ฉินอ๋องพยักหน้า ทุกคนรู้เรื่องสุขภาพที่อ่อนแอของรัชทายาท ใคร ๆ ก็ใส่ใจในเรื่องราวของรัชทายาทแคว้นของตนเอง ดังนั้น ราษฎรก็รู้กันทั้งแคว้น“ก็ได้ข่าวเช่นนั้น”“เจ้าคิดหรือไม่ว่า หากแคว้นต้าเจียของเรามีฮ่องเต้ที่ร่างกายอ่อนแอเช่นนี้ ต่อไปจะปกครองแว่นแคว้นให้ดีได้อย่างไร”“พี่รอง ตอนนี้เสด็จพ่อของท่านซึ่งเป็นฮ่องเต้ก็ยังแข็งแรง ต้องอยู่เป็นหลักให้แคว้นไปอีกนาน เรื่องสุขภาพของรัชทายาทก็อยู่ระหว่างการรักษา”“ข้ารู้ว่าใคร ๆ ก็ไม่กล้าพูด แต่แน่ใจว่าขุนนางน้อยใหญ่ล้วนแต่มีความคิดอยู่ในใจ”เทียนตี้ฮุ่ยหัวเราะเบา ๆ เขาลุกขึ้นยืนบิดตัวแก้เมื่อยเล็กน้อย “ข้าชื่นชอบฝีมือของเจ้า ภายหน้าหวังว่าจะได้ร่วมมือกันสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แคว้น สำหรับเรื่องอาวุธหากเจ้าพร้อม ก็ไปหาข้าที่จวน”เทียนตี้ฮุ่ยกลับไปนานแล้ว ฉินอ๋องยังคงครุ่นคิดถึงความนัยที่แฝงในวาจา ไม่ค่อยสบายใจจึงต้องไปเยือนจวนแม่ทัพใหญ่อีกแล้วช่วงนี้เขามาเป็นแขกของจวนทุกวัน สอบถามอาการของคุณหนูสุ่ยบ้าง นำสุราหมักชั้นดีไปสังสรรค์กับสุ่ยฝานหรงบ้าง วันนี้ก็สามารถไปที่จวนแม่ทัพใหญ่ได้โดยไม่ต้องหาข้ออ้างอีกแล้วฉินอ๋อง และสุ่ยฝานหรง นั่งดื่มสุราอ
เดิมตระกูลเมิ่งมิใช่ตระกูลใหญ่โตมากนัก แต่ด้วยเมิ่งกุ้ยเฟยเมื่อครั้งยังอายุเข้ารุ่นสาว มีโอกาสปรนนิบัติฮ่องเต้ ด้วยใบหน้าที่สวยหวานหยาดเยิ้ม ชั้นเชิงการเอาใจที่ยอดเยี่ยม ทำให้เป็นที่เสน่หาของฮ่องเต้แม้จะยังไม่มีพระราชโอรสหรือพระราชธิดา นางก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเสียนเฟย ในช่วงเวลานั้นพระสนมทั้งหลายให้กำเนิดแต่พระราชธิดา ทำให้บัลลังก์ยังไม่มั่นคงเสียนเฟยมองภาพสะท้อนของตนเองในคันฉ่อง แล้วพึมพำว่า“ข้าเบื่อตำแหน่งเสียนเฟยแล้ว หญิงงามล่มเมืองอย่างข้าควรคู่กับการเป็นมารดาของแผ่นดิน เมื่อไหร่ข้าจะตั้งครรภ์ผู้มีบุญเสียทีนะ”นางกำนัลอู่หยิบปิ่นมาเสียบเข้าที่มวยผมของเสียนเฟย แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า“ข้าน้อยได้ข่าวว่าผินนางหนึ่งมีอาการคล้ายคนตั้งครรภ์เพคะ”เสียนเฟยถอนหายใจ “ฝ่าบาทก็มาตำหนักข้ามากกว่าผู้อื่น แต่ข้าก็ยังไม่ตั้งครรภ์ หากปล่อยให้วันเวลาล่วงเลยไป ข้าก็คงเป็นได้แค่เสียนเฟยที่อับเฉาในวังหลังอันกว้างใหญ่แห่งนี้ ต่อไปผู้คนก็คงเหยียบย่ำได้”“หากเด็กในครรภ์ของผินผู้นี้เป็นชาย พระนางก็นำมาเลี้ยงดูเป็นพระราชโอรสดีไหมเพคะ” นางกำนัลอู่แนะนำ ในขณะที่มือก็ยังนำเครื่องประดับบรรจงตกแต่งทรงผมให้เสียนเฟ
วันเวลาในวังหลวงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตำแหน่งฮองเฮาก็ยังคงเป็นของฮองเฮาสือจินอวี้ ผู้ซึ่งเป็นบุตรีของอดีตอัครมหาเสนาบดี แม้ว่าผู้เป็นบิดาจะสิ้นชีพไปแล้ว แต่ยังมีญาติที่รับราชการเป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่โต ด้วยกำลังหนุนหลังเช่นนี้ตำแหน่งฮองเฮาก็มั่นคงได้ในระดับหนึ่ง แม้ว่าเมิ่งกุ้ยเฟยจะมีตำแหน่งสูงเป็นถึงกุ้ยเฟย อีกทั้งยังเป็นที่รักใคร่ของฮ่องเต้ แต่หลายครั้งที่เมิ่งกุ้ยเฟยอดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้ หากนางมีตระกูลใหญ่หนุนหลัง ตำแหน่งมารดาของแผ่นดินก็ต้องเป็นของนางแล้ว ที่สำคัญนางให้ว่าที่รัชทายาทแก่แผ่นดินนี้ นางนึกย้อนไปเมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมา นางสนมคนหนึ่งตั้งครรภ์และให้กำเนิดองค์ชายสาม แต่ไม่ทันข้ามวันทั้งแม่และลูกก็จากโลกนี้ไปท่ามกลางความโศกเศร้าของฮ่องเต้ ครั้งนั้นเป็นเพราะการคลอดที่ยากลำบากนั่นเอง ช่วงนี้ฮองเฮาสือจินอวี้มีอาการวิงเวียนบ่อยครั้ง ผลไม้รสเปรี้ยวนอกจากต้องมีทุกมื้ออาหาร ห้องเครื่องยังต้องจัดเตรียมไว้เสมอ ประสงค์จะเสวยเวลาใดก็ต้องจัดหามาให้ได้ เครื่องหอมต่าง ๆ ที่เคยโปรดก็รู้สึกไม่หอมเหมือนเคย จึงให้เผิงเหยียนนางกำนัลประจำกายนำออกไปแจกจ่ายให้พ้นตำหนัก เมื่อฮ่องเต้ได้รับ
องค์ชายสี่ เทียนตี้เต๋อ หน้าตาน่ารักน่าชัง สติปัญญาเฉลียวฉลาดเป็นเลิศ สุภาพอ่อนโยนตั้งแต่ยังเยาว์ เป็นที่รักใคร่ของนางกำนัลทั้งตำหนัก ขุนนางน้อยใหญ่ก็ชื่นชม หากแต่ร่างกายอ่อนแอ เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เป็นนิจ หมอหลวงเองก็หมดปัญญารักษา ได้แต่ประคับประคองกันไปด้วยความรักและเป็นห่วงฮ่องเต้จึงทุ่มเทความรักให้แก่องค์ชายสี่ เทียนตี้เต๋อ ในขณะที่ องค์ชายรอง เทียนตี้ฮุ่ย ประสูติจากเมิ่งกุ้ยเฟย ได้รับการเลี้ยงดูอย่างตามใจจึงถือตนเองเป็นสำคัญ ลงโทษบ่าวไพร่ที่กระทำการไม่ถูกใจอย่างรุนแรงบ่อยครั้งในวันที่เทียนตี้ฮุ่ยฟันน้ำนมซี่แรกหลุด เขาอยู่ในวัยหกขวบ ฮ่องเต้จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ในสวนให้เฉพาะเด็ก ๆ สังสรรค์กัน มีราชวงศ์วัยเยาว์มาร่วมงานเพียงสามคน นอกจากเจ้าของฟันแล้วก็คือเทียนตี้เต๋อในวัยสามขวบ ซึ่งประสูติจากครรภ์ฮองเฮา และเทียนตี้หย่งในวัยสองขวบ โอรสของพระอนุชาของฮ่องเต้ เด็กทั้งสามเล่นสนุกด้วยกัน เทียนตี้ฮุ่ยอายุมากที่สุดจะแข่งขันอะไรก็ได้เปรียบ เทียนตี้หย่งอายุน้อยที่สุด แต่แข่งอะไรก็ตาม ผู้แพ้กลับเป็นเทียนตี้เต๋อทุกครั้งเมื่อถึงการละเล่นค้นหาดาวกระดาษสีฟ้าที่นางกำนัลนำไปซ่อนไว้ในพุ่มไม้ใกล้ภูเขาจำ
