ท่านหมอโยวเมื่อหยิบถังเช่าที่หนิงเฉิงส่งมาให้ก็อดจะแปลกใจไม่ได้ ถังเช่าที่มีขนาดใหญ่ วิธีการเก็บก็สมบูรณ์ในสองคนนี้ต้องมีคนใดที่รู้วิธีเก็บเป็นแน่ แล้วยังทำความสะอาดมาเรียบร้อยแล้วด้วย
"พวกเจ้ารู้วิธีเก็บ" เขาเงยหน้าขึ้นมาจากกองถังเช่า แล้วเอ่ยถามสองพี่น้อง
"ข้าเพียงรู้มาเล็กน้อยเจ้าค่ะ ไม่กล้ารับคำชมของท่านหมอ" จือลู่ก้มศีรษะลง
หมอโยวมองสองพี่น้องอย่างพิจารณา ใบหน้าของจือลู่เข้ารู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกแต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าคุ้นเคยเช่นไร
"ท่านรับซื้อหรือไม่ขอรับ" หนิงเฉิงที่เห็นสายตาของท่านหมอโยวจับจ้องพี่สาวของตนอย่างพิจารณาก็เอ่ยขัดขึ้น
"ซื้อ ซื้อ เจ้ามีมากเพียงใด"
"ท่านซื้อเท่าใดเจ้าคะ" จือลู่ยังยืนยันว่านางต้องการที่จะฟังราคาก่อน
"ข้าให้ชั่งละหนึ่งพันตำลึง" จือลู่ขมวดคิ้วคิด นางจับมือหนิงเฉิงที่ใต้โต๊ะเพื่อไม่ให้เขาแสดงอาการ (1=ชั่ง=500กรัม) หนึ่งชั่งหนึ่งพันตำลึงเท่ากับหนึ่งกิโลกรัมสองพันตำลึง จือลู่นางจึงหยุดคิด
"เช่นนั้น หนึ่งพันห้าร้อยตำลึงทอง เจ้าพอใจหรือไม่" หมอโยวรีบเพิ่มราคาเมื่อเห็นว่าจือลู่เหมือนจะหยุดคิด
แต่ที่จือลู่กำลังคิดคือทั้งหมดที่นางนำมาจะขายได้มากเพียงใด นางไม่คิดว่าหมอโยวจะพูดถึงหนึ่งพันตำลึงทองไม่ใช่ตำลึงเงิน ได้ราคาเพิ่มเช่นนี้ใครจะไม่สนใจ แต่ตอนนี้หนิงเฉิงนั่งนิ่งเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างไปเรียบร้อยแล้ว
"พอใจเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านหมอที่เมตตา" จือลู่ดึงหนิงเฉิงให้ลุกขึ้นขอบคุณท่านหมอโยว
หนิงเฉิงที่เพิ่งจะได้สติจึงได้นำถังเช่าออกมาจากทั้งสองตะกร้าวางลงบนโต๊ะต่อหน้าท่านหมอและหลงจู๊ ทั้งสองตกตะลึงสิ่งของที่หายากแต่สองพี่น้องหามาได้มากมายขนาดนี้
"พวกเจ้า พวกเจ้า ช่างเป็นลูกรักสวรรค์เสียจริง" หมอโยวเอ่ยขึ้นด้วยเสียงขาดๆหายๆ
หลงจู๊เรียกเสี่ยวเอ้อให้ยกถังเช่าสองถุงไปชั่ง ระหว่างที่รอหมอโยวก็สอบถามความเป็นมาของทั้งคู่ว่ามาจากที่ใด เหตุใดถึงไม่เห็นบิดามารดาของทั้งคู่มาด้วย
"มารดาของพวกเจ้าแซ่จ้าวอย่างนั้นหรือ" หมอโยวถามทั้งคู่
"มีอันใดหรือไม่เจ้าคะ" จือลู่ถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าที่แปลกไปของหมอโยว เมื่อรู้ว่ามารดาของพวกนางมาจากเมืองหลวงและใช้แซ่จ้าว
"ไม่มีอันใด คนแซ่จ้าวมีมากนักภายในเมืองหลวง" เขาจำต้องโกหกทั้งคู่เพราะยังไม่แน่ใจว่าจะใช่เช่นที่พวกเขาคิดหรือไม่
"ท่านหมอโยวขอรับ สมุนไพรหนัก สิบชั่งขอรับ" จือลู่พยักหน้าอย่างชื่นชม เพราะนางก็คิดไว้ว่าคงหนักประมาณนี้ แต่หนิงเฉิงที่กำลังคำนวณว่าจะได้รับเงินมากเพียงใดก็นิ่งเฉยอยู่ เพราะเขายังคำนวณออกมาไม่เสร็จ
จือลู่ที่เห็นอาการของน้องชายก็กระซิบบอกว่าทั้งหมดเป็นเงินสามหมื่นตำลึงทอง แม้จะเก็บอาการตามคำพูดของพี่สาวแต่หนิงเฉิงก็ยังมือสั่นอย่างตกใจอยู่ดี
"เจ้าจะรับเป็นตั๋วเงินทั้งหมดเลยหรือไม่" หมอโยวถามจือลู่
"ข้ารับเป็นตั๋วเงินทั้งหมดเจ้าค่ะ แต่ขอตั๋วเงินร้อยตำลึงเงิน กับห้าสิบตำลึงเงินด้วยเจ้าค่ะ" เพราะนางจำต้องซื้อของกลับเรือนด้วย
สองพี่น้องนั่งรอเพียงไม่นานหลงจู๊ก็นำตั๋วเงินมาส่งให้ จือลู่นำตั๋วเงินใบละห้าสิบตำลึงแยกใส่อกเสื้อนางไว้สองใบและส่งให้หนิงเฉิงสองใบ ที่เหลือยัดใส่ถุงที่นางใส่ถังเช่ามาท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคน หนิงเฉิงจึงช่วยพี่สาวนำผักป่าที่นำมาด้วยวางทับไว้ด้านบน หากมองผ่านๆก็จะเห็นเพียงทั้งคู่แบกผักป่ามาขาย
