โม่หนานเจ๋อนึกไม่ถึงจริงๆว่าผู้หญิงที่ดูอ่อนโยนตรงหน้าจะมีด้านที่ดุร้ายขนาดนี้ซู่เยียนยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรอัธพาลคนหนึ่งก็วิ่งพุ่งเข้ามาด้วยร่างกายที่บาดเจ็บแล้วชี้ไปที่โม่หนานเจ๋อพร้อมพูดว่า "ลูกพี่ คนๆ นี้มาเพื่อสร้างความวุ่นวาย เขาตีต้าหงจนสลบแล้วยังต่อยผมอีกหนึ่งหมัด"วินาทีต่อมาอัธพาลสิบกว่าคนภายในคาสิโนก็ล้อมเข้ามาแล้วจ้องมองไปที่โม่หนานเจ๋อด้วยสีนาดุร้ายอย่างเปิดเผยเพราะเป็นคาสิโนใต้ดินที่ผิดกฎหมายที่นี้จึงต้อนรับแค่คนที่คุ้นเคยเท่านั้น แต่สำหรับคนแปลกหน้าอย่างโม่หนานเจ๋อผู้คนภายในคาสิโนจึงระมัดระวังตัวกันเป็นอย่างมากผู้ดูแลคาสิโนถามอย่างโมโห "แกตีลูกน้องของฉันจนสลบแล้วบุกลุกเข้ามาเพื่อจะทำอะไร ? "ซู่เยียนจึงไปยืนอยู่ที่ด้านหน้าของโม่หนานเจ๋ออย่างกล้าหาญแล้วมองสบตากับผู้ดูแลคาสิโน "พี่เฉินเขาเป็นเพื่อของฉัน"พี่เฉินหัวเราะในลำคอหนึ่งครั้งแล้วกัดฟันพูด "เธอเข้ามาตีพี่ของเธอแล้วยังมาทำให้ระเบียบ และธุรกิจคาสิโนของพวกเราวุ่นวายก็ว่าแล้ว ตอนนี้เพื่อนของเธอยังมาทำร้ายลูกน้องของฉัน ลักษณะแบบนี้ก็ไม่เหมือนกันแล้ว"ซู่เยียนกลัวว่าโม่หนานเจ๋อจะสู้อัธพาลสิบกว่าคนของคาสิโนไม่
อัธพาลสิบกว่าคนจึงหยิบอาวุธขึ้นมาพร้อมกันแล้วพุ่งเข้าไปทางโม่หนานเจ๋อซู่เยียนกังวลจนหัวใจแทบจะหลุดออกจากลำคอ ตกใจจนแทบจะพุ่งเข้าไปบังการโจมตีให้โม่หนานเจ๋อแต่โม่หนานเจ๋อกลับทำตัวสบายๆ ก่อนจะล่วงเอาปืนออกมาอย่างใจเย็น และรวดเร็วแล้วเล็งไปที่พี่เฉินทันใดนั้นพี่เฉินก็ตกใจจนใบหน้าซีดเผือดทั้งยังตื่นตระหนกจนตัวสั่วก่อนจะรีบบอกให้หยุด "อย่าขยับ อย่าได้ขยับ"ในตอนที่เห็นปืนนักพนันที่เหลือก็ไม่กล้าที่จะอยู่แม้แต่วินาทีเดียวก่อนจะพาหนีไปทั่วสารทิศที่เป่ยกว๋อ คนที่สามารถถือปืนพกได้อย่างถูกกฎหมายโดยปกติแล้วเป็นคนที่มีอำนาจ คนแบบนี้เดิมทีก็ไปล่วงเกินไม่ได้ในตอนที่ซู่เยียนเห็นโม่หนานเจ๋อเอาปืนพกออกมาถึงได้รู้สึกโล่งใจ ที่เขาใจเย็นขนาดนี้ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าพกปืนติดตัวเอาไว้นี่เองพี่เฉินมีใบหน้ายิ้มแย้มอย่างทำดีด้วย "ลูกพี่ท่านนี้ เป็นผมเฉินคนนี้ที่มีตาหามีแววไม่ ท่าน...พวกท่านไปได้แล้วครับ ผม...ผมไม่ต้องการเงินแล้ว"ในเวลานี้ด้านนอกก็มีเสียงความวุ่นวายดังขึ้นโม่หนานเจ๋อยกข้อมือขึ้นมาดูเวลาหนึ่งครั้งสิบนาทีกำลังพอดีเซนส์เรื่องเวลาของลูกน้องของเขาช่างแม่นยำดีจริง ๆโม่หนานเจ๋อเก็
