"พรุ่งนี้ขึ้นเขาไปดูเสียก่อนว่ายังมีอีกหรือไม่ แล้วข้าค่อยเข้าเมืองไปคุยกับท่านหมอโยว" ท่านผู้นำจึงได้ขอตัวกลับไปเรียกชาวบ้านมารวมตัวเพื่อจะแจ้งเรื่องที่พาขึ้นเขาหาหญ้าหนอน
"พวกเจ้าสองพี่น้องนับว่ามีบุญคุณช่วยให้ชาวบ้านผ่านหน้าหนาวนี้ไปได้แล้ว" เพราะชาวบ้านได้แต่ทำไร่ และหาผักป่าไปขาย ในช่วงหน้าหนาวผู้เฒ่าและเด็กเล็กจึงมักเสียชีวิตลง
ก่อนฟ้าจะสว่างจือลู่และลู่เสียนก็เตรียมตัวพร้อมอยู่ที่หน้าเรือน แต่ชาวบ้านมารวมตัวกันเร็วกว่าสองพี่น้องเสียอีก
"ท่านลุง ท่านป้าทั้งหลายเจ้าคะ ข้าขอพูดกับพวกท่านเสียก่อน" จือลู่กล่าวด้วยเสียงอันดัง
จือลู่นางบอกเรื่องที่อาจจะมีหญ้าหนอนไม่มาก และนางอยากให้ทุกคนช่วยกันเก็บแล้วขายเพื่อนำเงินมาแบ่งกัน เพราะจะได้ไม่เกิดปัญหาการแย่งชิง
"ข้าและเฉิงเออร์หวังว่าพวกท่านจะไม่ต่อว่าข้าสองคนพี่น้องหากพบน้อยหรือไม่พบเลย" ทั้งคู่ก้มศีรษะลงเพื่อขอโทษทุกคนล่วงหน้า จากนั้นทั้งหมดก็เดินขึ้นเขาไปอย่างมีความหวัง เสียงด่าทอพึมพำของนางกงซื่อที่ต่อว่าสองพี่สองก็ได้ยิน
"นางกงซื่อหากเจ้ายังไม่หยุดพูดก็กลับเรือนไปเสีย" ผู้นำหมู่บ้านตวาดนางกงซื่อ ชาวบ้านก็ส่งเสียงต่อว่าจนนางกงซื่อต้องสงบปากสงบคำของตนเอง แต่ก็ยังส่งสายตาอาฆาตมาทางสองพี่น้องอยู่เนื่องๆ
เมื่อถึงบริเวณที่จือลู่และหนิงเฉิงขุดไว้ ก็ชี้ให้ชาวบ้านช่วยถางใบไม้บริเวณนั้นออก
"ค่อยๆนะเจ้าคะ" เพราะหญ้าหนอนจะโผล่พ้นดินขึ้นมานางจึงให้ทุกคนใช้ความระมัดระวัง
"ทุกคนมาดูตรงนี้เจ้าค่ะ" เมื่อถางใบไม้ออกก็พบหญ้าหนอนที่โผล่พ้นดินขึ้นมา จือลู่และหนิงเฉิงจึงแยกกันสอนชาวบ้านให้ขุด เมื่อเห็นว่าทุกคนทำได้แล้วก็ให้กระจายกันออกไปตามหา โดยมีบุรุษหนุ่มคอยช่วยดูสัตว์ป่าอย่างเสือและหมีที่อาจจะเกิดอันตรายด้วย
เพียงไม่นานทั้งหมดก็ขุดเสร็จ เพราะมีจำนวนไม่เยอะแล้ว นางกงซื่อที่แอบเก็บใส่ถุงข้างเอวก็ถูกชาวบ้านที่อยู่ใกล้จับได้ นางจึงถูกต่อว่า ผู้ใหญ่บ้านจึงให้ค้นตัวทุกคน แต่ไม่มีใครทำเช่นนางกงซื่อสักคน
เพราะหญ้าหนอนมีเพียงตะกร้าเดียว แต่ก็ไม่มีใครต่อว่าสองพี่น้องเลยสักคนมีแต่จะขอบคุณที่ช่วยเหลือพวกเขาครั้งนี้
ระหว่างทางที่กลับหมู่บ้าน จือลู่ก็พบต้นนุ่น อาจจะเป็นเพราะทุกครั้งตอนที่นางกับหนิงเฉิงลงจากเขา พวกนางมุ่งมั่นที่จะกลับอย่างเดียวจึงไม่มองรอบข้าง จือลู่แทบจะกรีดร้องขึ้นมาเพราะนางอยากได้หมอนที่นิ่มๆมานอนแทนหมอนไม้ที่ใช้หนุน
"เป็นอันใดไปลู่เออร์" ท่านย่าชุยภรรยาท่านผู้นำเอ่ยเรียกนางเมื่อเห็นนางมองต้นงิ้วอย่างดีใจ
"ท่านย่าข้าอยากได้ฝักแก่ของมันเจ้าค่ะ" จือลู่ชี้ไปที่ฝักนุ่นสีน้ำตาล
"เจ้าจะนำไปทำอันใด ขนของมันติดเสื้อผ้าน่ารำคาญนัก" นางพูดขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
จือลู่จึงบอกว่าขนสีขาวด้านในจะช่วยให้ทุกคนในหมู่บ้านผ่านหน้าหนาวไปได้ หากนำมันมายัดใส่เสื้อผ้าหรือผ้าห่ม ผู้นำหมู่บ้านที่เดินมาดูทั้งคู่ที่หยุดมองที่ต้นงิ้วได้ยินพอดี จึงเชื่อในคำของจือลู่ และสั่งให้บุรุษในหมู่บ้านช่วยกันตีฝักแก่ลงมา
สตรีที่นำตะกร้าขึ้นมาด้วยต่างก็ช่วยกันเก็บจนเต็ม และพากันลงเขาไป เมื่อถึงลานกลางหมู่บ้านหนิงเฉิงก็พาผู้นำหมู่บ้านไปล้างทำความสะอาดถังเช่า จือลู่ก็นำสตรีทั้งหมดมาแกะฝักนุ่น เด็กในหมู่บ้านก็ช่วยกันตีนุ่นที่แกะออกมาจากฝักเพื่อให้เม็ดหลุดออกมา