ทั้งสองบอกลาหลงจู๊และท่านหมอโยวก่อนที่จะเดินออกจากร้านไป หมอโยวยืนมองสองพี่น้องอย่างใช้ความคิดเขาลูบคางตนเอง แล้วเดินกลับเข้าไปที่ห้องทำงานเพื่อเขียนจดหมายส่งไปที่เมืองหลวง
จือลู่เมื่อออกมาจากโรงหมอนางก็พาหนิงเฉิงเดินไปหาอะไรกิน
"เฉิงเออร์เจ้าอยากกินอันใด" หนิงเฉิงดวงตาสว่างวาบแล้วชี้ไปที่ร้านบะหมี่เนื้อที่ส่งกลิ่นหอมข้างทาง
"ได้" จือลู่จึงเดินพาน้องชายไปนั่งที่โต๊ะ
"ท่านลุงบะหมี่เนื้อ เพิ่มเนื้อสองที่เจ้าค่ะ"
สองพี่น้องกินบะหมี่เนื้อย่างอร่อย นางมองหนิงเฉิงที่กินหมดอย่างรวดเร็วก็สั่งเพิ่มให้เขาอีกหนึ่งชาม เมื่อทั้งคู่กินหมด จือลู่ก็เดินพาน้องชายไปที่ที่ว่าการเพื่อสอบถามเรื่องซื้อเรือน
เจ้าหน้าที่ว่าการเห็นสภาพสองพี่น้องที่แต่งตัวไม่ต่างจากขอทานเพียงแต่สะอาดกว่าเท่านั้นก็นึกดูแคลน ยิ่งจือลู่บอกว่านางจะมาสอบถามเรื่องเรือนที่ขายในเมือง เจ้าหน้าที่ด้านหน้าก็พากันหัวเราะอย่างขบขัน และไล่สองพี่น้องออกจากที่ว่าการไป
จือลู่มองพวกเขาอย่างแค้นใจ พรุ่งนี้นางจะมาใหม่ แล้วจะซื้อจวนหลังใหญ่กลับไปด้วย จือลู่จึงดึงมือน้องชายไปที่ร้านขายผ้าแทน ร้านแรกที่นางไม่เข้าไปเพราะเสี่ยวเอ้อหน้าร้านเหมือนจะรังเกียจทั้งคู่ นางไม่อยากให้น้องชายอับอายเช่นที่ว่าการอีกนางจึงไปร้านที่เล็กกว่า
"พวกเจ้าต้องการเสื้อผ้าที่ตัดแล้วหรือต้องการผ้า" จือลู่พยักหน้าอย่างพอใจที่เห็นเสี่ยวเอ้อพูดคุยกับนางและน้องชายอย่างดี
"พี่ชายข้าต้องการเสื้อผ้าที่ตัดแล้วเจ้าค่ะ" เสี่ยวเอ้อเดินนำทั้งคู่เข้าไปในร้านและส่งให้คนขายที่เป็นสตรีดูแลทั้งคู่ต่อ
จือลู่เลือกซื้อเสื้อผ้าให้นางกับน้องคนละห้าชุดที่เป็นผ้าเนื้อดี และผ้าฝ้ายที่ใส่ทำงานได้อีกสามชุด เสี่ยวเอ้อร้านตรงข้ามมองนางอย่างไม่เชื่อสายตาว่าทั้งคู่ที่คิดว่าเป็นขอทานจะซื้อเสื้อผ้ามากมายเพียงนี้
จือลู่มิได้เปลี่ยนเสื้อผ้าในทันที นางนำเงอนสิบตำลึงออกมาจ่ายแล้วพาหนิงเฉิงไปหาที่พัก เพราะนางจะซื้อเรือนในเมืองให้ได้จึงไม่ได้กลับหมู่บ้านในทันที
ทั้งคู่เลือกโรงเตี๊ยมธรรมดาไม่ได้เพราะเสื้อผ้าที่ทั้งคู่สวมใส่ อีกอย่างก็เพื่อปกกันโจรที่จะมาปล้นพวกเขาทั้งคู่ จือลู่เปิดห้องพักสองห้อง เมื่อสองพี่น้องนำของไปเก็บแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ออกไปเดินสำรวจรอบตัวเมืองอีกครั้ง
จือลู่นำตั๋วเงินทั้งหมดที่ได้มาแบ่งออกเป็นสองกองแล้วเก็บไว้ที่อกเสื้อของนางและหนิงเฉิง ที่ไม่นำไม่ฝากร้านฝากเงินเพราะนางจะนำไปเก็บไว้ที่กล่องเครื่องสำอางของนางแทน
เมื่อเดินสำรวจไปตามถนนเส้นต่างๆเพื่อดูการค้าและความเป็นอยู่ จือลู่อยากได้เรือนที่ไม่วุ่นวายนักและอยากให้อยู่ไม่ห่างจากสำนักศึกษาที่จะให้หนิงเฉิงได้เข้าเรียนเพราะเจ้าหน้าที่ทางการไม่ยอมให้สองพี่น้องเข้าไปเพื่อติดต่อซื้อเรือน จือลู่จึงหารือกับหนิงเฉิงว่าพวกเขาควรจะขอความช่วยเหลือจากท่านหมอโยว อย่างไรก็ทำการค้าด้วยกัน ท่านหมอโยวคงจะไม่ใจร้ายกับพวกตนนัก"พี่ชายพวกข้ามาขอพบท่านหมอโยวเจ้าค่ะ" จือลู่บอกเสี่ยวเอ้อที่อยู่หน้าร้านเพียงไม่นานทั้งคู่ก็ถูกเชิญเข้าไปด้านในเพื่อพบท่านหมอโยวที่ห้องรับรอง"พวกเจ้านำหญ้าหนอนมาขายอีกแล้วหรือ" ท่านหมอโยวพูดอย่างตกใจ จือลู่มองเขาด้วยสายตาเหมือนมองคนสติไม่ดี"หากหาง่ายเช่นนั้น ท่านคงไม่ซื้อในราคาที่แสนแพงเช่นนี้" จือลู่เอ่ยขึ้น"เช่นนั้นพวกเจ้ามาพบข้าด้วยเรื่องอันใด"จือลู่เล่าเรื่องที่นางต้องการขอความช่วยเหลือจากท่านหมอโยว ให้ช่วยออกหน้าเรื่องซื้อเรือนในเมืองให้นาง และยังเล่าว่าพวกตนโดนไล่ออกมาจากที่ว่าการจึงต้องแบกหน้ามาขอความเมตตาจากท่านหมอโยวหมอโยวลูบเคราอย่างใช้ความคิด ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้น"เรื่องนี้ไม่ได้ยากอันใด ข้ามีเรือนอยู่หลังไม่มีผู้ใดอาศัย