โม่หนานเจ๋อตกตะลึงเขามองดวงตากลมโตใสกระจ่างของซู่เยียนที่เต็มไปด้วยน้ำตาราวกับสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง หยดน้ำตาสองหยดเหมือนไข่มุกใส เอ่อล้นขอบตา ราวกับจะไหลออกมาแต่ก็ไม่ไหลในใจของเขาเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาพร้อมกันนั้นก็รู้สึกสงสัยว่าทำไมเธอถึงเศร้าโศกขนาดนี้ เขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย "เป็นอะไรไป?"ซู่เยียนหันหลังให้เขา แอบเช็ดน้ำตาในเบ้าตาอย่างรวดเร็วเธอสูดหายใจเพื่อระงับอารมณ์ "ตอนนี้เป็นเวลาเย็นแล้ว ครอบครัวของคุณคงอยู่พร้อมหน้ากันที่บ้าน เดี๋ยวฉันจะเข้าไปก่อน คุณยืนรออยู่หน้าประตูแล้วฟังดูนะ"พูดจบ ซู่เยียนก็เปิดประตูลงจากรถ ไม่รอโม่หนานเจ๋อและเดินเข้าไปก่อนเธอผลักประตูคฤหาสน์เข้าไป เมื่อเดินเข้าไปก็เห็นลุงจงพ่อบ้านลุงจงอายุราวห้าสิบปี เป็นคนนิ่งและฉลาดหลักแหลม เขาตกตะลึงชั่วครู่แล้วรีบตั้งสติ กล่าวอย่างนอบน้อม "สวัสดีครับคุณนายห้า คุณกลับมาพอดีเลย อาหารเย็นกำลังจะเริ่มแล้วครับ"ซู่เยียนรู้สึกได้ว่าความเป็นมิตรของลุงจงเป็นเพียงมารยาทตามหน้าที่ ทุกคนในบ้านนี้ล้วนมีอคติต่อเธอ"ขอบคุณค่ะ" ซู่เยียนตอบอย่างสุภาพ แล้วเดินเข้าไปในห้องรับแขกที่ตกแต่งอย่างหรูหรา สมาชิกตระกูล
ซู่เยียนรู้ว่าโม่หนานเจ๋อเดินเข้ามาแล้วแม้โม่หนานเจ๋อจะเป็นลูกคนเล็ก แต่สถานะในครอบครัวนั้นเห็นได้ชัด ทุกคนเกรงกลัวเขา แม้แต่พ่อแม่ของเขาก็ต้องคอยดูสีหน้าเขาก่อนจะทำอะไรในตอนนี้ พ่อแม่ของโม่หนานเจ๋อลุกขึ้นอย่างตื่นเต้น เดินมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เดินผ่านข้างๆ ซู่เยียนไปพ่อของเขา โม่ฝาน ถามอย่างดีใจ "อาเจ๋อ วันนี้ทำไมมีเวลากลับบ้านล่ะ?"แม่ของเขา เหอตงเสวี่ย หน้าตาเปี่ยมด้วยความยินดี "ลูกจ๋า ให้แม่ดูหน่อย ไม่ได้เจอกันเดือนนึงแล้ว ผอมลงบ้างไหมลูก?"โม่หนานเจ๋อเป็นผู้ชายที่หน้าตาหล่อเหลา แต่บุคลิกเย็นชามาก ทั้งน่าเกรงขามและดุดัน แค่ยืนเฉยๆ ไม่พูดอะไรก็ทำให้คนรู้สึกหนาวสั่นได้เขาค่อยๆ ผลักมือทั้งสองข้างของเหอตงเสวี่ยที่ประคองใบหน้าเขาออก"คราวนี้กลับมาก็อยู่หลายวันหน่อยนะ" เหอตงเสวี่ยรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจของลูกชายคนเล็กโม่หนานเจ๋อไม่สนใจคำพูดของพ่อแม่เลย ดวงตาเย็นชามองไปที่ห้องรับแขก ถามพี่ชายอย่างโกรธเกรี้ยว "ภรรยาของผมโม่หนานเจ๋อ ทำให้ใครหมดความอยากอาหาร ทำให้บ้านใครสกปรกกัน?"ภรรยาของผมโม่หนานเจ๋อ?ร่างของซู่เยียนแข็งทื่อไปเล็กน้อย ถูกคำพูดนี้กระแทกใจอย่างแรง เธอทั้งซาบซึ
