สุ่ยฝานหรงเห็นอาการของฉินอ๋องแล้วก็พอจะเข้าใจแต่เขาก็ไม่เอ่ยอะไร ในเมื่อฉินอ๋องเลือกที่จะนิ่ง เขาผู้เป็นพี่ชายของสุ่ยเฉินเฟิงก็จะนิ่งเช่นกัน ช่วงเวลาต่อจากนั้นฉินอ๋องก็เอาแต่ดื่มสุราจนหน้าแดงก่ำ สีหน้ามืดครึ้มทั้งที่เมื่อตอนมาถึงจวนยังมีท่าทางร่าเริงอยู่เลย เขาจึงเอ่ยถามว่า “วันนี้ท่านอ๋องนำสุราชั้นดีและอาหารมาด้วยมากมาย มีเรื่องน่ายินดีอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” “วันนี้มีการยกเลิกสมรสพระราชทานระหว่างข้าและจงเฝิ่นลู่แล้ว” สุ่ยฝานหรงยิ้มกว้าง “เป็นเรื่องที่น่ายินดีจริง ๆ กระหม่อมขอดื่มแสดงความยินดีให้ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอ๋องปั้นหน้ายิ้มจืดรับการแสดงความยินดี เดิมเขาตั้งใจจะบอกให้สุ่ยฝานหรงเป็นพ่อสื่อให้เขากับสุ่ยเฉินเฟิง เพราะเขาเคยแสดงความในใจให้สุ่ยเฉินเฟิงรู้แล้วแต่นางยังไม่ตอบรับ อาจเป็นเพราะเวลานั้นเขายังมีพันธะสมรสพระราชทานแต่เมื่อทราบว่ารัชทายาทส่งคนมารับตัวสุ่ยเฉินเฟิงเข้าวังหลวงตั้งแต่เช้า เขาก็รู้สึกไม่สบายใจ และตัดสินใจที่จะไม่ขอให้สุ่ยฝานหรงเป็นพ่อสื่อ เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าสุ่ยฝานหรงจะคิดอยากให้น้องสาวเป็นฮองเฮาหรือไม่สุ่ยฝานหรงมองใบหน้าหล่อเหลาของสหายผู้สูงศักดิ์ที่บัดนี้สลด
ไม่กี่วันต่อมาฮ่องเต้เทียนตี้อันก็มีพระราชโองการพระราชทานรางวัลให้แก่บรรดาผู้ที่มีความดีความชอบร่วมปราบกบฏองค์ชายรองอย่างถ้วนหน้า บางคนได้เลื่อนตำแหน่ง บางคนได้ทรัพย์สิน บางคนได้ทั้งตำแหน่งและทรัพย์สิน ขึ้นอยู่กับคุณงามความดีที่ได้กระทำในครั้งนี้ฉินอ๋องได้รับพระราชทานดินแดนมาไว้ในความครอบครองจำนวนมาก หลัก ๆ ก็คือดินแดนศักดินาเดิมขององค์ชายรองนั่นเอง เขาไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรือดีใจมากมายเพราะทรัพย์สินที่มีอยู่เดิมก็มากแล้ว ในทางกลับกันเรื่องนั้นกลับเปิดโอกาสให้รัชทายาทได้ใกล้ชิดสุ่ยเฉินเฟิงเสียอีกเมื่อมีพระราชโองการแต่งตั้งให้สุ่ยฝานหรง ผู้บัญชาการกองกำลังทหารม้า เลื่อนขึ้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ ก็เป็นที่ฮือฮามากเพราะเป็นการก้าวข้ามผู้อื่นที่อาวุโสกว่าจำนวนมาก แต่ทุกคนก็ยอมรับได้เพราะสิ่งที่สุ่ยฝานหรงกระทำนั้นคือการปราบกบฏ ถวายอารักขาฮ่องเต้ให้ปลอดภัยด้วยความกล้าหาญ อีกทั้งยังให้น้องสาวคือสุ่ยเฉินเฟิงถวายอารักขาฮองเฮาและรัชทายาทให้พ้นจากการสังหารของกบฏอีกด้วยสุ่ยเฉินเฟิงได้รับการแต่งตั้งเป็นจวิ้นจวิน (ท่านหญิง) เป็นกรณีพิเศษ เมื่อพระราชโองการมาถึงจวน ฮูหยินเจียงจือไฉก็น้ำตาไหลพรากด้ว
