ต้นยามเหม่า หยางหมิงเซียนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเองก่อนที่เสี่ยวเปาจะเข้ามาปลุก เช้านี้เขารู้สึกดีเป็นพิเศษเพราะวันนี้เขาไม่ต้องเดินกอดหมอนหนุนกลับห้องอีกแล้ว และจากนี้ตัวเขาก็สามารถเข้ามานอนในห้องนี้จินเฟยเทียนได้ทุกวัน เขาจึงเดินกลับห้องด้วยหัวใจที่เบิกบาน
หยางหมิงเซียนกลับห้องไปจัดการดูแลตัวเอง แล้วรีบกลับมาปลุกจินเฟยเทียน เพื่อไปรับสำรับที่เรือนใหญ่ และหลังจากจินเฟยเทียนตื่นและดูแลตัวเองจนเรียบร้อย เด็กชายทั้งสองก็เดินจูงมือกันไปที่เรือนใหญ่ทันที โดยมีเสี่ยวเปากับเสี่ยวปิงคอยตามไปดูแลผู้เป็นนายด้วย
วันนี้ราชครูหลงจิ้นสิงไม่ได้เข้าวัง หลังจากที่อีกฝ่ายไปจัดการงานของสำนักศึกษาที่คั่งค้างจนเรียบร้อย และจัดตารางสอนลูกศิษย์ในวังใหม่จนลงตัว วันนี้จึงมีเวลาสำหรับการจัดตารางเรียนศาสตร์ด้านต่างๆ ของหลานชายทั้งสองคน
หลังจากทุกคนรับสำรับเช้าเสร็จ ราชครูหลงจิ้นสิงก็เริ่มพูดคุยเรื่องการเรียนกับหลานชายทั้งสองคนทันที โดยมีผู้เป็นภรรยานั่งรับฟังอยู่ข้างๆ
&nb
เช้าวันรุ่งขึ้นจินเฟยเทียนกับหยางหมิงเซียนรู้สึกตัวตื่นขึ้น หลังจากได้ยินเสียงปลุกของเสี่ยวเปา เด็กชายทั้งสองคนรีบแยกย้ายกันไปล้างหน้าล้างตา จากนั้นก็พากันออกไปยังลานฝึกวรยุทธทันที โดยมีเสี่ยวเปากับเสี่ยวปิงตามไปดูแลผู้เป็นนายของตน เมื่อจินเฟยเทียนกับหยางหมิงเซียนไปถึงลานฝึกวรยุทธ ก็ได้เจอกับราชครูหลงจิ้นสิงที่ยืนรอพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว ทั้งสองคนจึงรีบเข้าไปคำนับก่อนจะออกวิ่งรอบลานฝึกวรยุทธจำนวน 5 รอบทันที โดยมีราชครูหลงจิ้นสิงวิ่งตามเด็กชายทั้งสองคนไปด้วย เมื่อเด็กทั้งสองวิ่งไปได้ 3 รอบก็เริ่มออกอาการเหนื่อยหอบ โดยเฉพาะจินเฟยเทียนที่แสดงอาการออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน จนหยางหมิงเซียนอดที่จะเป็นห่วงอีกฝ่ายไม่ได้ จินเฟยเทียนเห็นแววตาของหยางหมิงเซียนที่คอยมองมาแบบห่วงเขาอยู่ตลอดเวลา เขาจึงหันไปส่งยิ้มให้กับหยางหมิงเซียนแทนการบอกว่าตัวเขายังวิ่งไหว จากนั้นเด็กทั้งสองก็กัดฟันวิ่งกันต่อจนครบตามจำนวนที่ราชครูหลงจิ้นสิงต้องการ หลังจากนั้นราชครูหลงจิ้นสิงก็พาเด็กชายทั้งสองมานั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างลานฝึกวรยุทธ เพ