หนึ่งชั่วโมงผ่านไปโม่หนานเจ๋อพาซู่เยียนมาถึงหน้าประตูใหญ่ของซินกงซินกงเป็นย่านคฤหาสน์ที่อยู่อาศัยของบุคคลสำคัญของเป่ยกว๋อเช่น นายกเป่ยกว๋อ นายพล ข้าราชการ นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร นักบินอวกาศ หรือบุคคลสำคัญที่ต้องปกปิดเป็นความลับ เป็นต้นโม่หนานเจ๋อจอดรถ บอกซู่เยียน "ลงรถก่อน"ซู่เยียนตกใจ มองตัวอักษรสองตัวที่เขียนไว้บนประตูใหญ่อันยิ่งใหญ่ตระการตา "ซินกง" เธอถึงตระหนักว่าที่ที่โม่หนานเจ๋อพาเธอมานั้นเป็นสถานที่ที่คนธรรมดาไม่มีทางได้เข้าไปตลอดชีวิตซู่เยียนรู้สึกตื่นเต้นทันที ปลดเข็มขัดลงจากรถ เดินไปยืนข้างโม่หนานเจ๋อตอนนั้น ทหารยามสองนายเดินเข้ามา รับบัตรประจำตัวที่โม่หนานเจ๋อยื่นให้ มองดูแล้วทำความเคารพอย่างนอบน้อม "สวัสดีครับนายท่านห้า"โม่หนานเจ๋อพยักหน้าทหารหยิบเครื่องสแกนไฮเทคออกมา ทำการตรวจสอบความปลอดภัยของรถหลังจากสแกนเสร็จ ทำท่าเชิญ "เชิญนายท่านห้า"โม่หนานเจ๋อบอกทหาร "ต่อไปเธอจะอยู่ข้างใน บันทึกข้อมูลให้เธอด้วย"ซู่เยียนรู้สึกตกใจ อยากปฏิเสธ ส่ายมือทั้งสองข้าง "ไม่ต้องลำบากหรอก ฉัน..."พูดยังไม่ทันจบ ทหารก็เอาเครื่องมามาตรงหน้าเธอแล้ว "ให้คุณบันทึกลายนิ้วมือและม
ซู่เยียนหลับตาหายใจลึก พยายามบรรเทาความรู้สึกทรมานในตอนนี้แต่ว่า มันเจ็บเหลือเกิน!เจ็บจนน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว——เช้าวันรุ่งขึ้นซู่เยียนตื่นนอน ล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้วเดินออกจากห้องเมื่อเห็นบุคคลสำคัญหลายคนนั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก เธอก็ตะลึงไปพวกเขากำลังคุยกันเรื่องการเมือง ถูกการปรากฏตัวของซู่เยียนขัดจังหวะทุกคนมองซู่เยียนอย่างสงสัยโม่หนานเจ๋อลุกขึ้นยืน แนะนำอย่างสุภาพ "ท่านประธานาธิบดีครับ นี่คือซู่เยียน ภรรยาของผม"ท่านประธานาธิบดีเป่ยกว๋อเป็นชายวัยกลางคนอายุห้าสิบปีที่ดูใจดีมาก ดวงตาโค้งยิ้มแย้ม ดูเป็นกันเองมากซู่เยียนไม่คิดว่าโม่หนานเจ๋อจะแนะนำตัวตนของเธออย่างเปิดเผยแบบนี้ บางทีอาจจะไม่อยากปิดบังอะไรต่อหน้าท่านประธานาธิบดีเธอรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที ความเคารพย่ำเกรงผุดขึ้นในใจ เดินเข้าไปค้อมตัวอย่างสุภาพ "สวัสดีค่ะท่านประธานาธิบดี สวัสดีผู้ใหญ่ทุกท่านค่ะ""สวัสดีครับคุณนาย" ท่านประธานาธิบดีเป่ยกว๋อยื่นมือมาซู่เยียนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง รีบใช้สองมือจับมือของอีกฝ่ายทันทีท่านประธานาธิบดีหัวเราะอย่างเป็นกันเอง "ก่อนหน้านี้ผมยังสงสัยว่าลูกสาวผมไม่ด