ฮองเฮาตรัสเสริมว่า “ฝ่าบาทเพิ่งแต่งตั้งให้นางดำรงตำแหน่งจวิ้นจวินไปเองนะเพคะ”เมื่อรับฟังจากฮองเฮาแล้ว ฮ่องเต้ก็นึกถึงหญิงสาวผู้มีรูปโฉมงดงาม มีการศึกษาดี เป็นสตรีในสังคมของชนชั้นสูง เบื้องหลังของนางมีจวนแม่ทัพใหญ่หนุนหลังฮองเฮาและรัชทายาทพึงพอใจนางเพราะความรู้สึกส่วนตัว เดิมรัชทายาทไม่เคยสนใจสตรีนางใด แต่เมื่อสนใจก็เป็นสตรีจากจวนแม่ทัพใหญ่ ฮ่องเต้คิดการณ์ไกลกว่าสองแม่ลูกมากนัก พระองค์มองถึงอำนาจค้ำจุนบัลลังก์ที่แม่ทัพใหญ่สุ่ยฝานหรงจะทุ่มเทเพื่อบัลลังก์เพราะน้องสาวอภิเษกเป็นพระชายาและจะเป็นฮองเฮาต่อไปในภายหน้า เช่นนั้นบัลลังก์มังกรของเทียนตี้เต๋อก็มั่นคงแข็งแรงโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่นอีกแล้ว พระองค์จึงตรัสว่า“อ้อ บุตรีของสุ่ยลี่หรงนี่เอง เจ้าก็ช่างเลือกนะ เหมาะมากทีเดียว ตอนนี้สุ่ยฝานหรงก็ได้เป็นแม่ทัพใหญ่ ต่อไปเขาจะต้องทุ่มเทสุดกำลังเพื่อให้น้องสาวมีความมั่นคง สุ่ยฝานหรงฝีมือดี เฉลียวฉลาด เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าเจ้ามีกองกำลังที่เป็นคนของตนเองอย่างแท้จริงแล้ว”“ลูกไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ ลูกถูกใจนิสัยของนางและความเฉลียวฉลาดของนางพ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาตรัสหยอกเย้าพระราชโอรสข
ฉินอ๋องถามขึ้นมาว่า “เสด็จลุงอนุญาตแล้วหรือพี่สี่”รัชทายาทยิ้มกว้าง “อนุญาตแล้ว เมื่อข้าพูดคุยกับเฟิงเอ๋อร์เป็นที่เข้าใจกันดีแล้ว ก็จะมีพระราชโองการไปยังจวนแม่ทัพใหญ่ และมีพิธีอภิเษกสมรส แต่ตอนนี้ข้าไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดคุยกับเฟิงเอ๋อร์เช่นไรดี”สุ่ยฝานหรงตัดสินใจตอบไปว่า “ก็บอกความรู้สึกออกไปตามตรง นางจะตอบรับหรือไม่ก็ขอให้รับให้ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”รัชทายาทฟังแล้วก็รู้สึกแปลก ๆ แต่ด้วยความที่กำลังสุขใจจึงไม่ได้คิดอะไรมาก ฉินอ๋องถามว่า “ถ้าหากคุณหนูสุ่ยมีคนอื่นในใจแล้ว พี่สี่จะว่าอย่างไร”“เป็นไปไม่ได้ ข้าส่งคนไปสืบแล้ว นางไม่มีชายหนุ่มไปมาหาสู่” รัชทายาทยิ้มอย่างมั่นใจแล้วกล่าวต่อไปว่า “สำหรับคนที่ไร้วาสนาอย่างมือปราบวังหลวงผู้นั้น เฟิงเอ๋อร์ปฏิเสธไปแล้ว อีกทั้งเป็นเรื่องที่ผ่านมานานแล้ว”“พี่สี่รู้เรื่องของคุณหนูสุ่ยมากจังเลย”“แน่นอนสิ ตอนที่หลบภัยอยู่ที่เพิงพวกเราพูดคุยกันทุกวัน” ฉินอ๋องยิ่งหน้าซีดเซียว เหมือนมีใครซักคนมาบีบคอ เกิดอาการหายใจติดขัดขึ้นมาเชียว รัชทายาทยังกล่าวต่อไปอีกว่า“เฟิงเอ๋อร์คงไม่ปฏิเสธข้าหรอก อย่างไรเสียเราสองคนก็เคยนอนห้องเดียวกันแล้ว”“ห๊า!!!!” สุ่ยฝานหรงร้อ