"พรุ่งนี้ขึ้นเขาไปดูเสียก่อนว่ายังมีอีกหรือไม่ แล้วข้าค่อยเข้าเมืองไปคุยกับท่านหมอโยว" ท่านผู้นำจึงได้ขอตัวกลับไปเรียกชาวบ้านมารวมตัวเพื่อจะแจ้งเรื่องที่พาขึ้นเขาหาหญ้าหนอน"พวกเจ้าสองพี่น้องนับว่ามีบุญคุณช่วยให้ชาวบ้านผ่านหน้าหนาวนี้ไปได้แล้ว" เพราะชาวบ้านได้แต่ทำไร่ และหาผักป่าไปขาย ในช่วงหน้าหนาวผู้เฒ่าและเด็กเล็กจึงมักเสียชีวิตลงก่อนฟ้าจะสว่างจือลู่และลู่เสียนก็เตรียมตัวพร้อมอยู่ที่หน้าเรือน แต่ชาวบ้านมารวมตัวกันเร็วกว่าสองพี่น้องเสียอีก "ท่านลุง ท่านป้าทั้งหลายเจ้าคะ ข้าขอพูดกับพวกท่านเสียก่อน" จือลู่กล่าวด้วยเสียงอันดังจือลู่นางบอกเรื่องที่อาจจะมีหญ้าหนอนไม่มาก และนางอยากให้ทุกคนช่วยกันเก็บแล้วขายเพื่อนำเงินมาแบ่งกัน เพราะจะได้ไม่เกิดปัญหาการแย่งชิง"ข้าและเฉิงเออร์หวังว่าพวกท่านจะไม่ต่อว่าข้าสองคนพี่น้องหากพบน้อยหรือไม่พบเลย" ทั้งคู่ก้มศีรษะลงเพื่อขอโทษทุกคนล่วงหน้า จากนั้นทั้งหมดก็เดินขึ้นเขาไปอย่างมีความหวัง เสียงด่าทอพึมพำของนางกงซื่อที่ต่อว่าสองพี่สองก็ได้ยิน"นางกงซื่อหากเจ้ายังไม่หยุดพูดก็กลับเรือนไปเสีย" ผู้นำหมู่บ้านตวาดนางกงซื่อ ชาวบ้านก็ส่งเสียงต่อว่าจนนางกงซื่อต้อ
เมื่อเสร็จเรื่องทั้งหมด ผู้นำหมู่บ้านจึงชวนจือลู่ให้อยู่ทานข้าวที่เรือนของตน สองพี่น้องก็มิได้ปฏิเสธ จือลู่เห็นบุตรสาวคนเล็กของท่านปู่ชุยกำลังเย็บผ้าคลุมหน้านางจึงเดินเข้าไปดูอย่างสนใจ"พี่เหมยท่านกำลังปักอันใดหรือ" "ข้ากำลังปักผ้าคลุมหน้า" นางแสดงสีหน้าเขินอาย"เหมยเออร์ใกล้ออกเรือนแล้ว เงินที่ขายหญ้าหนอนมาได้ข้าก็จะแบ่งให้เป็นสินเดิมของนาง" ย่าชุยพูดขึ้น ท่านปู่ชุยมีบุตรชายที่ออกเรือนแล้วสองคนนำว่าเรือนตระกูลชุยของเขาได้เงินถึงหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึงทอง"ขอบใจเจ้ามากลู่เออร์" ชุยเหมยจับมือของจือลู่ไว้"ข้ามีเรื่องจะขอความช่วยเหลือจากท่านย่าชุยด้วยเจ้าค่ะ" จือลู่เอ่ยขึ้น เพราะนางอยากหาคนเย็บหมอนให้นาง แต่นางไม่รู้ว่าจะขอให้ใครช่วยลำพังให้นางทำเองก็คงจะเย็บไม่ได้แน่"เรื่องอันใด มีสิ่งใดที่ข้าจะช่วยเจ้าได้" พ่อท่านย่าชุยได้ยินก็หัวเราะอย่างขบขัน นางรีบให้จือลู่นำผ้ามาให้นางทันที จือลู่ส่งผ้าให้และบอกว่านางต้องการหมอนขนาดเท่าใด และนางขอให้เย็บให้นางถึงสี่ใบ ท่านย่าชุยจะช่วยเย็บผ้าห่มให้นางด้วยแต่นางปฏิเสธไปและจะนำนุ่นไปยัดใส่เอง เพราะนางให้ทางร้านผ้าในเมืองทำผ้าห่มไว้ให้นางแล้วทั้งหมดก