เมื่อเหลือแต่เส้นใยสีขาวนางก็นำไปตากไว้ก่อน และนัดแนะทุกคนว่าพรุ่งนี้จะมาตีเส้นใยอีกรอบ และให้ทุกคนเตรียมผ้าห่ม เสื้อกันหนาวไว้เพื่อจะยัดนุ่นที่ได้มาใส่เข้าไป
วันที่สองนางก็เริ่มพาสตรีในหมู่บ้านมาตีเส้นใยให้ฟูก่อนจะตากแดดอีกครั้ง หนิงเฉิงเข้าไปในเมืองกับผู้นำหมู่บ้านและบุรุษอีกสองสามคนเพื่อนำหญ้าหนอนไปขายที่ร้านหมอโยว หมอโยวให้ราคาเท่ากับที่สองพี่น้องนำมาขาย
แต่ครั้งนี้มีเพียงสองชั่งเท่านั้น ผู้นำหมู่บ้านรับเงินจากท่านหมอโยวด้วยมือที่สั่นเทา เพราะนึกไม่ถึงว่าจะได้เงินมากถึงหกพันตำลึงทอง เขาขอเป็นตั๋วเงินใบละหนึ่งร้อยตำลึงเงิน เพื่อไปแบ่งให้ทุกคนในหมู่บ้าน
หากแบ่งให้ทุกครัวเรือนที่ไปช่วยหาก็จะตกที่ครัวเรือนละสี่สิบตำลึงทองก็นับว่ามากมายอยู่ดี ชาวบ้านในหมู่บ้านไม่มีทางหาเงินได้มากถึงเพียงนี้ แม้แต่ผู้นำหมู่บ้านเองก็ด้วย
ก่อนกลับหมู่บ้านบุรุษที่เดินทางมาพร้อมกับผู้นำหมู่บ้านที่ได้รับเงินแล้วก็ขอตัวไปซื้อของกับเรือน หนิงเฉิงจึงไปซื้อผ้าให้จือลู่เพราะนางจะนำไปทำเป็นหมอน เขาจึงเลือกซื้อผ้าฝ้ายตามคำสั่งของพี่สาว
เมื่อกลับถึงหมู่บ้าน ชาวบ้านที่ไม่ยอมกลับเรือนต่างก็นั่งรอผู้นำหมู่บ้านกลับมาจากในเมือง เพียงแค่เห็นเกวียนวัวเข้ามามากถึงสามคันรถต่างก็แปลกใจ พอเห็นว่าคนที่นั่งมาเป็นคนที่ไปกับผู้นำหมู่บ้านต่างก็แย่งกันสอบถาม
พอรู้ว่าตนได้เงินมากถึงสี่สิบตำลึงทองบางคนโห่ร้อง บางคนร้องไห้ออกมาอย่างยินดี ทุกคนจึงได้เข้ามาขอบคุณสองพี่น้องที่ช่วยให้พวกเขาได้เงินก้อนนี้ แต่ก็คงมีเพียงนางกงซื่อและต้าอู๋ที่ดูเหมือนจะไม่พอใจ จือลู่กับหนิงเฉิงเป็นหลานของตนหากมาบอกแค่ตนเงินทั้งหมดก็คงเป็นของพวกเขาไปแล้ว
แต่ในตอนนี้จะทำอันใดได้ ชาวบ้านรวมถึงผู้นำหมู่บ้านล้วนอยู่ข้างสองพี่น้อง หากพวกตนทำอันใดสองพี่น้องคงได้ถูกขับออกจากหมู่บ้านแน่ หากนางกงซื่อรู้ว่าสองพี่น้องซื้อเรือนในเมืองจะอิจฉามากเพียงใด
เมื่อเสร็จเรื่องทั้งหมด ผู้นำหมู่บ้านจึงชวนจือลู่ให้อยู่ทานข้าวที่เรือนของตน สองพี่น้องก็มิได้ปฏิเสธ จือลู่เห็นบุตรสาวคนเล็กของท่านปู่ชุยกำลังเย็บผ้าคลุมหน้านางจึงเดินเข้าไปดูอย่างสนใจ"พี่เหมยท่านกำลังปักอันใดหรือ" "ข้ากำลังปักผ้าคลุมหน้า" นางแสดงสีหน้าเขินอาย"เหมยเออร์ใกล้ออกเรือนแล้ว เงินที่ขายหญ้าหนอนมาได้ข้าก็จะแบ่งให้เป็นสินเดิมของนาง" ย่าชุยพูดขึ้น ท่านปู่ชุยมีบุตรชายที่ออกเรือนแล้วสองคนนำว่าเรือนตระกูลชุยของเขาได้เงินถึงหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึงทอง"ขอบใจเจ้ามากลู่เออร์" ชุยเหมยจับมือของจือลู่ไว้"ข้ามีเรื่องจะขอความช่วยเหลือจากท่านย่าชุยด้วยเจ้าค่ะ" จือลู่เอ่ยขึ้น เพราะนางอยากหาคนเย็บหมอนให้นาง แต่นางไม่รู้ว่าจะขอให้ใครช่วยลำพังให้นางทำเองก็คงจะเย็บไม่ได้แน่"เรื่องอันใด มีสิ่งใดที่ข้าจะช่วยเจ้าได้" พ่อท่านย่าชุยได้ยินก็หัวเราะอย่างขบขัน นางรีบให้จือลู่นำผ้ามาให้นางทันที จือลู่ส่งผ้าให้และบอกว่านางต้องการหมอนขนาดเท่าใด และนางขอให้เย็บให้นางถึงสี่ใบ ท่านย่าชุยจะช่วยเย็บผ้าห่มให้นางด้วยแต่นางปฏิเสธไปและจะนำนุ่นไปยัดใส่เอง เพราะนางให้ทางร้านผ้าในเมืองทำผ้าห่มไว้ให้นางแล้วทั้งหมดก