ตามเนื้อเรื่องในนิยายตอนนี้จางเลี่ยงซูจะต้องตั้งครรภ์และอยู่ในช่วงท้องแก่ใกล้คลอด ส่วนหยางหมิงเซียนตอนนี้จะถูกละเลยจากท่านเจ้าของจวนทั้งสอง และบ่าวในจวนจากที่เคยดูแลและประจบเอาใจหยางหมิงเซียนก็จะเริ่มถอยห่าง ด้วยนิสัยของหยางหมิงเซียนในนิยายวัยเด็กค่อนข้างจะเก็บตัว พูดน้อยและไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับใคร หากไม่มีเรียนหรือท่านเจ้าของจวนทั้งสองไม่ได้เรียกให้มารับสำรับด้วยกันที่เรือนใหญ่ หยางหมิงเซียนก็จะเก็บตัวอยู่แต่ในเรือนพัก เจ้าตัวจึงไม่เป็นที่รักของผู้ที่พบเห็นมากนัก ยกเว้นเพียงบ่าวไม่กี่คนในจวนที่สัมผัสได้ถึงตัวตนที่แท้จริงของหยางหมิงเซียน ก่อนที่เจ้าตัวจะเริ่มเปลี่ยนไป ในช่วงนี้หยางหมิงเซียนมักจะหนีออกไปนั่งอยู่คนเดียวด้านนอกจวน เพราะเด็กหนุ่มไม่อยากได้ยิน และไม่อยากเห็นคนในจวนที่คอยพูดจากระทบตนเอง โดยเฉพาะแม่นมหมิงที่แอบไปได้ยินท่านเจ้าของจวนทั้งสองพูดคุยกันในห้องพัก เรื่องที่หยางหมิงเซียนเป็นเพียงเด็กที่ท่านเจ้าของจวนทั้งสองไปเจอแล้วสงสารจึงรับมาเลี้ยงดูในจวนเท่านั้น...ไม่ได้เป็นหลานชายของราชครูหลงจิ้นสิงจริงๆ
จินเฟยเทียนกับหยางหมิงเซียนหลังจากไปตรวจดูสมุนไพรที่ร้านเถ้าแก่จงเสร็จแล้ว เด็กหนุ่มทั้งสองคน ก็พากันไปเดินเล่นในตลาดก่อนกลับจวน “หมิงเซียน ข้าขอเข้าไปดูน้ำตาลปั้นที่ร้านขนมหวานตรงนั้นได้หรือไม่?” จินเฟยเทียนเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นน้ำตาลปั้นรูปกระต่ายสองตัวที่หน้าร้านขายขนมหวาน “ได้ขอรับ” “ท่านป้าขอรับ น้ำตาลปั้นรูปกระต่ายสองไม้นี้ขายอย่างไรหรือขอรับ?” “คู่ละหนึ่งอีแปะเจ้าค่ะคุณชาย” “งั้นข้าเอาน้ำตาลปั้นรูปกระต่ายสองไม้นี้ขอรับ” จินเฟยเทียนพูดจบก็ก้มลงไปหยิบเงินเพื่อจ่ายให้แม่ค้า “ท่านป้า ข้าเอาน้ำตาลปั้นสองไม้นี้เจ้าค่ะ” แม่นางน้อยนางหนึ่งเดินเข้ามาที่ร้านขนมหวาน มาถึงก็หยิบน้ำตาลปั้นรูปกระต่ายสองไม้ที่จินเฟยเทียนจะซื้อ พร้อมจ่ายเงินให้แม่ค้าทันที “แม่นาง! น้ำตาลปั้นสองไม้นั้น พี่ชายข้าได้เอ่ยซื้อเ
จินเฟยเทียนหลังจากอาบน้ำเสร็จก็กลับมานั่งที่เตียงรอหยางหมิงเซียน วันนี้เขามีเรื่องที่ตั้งใจจะพูดกับหยางหมิงเซียน ทั้งเรื่องในภายภาคหน้าของตัวเขาและของตัวของหยางหมิงเซียนเอง และการปฏิบัติตัวบางอย่างของหยางหมิงเซียนด้วย เนื่องจากเขารู้สึกว่ายามนี้เจ้าลูกกวางจะติดเขามากจนเกินไปแล้ว หากเป็นไปตามเนื้อเรื่องในนิยาย ตอนนี้หยางหมิงเซียนจะต้องเริ่มมุ่งมั่นกับการอ่านหนังสือ และเตรียมตัวเองให้พร้อมสำหรับการสอบจอหงวนเพื่อที่ตัวเขาได้เข้ารับราชการ และเพื่อจะได้ลบคำครหาจากคนในจวนด้วย ถึงแม้ว่า...