เพราะไม่คิดว่าหญิงสาวชาวบ้านเช่นนางจะก่อฟืนแล้วจะมีสภาพเช่นนี้ หนิงเฉิงจึงเอ่ยถามถึงเรื่องหาซื้อคนกับท่านหมอโยว"เรื่องนี้ข้าจัดการให้ พวกเจ้าอยากได้กี่คน" ทั้งสองสบตากันอย่างไม่รู้ว่าจะหาคนกี่คนดี หมอโยวจึงโบกมือ เขาเรียกบ่าวที่ติดตามเข้ามาและสั่งให้ไปหาคนมาหนึ่งครอบครัว"หาคนจากที่ใดเจ้าคะ" จือลู่ถามขึ้นอย่างสงสัย"ทาสหลวงมีขายอยู่ที่ตลาดค้าทาส พวกเจ้าไม่เหมาะที่จะเข้าไปให้คนของข้าไปจัดการก็พอ" จือลู่ลืมไปเลยว่ายุคนี้ยังมีการซื้อขายทาสกันอยู่ นางจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ แม้จะไม่อยากได้ทาสแต่ก็คงต้องยอมรับตามวิถีของคนยุคนี้ผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วยามบ่าวของท่านหมอโยวก็พาคนมาหกคน มีบุรุษสามคนและสตรีสามคน "มากถึงเพียงนี้เลยหรือเจ้าค่ะ"จือลู่เอ่ยขึ้น"ไม่มาก ไม่มาก เรือนของเจ้าใหญ่โต มีคนช่วยเท่านี้ก็นับว่าเพียงพอ" หมอโยวส่งหนังสือสัญญาให้จือลู่ นางจึงให้หนิงเฉิงนำเงินมาให้ท่านหมอโยว เมื่อเห็นว่าหมดเรื่องท่านหมอโยวจึงได้ขอตัวกลับไป "พวกท่านลุกขึ้นเถิดเจ้าค่ะ" จือลู่กล่าวอย่างเกรงใจ เพราะพวกเขาล้วนอายุมากกว่านางกับน้องชายเสียอีก คงมีเพียงบุตรทั้งสองชายหญิงที่มีอายุใกล้เคียงกับทั้งคู่แต่ก็มา
จือลู่ยังอยู่ร่วมงานจนส่งเจ้าสาว ตอนที่เจ้าสาวถูกพาไปขึ้นเกี้ยวลมก็พัดจนผ้าคลุมหน้าเปิดขึ้น เจ้าบ่าวรวมถึงคนที่ได้เห็นก็ล้วนแต่ตกตะลึงในความงาม เมื่อรู้ว่าคนที่แต่งหน้าให้เจ้าสาวเป็นจือลู่ต่างก็พากันพูดคุยสอบถามและอยากจะขอให้นางมาช่วยแต่งหน้าให้บุตรหลานของตนจือลู่มิได้รับปาก นางเพียงบอกหากมีนางว่างนางจะมาแต่งหน้าให้ นับจากนั้นเรื่องฝีมือการแต่งหน้าของจือลู่ก็ถูกพูดปากต่อปาก เพราะชุยเหมยแต่งออกไปอยู่ในเมืองกับบุตรชายเจ้าของร้านขายข้าวนับตั้งแต่ที่จือลู่ย้ายมาอยู่ที่จวนใหม่นางก็เริ่มรู้จักกับคนที่อาศัยอยู่ที่เรือนใกล้ๆกับนาง ท่านป้าข้างบ้านชอบนำของกินมาฝากนางและเริ่มจะบ่นเรื่องบุตรชายที่เป็นคนคุ้มกันภัยสินค้าให้ฟัง"อาชางของข้า ยังมิยอมแต่งสะใภ้เสียที" นางทนฟังอยู่ทุกวัน ตอนแรกป้าข้างบ้านก็มาทาบทามนางให้บุตรชาย แต่นางยังมิคิดจะออกเรือนจึงได้ปฏิเสธไป"ท่านป้าให้ข้าช่วยหาให้ดีหรือไป" จือลู่เอ่ยปากพูดออกไป เพราะนางอยากจะขอตัวกลับเข้าเรือนแล้วเท่านั้น"จริงหรือลู่เออร์ เช่นนั้นป้าจะรอ" จากนั้นนางก็เดินกลับเรือนของนางไปอย่างสบายใข จือลู่ก็ไม่ได้คิดสิ่งใด นางเพียงพูดออกไปเท่านั้น แล้วนางจะ
จือลู่เป็นบล็อกเกอร์สาวชื่อดังที่มีคนติดตามเธอมากมายในโซเซียล เพราะเทคนิคการแต่งหน้าที่เป็นเอกลักษณ์และคนที่แต่งหน้าไม่เป็นสามารถแต่งตามได้อย่างง่าย อีกอย่างเครื่องสำอางที่นางใช้ก็หาซื้อได้ง่ายราคาจับต้องได้เธอมีเพื่อนสนิทชื่อเสี่ยวหลัน นางเป็นคนที่แนะนำให้เสี่ยวหลันได้รู้จักกับคนรัก และตอนนี้เสี่ยวหลันก็กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์แล้ว เธอจึงให้จือลู่มาแต่งหน้าวันพรีเวดดิ้งให้"ฮัลโหล" จือลู่งัวเงียตื่นขึ้นมารับโทรศัพท์"ลู่ลู่ เธอถึงไหนแล้ว อย่าบอกนะว่าเพิ่งตื่น" เสียงตวาดอย่างโมโหดังทะลุออกมาจากโทรศัพท์ จือลู่ที่หรี่ตามองเวลาที่โทรศัพท์ก็ลุกพรวดขึ้นจากที่นอน"หลันหลัน ฉันถึงทันเวลาแน่เธอไม่ต้องห่วง" วันนี้เธอมีนัดแต่งหน้าให้เพื่อนสนิทที่ต้องไปถ่ายพรีเวดดิ้ง แล้วเธอยังต้องรีบกลับมาแต่งหน้าให้ลูกค้าในตอนเย็นอีกด้วยจือลู่แทบจะโยนโทรศัพท์ในมือทิ้งแล้ววิ่งอย่างเร็วเพื่อไปอาบน้ำ ก่อนจะรีบร้อนออกจากบ้าน ยังดีที่เครื่องมือแต่งหน้าทั้งหมดเพียงยกกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นรถก็ออกเดินทางได้เลยกว่าจือลู่จะแต่งหน้าให้เพื่อนสนิทเสร็จเธอยังต้องอยู่ช่วยเปลี่ยนชุด และแต่งหน้าเพิ่มให้ว่าที่เจ้าสาวอีกสองรอบถึงจะกล