เพราะไม่คิดว่าหญิงสาวชาวบ้านเช่นนางจะก่อฟืนแล้วจะมีสภาพเช่นนี้ หนิงเฉิงจึงเอ่ยถามถึงเรื่องหาซื้อคนกับท่านหมอโยว"เรื่องนี้ข้าจัดการให้ พวกเจ้าอยากได้กี่คน" ทั้งสองสบตากันอย่างไม่รู้ว่าจะหาคนกี่คนดี หมอโยวจึงโบกมือ เขาเรียกบ่าวที่ติดตามเข้ามาและสั่งให้ไปหาคนมาหนึ่งครอบครัว"หาคนจากที่ใดเจ้าคะ" จือลู่ถามขึ้นอย่างสงสัย"ทาสหลวงมีขายอยู่ที่ตลาดค้าทาส พวกเจ้าไม่เหมาะที่จะเข้าไปให้คนของข้าไปจัดการก็พอ" จือลู่ลืมไปเลยว่ายุคนี้ยังมีการซื้อขายทาสกันอยู่ นางจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ แม้จะไม่อยากได้ทาสแต่ก็คงต้องยอมรับตามวิถีของคนยุคนี้ผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วยามบ่าวของท่านหมอโยวก็พาคนมาหกคน มีบุรุษสามคนและสตรีสามคน "มากถึงเพียงนี้เลยหรือเจ้าค่ะ"จือลู่เอ่ยขึ้น"ไม่มาก ไม่มาก เรือนของเจ้าใหญ่โต มีคนช่วยเท่านี้ก็นับว่าเพียงพอ" หมอโยวส่งหนังสือสัญญาให้จือลู่ นางจึงให้หนิงเฉิงนำเงินมาให้ท่านหมอโยว เมื่อเห็นว่าหมดเรื่องท่านหมอโยวจึงได้ขอตัวกลับไป "พวกท่านลุกขึ้นเถิดเจ้าค่ะ" จือลู่กล่าวอย่างเกรงใจ เพราะพวกเขาล้วนอายุมากกว่านางกับน้องชายเสียอีก คงมีเพียงบุตรทั้งสองชายหญิงที่มีอายุใกล้เคียงกับทั้งคู่แต่ก็มา
จือลู่ยังอยู่ร่วมงานจนส่งเจ้าสาว ตอนที่เจ้าสาวถูกพาไปขึ้นเกี้ยวลมก็พัดจนผ้าคลุมหน้าเปิดขึ้น เจ้าบ่าวรวมถึงคนที่ได้เห็นก็ล้วนแต่ตกตะลึงในความงาม เมื่อรู้ว่าคนที่แต่งหน้าให้เจ้าสาวเป็นจือลู่ต่างก็พากันพูดคุยสอบถามและอยากจะขอให้นางมาช่วยแต่งหน้าให้บุตรหลานของตนจือลู่มิได้รับปาก นางเพียงบอกหากมีนางว่างนางจะมาแต่งหน้าให้ นับจากนั้นเรื่องฝีมือการแต่งหน้าของจือลู่ก็ถูกพูดปากต่อปาก เพราะชุยเหมยแต่งออกไปอยู่ในเมืองกับบุตรชายเจ้าของร้านขายข้าวนับตั้งแต่ที่จือลู่ย้ายมาอยู่ที่จวนใหม่นางก็เริ่มรู้จักกับคนที่อาศัยอยู่ที่เรือนใกล้ๆกับนาง ท่านป้าข้างบ้านชอบนำของกินมาฝากนางและเริ่มจะบ่นเรื่องบุตรชายที่เป็นคนคุ้มกันภัยสินค้าให้ฟัง"อาชางของข้า ยังมิยอมแต่งสะใภ้เสียที" นางทนฟังอยู่ทุกวัน ตอนแรกป้าข้างบ้านก็มาทาบทามนางให้บุตรชาย แต่นางยังมิคิดจะออกเรือนจึงได้ปฏิเสธไป"ท่านป้าให้ข้าช่วยหาให้ดีหรือไป" จือลู่เอ่ยปากพูดออกไป เพราะนางอยากจะขอตัวกลับเข้าเรือนแล้วเท่านั้น"จริงหรือลู่เออร์ เช่นนั้นป้าจะรอ" จากนั้นนางก็เดินกลับเรือนของนางไปอย่างสบายใข จือลู่ก็ไม่ได้คิดสิ่งใด นางเพียงพูดออกไปเท่านั้น แล้วนางจะ
แต่จือลู่ที่ไม่คิดว่าตนจะต้องออกเรือนก็ไม่ได้คิดอันใดตั้งแต่แรก เพียงอยากหาสิ่งใดทำ นางที่เป็นแม่สื่อ แถมยังได้แต่งหน้าเจ้าสาวในอาชีพที่นางรักอีกนับว่าอาชีพนี้ก็ไม่ได้แย่เกินไป หากป้าจูไม่เอ่ยเตือนนางเสียก่อนนางคงไม่ได้บอกป้าจิ่วในเรื่องนี้เงินก้อนแรกที่นางได้จากป้าจิ่วเป็นเงินห้าสิบตำลึงนับว่ามากนัก หากเทียบกับค่าจ้างของแม่สื่อคนอื่น หนิงเฉิงเห็นพี่สาวมีความสุขจึงไม่ได้เอ่ยห้าม บ่าวในเรือนก็ช่วยคุณหนูของตนเช่นกันจือลู่อายุล่วงเข้าสู่วัยปักปิ่น นางจัดเลี้ยงขึ้นภายในจวนเท่านั้น โดยมีป้าจูเป็นคนช่วยปักปิ่นให้นาง เพราะนางไม่ได้สนใจเรื่องความเป็นนายหรือบ่าวอาเยว่เมื่อแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้ตระกูลจิ่วนางก็เปิดร้านขายของต่างถิ่นดั่งเช่นที่จือลู่ได้เคยแนะนำให้กับท่านป้าจิ่วไว้ กิจการของนางค้าขายได้กำไรงาม จนสหายของป้าจิ่วที่กำลังมองลูกสะใภ้ต่างก็สอบถามว่านางหาลูกสะใภ้เช่นนี้จากที่ใดป้าจิ่วจึงได้แนะนำจือลู่ให้ทุกคนได้รู้จัก แต่นามที่นางใช้เป็นแม่สื่อคือ 'อ้ายเสิ่น' (กามเทพ) ทุกครั้งที่นางออกไปพบฮูหยินทั้งหลายเพื่อสอบถามความต้องการของแต่ละคนนางจะปิดบังใบหน้าตนเองอยู่เสมอ ถึงจะเปิดใบหน้าให้ได้เ
