับ อย่าได้ขยับ"ในตอนที่เห็นปืนนักพนันที่เหลือก็ไม่กล้าที่จะอยู่แม้แต่วินาทีเดียวก่อนจะพาหนีไปทั่วสารทิศที่เป่ยกว๋อ คนที่สามารถถือปืนพกได้อย่างถูกกฎหมายโดยปกติแล้วเป็นคนที่มีอำนาจ คนแบบนี้เดิมทีก็ไปล่วงเกินไม่ได้ในตอนที่ซู่เยียนเห็นโม่หนานเจ๋อเอาปืนพกออกมาถึงได้รู้สึกโล่งใจ ที่เขาใจเย็นขนาดนี้ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าพกปืนติดตัวเอาไว้นี่เองพี่เฉินมีใบหน้ายิ้มแย้มอย่างทำดีด้วย "ลูกพี่ท่านนี้ เป็นผมเฉินคนนี้ที่มีตาหามีแววไม่ ท่าน...พวกท่านไปได้แล้วครับ ผม...ผมไม่ต้องการเงินแล้ว"ในเวลานี้ด้านนอกก็มีเสียงความวุ่นวายดังขึ้นโม่หนานเจ๋อยกข้อมือขึ้นมาดูเวลาหนึ่งครั้งสิบนาทีกำลังพอดีเซนส์เรื่องเวลาของลูกน้องของเขาช่างแม่นยำดีจริง ๆโม่หนานเจ๋อเก็
โม่หนานเจ๋อตกตะลึงเขามองดวงตากลมโตใสกระจ่างของซู่เยียนที่เต็มไปด้วยน้ำตาราวกับสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง หยดน้ำตาสองหยดเหมือนไข่มุกใส เอ่อล้นขอบตา ราวกับจะไหลออกมาแต่ก็ไม่ไหลในใจของเขาเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาพร้อมกันนั้นก็รู้สึกสงสัยว่าทำไมเธอถึงเศร้าโศกขนาดนี้ เขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย "เป็นอะไรไป?"ซู่เยียนหันหลังให้เขา แอบเช็ดน้ำตาในเบ้าตาอย่างรวดเร็วเธอสูดหายใจเพื่อระงับอารมณ์ "ตอนนี้เป็นเวลาเย็นแล้ว ครอบครัวของคุณคงอยู่พร้อมหน้ากันที่บ้าน เดี๋ยวฉันจะเข้าไปก่อน คุณยืนรออยู่หน้าประตูแล้วฟังดูนะ"พูดจบ ซู่เยียนก็เปิดประตูลงจากรถ ไม่รอโม่หนานเจ๋อและเดินเข้าไปก่อนเธอผลักประตูคฤหาสน์เข้าไป เมื่อเดินเข้าไปก็เห็นลุงจงพ่อบ้านลุงจงอายุราวห้าสิบปี เป็นคนนิ่งและฉลาดหลักแหลม เขาตกตะลึงชั่วครู่แล้วรีบตั้งสติ กล่าวอย่างนอบน้อม "สวัสดีครับคุณนายห้า คุณกลับมาพอดีเลย อาหารเย็นกำลังจะเริ่มแล้วครับ"ซู่เยียนรู้สึกได้ว่าความเป็นมิตรของลุงจงเป็นเพียงมารยาทตามหน้าที่ ทุกคนในบ้านนี้ล้วนมีอคติต่อเธอ"ขอบคุณค่ะ" ซู่เยียนตอบอย่างสุภาพ แล้วเดินเข้าไปในห้องรับแขกที่ตกแต่งอย่างหรูหรา สมาชิกตระกูล