เมื่อหมอหวงเดินมาเห็นร่างของจือลู่ที่นอนอยู่ก็ส่ายหัวอย่างสงสาร และปรายตามองไปที่สองคนผัวเมียอย่างกล่าวโทษ เมื่อจับชีพจรของจือลู่หมอหวงก็เอ่ยขึ้น"นางยังไม่ตาย แต่หากยังไม่รักษาก็คงไม่รอดแล้ว" หมอหวงพูดขึ้นหนิงเฉิงมองพี่สาวอย่างเป็นห่วง เพราะว่าพี่สาวของตนคลอดก่อนกำหนดถึงสองเดือน มารดาจึงมักไม่ให้นางทำงานหนัก เพราะกลัวว่านางจะล้มป่วยสายตาของชาวบ้านที่มองไปสองผัวเมียอย่างตำหนิ เพราะจางต้าอู๋เป็นท่านลุงแท้ๆของทั้งคู่ ก่อนหน้าที่เขาจะรับหลานทั้งสองมาดูแลก็เพราะต้องการที่นาและข้าวของที่บิดามารดาจือลู่ทิ้งไว้ เขายังรับปากหัวหน้าหมู่บ้านว่าจะดูแลทั้งคู่อย่างดี แต่เพียงไม่กี่เดือนทั้งคู่ก็มีสภาพเช่นนี้แล้วจือลู่จะแกล้งหลับต่อก็ไม่ได้แล้ว เพราะหมอหวงกำลังช่วยให้นางฟื้นอยู่ เมื่อนางทำเป็นเพิ่งกำลังฟื้นและมองไปรอบห้องอย่างหวาดกลัว หนิงเฉิงรีบเข้ามาประคองพี่สาวอย่างเบามือไม่รู้ว่าเขาหาน้ำมาจากไหน แต่จือลู่ก็รู้สึกขอบคุณเมื่อหนิงเฉิงส่งถ้วยบิ่นๆที่มีน้ำอยู่ด้านในให้นางดื่ม เมื่อชาวบ้านเห็นว่าจือลู่ฟื้นแล้วต่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะจือลู่คนเดิมเป็นเด็กสาวที่น่ารัก อ่อนหวาน มักจะช่วยงานเล็
สองพี่น้องยืนนิ่งมองกล่องรูปร่างแปลกๆที่อยู่ข้างเตียงของจือลู่ แต่จือลู่ย่อมรู้ดีว่ากล่องที่นางเห็นคือกล่องเครื่องสำอางของนาง เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำตามนางมาได้อย่างไรสองพี่น้องนั่งลงที่ข้างกล่องใบใหญ่ จือลู่เปิดกล่องออกดูก็พบว่าของทั้งหมดของนางยังอยู่ภายในกล่องอย่างดี ของกินเล่นที่นางมักจะซื้อแล้วโยนไว้ภายในกล่องเครื่องสำอางก็ยังคงมีอยู่ หนิงเฉิงมองของต่างๆอย่างแปลกใจ เขาไม่เข้าใจว่าภายในกล่องที่เห็นคือสิ่งใด จือลู่ส่งแฮมเบอร์เกอร์ที่นางชอบซื้อระหว่างทางติดไว้ เพราะกินสะดวกส่งให้หนิงเฉิง เมื่อหยิบออกไปหนึ่งอย่าง ภายในกล่องก็ปรากฏของสิ่งเดิมขึ้นมาทดแทนจือลู่หันไปสบตาของน้องชายอย่างตกใจ เพราะนางไม่คิดว่าจะเป็นเช่นที่เห็น ของกินไม่ได้มีเพียงแฮมเบอร์เกอร์เท่านั้น เพราะนางต้องวิ่งงานถึงสองงานในวันที่เกิดอุบัติเหตุจึงมีอาหารสำเร็จรูปอยู่หลายอย่าง ที่สามารถกินได้เลยหรือนำไปอุ่นก็กินได้ทันที"กินก่อนเดี๋ยวค่อยคุย" จือลู่บอกน้องชายเมื่อเห็นสายตาของน้องชายมองมาที่นางเหมือนอยากจะถามสิ่งใด จือสู่หยิบซอสออกมาเทราดไปที่แฮมเบอร์เกอร์และกินเป็นตัวอย่างให้น้องชายดู หนิงเฉิงบอกพี่สาวอย่างอึ้งๆ เพรา
จือลู่ยังอยู่ร่วมงานจนส่งเจ้าสาว ตอนที่เจ้าสาวถูกพาไปขึ้นเกี้ยวลมก็พัดจนผ้าคลุมหน้าเปิดขึ้น เจ้าบ่าวรวมถึงคนที่ได้เห็นก็ล้วนแต่ตกตะลึงในความงาม เมื่อรู้ว่าคนที่แต่งหน้าให้เจ้าสาวเป็นจือลู่ต่างก็พากันพูดคุยสอบถามและอยากจะขอให้นางมาช่วยแต่งหน้าให้บุตรหลานของตนจือลู่มิได้รับปาก นางเพียงบอกหากมีนางว่างนางจะมาแต่งหน้าให้ นับจากนั้นเรื่องฝีมือการแต่งหน้าของจือลู่ก็ถูกพูดปากต่อปาก เพราะชุยเหมยแต่งออกไปอยู่ในเมืองกับบุตรชายเจ้าของร้านขายข้าวนับตั้งแต่ที่จือลู่ย้ายมาอยู่ที่จวนใหม่นางก็เริ่มรู้จักกับคนที่อาศัยอยู่ที่เรือนใกล้ๆกับนาง ท่านป้าข้างบ้านชอบนำของกินมาฝากนางและเริ่มจะบ่นเรื่องบุตรชายที่เป็นคนคุ้มกันภัยสินค้าให้ฟัง"อาชางของข้า ยังมิยอมแต่งสะใภ้เสียที" นางทนฟังอยู่ทุกวัน ตอนแรกป้าข้างบ้านก็มาทาบทามนางให้บุตรชาย แต่นางยังมิคิดจะออกเรือนจึงได้ปฏิเสธไป"ท่านป้าให้ข้าช่วยหาให้ดีหรือไป" จือลู่เอ่ยปากพูดออกไป เพราะนางอยากจะขอตัวกลับเข้าเรือนแล้วเท่านั้น"จริงหรือลู่เออร์ เช่นนั้นป้าจะรอ" จากนั้นนางก็เดินกลับเรือนของนางไปอย่างสบายใข จือลู่ก็ไม่ได้คิดสิ่งใด นางเพียงพูดออกไปเท่านั้น แล้วนางจะ