อาจจะเป็นเพราะแววตาของเด็กน้อยทั้งคู่ทำให้นางอดสะท้านในใจไม่ได้ จือลู่จึงได้ซื้อคนทั้งหมดกลับจวนไปด้วยในวันนั้น นางยังให้พ่อบ้านฉินกับท่านป้าจูจัดการเรื่องเครื่องใช้เสื้อผ้าที่อยู่ให้ทุกคนด้วยทั้งหมดสิบห้าชีวิตรวมถึงเด็กน้อยทั้งสอง มิคิดว่าตนเจ้านายคนใหม่จะซื้อพวกตนทั้งหมด และยังให้ที่พัก รวมถึงเครื่องนอน เสื้อผ้าใหม่ทั้งหมดแก่พวกเขาเมื่อกลับถึงจวนนางก็ไม่ได้เรียกพวกเขาให้เขามาพบ เพียงให้พวกเขาแยกย้ายไปพักตามที่ป้าจูจัดให้"อีกสองวันค่อยมาพบข้า หากมีใครที่เจ็บป่วยให้รีบแจ้งพ่อบ้านฉินหรือพี่เทียนทันทีนะเจ้าค่ะ" ก่อนที่นางจะให้พวกเขาแยกย้ายไปจัดแจงเรื่องของตนนางก็ให้พวกเขาไปกินข้าวเสียก่อน โดยให้ภรรยาของหัวหน้าใช้ของในครัวได้เต็มที่ "พวกท่านกินข้าวเสียก่อน พี่สาวท่านทำอาหารได้ใช่หรือไม่""ได้เจ้าค่ะ" ภรรยาหัวหน้าผู้คุ้มกันภัยเอ่ยกับจือลู่"ของในครัวไม่ว่าจะข้าว หรือเนื้อท่านใช้ได้เต็มที่ ข้าไม่หวงของกิน" เมื่อกล่าวจบ จือลู่ก็เรียกเด็กน้อยทั้งสองไว้ และส่งของว่างของนางให้ทั้งคู่ได้กิน"ท่านไปทำอาหารเถิด ปล่อยให้พวกเขาอยู่เล่นเป็นเพื่อนข้าก่อน" จือลู่บอกกับมารดาของเด็กน้อย"พวกเจ้ามีน
สาวใช้มิได้พูดอันใด นางพาจือลู่ไปยังห้องรับรองที่ใช้แต่งหน้า"มาแล้วหรือ แม่นางเสิ่น เจ้าพบอาหยางแล้วหรือยัง" ฮูหยินท่านเจ้าเมืองที่นั่งรออยู่ภายในห้องก็เอ่ยถามขึ้น"เพียงมองจากด้านนอกเท่านั้นเจ้าค่ะ" จือลู่ตอบตามความจริง"ข้าอยากให้เจ้าช่วยหาภรรยาที่เหมาะสมกับอาหยางให้" จือลู่จึงพยักหน้ารับว่านางเข้าใจแล้วอาหยางที่ฮูหยินท่านเจ้าเมืองเรียกคือ หลานชายของนางที่มาจากเมืองหลวง ท่านแม่ของเว่ยหยาง เป็นน้องสาวของฮูหยินท่านเจ้าเมือง มารดาของเขากังวลเรื่องที่บุตรชายไม่ยอมหาลูกสะใภ้ให้นาง พอนางจัดงานเลี้ยงน้ำชาเพื่อดูตัวบุตรชายก็ปฏิเสธเสียทุกครั้งจึงจนใจไม่รู้จะจัดการเช่นใด เมื่อเว่ยหยางต้องเดินทางมาเรื่องงานที่เมืองเป่ยหาน และได้รู้จากพี่สาวว่ามีแม่สื่อมือทองที่เมืองเป่ยหาน นางจึงฝากจดหมายมาให้ฮูหยินท่านเจ้าเมืองช่วยเหลือ"เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ แล้วนิสัยของคุณชายเว่ยเป็นเช่นไรเจ้าคะ"ฮูหยินท่านเจ้าเมืองถอนหายใจก่อนจะเล่าเรื่องหลานชายให้จือลู่ฟัง เว่ยหยาง บุรุษหนุ่มวัยยี่สิบสี่หนาว สนใจเพียงเรื่องตำราและวรยุทธ แม้แต่สตรีที่งามล่มเมืองก็ยังไม่ปรายตามองเมื่อฟังจบจือลู่ก็ขมวดคิ้ว "มีเพียงเท่านี้หรื