ครั้งก่อน เมิ่งกุ้ยเฟยยินดีปรีดาที่เมิ่งหยางผู้เป็นน้องชายจะแต่งกับสุ่ยเฉินเฟิงซึ่งเป็นบุตรีแม่ทัพใหญ่ หากเกี่ยวดองกันแล้วน่าจะมีประโยชน์ในการสนับสนุนองค์ชายรองขึ้นสู่อำนาจที่ต้องการแม้เมิ่งกุ้ยเฟยจะขัดใจอยู่บ้างที่องค์ชายสี่และสุ่ยฝานหรงมีความสัมพันธ์ที่ดีแก่กัน แต่หากได้เกี่ยวพันเป็นญาติทางการแต่งงานกัน สุ่ยฝานหรงก็ต้องสนับสนุนเทียนตี้ฮุ่ยเพราะเห็นแก่อนาคตของน้องเขยน้องสาวมากกว่าสหายมารดาของเมิ่งกุ้ยเฟยมีบุตรีสองคนคือฮูหยินเสนาบดีกรมคลังและเมิ่งกุ้ยเฟย เมื่อเมิ่งกุ้ยเฟยอายุเพียงสิบขวบมารดาก็เสียชีวิต ต่อมาบิดาแต่งสตรีอายุน้อยเข้าจวนเป็นภริยาเอกคนใหม่ มารดาเลี้ยงดูแลสองพี่น้องอย่างดีต่อมาเมื่อมารดาเลี้ยงตั้งครรภ์และคลอดเมิ่งหยาง ทั้งฮูหยินเสนาบดีกรมคลังและเมิ่งกุ้ยเฟยในเวลานั้นจึงรักใคร่น้องชายคนนี้อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามบิดาของพวกนางและมารดาของเมิ่งหยางเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุไปเมื่อสามปีก่อนการมีโอกาสเป็นคู่หมายกับบุตรีแม่ทัพใหญ่เกิดขึ้นได้เพราะเมื่อครั้งฮูหยินแม่ทัพใหญ่ซึ่งเป็นมารดาของสุ่ยเฉินเฟิงตั้งครรภ์นั้น ต้องการไปรับประทานอาหารที่เหลาแห่งหนึ่งในตลาด เพราะไม่ชอบความเอิกเ
ห้องโถงในตำหนักตกแต่งหรูหราสวยงาม เมิ่งกุ้ยเฟยผู้สูงศักดิ์เพ่งตามองหญิงสาวที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ใบหน้านั้นไม่ได้สวยงามหยาดเยิ้มอย่างที่คิดไว้ เมิ่งกุ้ยเฟยนึกสงสัยว่านางมีสิ่งใดดึงดูดความสนใจจากน้องชายจนกระทั่งเกิดการตั้งครรภ์ ร่างกายส่วนกลางนูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าและร่างกายบวมเล็กน้อยจากการตั้งครรภ์เหอฮวาสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อดี ไม่มีเครื่องประดับอื่นใด เมิ่งกุ้ยเฟยมองที่นิ้วมือของผู้ตั้งครรภ์ พบว่าเนื้อที่โคนนิ้วมีรอยขาวกว่าตรงอื่นเล็กน้อย เพราะไม่ถูกแดดถูกลม แสดงว่าคนผู้นี้สวมแหวนเป็นประจำ และสวมแหวนหลายนิ้วเสียด้วยความรังเกียจผุดขึ้นในใจของผู้สูงศักดิ์ หญิงนางนี้คงถอดเครื่องประดับเก็บไว้และมาพบนางในคราบของคนสิ้นไร้ไม้ตอกเพื่อขอความช่วยเหลือสินะเหอฮวาเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาอ้อนวอน “ขอบพระทัยกุ้ยเฟยที่ให้ข้าน้อยได้เข้าพบเพคะ”“เจ้าต้องการสิ่งใด” เมิ่งกุ้ยเฟยถามเสียงห้วน“ท่านพี่หยางหายตัวไปเพคะ”เทียนตี้ฮุ่ยซึ่งนั่งฟังอยู่ด้วย พูดโพล่งขึ้นมาว่า “อ้อ สามีหาย แล้วเจ้ามาตามที่นี่ได้หรือ เจ้าไม่รู้หรือว่าเขามีหมายจับ”เหอฮวาหันมามองพร้อมกับน้ำใส ๆ ไหลรินออกมาจากดวงตา “แม้ว่าเ
ดินแดนทางตอนใต้ของแคว้นเจียเกิดอุทกภัยรุนแรง เรือกสวนไร่นาถูกน้ำท่วม ผลิตผลทางการเกษตรเสียหาย บางพื้นที่กระแสน้ำไหลแรงพัดพาชีวิตผู้คนไปอีกด้วย ราษฎรต้องหลั่งน้ำตาปะปนกับน้ำที่เจิ่งนอง เกิดจลาจลและเสียงเรียกร้องให้ทางการเข้าช่วยเหลือโดยเร็ว แต่หน่วยงานระดับท้องถิ่นมีทรัพยากรในการดูแลราษฎรจำกัด ฎีกาขอความช่วยเหลือกองพะเนินเทินทึกบนโต๊ะทรงพระอักษรฮ่องเต้มีรับสั่งให้ฉินอ๋องและรองผู้บัญชาการกองกำลังทหารม้าเข้าเฝ้าที่ห้องทรงพระอักษรโดยด่วน