เพราะไม่คิดว่าหญิงสาวชาวบ้านเช่นนางจะก่อฟืนแล้วจะมีสภาพเช่นนี้ หนิงเฉิงจึงเอ่ยถามถึงเรื่องหาซื้อคนกับท่านหมอโยว"เรื่องนี้ข้าจัดการให้ พวกเจ้าอยากได้กี่คน" ทั้งสองสบตากันอย่างไม่รู้ว่าจะหาคนกี่คนดี หมอโยวจึงโบกมือ เขาเรียกบ่าวที่ติดตามเข้ามาและสั่งให้ไปหาคนมาหนึ่งครอบครัว"หาคนจากที่ใดเจ้าคะ" จือลู่ถามขึ้นอย่างสงสัย"ทาสหลวงมีขายอยู่ที่ตลาดค้าทาส พวกเจ้าไม่เหมาะที่จะเข้าไปให้คนของข้าไปจัดการก็พอ" จือลู่ลืมไปเลยว่ายุคนี้ยังมีการซื้อขายทาสกันอยู่ นางจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ แม้จะไม่อยากได้ทาสแต่ก็คงต้องยอมรับตามวิถีของคนยุคนี้ผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วยามบ่าวของท่านหมอโยวก็พาคนมาหกคน มีบุรุษสามคนและสตรีสามคน "มากถึงเพียงนี้เลยหรือเจ้าค่ะ"จือลู่เอ่ยขึ้น"ไม่มาก ไม่มาก เรือนของเจ้าใหญ่โต มีคนช่วยเท่านี้ก็นับว่าเพียงพอ" หมอโยวส่งหนังสือสัญญาให้จือลู่ นางจึงให้หนิงเฉิงนำเงินมาให้ท่านหมอโยว เมื่อเห็นว่าหมดเรื่องท่านหมอโยวจึงได้ขอตัวกลับไป "พวกท่านลุกขึ้นเถิดเจ้าค่ะ" จือลู่กล่าวอย่างเกรงใจ เพราะพวกเขาล้วนอายุมากกว่านางกับน้องชายเสียอีก คงมีเพียงบุตรทั้งสองชายหญิงที่มีอายุใกล้เคียงกับทั้งคู่แต่ก็มา
เมื่อเสร็จเรื่องทั้งหมด ผู้นำหมู่บ้านจึงชวนจือลู่ให้อยู่ทานข้าวที่เรือนของตน สองพี่น้องก็มิได้ปฏิเสธ จือลู่เห็นบุตรสาวคนเล็กของท่านปู่ชุยกำลังเย็บผ้าคลุมหน้านางจึงเดินเข้าไปดูอย่างสนใจ"พี่เหมยท่านกำลังปักอันใดหรือ" "ข้ากำลังปักผ้าคลุมหน้า" นางแสดงสีหน้าเขินอาย"เหมยเออร์ใกล้ออกเรือนแล้ว เงินที่ขายหญ้าหนอนมาได้ข้าก็จะแบ่งให้เป็นสินเดิมของนาง" ย่าชุยพูดขึ้น ท่านปู่ชุยมีบุตรชายที่ออกเรือนแล้วสองคนนำว่าเรือนตระกูลชุยของเขาได้เงินถึงหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึงทอง"ขอบใจเจ้ามากลู่เออร์" ชุยเหมยจับมือของจือลู่ไว้"ข้ามีเรื่องจะขอความช่วยเหลือจากท่านย่าชุยด้วยเจ้าค่ะ" จือลู่เอ่ยขึ้น เพราะนางอยากหาคนเย็บหมอนให้นาง แต่นางไม่รู้ว่าจะขอให้ใครช่วยลำพังให้นางทำเองก็คงจะเย็บไม่ได้แน่"เรื่องอันใด มีสิ่งใดที่ข้าจะช่วยเจ้าได้" พ่อท่านย่าชุยได้ยินก็หัวเราะอย่างขบขัน นางรีบให้จือลู่นำผ้ามาให้นางทันที จือลู่ส่งผ้าให้และบอกว่านางต้องการหมอนขนาดเท่าใด และนางขอให้เย็บให้นางถึงสี่ใบ ท่านย่าชุยจะช่วยเย็บผ้าห่มให้นางด้วยแต่นางปฏิเสธไปและจะนำนุ่นไปยัดใส่เอง เพราะนางให้ทางร้านผ้าในเมืองทำผ้าห่มไว้ให้นางแล้วทั้งหมดก
"พรุ่งนี้ขึ้นเขาไปดูเสียก่อนว่ายังมีอีกหรือไม่ แล้วข้าค่อยเข้าเมืองไปคุยกับท่านหมอโยว" ท่านผู้นำจึงได้ขอตัวกลับไปเรียกชาวบ้านมารวมตัวเพื่อจะแจ้งเรื่องที่พาขึ้นเขาหาหญ้าหนอน"พวกเจ้าสองพี่น้องนับว่ามีบุญคุณช่วยให้ชาวบ้านผ่านหน้าหนาวนี้ไปได้แล้ว" เพราะชาวบ้านได้แต่ทำไร่ และหาผักป่าไปขาย ในช่วงหน้าหนาวผู้เฒ่าและเด็กเล็กจึงมักเสียชีวิตลงก่อนฟ้าจะสว่างจือลู่และลู่เสียนก็เตรียมตัวพร้อมอยู่ที่หน้าเรือน แต่ชาวบ้านมารวมตัวกันเร็วกว่าสองพี่น้องเสียอีก "ท่านลุง ท่านป้าทั้งหลายเจ้าคะ ข้าขอพูดกับพวกท่านเสียก่อน" จือลู่กล่าวด้วยเสียงอันดังจือลู่นางบอกเรื่องที่อาจจะมีหญ้าหนอนไม่มาก และนางอยากให้ทุกคนช่วยกันเก็บแล้วขายเพื่อนำเงินมาแบ่งกัน เพราะจะได้ไม่เกิดปัญหาการแย่งชิง"ข้าและเฉิงเออร์หวังว่าพวกท่านจะไม่ต่อว่าข้าสองคนพี่น้องหากพบน้อยหรือไม่พบเลย" ทั้งคู่ก้มศีรษะลงเพื่อขอโทษทุกคนล่วงหน้า จากนั้นทั้งหมดก็เดินขึ้นเขาไปอย่างมีความหวัง เสียงด่าทอพึมพำของนางกงซื่อที่ต่อว่าสองพี่สองก็ได้ยิน"นางกงซื่อหากเจ้ายังไม่หยุดพูดก็กลับเรือนไปเสีย" ผู้นำหมู่บ้านตวาดนางกงซื่อ ชาวบ้านก็ส่งเสียงต่อว่าจนนางกงซื่อต้อ