เสียงกระแอมดังขึ้นทำให้ทั้งสองคนผละออกจากกันแล้วก็อุทานออกมาพร้อมกันว่า“ซีซวน”“พี่ใหญ่”สุ่ยฝานหรงคารวะฉินอ๋องแล้วเดินเข้ามาร่วมวง ฉินอ๋องรีบกล่าวว่า “อย่าว่าเฟิงเอ๋อร์ เป็นข้าเองที่ดีใจมากจนลืมตัว”“ดีใจอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”“เฟิงเอ๋อร์ตกลงแต่งให้ข้าแล้ว”“เรื่องการแต่งงานเป็นเรื่องพ่อแม่และแม่สื่อ ไม่ใช่เรื่องของหนุ่มสาวนะพ่ะย่ะค่ะ”“ข้ารู้ สามหนังสือหกพิธีการจะจัดให้อย่างครบถ้วน”“แล้วจะบอกกับรัชทายาทอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าจะบอกพี่สี่ตรง ๆ ว่าเฟิงเอ๋อร์และข้ามีใจตรงกัน การที่เฟิงเอ๋อร์ช่วยเหลือให้พี่สี่พ้นภัยนั้นเพราะนางทำตามคำขอร้องของข้า เรื่องอื่นข้าอาจจะยอมให้พี่สี่ได้ แต่เรื่องของเฟิงเอ๋อร์ข้าไม่ยินยอมมอบให้ใครทั้งนั้น”สุ่ยฝานหรงถอนหายใจอย่างหนักหน่วง เขาเกรงว่าความสัมพันธ์พี่น้องอันแนบแน่นของรัชทายาทและฉินอ๋องจะแตกร้าว เรื่องนี้ไม่มีใครผิด แต่เป็นความร้ายกาจของโชคชะตา เรื่องนี้จะกระทบตำแหน่งและความเจริญก้าวหน้าของเขาแน่นอน แต่ความสุขของสุ่ยเฉินเฟิงสำคัญสำหรับเขามากกว่าฮูหยินเจียงจือไฉกลับจากงานเลี้ยงในตอนเย็น รับทราบข้อมูลด้วยความดีใจและหนักใจ ดีใจเพราะบุตรีผู้งดงามมีบุรุ
“ข้ามาขอทานข้าวด้วยนะ” โดยไม่รอคำเชิญ ฉินอ๋องนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งและชี้ให้สุ่ยฝานหรงนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัว นางกำนัลรีบนำข้าวและตะเกียบมาวางให้ นางกำนัลอีกคนนำอาหารมาวางเพิ่มให้อีกสามอย่างอย่างรวดเร็ว พวกเขาจำได้ดีว่าเมื่อทั้งสามคนรวมตัวกัน รัชทายาทจะเจริญอาหารเป็นพิเศษ“พวกเจ้าคงรู้ข่าวแล้วสินะว่าข้าไม่สามารถอภิเษกเฟิงเอ๋อร์เป็นพระชายาได้” เมื่อกล่าวประโยคนี้ออกมา รัชทายาทก็วางตะเกียบ ลำคอตีบตันขึ้นมาทันที ฉินอ๋องโบกมือให้นางกำนัลออกไปพ้นบริเวณนั้น รัชทายาทกล่าวต่อไปอย่างขมขื่นว่า “หากจะให้นางเป็นสนม นางคงไม่ยอม”ฉินอ๋องคีบปลาทอดส่งเข้าปากตนเองอย่างสบายใจแล้วกล่าวว่า “นางไม่ยอมหรอก”“เสด็จพ่อทรงกริ้วมากเพราะข่าวลือนั่น ข้าเถียงไปหลายคำทำให้ทรงกริ้วจนประชวร ตอนนี้พระอาการก็ไม่ดีขึ้น ข้าไม่กล้าทำให้กริ้วอีก แต่ข้าก็ทุกข์ใจมาก”รัชทายาทหันมามองหน้าสุ่ยฝานหรงซึ่งนั่งฟังเงียบ ๆ อาหารก็ไม่แตะแม้แต่คำเดียว “ตอนนี้เฟิงเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง ข้าไม่กล้าสู้หน้านาง”ฉินอ๋องเป็นผู้ตอบว่า “นางสบายดี พี่สี่ไม่ต้องกังวล ท่านยังไม่เคยพูดเรื่องการแต่งงานกับคุณหนูสุ่ย จึงไม่ถือว่าผิดคำมั่นสัญญาอะไร”“
ณ เรือนอักษรในจวนฉินอ๋อง สุ่ยฝานหรงวางหลักฐานชิ้นหนึ่งลงบนโต๊ะ ฉินอ๋องก้มลงอ่านเอกสาร พบว่าผู้ที่ถวายฎีกากล่าวหาว่าสุ่ยเฉินเฟิงขโมยบุตรีของเหอฮวามาเนื่องจากตัดใจจากเมิ่งหยางไม่ได้นั้นชื่อเปี้ยนวา“นางคนนี้เกี่ยวข้องอะไรกับเมิ่งหยางหรือนางเหอฮวา”“นางเป็นสาวใช้ของนางเหอฮวาพ่ะย่ะค่ะ เป็นชาวเมืองซู่ที่นางเหอฮวาไปพักอาศัยอยู่ด้วยในตอนนี้”“ท่านจะไปนำตัวนางเหอฮวาที่เมืองซู่เมื่อไร”“พรุ่งนี้เช้าพ่ะย่ะค่ะ ทุกอย่างเตรียมการไว้หมดแล้ว”“ท่านไม่ต้องเดินทางไกล เมื่อนางเปี้ยนวามาถวายฎีกาถึงเมืองหลวง