เมื่อทั้งสองทำความเคารพ ฮ่องเต้แย้มพระโอษฐ์แล้วก็ตรัสว่า“ไม่ต้องมากพิธี พวกเจ้าทั้งสองนั่งเถิด”“ขอบพระทัยเสด็จลุง”“ขอบพระทัยฝ่าบาท”ทั้งสองเสียงประสานกันก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ ไม่รอช้าฮ่องเต้ตรัสต่อไปว่า “พวกเจ้าทั้งสองคงรู้แล้วว่าดินแดนทางใต้เกิดอุทกภัยหนักมากที่สุดในรอบสิบปี ราษฎรได้รับความทุกข์ยาก”ฮ่องเต้หันมามองหน้าฉินอ๋อง “จื่อหยวน ลุงอยากให้เจ้าพาคนไปแก้ไขปัญหาให้ราษฎร เพราะตอนนี้มีการปล้นสะดม ทางท้องถิ่นไม่สามารถปราบปรามได้”“พ่ะย่ะค่ะ พรุ่งนี้เช้าหลานจะออกเดินทางพร้อมหน่วยมัจฉาพระกาฬและกองกำลังทหารอีกจำนวนหนึ่ง ให้รองผู้บัญชาการสุ่ยฝานหรงไปช่ว
แม่ทัพใหญ่สุ่ยลี่หรงยกทัพออกเดินทางไปชายแดนทางเหนือของแคว้นต้าเจีย แม้อายุจะล่วงเลยเข้าสู่วัยกลางคน แต่สมองยังแจ่มใส การวางแผนกลยุทธ์การศึกยังคงล้ำลึก ความเชื่อมั่นในตัวผู้บังคับบัญชาทำให้เหล่าทหารต้าเจียเดินทัพด้วยความฮึกเหิม สองสัปดาห์ผ่านไป กองทัพเดินทางมาได้ถึงสองในสามส่วนของระยะทาง วันนี้ท้องฟ้ามืดเร็วกว่าปกติ ลมพัดแรง มีสัญญาณบ่งบอกว่าฝนจะตกในไม่ช้า แม่ทัพใหญ่สุ่ยลี่หรงจึงให้เร่งเดินทางไปยังเนินดินดำซึ่งเป็นลานกว้างอยู่สูงขึ้นไปเล็กน้อยเพื่อพักแรมค้างคืนในกระโจมแม่ทัพใหญ่ นายทหารสามนายนั่งล้อมวงปรึกษาหารือการทำศึก“อีกไม่กี่วันก็จะถึงชายแดนแล้ว ข้าแทบรอบดขยี้ต้าเลี่ยงไม่ไหว” นายทหารหุ่นกำยำล่ำสัน กำหมัดสองข้างทำท่าชนกัน “ข้าก็เช่นกัน จะนำหัวแม่ทัพเอี้ยนกลับไปฝากชาวต้าเจีย” นายทหารอีกนายหนึ่งทำท่าขึงขังแม่ทัพใหญ่ยิ้ม ใบหน้าคลายความดุดันลงเล็กน้อย เขากล่าวว่า “พรุ่งนี้ก็จะถึงจุดนัดพบกับคนของฉิวเยี่ยนแล้ว คงจะรู้สถานการณ์ชายแดนได้ละเอียดมากขึ้น”“แม่ทัพน้อยฉิวเยี่ยนคงนับวันรอให้ท่านแม่ทัพใหญ่ไปถึงชายแดนขอรับ” กล่าวพลาง นายทหารผู้บึกบึนก็หัวเราะเสียงดังแม่ทัพน้อยฉิวเยี่ยนคือ
ราษฎรต้อนรับการประสูติขององค์ชายน้อยหย่งเฉิงอย่างเอิกเกริก ร้านค้าในตลาดและบ้านเรือนราษฎรปักธงถวายพระพร เหลาเฉียนจัดทำอาหารพิเศษแจกจ่ายให้ลูกค้าโดยไม่คิดเงิน ร้านขายผลไม้ก็นำส้มมงคลมาแจกจ่ายให้ผู้คนที่สัญจรไปมาเมื่อครั้งเทียนตี้หย่งยังดำรงตำแหน่งฉินอ๋อง ราษฎรก็รักใคร่ชื่นชม แม้ในจวนอ๋องจะไม่มีพระชายา พระชายารอง หรืออนุ ก็ไม่มีผู้ใดใส่ใจ ต่อมาขึ้นครองราชย์ ราษฎรก็ปลื้มปิติ แต่ก็กังวลเพราะฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ลั่นวาจาไว้ว่าจะมีฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิงเพียงพระองค์เดียวแม้ในขณะที่แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งฮองเฮา พระนางจะตั้งครรภ์แล้วก็ตาม หากเป็นพระราชธิดาพวกเขาก็ยังไม่วางใจ ดังนั้นเมื่อองค์ชายน้อยหย่งเฉิงประสูติ จึงเป็นทั้งความยินดีและความโล่งใจของราษฎรทั้งหลาย อย่างน้อยก็สบายใจได้ว่า แคว้นต้าเจียมีผู้สืบทอดบัลลังก์มังกรแล้วในแต่ละวันขององค์ชายน้อยหย่งเฉิงมีเสด็จย่าทั้งสองและท่านยายผลัดกันมาดูแล คือเสด็จย่าไทเฮาสือจินอวี้ เสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือ และท่านยายเจียงจือไฉ แต่เสด็จย่าไทเฮาสือจินอวี้จะได้เปรียบมากกว่าเพราะประทับในวังเช่นเดียวกัน จึงมาดูแลเกือบทุกวัน เว้นแต่วันที่เสด็จย่าไทเฮ
พระราชพิธีแต่งตั้งฮองเฮาเป็นไปอย่างเรียบง่ายตามความประสงค์ของสุ่ยเฉินเฟิง ตำหนักคุนหนิงของฮองเฮาได้รับการปรับปรุงใหม่ มีห้องสำหรับทารกติดกับห้องบรรทมของฮองเฮา สำหรับฮ่องเต้เทียนคงอิงฉงนั้นแม้จะมีตำหนักเฉียนชิง แต่พระองค์ก็จะมาบรรทมที่ตำหนักคุนหนิงเป็นประจำ เว้นแต่ช่วงที่ทรงงานดึกจึงจะพักผ่อนที่ตำหนักเฉียนชิงเพื่อให้ฮองเฮาพักผ่อนเต็มที่ ไม่ต้องตื่นกลางดึกสุ่ยฝานหรงซึ่งบัดนี้ได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีนั้น บางวันจะพาเหมยกุ้ยเข้าวังมาส่งที่ตำหนักคุนหนิงในช่วงเช้า และมารับกลับหลังจากประชุมขุนนางเสร็จ ชีวิตของสุ่ยเฉินเฟิงจึงไม่เงียบเหงาเกินไป ส่วนถิงถิงซึ่งบัดนี้เป็นนางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาก็ช่างมีเรื่องซุบซิบมาเล่าให้ฟัง แม้กระทั่งองค์หญิงนาราที่เสวยผลไป่เซียงกั่วเพื่อให้เกิดผื่นจะได้ยืดเวลาการอยู่ในวังหลวงเพื่อมีเวลาขอถวายตัวเป็นสนมก็มาเล่าให้ฟัง เรียกได้ว่าทั้งเรื่องเก่าเรื่องใหม่ถิงถิงไม่ค่อยจะพลาดข่าว ถิงถิงมีความเห็นว่ารู้มากหน่อยดีกว่ารู้น้อยไปเมื่อสุ่ยฝานหรงเข้ารับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีแล้ว ฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ก็ต้องวางกำลังคนที่ไว้ใจให้ควบคุมหน่วยกำลัง
ไทเฮาสือจินอวี้ลุกขึ้นจากที่ประทับ ตรงไปยังองค์หญิงนาราที่นั่งคุกเข่า ใช้สองพระหัตถ์แตะไหล่ประคองให้องค์หญิงน้อยลุกขึ้นยืน แล้วตรัสว่า “องค์หญิงนารามีหน้าตาสวยงามและเพียบพร้อมด้วยความรู้ ไม่ควรจะมาเป็นสนม ความหวังดีนี้ไม่อาจรับไว้ได้ ขอให้แคว้นต้าเจียและเผ่าตู้ผูกพันเป็นมิตรที่ดีต่อกันเถิด”ภายนอกมีเสียงดังขึ้นว่า “ฮ่องเต้เสด็จ”เมื่อร่างสูงสง่าของฮ่องเต้ก้าวเข้ามาในโถงกลางของวังหลัง พระองค์ทำความเคารพไทเฮาก่อน แล้วจึงหันไปตรัสแก่ผู้อื่นที่ทำความเคารพว่า “ไม่ต้องมากพิธี” องค์หญิงน้อยมองด้วยสายตาหลงใหลเทียนตี้หย่งแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อยแล้วตรัสด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เจิ้นขอบใจในน้ำใจของถู่ซือและองค์หญิง แต่ไม่อาจรับไว้ได้ ต้าเจียและเผ่าตู้ไม่จำเป็นต้องผูกพันกันด้วยการอภิเษกหรือการเป็นสนม แต่ยังเป็นพันธมิตรกันต่อไปได้”องค์หญิงน้อยทำได้เพียงกล่าวเสียงเบาว่า “เพคะ” รู้สึกอับอายแทบแทรกแผ่นดิน ไม่คิดมาก่อนว่าจะถูกปฏิเสธแม้แต่การเป็นสนม เทียนตี้หย่งหันไปทางทูตเผ่าตู้แล้วตรัสว่า “เผ่าตู้มีสินค้าหายากหลายอย่างที่ต้าเจียไม่มี เจิ้นจะให้ทูตการค้าต้าเจียหารือเรื่องการพัฒนาการค้าขายระหว่างกันดีห