เมื่อเดินสำรวจไปตามถนนเส้นต่างๆเพื่อดูการค้าและความเป็นอยู่ จือลู่อยากได้เรือนที่ไม่วุ่นวายนักและอยากให้อยู่ไม่ห่างจากสำนักศึกษาที่จะให้หนิงเฉิงได้เข้าเรียนเพราะเจ้าหน้าที่ทางการไม่ยอมให้สองพี่น้องเข้าไปเพื่อติดต่อซื้อเรือน จือลู่จึงหารือกับหนิงเฉิงว่าพวกเขาควรจะขอความช่วยเหลือจากท่านหมอโยว อย่างไรก็ทำการค้าด้วยกัน ท่านหมอโยวคงจะไม่ใจร้ายกับพวกตนนัก"พี่ชายพวกข้ามาขอพบท่านหมอโยวเจ้าค่ะ" จือลู่บอกเสี่ยวเอ้อที่อยู่หน้าร้านเพียงไม่นานทั้งคู่ก็ถูกเชิญเข้าไปด้านในเพื่อพบท่านหมอโยวที่ห้องรับรอง"พวกเจ้านำหญ้าหนอนมาขายอีกแล้วหรือ" ท่านหมอโยวพูดอย่างตกใจ จือลู่มองเขาด้วยสายตาเหมือนมองคนสติไม่ดี"หากหาง่ายเช่นนั้น ท่านคงไม่ซื้อในราคาที่แสนแพงเช่นนี้" จือลู่เอ่ยขึ้น"เช่นนั้นพวกเจ้ามาพบข้าด้วยเรื่องอันใด"จือลู่เล่าเรื่องที่นางต้องการขอความช่วยเหลือจากท่านหมอโยว ให้ช่วยออกหน้าเรื่องซื้อเรือนในเมืองให้นาง และยังเล่าว่าพวกตนโดนไล่ออกมาจากที่ว่าการจึงต้องแบกหน้ามาขอความเมตตาจากท่านหมอโยวหมอโยวลูบเคราอย่างใช้ความคิด ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้น"เรื่องนี้ไม่ได้ยากอันใด ข้ามีเรือนอยู่หลังไม่มีผู้ใดอาศัย
ท่านหมอโยวเมื่อหยิบถังเช่าที่หนิงเฉิงส่งมาให้ก็อดจะแปลกใจไม่ได้ ถังเช่าที่มีขนาดใหญ่ วิธีการเก็บก็สมบูรณ์ในสองคนนี้ต้องมีคนใดที่รู้วิธีเก็บเป็นแน่ แล้วยังทำความสะอาดมาเรียบร้อยแล้วด้วย"พวกเจ้ารู้วิธีเก็บ" เขาเงยหน้าขึ้นมาจากกองถังเช่า แล้วเอ่ยถามสองพี่น้อง"ข้าเพียงรู้มาเล็กน้อยเจ้าค่ะ ไม่กล้ารับคำชมของท่านหมอ" จือลู่ก้มศีรษะลงหมอโยวมองสองพี่น้องอย่างพิจารณา ใบหน้าของจือลู่เข้ารู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกแต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าคุ้นเคยเช่นไร"ท่านรับซื้อหรือไม่ขอรับ" หนิงเฉิงที่เห็นสายตาของท่านหมอโยวจับจ้องพี่สาวของตนอย่างพิจารณาก็เอ่ยขัดขึ้น"ซื้อ ซื้อ เจ้ามีมากเพียงใด""ท่านซื้อเท่าใดเจ้าคะ" จือลู่ยังยืนยันว่านางต้องการที่จะฟังราคาก่อน"ข้าให้ชั่งละหนึ่งพันตำลึง" จือลู่ขมวดคิ้วคิด นางจับมือหนิงเฉิงที่ใต้โต๊ะเพื่อไม่ให้เขาแสดงอาการ (1=ชั่ง=500กรัม) หนึ่งชั่งหนึ่งพันตำลึงเท่ากับหนึ่งกิโลกรัมสองพันตำลึง จือลู่นางจึงหยุดคิด"เช่นนั้น หนึ่งพันห้าร้อยตำลึงทอง เจ้าพอใจหรือไม่" หมอโยวรีบเพิ่มราคาเมื่อเห็นว่าจือลู่เหมือนจะหยุดคิดแต่ที่จือลู่กำลังคิดคือทั้งหมดที่นางนำมาจะขายได้มากเพียงใด นาง