ราชครูหลงจิ้นสิงกับจางเลี่ยงซูที่รู้เรื่องแม่นมหมิงเอาเรื่องของหยางหมิงเซียนไปป่าวประกาศให้คนในจวนได้รับรู้แล้ว ท่านเจ้าของจวนทั้งสองจะเรียกทุกคนในจวนมาปรามและห้ามไม่ให้ทุกคนพูดถึงเรื่องนี้อีก แต่คนในจวนก็ทำดีกับหยางหมิงเซียนแค่ต่อหน้าท่านเจ้าของจวนทั้งสองเท่านั้น แต่ลับหลังก็ยังคงทำเหมือนเดิม หยางหมิงเซียนจึงมุ่งมั่นและตั้งใจเป็นอย่างมาก เขาไม่ต้องการเป็นเพียงหลานชายในนามของราชครูหลงจิ้นสิงหร
เช้าวันรุ่งขึ้นหยางหมิงเซียนและจินเฟยเทียนก็ตื่นขึ้นมาทำกิจวัตรประจำวันเหมือนเดิม แต่วันนี้หลังรับสำรับเช้าเสร็จจินเฟยเทียนตั้งใจจะพูดกับจางเลี่ยงซูเรื่องที่จะขอเปิดโรงหมอ แต่โดนอีกฝ่ายเรียกให้เข้าไปในห้องปรุงยาเพื่อช่วยทดลองสีชาดทาปากให้เสียก่อน แม้ตัวเขาจะเอ่ยปฏิเสธอย่างไร ขอให้เสี่ยวเปาหรือบ่าวคนอื่นมาช่วยลองแทนอย่างไร...อีกฝ่ายก็ไม่ยอมท่าเดียว จนสุดท้ายเขาก็กลายเป็นหนูทดลองยาของจางเลี่ยงซูอีกครั้ง ส่วนหยางหมิงเซียนไม่ได้ตามเข้าไปในห้องปรุงยากับจินเฟยเทียนด้วย เพราะจางเลี่ยงซูให้หยางหมิงเซียนช่วยไปคุมบ่าวตากสมุนไพรที่เถ้าแก่จงให้คนนำมาส่งให้เมื่อเช้า เจ้าตัวเลยรอดตัวไป หลังจากคุมบ่าวตากสมุนไพรเสร็จ หยางหมิงเซียนก็เดินกลับมาที่ห้องปรุงยา เขาเห็นจางเลี่ยงซูเดินนำจินเฟยเทียนออกมาจากห้อง แต่จินเฟยเทียนดูมีท่าทางแปลกๆไป จินเฟยเทียนเดินตามจางเลี่ยงซูออกมาจากห้อง เขาพยายามที่จะใช้แขนเสื้อลบสีชาดที่ทาปากออก หลังจากที่เขาพยายามใช้น้ำช่วยในการล้างมันออกแล้ว
นี่ก็ผ่านมาเดือนกว่าแล้วที่จินเฟยเทียนยังไม่ได้ปรึกษากับจางเลี่ยงซูเรื่องการเปิดโรงหมอ หลังจากที่ได้พูดคุยเรื่องภายภาคหน้ากับหยางหมิงเซียนไป เพราะในช่วงนี้ชาวบ้านในละแวกจวนราชครู เริ่มมีอาการเจ็บป่วยและมาขอเข้ารับการรักษาที่เรือนสมุนไพรเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะเด็กๆ และคนชรา เพราะที่เรือนสมุนไพรเก็บเงินค่ารักษาไม่แพง ส่วนใหญ่จะเก็บเฉพาะค่ายา ส่วนค่าทำการรักษานั้นที่นี่ไม่คิดเงิน เนื่องจากเริ่มแรกที่จางเลี่ยงซูเปิดเรือนสมุนไพรไพรนี้ขึ้นมา ก็เพื่อต้องการสอนศาสตร์ทางการแพทย์เรื่องการรักษาคนป่วยให้แก่หลานชายของตัวเอง จึงต้องการคนป่วยจริงๆ ให้หลานชายได้ลองลงมือทำการรักษา