"คุณหนูมีเรื่องอันใดหรือขอรับ หรือมีคนลอบติดตามท่าน" หนานซงถามขึ้นอย่างกังวล"ข้าไม่รู้พี่ซง เพียงแค่ป้องกันไว้ก่อน" หนานซงรีบขับรถม้าไปที่ร้านอ้ายเสิ่นทันที"คุณหนูมีคนตามท่านมาขอรับ" หนานซงที่หางตาของเขาเห็นคนใช้วิชาตัวเบาติดตามรถม้ามาจึงเอ่ยขึ้น"ขับไปเช่นปกติ อย่าแสดงพิรุธ" เมื่อถึงหลังร้าน จือลู่ก็ลงจากรถม้าแล้วเข้าไปข้างในทันที หนานซงก็ขับรถม้าไปวนรอบเมืองตามที่จือลู่บอก แต่คนที่ติดตามไม่ได้ตามเขามา เขาจึงรีบเร่งกลับไปแจ้งให้หนานกงไปหาจือลู่ที่ร้านทันทีจือลู่เมื่อเข้าไปในร้านนางก็เข้าไปที่ห้องพักของนางแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ แต่งหน้าใหม่โดยครั้งนี้นางเปิดใบหน้าทำทีเหมือนเป็นหญิงสาวที่มาใช้บริการที่ร้านอ้ายเสิ่นเดินออกจากร้านไป เสี่ยวจินที่รอว่าจือลู่จะออกมาหรือไม่ พอเห็นว่าร้านปิดแล้วนางไม่ได้กลับออกมาอีก จึงรีบกลับไปแจ้งเว่ยหยางว่าจือลู่นางพักอยู่ที่ร้าน"คุณชาย แม่นางเสิ่นพักที่ร้านขอรับ" เว่ยหยางที่ได้ยินก็เคาะนิ้วกับโต๊ะอย่างใช้ความคิด"มีผู้ใดออกจากร้านหรือไม่" เว่ยหยางเงียบไปนานก่อนที่จะถามขึ้น"มีคุณหนูหลายท่านที่ออกมาจากร้าน แต่ก่อนที่ร้านจะปิดมีท่านหนึ่งเดินออกมาจา
เว่ยหยางที่หันมาสบตาตอนที่จือลู่กำลังมองน้องชายอย่างชื่นชมพอดี เมื่อจือลู่หันไปเห็นเช่นนั้นนางก็เผลอถลึงตาใส่เว่ยหยาง พอเห็นสายตาของเว่ยหยางเปลี่ยนไปนางก็รีบหันหน้าหนีทันที"ข้าต้องเห็นหยกอีกชิ้นก่อนถึงจะบอกพวกเจ้าได้" เว่ยหยางหันกลับมาสนใจหนิงเฉิง"ข้าขอบอกท่านตามตรง สินเดิมที่ติดตัวท่านแม่มา ท่านลุงใหญ่กับท่านป้าสะใภ้ล้วนแล้วแต่เก็บไปเสียหมด ข้าไม่รู้ว่านางขายไปแล้วหรือยัง" เว่ยหยางที่ได้ยินเช่นนั้นก็เกิดความตึงเครียดขึ้นมา หากไม่มีหยกอีกชิ้นก็ไม่อาจยืนยันอันใดได้"เช่นนั้นพวกเจ้าพาข้าไปพบท่านลุงของพวกเจ้าได้หรือไม่" "ไม่ได้" ก่อนที่หนิงเฉิงจะพูดอันใด จือลู่ก็เอ่ยแทรกออกมา"พวกข้าทำหนังสือตัดขาดกับท่านลุงแล้ว อีกอย่างหากใครไปวุ่นวายกับอีกฝ่ายต้องเสียเงินสองร้อยตำลึง ข้าไม่อยากจ่าย" ความจริงคือจือลู่ไม่อยากไปตามหาหยกที่ไม่รู้ว่ามีจริงหรือไม่ หากพวกเขาอยากหาก็ให้ไปหากันเอง"เช่นนั้นเจ้าบอกเรือนของท่านลุงเจ้ากับข้า" หนิงเฉิงจึงอาสาพาไป แต่เขาจะรออยู่ที่เรือนของท่านปู่ชุย จือลู่มองค้อนน้องชายที่ยุ่งไม่เข้าเรื่อง น้องชายนางไปแล้วนางจะไม่ไปได้อย่างไร ทั้งหมดจึงนัดกันว่าจะไปพรุ่งนี้แทน
ภายในคุกที่ว่าการเมืองเป่ยหาน ต้าอู๋และนางกงซื่อมิรู้ว่าพวกตนถูกจับมาได้อย่างไร ชินอ๋องที่ยืนมองทั้งคู่อยู่ภายนอก ก็เดินปรากฏตัวเขาไปด้านในต้าอู๋และกงซื่อเมื่อรู้ว่าผู้มาเยือนคนใหม่คือชินอ๋องสามีที่แท้จริงของจ้าวเหยียนก็รีบคุกเข่าโขกศีรษะอย่างร้อนตัวชินอ๋องพูดเรื่องที่ทั้งคู่ทุบตีจือลู่และหนิงเฉิงทั้งยังจะยกจือลู่ให้พ่อหม้ายจง ต้าอู๋กับนางกงซื่อเงยหน้ามองชินอ๋องอย่างแปลกใจ แม้นางกงซื่อจะเคยคิดเช่นที่ชินอ๋องพูด แต่นางก็ไม่ได้ทำและไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้มาก่อนชินอ๋องมิรอฟังคำแก้ตัวของต้าอู๋และนางกงซื่อ เขาสั่งให้ทหารโบยทั้งคู่คนละสามสิบไม้ก่อนจะเนรเทศไปใช้แรงงานที่เหมืองทางตอนใต้ของแคว้นขบวนเดินทางของชินอ๋องเสียเวลาอยู่ที่เมืองเป่ยหานเพียงห้าวันเท่านั้น นอกจากที่เขาจัดการเรื่องของต้าอู๋และนางกงซื่อแล้ว ยังให้จือลู่จัดการเรื่องร้านค้าของนาง และเติมสินค้าอย่างเต็มที่หลังจากออกเดินทางจากเมืองเป่ยหานมาได้ห้าวันก็ถึงเมืองเป่ยโจว จือลู่นางต้องไปอยู่ที่จวนของเว่ยหยาง แต่เพราะต้องปรับปรุงจวนเสียใหม่นางกับเว่ยหยางจึงอาศัยอยู่ในตำหนักเสียก่อนผ่านมาได้ครึ่งปีเรื่องมงคลของตำหนักอ๋องก็มีมาเยือน เ