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่อลังการ เทียนตี้หย่ง ขึ้นครองราชย์สถาปนาเป็นฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง ราษฎรทั่วแคว้นต้าเจียเฉลิมฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืน พวกเขาล้วนมีความหวังที่ยิ่งใหญ่กว่าครั้งใดที่เคยหวัง ต่างแคว้นล้วนส่งทูตมาแสดงความยินดี ไม่มีแคว้นใดหาญกล้าทดสอบความแข็งแกร่งของฮ่องเต้พระองค์ใหม่เผ่าตู้เป็นชนเผ่าที่เคยถูกแคว้นต้าเลี่ยงรุกรานและสร้างความอัปยศให้แก่องค์หญิงหลายองค์จนปลิดชีพตนเอง เมื่อแคว้นต้าเจียปราบปรามแคว้นต้าเลี่ยงทำให้เผ่าตู้ได้รับอิสระอีกครั้ง เมื่อมาแสดงความยินดีในครั้งนี้ มีองค์หญิงน้อยเผ่าตู้ร่วมเดินทางมาด้วย องค์หญิงนาราเป็นองค์หญิงองค์เดียวที่ปลอดภัยจากการรุกราน เนื่องจากช่วงเวลานั้นไม่ได้อยู่ในดินแดนเผ่าตู้ ในท้องพระโรง พระเจ้าเทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร พระพักตร์ขาวใส ดวงตาดำขลับยาวรีปลายชี้ฟ้า จมูกโด่งเป็นสัน ช่างสง่างามเหลือเกิน องค์หญิงน้อยมองดูด้วยความตะลึง หลงรักบุรุษผู้สง่างามนี้ทันทีเทียนตี้หย่งแย้มพระโอษฐ์ขอบคุณแคว้นต่าง ๆ ที่มาร่วมแสดงความยินดี และเชิญทูตทุกแคว้นทุกชนเผ่าเข้าร่วมงานเลี้ยงในตอนเย็น เนื่องจากยังไม่มีการแต่งตั
หลังจากพระเจ้าเต๋อหมิงได้รับบาดเจ็บ คณะหมอหลวงก็พยายามทุกวิธีในการรักษา เพราะฤทธิ์ยาระงับความเจ็บปวดที่หมอหลวงปรุงขึ้น แม้พระพักตร์จะขาวซีดแต่ก็ไม่แสดงถึงความเจ็บปวด เวลาผ่านไปสิบกว่าวัน ลมหายใจที่แผ่วเบานั้นก็หยุดนิ่ง หัวหน้าหมอหลวงตรวจชีพจรอีกครั้งก่อนจะหันมาทูลต่อไทเฮาสือจินอวี้ว่า“พระองค์กลับคืนสู่สวรรค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”ไทเฮาสือจินอวี้ตัวอ่อน เป็นลมล้มพับ ฉินอ๋อง เทียนตี้หย่ง ที่ยืนอยู่ใกล้กันรับตัวเสด็จป้าสะใภ้ไว้ทันก่อนพระวรกายกระทบพื้น หมอหลวงแบ่งคนมาปฐมพยาบาลไทเฮา ความเศร้าโศกเสียใจล้นห้องบรรทมออกไปครอบคลุมวังหลวงและกระจายออกไปทั่วแคว้น พระเจ้าเต๋อหมิงเป็นผู้ปกครองใต้หล้าด้วยความเมตตา จึงเป็นที่รักใคร่ของราษฎร ในช่วงเวลาอันเศร้าหมอง ฉินอ๋องเป็นกำลังหลักในการสั่งการเรื่องต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยหลังจากพิธีการต่าง ๆ ผ่านพ้นไป ไทเฮาสือจินอวี้ก็เรียกฉินอ๋องเข้าเฝ้า สุ่ยเฉินเฟิงดูแลเครื่องแต่งกายให้พระสวามี ฉินอ๋องใช้นิ้วดันคางของนางให้เงยหน้าขึ้น“เฟิงเอ๋อร์ เจ้ากังวลอะไรหรือ”สุ่ยเฉินเฟิงถอนหายใจ “ไม่แน่ว่าการเรียกตัวเข้าเฝ้าในครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับบัลลังก์ที่ว่างอยู่เพ