ส่วนใหญ่คนป่วยที่เข้ามาขอรับการรักษาที่เรือนสมุนไพร จะมากันตั้งแต่เช้าและพอช่วงบ่ายอาการดีขึ้นก็จะกลับไปรักษาตัวต่อที่เรือนของตัวเอง แต่ก็จะมีคนป่วยบางคนที่มีอาการหนักจนต้องนอนรอดูอาการที่เรือนสมุนไพร จางเลี่ยงซูก็จะให้บ่าวในจวนมานอนเฝ้าผู้ป่วยในยามกลางคืน หากผู้ป่วยเกิดเป็นอะไรขึ้นมาในยามดึกบ่าวที่คอยเฝ้าคนป่วยอยู่ก็จะรีบออกมาตามจินเฟยเทียนก่อน แต่หากคนป่วยมี
“เฟยเกอ มานานแล้วหรือขอรับ?” “อ่ะ! พี่ชายใจดีมาแล้ว ช่วยข้าด้วยขอรับ พี่ชายหน้าดุคนนี้จะตีข้า!” “เจ้า! ข้าจะตีเจ้าตอนไหน เจ้าเด็กนี่” “พอกันเลยทั้งคู่...ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่” จินเฟยเทียนแอบส่งแววตาดุไปให้คนทั้งคู่ ก่อนจะก้าวเข้าไปหา... “เด็กน้อย ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมกินยา?” “ก็ยามันขมนี่ขอรับ และข้าก็ไม่ชอบพี่ชายหน้าดุคนนี้ด้วยขอรับ” “เจ้าเด็กนี่!” “หมิงเซียน!” “ก็เจ้าเด็กนี่ว่าข้าก่อนนะขอรับเฟยเกอ” “หมิงเซียนเอายาของเด็กคนนี้มาให้ข้า เดี๋ยวข้าจัดการต่อเอง ส่วนเจ้าก็เอายาถ้วยนี้ไปให้แม่นางสุ่ยแทนข้าก็แล้วกันนะ” “ข้า...ก็ได้ขอรับ” หยางหมิงเซียนเมื่อได้รับแววตาปรามจากอีกฝ่าย เขาจึงเดินนำยามาเปลี่ยนกับจินเฟยเทียน แล้วเดินไปยังฝั่งด้านใน
เข้าสู่เช้าวันที่สามแล้ว หลังจากที่จางเลี่ยงซูสั่งให้พวกจินเฟยเทียนกลับไปพักผ่อนที่เรือนพักของตัวเอง ไม่ต้องออกมาช่วยงานที่เรือนสมุนไพร เนื่องจากในเมืองหลวงได้ถูกหิมะตกหนักติดต่อกันมาเป็นเวลายาวนานถึงสี่เดือน ทำให้มีผู้ป่วยมาขอเข้ารับการรักษาที่เรือนสมุนไพรเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้นายบ่าวทั้งสี่คนต้องทุ่มเทดูแลคนป่วยจนเจ้าตัวแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน แต่พอหิมะที่เคยตกหนักอย่างยาวนานได้หยุดตก อากาศในเมืองหลวงได้กลับมาเป็นปกติ และคนป่วยที่เรือนสมุนไพรเริ่มลดจำนวนลง จางเลี่ยงซูจึงสั่งให้นายบ่าวทั้งสี่คนกลับไปพักผ่อนดูแลตัวเองเป็นเวลาสามวัน และให้จินเฟยเทียนกับหยางหมิงเซียนรับสำรับที่เรือนพักของตัวเอง ไม่ต้องออกมารับสำรับกับพวกตนที่เรือนใหญ่ หลังจากที่พวกจินเฟยเทียนโดนจางเลี่ยงซูสั่งให้มาพัก สองวันแรกนายบ่าวทั้งสี่คนแทบจะไม่ลุกออกจากเตียงกันเลยทีเดียว แม้แต่เสี่ยวเปากับเสี่ยวปิงยังแค่ลุกไปยกสำรับและเข้ามาดูแลจัดของให้ผู้เป็นนายในห้องเพียงเท่านั้น ที่เหลือจางเลี่ยงซูได้สั่งให้บ่าวในจวนคนอื่นมาคอยช่วยทำแทนก่อนในช่วงนี้