วันต่อมา จือลู่ถูกปลุกตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง จ้าวเหยียนก็มาที่เรือนของนางเพื่อช่วยนางแต่งตัว วันงานจือลู่มิได้แต่งหน้าเอง แต่คนที่แต่งให้ก็เป็นมือหนึ่งในร้านอ้ายเสิ่นของนาง นับว่าฝีมือที่แต่งออกมาใกล้เคียงกับของจือลู่ยิ่งนักจ้าวเหยียนเป็นคนหวีผลให้จือลู่และสวมผ้าคลุมหน้าให้นาง จ้าวเหยียนหันไปปาดน้ำตา เพราะเป็นงานมงคลไม่อาจหลั่งน้ำตาออกมาได้"ลู่เออร์ ไม่ว่าเจ้าจะออกเรือนไปแล้ว อย่างไรก็เป็นลูกของข้าอยู่เสมอ" จือลู่เงยหน้ามองจ้าวเหยียนที่ดวงตาแดงก่ำจากการกลั้นน้ำตาไว้"ท่านแม่ ท่านก็คือมารดาของข้าเช่นกันเจ้าค่ะ" คำพูดของนางหากคนนอกฟังอาจจะดูแปลกๆ แต่สองคนแม่ลูกล้วนเข้าใจกันอย่างดี จือลู่กอดเอวของจ้าวเหยียนแน่น ก่อนจะปล่อยให้นางได้ออกไปจัดการเรื่องด้านหน้าตำหนักเสียงฆ้องดังมาแต่ไกล ขบวนเจ้าบ่าวที่มารับเจ้าสาวยาวเหยียดจะมองไม่เห็นท้ายขบวน สินเดิมของเจ้าสาวที่กองไว้เพื่อนำออกจากตำหนักก็มากมายเสียทำให้คนอิจฉาตาร้อนเว่ยหยางพาจือลู่คำนับชินอ๋องกับจ้าวเหยียนก่อนจะพานางออกไปจากตำหนัก หนิงเฉิงแบกพี่สาวไปส่งที่เกี้ยวแปดคนหามหลังงาม จ้าวเหยียนยืนมองส่งจือลู่ด้วยดวงตาที่เอ่อไปด้วยน้ำตา ชินอ๋องจึ
ชินอ๋องเมื่อเห็นจ้าวเหยียนปลอดภัยแล้ว นางเพียงหลับไปเพราะอ่อนเพลียจึงได้ออกมาดูบุตรทั้งสาม ก็เห็นว่าจือลู่และหนิงเฉิงเฝ้าน้องของพวกเขาอยู่"ท่านพ่อ ดูน้องของข้า เหตุใดถึงได้น่าเกลียดเช่นนี้ขอรับ" หนิงเฉิงใช้นิ้วจิ้มไปที่หน้าน้องสาวคนเล็กเบาๆ ด้วยความเอ็นดู ส่วนน้องชายทั้งสองล้วนแล้วแต่น่าเกลียดในสายตาของเขา"ตอนเจ้าเกิดเจ้าก็น่าเกลียดเช่นนี้" จือลู่หยอกเย้าน้องชายของตน นางก็กำลังเขี่ยแก้มของเด็กแฝดทั้งสามชินอ๋องมองลูกทั้งสามที่นอนหลับอยู่อย่างรักใคร่ ก่อนที่เขาจะอุ้มบุตรสาวคนเล็กขึ้นมา "ฉีซิงเยียน""ซิงเยียน น้องต้องงดงามกว่าพี่หญิงแน่นอนขอรับ" หนิงเฉิงพูดขึ้น จือลู่หันไปมองสองพ่อลูกที่เห่อน้องสาวคนเล็กของบ้านอย่างเอือมๆแฝดคนโตชื่อ หนิงเทียน คนรองชื่อหนิงหวง ทั้งคู่มีคำว่าหนิงเช่นเดียวกับพี่ชายของเขา"ท่านพี่ ลูกเล่าเจ้าคะ" กว่าจ้าวเหยียนจะตื่นก็เข้าสู่อีกวันแล้ว นางลืมตาก็ถามหาบุตรทั้งสามที่นางเพิ่งคลอด เพราะก่อนที่จะหมดสติไปนางรู้เพียงว่าเด็กทั้งสามล้วนแล้วแต่แข็งแรงดีชินอ๋องให้แม่นมพาบุตรทั้งสามเข้ามาให้จ้าวเหยียนได้ดู และบอกนางถึงชื่อที่เขาตั้งให้บุตรทั้งสาม"เจ้าพักผ่อนเสียให้
เว่ยหยางรีบกลับจวนพร้อมนำข่าวไปแจ้งให้บิดามารดาส่งแม่สื่อไปที่ตำหนักอ๋องข่าวเรื่องที่ตระกูลเว่ยส่งแม่สื่อล่วงรู้ไปถึงองค์ชายรอง ก่อนที่เขาจะออกจากวังไปจัดการกับเว่ยหยางก็โดนฮ่องเต้เรียกตัวเข้าพบ"เจ้ารอง เจ้ามั่นใจมากเพียงใดที่จะจัดการกับแม่ทัพเว่ย" ฮ่องเต้ยกชาขึ้นดื่มอย่างใจเย็น เหมือนเรื่องที่พระองค์ถามบุตรเป็นเพียงเรื่องดินฟ้าอากาศ"เสด็จพ่อ ท่านพระราชทานสมรสให้ลูกได้" เขาเอ่ยขึ้นอย่างเอาแต่ใจ"เจ้ากล้ามีเรื่องกับชินอ๋องใช่หรือไม่" ฮ่องเต้จ้องบุตรชายอย่างดุดัน"ลูก ลูก เสด็จพ่อเป็นถึงฮ่องเต้ ชินอ๋องจะมีอำนาจมากกว่าท่านได้อย่างไร""โง่เขลานัก" ฮ่องเต้ขว้างถ้วยน้ำชาลงพื้นอย่างมีโทสะ"หากน้องห้าต้องการบัลลังก์ เจ้าคิดหรือว่าเจิ้นจะได้นั่งเช่นทุกวันนี้" เพราะน้องชายของเขามิคิดจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ และช่วยเหลือเขาจนได้นั่งบัลลังก์เช่นทุกวันนี้ เรื่องทุกเรื่องชินอ๋องไม่เคยยื่นมือเข้ามายุ่ง หากพระองค์เข้าไปจัดการเรื่องในตำหนักคงได้เกิดปัญหาแน่"หากเจ้ายังคิดว่าตนเองต่อกรได้ เจิ้นก็ไม่ห้าม ไม่ว่าเกิดอันใดขึ้นเจิ้นมิอาจช่วยเหลือเจ้าได้""เสด็จพ่อ" องค์ชายรองตกใจ เพราะไม่ว่าสิ่งใดเสด็จพ่อเสด็จแ