ข้าคาดว่านางเหอฮวาก็น่าจะอยู่ในเมืองหลวง ท่านสั่งระดมกำลังจับตัวมาให้ได้”“พ่ะย่ะค่ะ”ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปในเมืองหลวงก็เต็มไปด้วยกองกำลังทหาร เหอฮวาถูกพบได้ในโรงเตี้ยมขนาดเล็กใกล้ประตูเมือง ทหารมองภาพวาดที่นำมาเปรียบเทียบกับหญิงสาวที่นั่งตัวสั่นอยู่ตรงหน้า อีกคนเป็นหญิงสาวที่อ่อนวัยกว่า ทหารจึงนำตัวทั้งสองคนไปที่กองบัญชาการทหารเมื่อเหอฮวามองเห็นสุ่ยฝานหรงก็เข่าอ่อนทรุดตัวลงนั่งกับพื้น นางเคยเห็นสุ่ยฝานหรงและรู้ดีว่าเขาเป็นพี่ชายของสุ่ยเฉินเฟิง แม่ทัพใหญ่มองหญิงสาวตรงหน้า เดิมนางไม่จัดว่าเป็นคนสวย แต่อ
“หากยังกล้าสร้างความเดือดร้อนให้น้องสาวของข้า ข้าจะตัดมือข้างที่เขียนสร้างความเดือดร้อนทิ้งเสีย ตัดลิ้นที่พูดจาให้ร้ายออกเสีย พวกเจ้าจำเป็นต้องอยู่ให้ดีดี เงินที่ให้ไปก็จงใช้เลี้ยงดูลูกของเจ้า แล้วต่อไปอย่าให้ข้าเห็นหน้าพวกเจ้าอีก”ตลอดเวลาฉินอ๋องนั่งฟังเงียบ ๆ แต่สีหน้าเย็นชาขั้นสุดทำให้ไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้นสบตาทหารเข้ามานำตัวหญิงสาวทั้งสองออกไปส่งตัวไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ ความผิดของเหอฮวาและเปี้ยนวาเท่ากัน แม้เปี้ยนวาจะเป็นผู้ลงนามถวายฎีกา แต่ก็เป็นคำสั่งของเหอฮวา พวกนางถูกแห่ประจานรอบเมืองหลวง แล้วจึงถูกโบยหนักเจียนตาย ก่อนนำตัวไปทิ้งไว้นอกประตูเมืองหลวงฮูหยินเจียงจือไฉหอมแก้มทารกน้อยซ้ำแล้วซ้ำเล่า น้ำตาไหลออกมาเต็มตา สุ่ยเฉินเฟิงเองก็กอดเพียวเพียวอย่างอาลัยอาวรณ์จนกระทั่งพี่ชายต้องดึงตัวเด็กออกจากอ้อมกอดของน้องสาว แม้จะรักใคร่เอ็นดูทารกน้อยแต่ฮูหยินเจียงจือไฉและสุ่ยเฉินเฟิงรู้ดีว่านี่คือวิธีจบความวุ่นวายที่เหมาะสมเหอฮวาและเปี้ยนวาในสภาพถูกโบยบาดเจ็บสาหัสเดินทางกลับเมืองซู่ด้วยรถม้า มีทหารควบคุมขบวนและพี่เลี้ยงของเพียวเพียวก็ร่วมเดินทางไปด้วยเพื่อช่วยเลี้ยงเพียวเพียวระหว่าง
สิบปีผ่านไป ณ ตำหนักคุนหนิง ฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิง นั่งดื่มชาในสวนดอกไม้ อากาศอบอุ่น มีลมพัดผ่านเบา ๆ นึกถึงชะตาชีวิตที่แปลกประหลาด ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่มีชีวิตสงบสุขเหมือนคุณหนูสูงศักดิ์ทั่วไป แต่เมื่อถึงวัยมีคู่ครองก็มีเรื่องเดือดร้อนไม่จบไม่สิ้น ชีวิตเหมือนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง กว่าจะฝ่าฟันมาถึงวันนี้ก็ได้รับประคับประคองจากพระสวามีผู้สง่างามและครอบครัวเดิม สุ่ยเฉินเฟิงสัญญากับตนเองว่าจะทะนุถนอมความรักของพวกเขาไว้อย่างดีฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง และฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิง มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวมห้าองค์ องค์ชายหย่งเฉิงคล้ายเสด็จพ่อมากที่สุดทั้งรูปร่างหน้าตา อุปนิสัย และความรู้ความสามารถ องค์ชายหย่งเฉิงชื่นชอบการฝึกซ้อมอาวุธทุกประเภท อีกทั้งยังชำนาญหมากล้อมและการฝึกเชาว์ปัญญาต่าง ๆ เรียกว่าเก่งทั้งบู๊และบุ๋นองค์หญิงเฟิงซินหน้าตาคล้ายเสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือ ทำให้นางเป็นที่โปรดปรานของเสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือยิ่งนัก บางครั้งฮ่องเต้ยังจำใจต้องอนุญาตให้องค์หญิงเฟิงซินไปพักค้างที่ตำหนักนอกวังบ้างเพราะทนการรบเร้าของผู้เป็นมารดาไม่ไหว แรก ๆ ก็ไปพักค้างครั้งละหนึ่งคืน พอนานเข้าเสด็จย่าไทเฮา
ราษฎรต้อนรับการประสูติขององค์ชายน้อยหย่งเฉิงอย่างเอิกเกริก ร้านค้าในตลาดและบ้านเรือนราษฎรปักธงถวายพระพร เหลาเฉียนจัดทำอาหารพิเศษแจกจ่ายให้ลูกค้าโดยไม่คิดเงิน ร้านขายผลไม้ก็นำส้มมงคลมาแจกจ่ายให้ผู้คนที่สัญจรไปมาเมื่อครั้งเทียนตี้หย่งยังดำรงตำแหน่งฉินอ๋อง ราษฎรก็รักใคร่ชื่นชม แม้ในจวนอ๋องจะไม่มีพระชายา พระชายารอง หรืออนุ ก็ไม่มีผู้ใดใส่ใจ ต่อมาขึ้นครองราชย์ ราษฎรก็ปลื้มปิติ แต่ก็กังวลเพราะฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ลั่นวาจาไว้ว่าจะมีฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิงเพียงพระองค์เดียวแม้ในขณะที่แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งฮองเฮา พระนางจะตั้งครรภ์แล้วก็ตาม หากเป็นพระราชธิดาพวกเขาก็ยังไม่วางใจ ดังนั้นเมื่อองค์ชายน้อยหย่งเฉิงประสูติ จึงเป็นทั้งความยินดีและความโล่งใจของราษฎรทั้งหลาย อย่างน้อยก็สบายใจได้ว่า แคว้นต้าเจียมีผู้สืบทอดบัลลังก์มังกรแล้วในแต่ละวันขององค์ชายน้อยหย่งเฉิงมีเสด็จย่าทั้งสองและท่านยายผลัดกันมาดูแล คือเสด็จย่าไทเฮาสือจินอวี้ เสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือ และท่านยายเจียงจือไฉ แต่เสด็จย่าไทเฮาสือจินอวี้จะได้เปรียบมากกว่าเพราะประทับในวังเช่นเดียวกัน จึงมาดูแลเกือบทุกวัน เว้นแต่วันที่เสด็จย่าไทเฮ
พระราชพิธีแต่งตั้งฮองเฮาเป็นไปอย่างเรียบง่ายตามความประสงค์ของสุ่ยเฉินเฟิง ตำหนักคุนหนิงของฮองเฮาได้รับการปรับปรุงใหม่ มีห้องสำหรับทารกติดกับห้องบรรทมของฮองเฮา สำหรับฮ่องเต้เทียนคงอิงฉงนั้นแม้จะมีตำหนักเฉียนชิง แต่พระองค์ก็จะมาบรรทมที่ตำหนักคุนหนิงเป็นประจำ เว้นแต่ช่วงที่ทรงงานดึกจึงจะพักผ่อนที่ตำหนักเฉียนชิงเพื่อให้ฮองเฮาพักผ่อนเต็มที่ ไม่ต้องตื่นกลางดึกสุ่ยฝานหรงซึ่งบัดนี้ได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีนั้น บางวันจะพาเหมยกุ้ยเข้าวังมาส่งที่ตำหนักคุนหนิงในช่วงเช้า และมารับกลับหลังจากประชุมขุนนางเสร็จ ชีวิตของสุ่ยเฉินเฟิงจึงไม่เงียบเหงาเกินไป ส่วนถิงถิงซึ่งบัดนี้เป็นนางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาก็ช่างมีเรื่องซุบซิบมาเล่าให้ฟัง