หยางหมิงเซียนเดินนำเสี่ยวเปากับเสี่ยงปิงเข้ามาในห้องปรุงยาแล้วให้บ่าวชายที่มีหน้าที่ช่วยงานภายในห้องนี้ออกไปยืนเฝ้าที่หน้าประตูห้อง เพื่อกันไม่ให้จินเฟยเทียนหรือคนอื่นๆในเรือนสมุนไพร เข้ามารับรู้เรื่องราวที่พวกเขากำลังจะพูดคุยกันในตอนนี้ “อาเปาอาปิง พวกเจ้ารู้สึกเหมือนกับข้าหรือไม่ว่า...บทลงโทษของท่านลุงที่ให้กับคนพวกนั้น มันช่างดูเบาเกินไป หากเทียบกับสิ่งที่คนพวกนั้นได้ลงมือทำร้ายผู้มีพระคุณของพวกมัน!” หยางหมิงเซียนพูดขึ้นมาด้วยความรู้สึกแค้นใจ เพราะในยามที่มีบ่าวในจวนเกิดล้มป่วย...ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่จินเฟยเทียนจะไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ จนในบ้างครั้ง...อีกฝ่ายถึงกับต้องมาคอยนอนเฝ้าดูอาการป่วยของคนพวกนั้นที่เรือนสมุนไพรแห่งนี้ด้วย “ขอรับ” เสี่ยวเปากับเสี่ยวปิงตอบรับคำของผู้เป็นนายพร้อมกัน เพราะยามนี้พวกเขาก็คิดไม่ต่างจากผู้เป็นนาย “อาเปาอาปิง หากข้าต้องการมอบบทลงโทษของข้าให้กับคนพวกนั้นเพิ่ม พวกเจ้ายินดีที่จะร่วมมือกับข้าหรือไม่?” “พวกบ่า
จินเฟยเทียนแอบแปลกใจกับแววตาของชางเย่ที่ชำเลืองมองมาทางหยางหมิงเซียน... “แม่นมหมิง” เมื่อตัดสินความผิดและมอบบทลงโทษให้ชางเย่เสร็จแล้ว ราชครูหลงจิ้นสิงก็กลับมาจัดการเรื่องของแม่นมหมิงต่อทันที “คุณหนู! บ่าวไม่ไปจากคุณหนูนะเจ้าคะ นายท่าน! นายท่านโปรดเมตตาบ่าวด้วยเจ้าค่ะ บ่าวขอร้อง...บ่าวจะไม่ทำอีกแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมหมิงอ้อนวอนและร้องขอความเมตตาจากผู้เป็นนายทั้งสอง “ข้าแล้วแต่ท่านพี่เลยเจ้าค่ะ” จางเลี่ยงซูรีบออกตัว...เพื่อที่ผู้เป็นสามีจะได้ตัดสินลงโทษแม่นมหมิงได้แบบไม่ต้องเกรงใจนาง เพราะถึงแม้คนตรงหน้าจะเป็นคนสนิทของนาง แต่สิ่งที่อีกฝ่ายทำลงไปนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะยกโทษให้กันได้โดยง่าย และที่สำคัญ! คนที่อีกฝ่ายลงมือทำร้าย...ก็คือหลานชายที่นางรัก “แม่นมหมิง ความผิดของเจ้ามันช่างร้ายแรงนัก เพราะมันเป็นการทำลายเกียรติและศักดิ์ศรีของหลานชายข้า และเจ้าก็ยังทำให้บ่าวในจวนเกิดการแบ่งแยกและตีตนเสมอนาย และที่สำคัญ