พระเจ้าเต๋อหมิงบาดเจ็บสาหัส นับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุพระองค์ก็ยังไม่ลืมพระเนตรขึ้นมา มีเพียงชีพจรและลมหายใจแผ่วเบาเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ เกิดความโกลาหลในการบริหารงานเล็กน้อย ไทเฮาสือจินอวี้ต้องออกนั่งเป็นประธานการประชุมขุนนางในฐานะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน พระนางไม่ประทับบนบัลลังก์มังกร แต่กลับให้คนนำเก้าอี้หงส์จากตำหนักของพระนางมาใช้ประทับเป็นการชั่วคราวแม้ว่าปกติไม่ว่าไทเฮาหรือฮองเฮาพระองค์ใดก็ตาม ไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการของวังหลวงได้ ผู้เป็นมารดาของแผ่นดินมีหน้าที่ควบคุมกำกับดูแลวังหลังให้เป็นไปโดยเรียบร้อย แต่สถานการณ์ของแคว้นต้าเจียในคราวนี้แตกต่างออกไป พระเจ้าเต๋อหมิงไม่ได้อภิเษกสมรสเพราะอยู่ระหว่างการไว้ทุกข์ให้กับไท่ซ่างหวงซึ่งก็คือเสด็จพ่อของพระองค์นั่นเอง อีกทั้งพระเจ้าเต๋อหมิงก็ไม่มีสนมจึงยังไม่มีพระราชโอรสหรือพระราชธิดาแม้แต่พระองค์เดียว แคว้นต้าเจียจึงยังไม่มีรัชทายาทเดิมทีเหล่าขุนนางตั้งใจว่าหลังจากพ้นการไว้ทุกข์ให้ไท่ซ่างหวงแล้ว พวกเขาจะกดดันให้พระเจ้าเต๋อหมิงอภิเษกสมรสและแต่งตั้งฮองเฮา รวมทั้งให้เริ่มการคัดเลือกสนมเข้ามาปรนนิบัติตามธรรมเนียมท
ก่อนที่สุ่ยฝานหรงจะออกไป ฉินอ๋องสั่งการเพิ่มเติมว่า “ตอนที่จับกุมเมิ่งกุ้ยเฟย คนที่สุสานบรรพชนล้วนถูกลงโทษ นางกำนัลอู่ก็ติดตามกุ้ยเฟยไปที่สุสานด้วย ท่านตรวจสอบด้วยว่าผู้ใดช่วยเหลือให้นางหลบหนีจนรอดพ้นได้” “พ่ะย่ะค่ะ”สุ่ยฝานหรงออกไปแล้ว ฉินอ๋องกลับเข้าไปในห้องบรรทมของพระเจ้าเต๋อหมิง มีโต๊ะวางไว้มุมห้อง เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ จางชุนรินน้ำชาส่งให้ เขารับมาถือไว้นิ่ง ๆ มองตรงไปก็เห็นญาติผู้พี่นอนนิ่ง พระพักตร์ซีดเซียว นี่คือสิ่งที่เขากังวลอยู่เสมอว่าจะเกิดขึ้น และแล้วก็เกิดขึ้นจริง พี่สี่ของเขาพระทัยอ่อน ใช้สายพระเนตรที่เมตตามองผู้คนโดยรอบ ใช้พระคุณแต่เพียงอย่างเดียวในการปกครองเวลาผ่านไป แม่ทัพใหญ่สุ่ยฝานหรงกลับมาอีกครั้งเมื่อเข้ายามอิ๋น เขาสีหน้าไม่ดีนัก รายงานว่า“ตรวจสอบโดยละเอียดแล้วพ่ะย่ะค่ะ นางกำนัลอู่ไม่ถูกจับกุมเพราะนางลากลับบ้านเดิมเพื่อจัดการงานศพของมารดา เมื่องานศพเสร็จแล้ว ระหว่างทางที่เดินทางกลับเมืองหลวง ก็ได้ข่าวว่าคนที่สุสานบรรพชนถูกจับกุม นางจึงซ่อนเร้นตัว เมื่อทหารที่ไปตรวจค้นสุสานบรรพชนและทำลายเห็ดเมากลับไปแล้ว นางก็ลักลอบเข้าไปในสุสานบรรพชน เพราะนางอยู่ที่นั่นกั