แม้กระทั่งองค์หญิงนาราที่เสวยผลไป่เซียงกั่วเพื่อให้เกิดผื่นจะได้ยืดเวลาการอยู่ในวังหลวงเพื่อมีเวลาขอถวายตัวเป็นสนมก็มาเล่าให้ฟัง เรียกได้ว่าทั้งเรื่องเก่าเรื่องใหม่ถิงถิงไม่ค่อยจะพลาดข่าว ถิงถิงมีความเห็นว่ารู้มากหน่อยดีกว่ารู้น้อยไปเมื่อสุ่ยฝานหรงเข้ารับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีแล้ว ฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ก็ต้องวางกำลังคนที่ไว้ใจให้ควบคุมหน่วยกำลัง
ไทเฮาสือจินอวี้ลุกขึ้นจากที่ประทับ ตรงไปยังองค์หญิงนาราที่นั่งคุกเข่า ใช้สองพระหัตถ์แตะไหล่ประคองให้องค์หญิงน้อยลุกขึ้นยืน แล้วตรัสว่า “องค์หญิงนารามีหน้าตาสวยงามและเพียบพร้อมด้วยความรู้ ไม่ควรจะมาเป็นสนม ความหวังดีนี้ไม่อาจรับไว้ได้ ขอให้แคว้นต้าเจียและเผ่าตู้ผูกพันเป็นมิตรที่ดีต่อกันเถิด”ภายนอกมีเสียงดังขึ้นว่า “ฮ่องเต้เสด็จ”เมื่อร่างสูงสง่าของฮ่องเต้ก้าวเข้ามาในโถงกลางของวังหลัง พระองค์ทำความเคารพไทเฮาก่อน แล้วจึงหันไปตรัสแก่ผู้อื่นที่ทำความเคารพว่า “ไม่ต้องมากพิธี” องค์หญิงน้อยมองด้วยสายตาหลงใหลเทียนตี้หย่งแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อยแล้วตรัสด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เจิ้นขอบใจในน้ำใจของถู่ซือและองค์หญิง แต่ไม่อาจรับไว้ได้ ต้าเจียและเผ่าตู้ไม่จำเป็นต้องผูกพันกันด้วยการอภิเษกหรือการเป็นสนม แต่ยังเป็นพันธมิตรกันต่อไปได้”องค์หญิงน้อยทำได้เพียงกล่าวเสียงเบาว่า “เพคะ” รู้สึกอับอายแทบแทรกแผ่นดิน ไม่คิดมาก่อนว่าจะถูกปฏิเสธแม้แต่การเป็นสนม เทียนตี้หย่งหันไปทางทูตเผ่าตู้แล้วตรัสว่า “เผ่าตู้มีสินค้าหายากหลายอย่างที่ต้าเจียไม่มี เจิ้นจะให้ทูตการค้าต้าเจียหารือเรื่องการพัฒนาการค้าขายระหว่างกันดีห
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่อลังการ เทียนตี้หย่ง ขึ้นครองราชย์สถาปนาเป็นฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง ราษฎรทั่วแคว้นต้าเจียเฉลิมฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืน พวกเขาล้วนมีความหวังที่ยิ่งใหญ่กว่าครั้งใดที่เคยหวัง ต่างแคว้นล้วนส่งทูตมาแสดงความยินดี ไม่มีแคว้นใดหาญกล้าทดสอบความแข็งแกร่งของฮ่องเต้พระองค์ใหม่เผ่าตู้เป็นชนเผ่าที่เคยถูกแคว้นต้าเลี่ยงรุกรานและสร้างความอัปยศให้แก่องค์หญิงหลายองค์จนปลิดชีพตนเอง เมื่อแคว้นต้าเจียปราบปรามแคว้นต้าเลี่ยงทำให้เผ่าตู้ได้รับอิสระอีกครั้ง เมื่อมาแสดงความยินดีในครั้งนี้ มีองค์หญิงน้อยเผ่าตู้ร่วมเดินทางมาด้วย องค์หญิงนาราเป็นองค์หญิงองค์เดียวที่ปลอดภัยจากการรุกราน เนื่องจากช่วงเวลานั้นไม่ได้อยู่ในดินแดนเผ่าตู้ ในท้องพระโรง พระเจ้าเทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร พระพักตร์ขาวใส ดวงตาดำขลับยาวรีปลายชี้ฟ้า จมูกโด่งเป็นสัน ช่างสง่างามเหลือเกิน องค์หญิงน้อยมองดูด้วยความตะลึง หลงรักบุรุษผู้สง่างามนี้ทันทีเทียนตี้หย่งแย้มพระโอษฐ์ขอบคุณแคว้นต่าง ๆ ที่มาร่วมแสดงความยินดี และเชิญทูตทุกแคว้นทุกชนเผ่าเข้าร่วมงานเลี้ยงในตอนเย็น เนื่องจากยังไม่มีการแต่งตั