ฮองเฮาที่ต้องการผูกสัมพันธ์กับชินอ๋องจึงอยากได้จือลู่มาเป็นพระชายาให้กับองค์ชายรอง เพราะฮ่องเต้ย่อมถามความคิดเห็นของชินอ๋องเรื่องแต่งตั้งองค์รัชทายาทหากองค์ชายรองได้แต่งจือลู่ ชินอ๋องย่อมต้องเข้าข้างบุตรเขยของตนเพื่อให้บุตรสาวได้ขึ้นเป็นฮองเฮาในอนาคต เมื่อเห็นว่าชินอ๋องจะขอตัวกลับแล้ว ฮองเฮาจึงพูดเรื่องหมั้นหมายขึ้นมาอีกครั้ง"กระหม่อมยังมิคิดให้ลู่เออร์ออกเรือนพ่ะย่ะค่ะ" ชินอ๋องตัดบทด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ก่อนจะพาจ้าวเหยียนและบุตรทั้งสองกลับตำหนัก"ท่านพี่ข้าคิดว่าฮองเฮาคงไม่ยอมหยุดเรื่องของลู่เออร์" จ้าวเหยียนเอ่ยด้วยความกังวล"มีข้าอยู่นางจะทำอันใดได้" ชินอ๋องกอดปลอบจ้าวเหยียน เขามองออกไปด้านนอกหน้าต่างรถม้าอย่างใช่ความคิดเว่ยหยางที่รู้เรื่องฮองเฮาต้องการทาบทามจือลู่ให้องค์ชายรองก็ร้อนใจจนมาที่ตำหนักอ๋องแต่เช้า"เปิ่นหวางไม่ได้เรียกเจ้ามิใช่หรือท่านแม่ทัพเว่ย" เขาปรายตามองบุรุษหน้าหนาที่ร้อนใจมาที่ตำหนักแต่เช้า"กระหม่อมมีเรื่องอยากทูลพระองค์พ่ะย่ะค่ะ" ชินอ๋องเดินนำเว่ยหยางไปที่ห้องตำรา เพราะเขารู้ดีว่าเว่ยหยางมาด้วยเรื่องอันใด"ว่ามา" ชินอ๋องนั่งลงแล้วเอ่ยถามโดยไม่ได้หันไปมองเว่ย
วิญญาณดวงใหม่เข้ามาแทนที่ ชินอ๋องจ้องมองภาพตรงหน้าอยากแปลกใจ เมื่อจือลู่ที่มาจากอีกภพลืมตาขึ้น สิ่งที่นางพึมพำออกมาชินอ๋องรู้ได้ทันทีว่านี่คือจือลู่ที่มาอีกภพหนึ่ง"ท่านพี่ ท่านพี่" เสียงเรียกของจ้าวเหยียนปลุกให้ชินอ๋องตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายของเขา"เหยียนเหยียน" ชินอ๋องลูบไปที่ใบหน้าของนาง ก่อนจะดึงนางเข้ามาสวมกอดแล้วร้องไห้เงียบๆ"ท่านเป็นอันใดไปเจ้าคะ ฝันเรื่องอันใดถึงได้เป็นเช่นนี้" จ้าวเหยียนมองชินอ๋องอย่างไม่เข้าใจ เพราะเขาทั้งร้องไห้ทั้งตะโกนจึงทำให้นางตื่นขึ้นมาชินอ๋องเล่าเรื่องความฝันของเขาให้จ้าวเหยียนฟัง พอถึงตอนที่ต้องเสียน้องและจือลู่เสียงของเขาสั่นขึ้นด้วยความหวาดกลัว กลัวว่าจะเป็นเรื่องจริง"ท่านพี่หากข้าบอกว่าเรื่องทั้งหมดที่ท่านฝันคือเรื่องจริงท่านจะเชื่อหรือไม่" จ้าวเหยียนจับใบหน้าของชินอ๋องแล้วจ้องมองเขาอย่างจริงจังนางเล่าเรื่องที่นางเสียชีวิตลง และได้ไปอยู่ที่ภพใหม่ แม้ชินอ๋องจะรู้แล้ว แต่เรื่องที่นางรู้ว่าเรื่องทั้งหมดของพวกเขาเป็นเพียงแค่นิยายเรื่องหนึ่งเท่านั้นแต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่นางจบชีวิตลงเป็นเช่นที่เขาเห็นความรันทดของบุตรทั้งสองเป็นเรื่องจริง ที่ครั้