เช้าวันรุ่งขึ้นจินเฟยเทียนกับหยางหมิงเซียนก็ถูกตามตัวให้ไปรับสำรับเช้าที่เรือนใหญ่ และหลังจากรับสำรับเสร็จ ราชครูหลงจิ้นสิงก็พาทุกคนย้ายจากห้องรับสำรับไปยังห้องโถง จากนั้นก็ให้พ่อบ้านหลี่ส่งคนให้ไปเรียกบ่าวทุกคนในจวนให้มารวมกันที่ห้องโถงแห่งนี้ และก่อนที่ทุกคนจะมากันครบ ราชครูหลงจิ้นสิงได้พาหยางหมิงเซียนกับพ่อบ้านหลี่เข้าไปพูดคุยกันในห้องหนังสือ และเมื่อทุกคนมากันครบแล้ว ราชครูหลงจิ้นสิงก็เริ่มแจ้งเรื่องราวต่างๆ หลังจากนั้นทันที “วันนี้ที่ข้าให้คนไปตามพวกเจ้ามารวมตัวกัน ก็เพราะในยามนี้มีการเล่าลือกันเกี่ยวกับเรื่องราวของหลานชายทั้งสองของข้า...ในเรื่องที่พวกเจ้าไม่มีสิทธิที่จะมาพูด หรือมาแสดงความคิดเห็นใดๆ ทั้งสิ้น!” ราชครูหลงจิ้นสิงพูดพร้อมกับกวาดสายตาดูบ่าวในจวนที่นั่งอยู่กลางห้องโถงทั้งหมด “ในวันที่ข้าพาหลานชายทั้งสองของข้า เข้ามาอยู่ในจวนแห่งนี้! ข้าได้ประกาศให้รับรู้โดยทั่วกันไปแล้วว่า...สองคนนี้คือหลานชายของข้าที่มาจากต่างเมือง ดังนั้นหลานชายของข้า! ก็คือเจ้านายของพวกเจ้า!!” &n
“หมิงเซียน เฟยเทียน มีเรื่องเกิดขึ้นขนาดนี้...ทำไมถึงไม่ยอมมาบอกลุง?” ราชครูหลงจิ้นสิงเปิดประตูและเดินเข้าไปในห้องนอนของจินเฟยเทียน หลังจากที่เขาบังเอิญมาได้ยินเรื่องราวที่ทั้งสี่คนกำลังพูดคุยกัน ราชครูหลงจิ้นสิงหลังจากพาผู้เป็นภรรยาเข้าห้องไปนอนพักแล้ว เขาก็แอบออกมาที่เรือนพักของหลานชายทั้งสอง ด้วยต้องการจะมาขอบใจจินเฟยเทียนที่ช่วยพูดจนผู้เป็นภรรยาของเขายินยอมทำตามในสิ่งที่ตัวเขาต้องการ และจะแวะมาถามไถ่อาการป่วยของหยางหมิงเซียนด้วย เพราะตอนที่รับสำรับเย็นเขายังไม่มีโอกาสได้ถามอาการของอีกฝ่าย... แต่พอเขากำลังจะเคาะประตูเรียกคนในเรือนพัก เขากลับได้ยินบทสนทนาของหลานชายกับบ่าวคนสนิท เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในจวนของเขา...แต่เขากลับไม่เคยได้รับรู้ เขาจึงยืนฟังบทสนทนาของคนทั้งสี่จนจบ ก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปพูดคุยกับคนในเรือนพัก “ท่านลุงขอรับ...ข้า...พวกข้า” จินเฟยเทียนตกใจที่ราชครูหลงจิ้นสิง อยู่ ๆ ก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง แถมยังดูเหมือนอีก