ใช้ในการป้องกันประเทศ อนุภาคเบาเป็นราชาแห่งอาวุธโดยแท้ ถ้าครอบครองอาวุธชนิดนี้ ก็จะอยู่บนจุดสูงสุดของโลกอาวุธที่ผสมอนุภาคเบากับคลื่นเหนือเสียง มีความเร็วสูงมาก สามารถครอบคลุมครึ่งโลกได้ในเวลาสองชั่วโมง บริเวณที่ได้รับผลกระทบ จะทำให้คนตายในทันทีโดยไม่รู้สึกเจ็บปวดการวิจัยอนุภาคเบา ทำให้ประเทศทั่วโลกแย่งชิงกันอย่างบ้าคลั่งถึงขนาดมีประเทศเสนอราคาซื้ออนุภาคเบาหนึ่งกรัมในราคาห้าพันล้านหลังจากห้องรับแขกเงียบลงซู่เยียนถือชุดน้ำชาออกมา เห็นโม่หนานเจ๋อกำลังพลิกอ่าน "แผนการค้นหาหมอก" อย่างตั้งใจซู่เยียนเดินเข้าไป วางชุดน้ำชาลงเบาๆ คุกเข่านั่งข้างโต๊ะเตี้ย ตั้งใจชงชาให้ผู้ใหญ่ทุกท่านเธอใช้คีมคีบใบชา ทำตามขั้นตอนอย่างเป็นระเบียบ ทั้งอุ่นถ้วย เปิดกล่องชา ปลุกชา ล้างชา ต้มชา รินชาทุกการเคลื่อนไหวของเธอสง่างามอ่อนช้อย สุขุมเยือกเย็น ทุกคนในที่นั้นไม่อยากทำลายความงดงามนี้แม้แต่สายตาของโม่หนานเจ๋อก็อดไม่ได้ที่จะละจากเอกสาร มาจับจ้องที่ตัวเธอเธอยกชาขึ้นด้วยสองมือ พูดอย่างสุภาพ "ท่านประธานาธิบดี เชิญดื่มชาค่ะ"ท่านประธานาธิบดียิ้มเต็มหน้า รับถ้วยชาอันงดงาม ชื่นชมว่า "นี่เป็นชาป๋อเหลา
ซู่เยียนถือเตายากันยุงเดินไปทางคฤหาสน์"คุณนาย"ซู่เยียนได้ยินเสียงจึงหันกลับไปมองชายคนหนึ่งในชุดสูทเต็มยศเดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย ก่อนจะโค้งศีรษะให้เธอด้วยความนอบน้อม พร้อมกับยื่นซองจดหมายให้ด้วยสองมือและกล่าวว่า "นี่คือสิ่งที่นายท่านห้าฝากผมมาให้คุณครับ"ซู่เยียนรับไว้ด้วยความสงสัย "นี่คืออะไร?"ชายคนนั้นตอบว่า "ผมไม่ทราบครับ นายท่านห้าบอกว่าเขามีภารกิจสำคัญ ช่วงนี้ไม่กลับมา ถ้าคุณต้องการอะไรสามารถบอกพวกเราได้เลยครับ"ซู่เยียนได้ยินว่าเขาไม่กลับมา หัวใจก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาทันทีเธอตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว แล้วยื่นเตายากันยุงให้ชายคนนั้น ก่อนจะหยิบบัตรเอทีเอ็มออกมาจากซองจดหมายข้างในยังมีโน้ตแผ่นหนึ่ง ซึ่งบนกระดาษนั้นมีตัวอักษรที่เขียนอย่างหนักแน่นและชัดเจนอยู่สองสามคำรหัสผ่านประตูและบัตรเครดิตคือ 151617 มีงานราชการต้องจัดการ ต้องไปทำงานที่หัวเซี่ย ยังไม่มีกำหนดกลับซู่เยียนค่อยๆ พับกระดาษโน้ตใส่กระเป๋า ก่อนจะก้มลงมองบัตรเอทีเอ็มในมือ นิ้วของเธออดไม่ได้ที่จะลูบไล้สิ่งของที่เป็นของโม่หนานเจ๋อหัวใจของเธอรู้สึกราวกับถูกก้อนหินหนักหลายสิบกิโลกดทับ ทำให้รู้สึกอึดอัดและเจ็บปวดอย