นางก็ไม่คิดที่จะอยู่หมู่บ้านนี้ไปตลอด หากขายถังเช่าได้ราคาดีนางคงจะพาหนิงเฉิงไปอยู่ที่ในเมืองเพื่อให้เขาได้กลับไปเรียนอีกครั้ง และนางจะได้ค้าขายหรือทำงานเพื่อหาเงินด้วย"เฉิงเออร์ พรุ่งนี้ขึ้นเขาอีกรอบ พวกเราเก็บมาทั้งหมดเลยจะได้เข้าเมืองไปขาย ถ้าได้ราคาดีข้าจะหาซื้อเรือนในเมือง ต่อไปเจ้าก็กลับไปเรียน" จือลู่ยกมือขึ้นห้ามเพื่อไม่ให้หนิงเฉิงขัดนาง"เจ้าไม่ต้องห่วง เรื่องทุกอย่างต่อไปข้าจะจัดการเอง เจ้าเพียงตั้งใจเรียน ข้าจะไม่ให้เจ้าได้รับความอยุติธรรมเช่นในวันนี้อีกแล้ว" เมื่อจือลู่พูดจบหนิงเฉิงก็เงยหน้ามองนาง ดวงตาของเขาแดงกลำไปทั้งดวงเพราะกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา"พี่หญิง" พูดได้เพียงเท่านั้นหนิงเฉิงก็พุ่งตัวเข้ามากอดจือลู่ไว้แน่น แล้วปล่อยโฮออกมาเสียงดัง ต่อให้เก่งหรือฉลาดเพียงใด แต่เขาก็ยังเป็นเด็กที่อายุเพียงสิบสองหนาวเท่านั้น ย่อมเกิดความหวาดกลัวอยู่ในใจทั้งสองเมื่อปลอบประโลมกันแล้วก็แยกย้ายไปอาบน้ำเพราะพรุ่งนี้ยังต้องรีบขึ้นเขาก่อนฟ้าสว่าง จือลู่ล้มตัวลงนอน นางจ้องมองเพดานอย่างครุ่นคิด เหตุใดทะลุมิติมาถึงได้เจอแต่เรื่องวุ่นวายเช่นนี้ เหตุใดไม่ไปเกิดในวังหลวงมีทาสรับใช้ให้สบาย
"รับเงินมาแล้วอย่างไร เจ้าก็คืนเงินพ่อหม้ายจงไปเสียก็สิ้นเรื่อง" ชาวบ้านพูดขึ้น"เรื่องภายในครอบครัวของข้าพวกเจ้ายุ่งอันใดด้วย" นางกงซื่อเถียงขึ้นอย่างไม่ยินยอม"ท่านปู่ผู้นำได้โปรดช่วยพวกข้าสองคนพี่น้องด้วยขอรับ" หนิงเฉิงคุกเข่าลงต่อหน้าผู้นำหมู่บ้าน"หากท่านป้าสะใภ้ยังต้องการขายพี่สาวข้าให้พ่อหม้ายจง เช่นนั้นพวกข้าขอออกจากตระกูลจางและจะเปลี่ยนไปใช้แซ่จ้าวของท่านแม่แทนขอรับ" จือลู่เงยหน้ามามองน้องชายอย่างตกใจ มิใช่แค่นางทุกคนก็ตกใจเพราะไม่คิดว่าหนิงเฉิงจะกล้าพูดเรื่องออกจากตระกูลขึ้นมา อาจจะเป็นเพราะเขาอดทนมามากพอแล้ว หรือสงสารที่พี่สาวต้องได้รับความอยุติธรรมจากคนในครอบครัว"เจ้าคิดดีแล้วหรือเฉิงเออร์" ผู้นำหมู่บ้านถามเขาอย่างจริงจังเพราะไม่รู้ว่าจะช่วยเหลือทั้งคู่ด้วยวิธีใด หากพูดถึงเรื่องแต่งงานก็สมควรจะเป็นผู้อาวุโสในเรือนเป็นคนจัดการ แต่นางกงซื่อก็ทำกับหลานเกินไปที่เลือกคนเช่นพ่อหม้ายให้นาง"ข้าคิดดีแล้วขอรับ" หนิงเฉิงกัดฟันแน่นก่อนที่จะเอ่ยออกมา เขายอมให้พี่สาวแต่งออกไปกับพ่อหม้ายไม่ได้ "ได้ ไปเรียกต้าอู๋มา" นางกงซื่อจะเอ่ยแย้งก็ไม่กล้า เพราะสายตาที่เอาจริงของผู้นำหมู่บ้านคอย
"พักกินอะไรเสียก่อนเถิด" นางบอกหนิงเฉิงที่ก้มๆเงยๆหาของป่าอยู่ทั้งคู่นั่งพักที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ก่อนจะหยิบของในตะกร้าออกมาแล้วแบ่งกันกิน หนิงเฉิงที่ไม่เคยกินของเหล่านี้มาก่อนก็กินอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งคุกกี้ ขนมปัง หนิงเฉิงกินไปมากกว่าจือลู่เสียอีก จือลู่ก็เริ่มจะเก็บของกลับลงตะกร้าเพื่อจะเดินย้อนกลับไปทางเดิม มือของนางก็กิ่งไม้เล็กๆที่โผล่ขึ้นมาจากดินเข้า เมื่อนางลองใช้มือแหวกกองใบไม้ออกก็พบถังเช่าที่อยู่ด้านใต้ จือลู่ที่ยังไม่แน่ใจก็หยิบเครื่องมือที่อยู่ในตะกร้าออกมาขุดดินรอบๆทันที"เฉิงเออร์ พวกเรารอดตายแล้ว" นางชูสิ่งที่อยู่ในมือขึ้นแล้วร้องออกมาอย่างดีใจ"กิ่งไม้เล็กเพียงนี้ ท่านจะนำไปทำอันใด" หนิงเฉิงที่ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในมืองของจือลู่ล่ำค่าเพียงใดก็เอ่ยขึ้นอย่างสงสัย"นี่คือสมุนไพร เรียกว่าหญ้าหนอน" จือลู่อธิบายให้น้องชายฟัง ว่าราคาแพงกว่าโสมเสียอีกหนิงเฉิงที่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในมือพี่สาวแพงกว่าโสมก็รีบช่วยนางขุดหาอย่างรวดเร็ว จือลู่สอนให้หนิงเฉิงขุดขึ้นมาอย่างถูกวิธี เพื่อไม่ให้ถังเช่าได้รับความเสียหาย ถังเช่าที่นางพบมีขนาดใหญ่กว่าที่นางเคยเห็นในภพของนางเสียอีก จึงทำให้ขุดได