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จป้าสะใภ้ หลานจะสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้สภาพในคุกไม่เหมาะสำหรับผู้บาดเจ็บ” เขาหันถามหัวหน้าหมอหลวงว่า “จะเคลื่อนย้ายฝ่าบาทได้หรือไม่ หรือต้องรอให้อาการดีขึ้นกว่านี้ก่อน”หัวหน้าหมอหลวงตอบว่า “สามารถเคลื่อนย้ายได้แล้วพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง แต่ต้องทำด้วยความระมัดระวัง คุกหลวงไม่เหมาะกับการรักษาผู้ป่วยจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”ในที่สุด พระเจ้าเต๋อหมิงก็ถูกเคลื่อนย้ายไปยังตำหนักเฉียนชิง ฉินอ๋องประคองไทเฮา สือจินอวี้ไปพร้อมกัน โดยให้สุ่ยฝานหรงซึ่งตามมาถึงแล้ว ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุอย่างละเอียด ไทเฮานั่งกุมพระหัตถ์พระราชโอรส พระพักตร์ของพระองค์และพระเจ้าเต๋อหมิงซีดขาวพอกัน"เสด็จป้าสะใภ้พักผ่อนก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ไทเฮาสือจินอวี้ส่ายพระพักตร์ “ป้าสะใภ้จะเฝ้าเต๋อเอ๋อร์ เมื่อเขาฟื้นจะได้เห็นหน้าแม่เป็นคนแรก”“ถ้าเช่นนั้นหลานจะให้คนจัดห้องด้านข้างเป็นที่บรรทมชั่วคราวดีไหมพ่ะย่ะค่ะ เสด็จป้าสะใภ้ไปพักผ่อนก่อน มิฉะนั้นอาจจะประชวรไปอีกพระองค์ หากพี่สี่รู้สึกตัวแม้เพียงเล็กน้อยจะให้คนไปทูลให้ทรงทราบทันที”ไทเฮาพยักพระพักตร์ ฉินอ๋องจึงสั่งให้ขันทีประจำตำหนักเฉียนชิงเร่งจัดห้องบรรทมช
ในห้องขังห้องหนึ่งของคุกหลวง บนโต๊ะตัวเล็กซึ่งวางไว้มุมหนึ่งมีกับข้าวสองอย่างและน้ำ แม้จานอาหารจะไม่ได้ตกแต่งอย่างสวยงาม แต่กับข้าวก็มีทั้งเนื้อและผัก อีกมุมหนึ่งมีผ้าผืนใหญ่ค่อนข้างหนาปูไว้บนพื้นสำหรับใช้เป็นที่นอน อากาศเย็นและอับชื้น โคมไฟที่มุมกำแพงส่องแสงลอดลูกกรงเข้ามาทำให้ในห้องขังไม่มืดองค์ชายรอง เทียนตี้ฮุ่ย นั่งอยู่บนผ้าปูนอน หลังพิงกำแพงคุกหลวง สามวันแล้วที่เขาเข้ามาอยู่ในคุกหลวง แม้ว่าอาหารจะไม่เป็นที่พอใจแต่เขาก็รับประทานได้ ไม่มีเหตุผลที่ต้องทรมานตัวเอง ข้อเท้าของเขาได้รับการรักษา หมอหลวงเข้ามาทำแผลให้วันละสองครั้ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังอักเสบ มีเลือดและน้ำหนองซึมออกมา เขาไม่สามารถเดินได้ แม้จะเป็นระยะทางใกล้ ๆ จากที่นอนตรงไปยังโต๊ะอาหาร เขาต้องคลานไป ช่างน่าอนาถนักมีเงาไหววูบอยู่หน้าห้องขัง เขามองออกไปก็เห็นบุรุษรูปร่างสูงผอมที่คุ้นเคย ทั้งหน้าตาผิวพรรณและเครื่องแต่งกายล้วนสูงส่ง พระเจ้าเต๋อหมิงมองผ่านลูกกรงเข้ามา ตรัสถามว่า“แผลที่ขาเป็นอย่างไรบ้างพี่รอง”องค์ชายรอง เทียนตี้ฮุ่ย หันหน้าไปอีกทางหนึ่ง ใบหน้าเศร้าโศก ไม่พูดไม่จา พระเจ้าเต๋อหมิงจึงให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ไขกุญแ