“เฟยเกอขอรับ ท่าน...” หยางหมิงเซียนพูดขึ้นด้วยดวงตาที่สั่นไหว หลังจากที่พวกเขาเดินเข้ามาในห้องนอนของจินเฟยเทียน “ข้า...ข้ามีอะไรหรือ?” จินเฟยเทียนหันไปมองหน้าหยางหมิงเซียนที่เอ่ยคำพูด ที่เหมือนจะพูดกับเขา แต่กลับไม่ยอมพูดให้จบประโยค ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ริมหน้าต่างฝั่งตรงข้ามกับหยางหมิงเซียน “ท่านมีเรื่องไม่สบายใจ...แล้วเหตุใดถึงไม่ยอมบอกข้าล่ะขอรับเฟยเกอ?” หยางหมิงเซียนพูดออกมาด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจ ในวันนี้เขาได้ออกไปเห็นด้วยตาของตัวเองแล้วว่าคนตรงหน้าต้องพบเจอกับอะไรบ้าง และมันก็ทำให้เขารู้สึกโกรธจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ หากไม่เพราะเกรงใจราชครูหลงจิ้นสิงกับจางเลี่ยงซูที่มีบุญคุณกับพวกเขา เขาคงไม่ทำเพียงแค่กำหมัด และใช้แววตาข่มขู่อีกฝ่ายเป็นแน่... “ข้าน่ะหรือมีเรื่องไม่สบายใจ?” “ขอรับ” “ก็เรื่องที่แม่นมหมิงกับบ่าวในเรือนใหญ่บางคนที่เอาเรื่องของพวกเราไปป่าวประกาศอย่างไรล่ะขอ
“มากันแล้วหรือเฟยเทียน หมิงเซียน” จางเลี่ยงซูเมื่อเห็นหลานชายทั้งสองเดินเข้ามาในห้องโถง นางจึงเอ่ยทักคนทั้งคู่ โดยมีแม่นมหมิงยืนอยู่ข้างกายผู้เป็นนายไม่ยอมห่าง “ขอรับท่านป้า” จินเฟยเทียนกับหยางหมิงเซียนเอ่ยตอบรับคำ และเดินเข้าไปคำนับจางเลี่ยงซูพร้อมกัน แต่พอพวกเขาเงยหน้าขึ้น พวกเขาก็เห็นสายตาของแม่นมหมิงกับบ่าวในเรือนใหญ่บางคนที่แอบมองมาที่พวกเขาด้วยแววตาที่รังเกียจและดูถูก “หมิงเซียนอาการเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” “ดีขึ้นมากแล้วขอรับท่านป้า เหลือแต่อาการร้อนจากภายในเท่านั้น ที่ยังคงมีเกิดขึ้นมาบ้างในบางครั้งขอรับ” หยางหมิงเซียนตอบคำถามอีกฝ่าย และแอบใช้สายตากดข่มไปทางแม่นมหมิงกับบ่าวพวกนั้น และเขาก็แอบกำหมัดไว้ในเสื้อ...เพื่อระงับอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นของตัวเอง “ป้าว่า...มันน่าจะเป็นพิษที่ยังตกค้างอยู่ในร่างกายของเจ้า งั้นช่วงนี้เจ้าก็ต้องขยันปรับการไหลเวียนของลมปราณ มันจะได้ช่วยให้เจ้าหายเป็นปกติเร็วขึ้น” “ข
จินเฟยเทียนนั่งอ่านหนังสือและแอบมองคนป่วยที่ถอยกลับลงไปนอนหนุนหมอนของตัวเอง พร้อมกับนอนหันหลังให้กับเขาด้วยความรู้สึกที่ยังแคลงใจ เพราะเมื่อครู่อยู่ดีๆ อีกฝ่ายก็มาเอ่ยบอกรักเขา ตอนแรกเขาเองก็รู้สึกตกใจ แต่พอมาคิดอีกที...อีกฝ่ายก็คงจะบอกรักเขาในแบบที่น้องชายบอกรักพี่ชายเพียงเท่านั้น เพราะในยามนี้อีกฝ่ายกำลังไม่สบาย...เจ้าตัวก็คงอยากจะแสดงความรัก และก็คงอยากจะอ้อนพี่ชายอย่างเขาเป็นแน่… จินเฟยเทียนจึงตัดสินใจบอกรักอีกฝ่ายกลับไป แถมยังบอกอีกว่า...