หลังจากพระเจ้าเต๋อหมิงได้รับบาดเจ็บ คณะหมอหลวงก็พยายามทุกวิธีในการรักษา เพราะฤทธิ์ยาระงับความเจ็บปวดที่หมอหลวงปรุงขึ้น แม้พระพักตร์จะขาวซีดแต่ก็ไม่แสดงถึงความเจ็บปวด เวลาผ่านไปสิบกว่าวัน ลมหายใจที่แผ่วเบานั้นก็หยุดนิ่ง หัวหน้าหมอหลวงตรวจชีพจรอีกครั้งก่อนจะหันมาทูลต่อไทเฮาสือจินอวี้ว่า“พระองค์กลับคืนสู่สวรรค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”ไทเฮาสือจินอวี้ตัวอ่อน เป็นลมล้มพับ ฉินอ๋อง เทียนตี้หย่ง ที่ยืนอยู่ใกล้กันรับตัวเสด็จป้าสะใภ้ไว้ทันก่อนพระวรกายกระทบพื้น หมอหลวงแบ่งคนมาปฐมพยาบาลไทเฮา ความเศร้าโศกเสียใจล้นห้องบรรทมออกไปครอบคลุมวังหลวงและกระจายออกไปทั่วแคว้น พระเจ้าเต๋อหมิงเป็นผู้ปกครองใต้หล้าด้วยความเมตตา จึงเป็นที่รักใคร่ของราษฎร ในช่วงเวลาอันเศร้าหมอง ฉินอ๋องเป็นกำลังหลักในการสั่งการเรื่องต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยหลังจากพิธีการต่าง ๆ ผ่านพ้นไป ไทเฮาสือจินอวี้ก็เรียกฉินอ๋องเข้าเฝ้า สุ่ยเฉินเฟิงดูแลเครื่องแต่งกายให้พระสวามี ฉินอ๋องใช้นิ้วดันคางของนางให้เงยหน้าขึ้น“เฟิงเอ๋อร์ เจ้ากังวลอะไรหรือ”สุ่ยเฉินเฟิงถอนหายใจ “ไม่แน่ว่าการเรียกตัวเข้าเฝ้าในครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับบัลลังก์ที่ว่างอยู่เพ
พระเจ้าเต๋อหมิงบาดเจ็บสาหัส นับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุพระองค์ก็ยังไม่ลืมพระเนตรขึ้นมา มีเพียงชีพจรและลมหายใจแผ่วเบาเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ เกิดความโกลาหลในการบริหารงานเล็กน้อย ไทเฮาสือจินอวี้ต้องออกนั่งเป็นประธานการประชุมขุนนางในฐานะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน พระนางไม่ประทับบนบัลลังก์มังกร แต่กลับให้คนนำเก้าอี้หงส์จากตำหนักของพระนางมาใช้ประทับเป็นการชั่วคราวแม้ว่าปกติไม่ว่าไทเฮาหรือฮองเฮาพระองค์ใดก็ตาม ไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการของวังหลวงได้ ผู้เป็นมารดาของแผ่นดินมีหน้าที่ควบคุมกำกับดูแลวังหลังให้เป็นไปโดยเรียบร้อย แต่สถานการณ์ของแคว้นต้าเจียในคราวนี้แตกต่างออกไป พระเจ้าเต๋อหมิงไม่ได้อภิเษกสมรสเพราะอยู่ระหว่างการไว้ทุกข์ให้กับไท่ซ่างหวงซึ่งก็คือเสด็จพ่อของพระองค์นั่นเอง อีกทั้งพระเจ้าเต๋อหมิงก็ไม่มีสนมจึงยังไม่มีพระราชโอรสหรือพระราชธิดาแม้แต่พระองค์เดียว แคว้นต้าเจียจึงยังไม่มีรัชทายาทเดิมทีเหล่าขุนนางตั้งใจว่าหลังจากพ้นการไว้ทุกข์ให้ไท่ซ่างหวงแล้ว พวกเขาจะกดดันให้พระเจ้าเต๋อหมิงอภิเษกสมรสและแต่งตั้งฮองเฮา รวมทั้งให้เริ่มการคัดเลือกสนมเข้ามาปรนนิบัติตามธรรมเนียมท