เมื่อถึงห้องทรงอักษรของฮ่องเต้ หวังกงกงก็รีบพาชินอ๋องเข้าไปด้านใน ฮ่องเต้ที่เห็นน้องชายที่ไม่ได้พบหลายปีก็เรียกให้เข้าไปหาอย่างเร็ว แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะได้พูดคุยกัน เสียงร้องของเสียนเฟยที่ดังอยู่หน้าตำหนักก็ดังเข้ามาถึงด้านใน"พระองค์จะทำให้นางเงียบเสียงลงหรือให้กระหม่อมช่วยทำให้นางเงียบ" ชินอ๋องหมุนจอกน้ำชาเล่นแล้วถามด้วยเสียงเหนื่อยหน่าย"หวังกงกง" ฮ่องเต้รีบโบกมือให้หวังกงกงไปจัดการส่งเสียนเฟยกลับตำหนักและอย่าได้เสนอหน้ามาอีก"เกิดเรื่องอันใดขึ้นน้องห้า" ชินอ๋องเล่าเรื่องที่เสนาบดีเกาส่งมือสังหารไปลอบทำร้ายเขาและครอบครัวให้ฮ่องเต้ฟัง"เหอะ โง่เขลานัก" ฮ่องเต้สบถขึ้นเสียงดัง เพราะเหตุการณ์แย่งชิงบัลลังก์ทำให้เสนาบดีเการอดพ้นหายนะมาได้ แต่ดันหาเรื่องตายไม่เลิกฮ่องเต้เขียนพระราชโองการสั่งให้ประหารเสนาบดีเกา และยึดทรัพย์จวนเกาพร้อมทั้งเนรเทศคนในตระกูลทั้งหมด โทษฐานลอบสังหารเชื้อพระวงศ์เมื่อได้ยินราชโองการของฮ่องเต้ ชินอ๋องก็มีสีหน้าที่ดีขึ้น เขายังร่วมดื่มสุรากับพี่ชายอยู่นานสองนาน พูดคุยเรื่องที่ผ่านมาและเรื่องที่หาจ้าวเหยียนและบุตรทั้งสองพบกลับถึงตำหนักก็พบว่าจ้าวเหยียนนางเข้านอนเร
ชินอ๋องที่อยู่ด้านนอกก็คลายความกังวลลง และเปลี่ยนมาเป็นยินดีแทน เพราะเขาที่ชนะสงครามแล้วยังมีข่าวมงคลเกิดขึ้นอีก จึงให้กุนซือไปประกาศเมื่อกลับถึงค่ายทหารที่เมืองเป่ยโจว พระองค์จะเลี้ยงมื้อใหญ่ให้กับทหารทุกนายเพราะจ้าวเหยียนตั้งครรภ์ คนขับรถมาจำต้องระมัดระวังเพิ่มมากขึ้น การเดินทางจากที่สองวันต้องถึงจึงช้าออกไปเป็นถึงในวันที่สาม จือลู่และหนิงเฉิงก็ได้ออกมารอรับบิดามารดาอยู่ที่หน้าประตูเมืองเมื่อทั้งคู่ได้รู้เรื่องที่มารดาตั้งครรภ์ก็รีบไปดูนางที่รถม้าด้วยความเป็นห่วง แต่เมื่อเห็นสีหน้าของมารดาที่ปกติต่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งใจ"ท่านแม่ ท่านเรียกให้หมอมาจ่ายยาดีหรือไม่ขอรับ" หนิงเฉิงที่เป็นกังวลกลัวว่าน้องของตนจะไม่แข็งแรง"เฉิงเออร์เจ้าลืมไปหรือไร ว่าท่านแม่มียาของนางเอง" จือลู่เอ่ยขึ้น และเป็นเช่นที่นางพูด เพราะภายในกล่องของจ้าวเหยียนเวลานี้มียาบำรุงครรภ์ให้นางมากมาย"ข้าลืมไปขอรับ" เขาเกาหัวอย่างแก้เก้อ"ลู่เออร์ เฉิงเออร์ เจ้าพามารดากลับตำหนักไปเสียก่อน พ่อมีเรื่องที่ต้องหารือเพิ่มประเดี๋ยวตามพวกเจ้าไปทีหลัง" ชินอ๋องส่งลูกกับเมียกลับตำหนักก็ต้องมาหารือเรื่องที่ต้องเดินทางเข้าเมืองหลว
ชินอ๋องไม่รอคำตอบเขาดึงจ้าวเหยียนเข้ามาในอ้อมอก และชักกระบี่และฟันลงไปที่แขนของทหารที่ลอบเข้ามาทั้งสองข้าง เสียงร้องของทั้งสองคนเรียกให้คนอื่นรีบมาดู"ลากพวกมันไป" องครักษ์ของชินอ๋องเข้าไปถอดกรามก่อนที่ทั้งคู่จะกัดพิษในปากชินอ๋องพาจ้าวเหยียนไปส่งที่กระโจมและกำชับให้องครักษ์ของตนคอยดูแลนางที่หน้ากระโจมก่อนที่เขาจะไปสอบสวนสายลับของแคว้นหนานทั้งสองคนนับจากนั้นจ้าวเหยียนนอกจากมีพานเยว่ติดตามแล้วก็มีองครักษ์ของชินอ๋องอีกสองคนค่อยติดตามนาง เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชินอ๋องจึงเร่งออกรบเร็วขึ้น เรื่องเสบียงก็ไม่ต้องกังวล จือลู่นางส่งมาให้ไม่ขาด แถมยังมีของบิดามารดาและเว่ยหยางอีกสองคันรถด้วยจ้าวเหยียนเมื่อเห็นของที่จือลู่ส่งมาให้ก็หลุดหัวเราะออกมา เพราะนางส่งกันแดดและครีมบำรุงมาให้จ้าวเหยียนด้วยเสียมากมาย ชินอ๋องมองพระชายาของตนดูของที่บุตรีฝากมาให้อย่างมึนงง เมื่อรู้ว่าคือสิ่งใดเขาก็อดที่จะส่ายหัวไม่ได้แต่ที่เขาไม่พอใจคือนอกจากตนและจ้าวเหยียนจะได้ของจากจือลู่แล้ว เว่ยหยางก็ยังได้ด้วย เพียงแต่ของเว่ยหยางเป็นเสื้อกันหนาวและผ้าห่ม ชินอ๋องที่เห็นก็แทบจะเข้าไปแย่งมาเก็บไว้แต่ก็โดนจ้าวเหยียนดึงรั