ตัวเขานั้นรักอีกฝ่ายเหมือนน้องชายแท้ๆ ของเขาเลยนะ! แต่ทำไมพอเขาพูดแบบนั้นออกไป...เขาถึงได้เห็นแววตาเจ็บปวดและไม่ยินยอมจากเจ้าลูกกวางล่ะ... ‘ไม่หรอกมั้ง! ข้าคงคิดมากเกินไป บางทีเจ้าลูกกวางอาจจะกำลังดีใจมาก...จนแสดงสีหน้าออกมาไม่ถูกก็เป็นได้’ เมื่อเห็นหยางหมิงเซียนยังคงนอนหันหลังให้กับตัวเอง จินเฟยเทียนจึงเอื้อมมือไปจับหน้าผากวัดไข้ของเจ้าลูกกวางอีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปดับไฟและล้มตัวลงนอนตามอีกฝ่ายไป แต่...เม
จินเฟยเทียนหลังจากกล่าวลาชิงหลวนคุนเขาก็ประคองหยางหมิงเซียนเดินกลับเข้ามาที่ห้องนอนของตัวเอง "หมิงเซียนเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าไม่น่าออกไปต้องลมหนาวด้านนอกเลย...รีบขึ้นไปนั่งบนเตียงก่อนเร็ว" จินเฟยเทียนพูดพร้อมประคองหยางหมิงเซียนขึ้นไปนั่งบนเตียง "ขอรับเฟยเกอ" "อาปิง...เจ้าช่วยไปเอาน้ำอุ่น ผ้าสะอาด กับยาแก้ไอมาให้ข้าหน่อยนะ" "ได้ขอรับคุณชายฟาง" "ขอบใจเจ้ามากนะอาปิง จากนี้...เดี๋ยวข้าจะจัดการต่อเอง" จินเฟยเทียนหันไปขอบคุณเสี่ยวปิงที่เอาของที่เขาต้องการมาให้ "ขอรับคุณชายฟาง" เสี่ยวปิงหลังจากเข้าไปวางถาดใส่ของให้ผู้เป็นนายเรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบถอยออกจากห้องนอนของจินเฟยเทียนทันที "หมิงเซียน เจ้ากินยาแก้ไอก่อน แล้วดื่มน้ำอุ่นตามมากๆด้วยนะ" จินเฟยเทียนเอายาแก้ไอให้เจ้าลูกกวางกิน จากนั้นเขาก็เอาผ้าสะอาดไปชุบน้ำ
หยางหมิงเซียนเก็บความไม่พอใจ และบรรยากาศกดดันที่ตัวเขาได้แผ่ออกมาจนหมด ก่อนจะส่งเสียงไอออกมาเบาๆ พร้อมกับเดินเข้าไปในห้องโถงโดยมีเสี่ยวปิงคอยช่วยพยุง แค่ก แค่ก แค่ก.... เมื่อเข้าไปด้านในห้องโถงหยางหมิงเซียนกับเสี่ยวปิงก็หันไปทำความเคารพแขกผู้สูงศักดิ์ที่กำลังนั่งพูดคุยอยู่กับจินเฟยเทียน “หมิงเซียนเจ้าตื่นแล้วหรือ? แล้วทำไมถึงใส่เสื้อคลุมที่บางแบบนี้ออกมาด้านนอก!” จินเฟยเทียนเห็นหยางหมิงเซียนเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับอาการไอ เขาจึงลุกเข้าไปช่วยประคองคนป่วย แต่พอเห็นเสื้อคลุมที่เจ้าลูกกวางใส่ออกมาด้านนอกในยามนี้แล้ว....เขาแทบอยากจะตีอีกฝ่ายตรงนี้เสียจริง ๆ “ขอโทษขอรับเฟยเกอ ข้าลืมเปลี่ยนเสื้อคลุมก่อนออกมาด้านนอกขอรับ” “อาปิง...เจ้ากลับเข้าไปเอาเสื้อคลุมของหมิงเซียนออกมา เลือกตัวที่หนาๆ หน่อยนะ” “ขอรับคุณชายฟาง” “หมิงเซีย