ก่อนที่สุ่ยฝานหรงจะออกไป ฉินอ๋องสั่งการเพิ่มเติมว่า “ตอนที่จับกุมเมิ่งกุ้ยเฟย คนที่สุสานบรรพชนล้วนถูกลงโทษ นางกำนัลอู่ก็ติดตามกุ้ยเฟยไปที่สุสานด้วย ท่านตรวจสอบด้วยว่าผู้ใดช่วยเหลือให้นางหลบหนีจนรอดพ้นได้” “พ่ะย่ะค่ะ”สุ่ยฝานหรงออกไปแล้ว ฉินอ๋องกลับเข้าไปในห้องบรรทมของพระเจ้าเต๋อหมิง มีโต๊ะวางไว้มุมห้อง เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ จางชุนรินน้ำชาส่งให้ เขารับมาถือไว้นิ่ง ๆ มองตรงไปก็เห็นญาติผู้พี่นอนนิ่ง พระพักตร์ซีดเซียว นี่คือสิ่งที่เขากังวลอยู่เสมอว่าจะเกิดขึ้น และแล้วก็เกิดขึ้นจริง พี่สี่ของเขาพระทัยอ่อน ใช้สายพระเนตรที่เมตตามองผู้คนโดยรอบ ใช้พระคุณแต่เพียงอย่างเดียวในการปกครองเวลาผ่านไป แม่ทัพใหญ่สุ่ยฝานหรงกลับมาอีกครั้งเมื่อเข้ายามอิ๋น เขาสีหน้าไม่ดีนัก รายงานว่า“ตรวจสอบโดยละเอียดแล้วพ่ะย่ะค่ะ นางกำนัลอู่ไม่ถูกจับกุมเพราะนางลากลับบ้านเดิมเพื่อจัดการงานศพของมารดา เมื่องานศพเสร็จแล้ว ระหว่างทางที่เดินทางกลับเมืองหลวง ก็ได้ข่าวว่าคนที่สุสานบรรพชนถูกจับกุม นางจึงซ่อนเร้นตัว เมื่อทหารที่ไปตรวจค้นสุสานบรรพชนและทำลายเห็ดเมากลับไปแล้ว นางก็ลักลอบเข้าไปในสุสานบรรพชน เพราะนางอยู่ที่นั่นกั
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จป้าสะใภ้ หลานจะสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้สภาพในคุกไม่เหมาะสำหรับผู้บาดเจ็บ” เขาหันถามหัวหน้าหมอหลวงว่า “จะเคลื่อนย้ายฝ่าบาทได้หรือไม่ หรือต้องรอให้อาการดีขึ้นกว่านี้ก่อน”หัวหน้าหมอหลวงตอบว่า “สามารถเคลื่อนย้ายได้แล้วพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง แต่ต้องทำด้วยความระมัดระวัง คุกหลวงไม่เหมาะกับการรักษาผู้ป่วยจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”ในที่สุด พระเจ้าเต๋อหมิงก็ถูกเคลื่อนย้ายไปยังตำหนักเฉียนชิง ฉินอ๋องประคองไทเฮา สือจินอวี้ไปพร้อมกัน โดยให้สุ่ยฝานหรงซึ่งตามมาถึงแล้ว ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุอย่างละเอียด ไทเฮานั่งกุมพระหัตถ์พระราชโอรส พระพักตร์ของพระองค์และพระเจ้าเต๋อหมิงซีดขาวพอกัน"เสด็จป้าสะใภ้พักผ่อนก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ไทเฮาสือจินอวี้ส่ายพระพักตร์ “ป้าสะใภ้จะเฝ้าเต๋อเอ๋อร์ เมื่อเขาฟื้นจะได้เห็นหน้าแม่เป็นคนแรก”“ถ้าเช่นนั้นหลานจะให้คนจัดห้องด้านข้างเป็นที่บรรทมชั่วคราวดีไหมพ่ะย่ะค่ะ เสด็จป้าสะใภ้ไปพักผ่อนก่อน มิฉะนั้นอาจจะประชวรไปอีกพระองค์ หากพี่สี่รู้สึกตัวแม้เพียงเล็กน้อยจะให้คนไปทูลให้ทรงทราบทันที”ไทเฮาพยักพระพักตร์ ฉินอ๋องจึงสั่งให้ขันทีประจำตำหนักเฉียนชิงเร่งจัดห้องบรรทมช