———ย้อนกลับไป ในเวลาเดียวกับที่กรพบกับมีอาเป็นครั้งแรกที่ชั้น 33 …
หลังจากเหตุการณ์ที่กลุ่มของรินและเสือเข้าปะทะกันด้วยวาจาอย่างรุนแรงที่หน้าค่ายพักผ่อนเมื่อหนึ่งสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมีสาเหตุมาจากที่ปาร์ตี้ของฮาวลี่ถูกวาร์ปเข้าไปในดันเจี้ยนอย่างกะทันหันนั่น
หลังจากที่ทุกคนรวมถึงกลุ่มของเสือและรินกลับเข้าไปในค่ายแล้ว ฮันซี่ก็ทำการประกาศเหตุฉุกเฉินให้ทหารทุกนายรวมถึงเหล่านักเรียนผู้กล้าทุกคนรีบกลับไปยังเมืองหลวงอย่างเร่งด่วน โดยอ้างว่าช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้เส้นทางกลับอาจมีพายุฝนฟ้าคะนองและลมกรรโชกพัดผ่านอย่างหนัก ซึ่งนั่นอาจทำให้เกิดความล่าช้าและอันตรายที่คาดไม่ถึงได้
ส่วนตัวฮันซี่นั้นไม่สามารถกลับไปพร้อมกันได้ โดยใช้ข้ออ้างอีกอย่างหนึ่งว่าตนเองและเหล่าทหารคนสนิทได้รับคำสั่งจากองค์ราชาให้ไปปฏิบัติภารกิจฉุกเฉิน จึงต้องรอคำสั่งต่อไปที่หมู่บ้านใกล้ๆนี่ ด้วยเหตุที่ว่าจึงร่วมเดินทางกลับกับทุกคนไม่ได้ แม้จะฟังดูเหมือนเป็นคำแก้ตัวน้ำขุ่นๆก็ตาม แต่นักเรียนผู้กล้าทุกคนก็เชื่อฟังเป็นอย่างดีและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดโดยไม่มีบิดพลิ้ว
แน่นอนว่าสาเหตุที่แท้จริงนั่นก็คือ การตามหาตัวกรซึ่งเป็นสมาชิกในปาร์ตี้ของฮาวลี่นั่นเอง และจากคำบอกเล่าของลินดา ฮันซี่จึงได้ทราบความจริงที่ฮาวลี่เสียชีวิตไปแล้วพร้อมๆกัน นั่นเลยทำให้ทั้งกองอัศวินตกใจกันยกใหญ่ที่ทหารชั้นหนึ่งเช่นเขาถูกการโจมตีครั้งเดียวจนตายไปทันทีแบบนั้น
แล้วซึ่งแรกที่ฮันซี่คิดนั่นก็คือ กรไม่มีทางรอดจากสถานการณ์ที่ว่าได้แน่นอน เพราะขนาดฮาวลี่ที่เป็นถึงแนวหน้าระดับสูงยังตายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว แล้วกรที่เป็นผู้กล้าที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มนักเรียนผู้กล้าด้วยกันมีหรือจะมีโอกาสรอดชีวิตได้ แต่ดูเหมือนลินดาจะแอบไปกระซิบกับฮันซี่ว่า กรนั้นสามารถเลี่ยงการโจมตีของมอนสเตอร์ทั้งหมดจนถึงตอนที่พวกเสือวาร์ปออกมาได้(แน่นอนว่ามีการปรุงแต่งนิดหน่อยเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ) นั่นเลยทำให้ฮันซี่มองเห็นโอกาสรอดของกรขึ้นมาบ้าง รวมถึงตัวเองที่มีตำแหน่งและศักดิ์ศรีเป็นถึงหัวหน้ากองอัศวิน จึงจะทำเป็นมองไม่เห็นโอกาสช่วยนั้นไม่ได้ ส่วนนึงก็ต้องการที่จะเก็บกู้ศพของพวกพ้องเช่นฮาวลี่ก็ด้วย
พอฮันซี่ประชุมกับอัศวินระดับสูงในกองของตัวเองจนได้ข้อสรุปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ทำการคัดเลือกอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดในกองเป็นจำนวน 19 คน(รวมตัวเองเป็น 20, คน 4 ปาร์ตี้)เพื่อไปสำรวจดันเจี้ยนที่ว่า เพราะจากคำบอกเล่าของลินดา ดันเจี้ยนที่ว่าไม่มีลักษณะที่ตรงกับดันเจี้ยนในบริเวณใกล้ๆนี้เลย แถมดันเจี้ยนใกล้ๆก็ยังมีระดับไม่สูงถึงขนาดที่จะจัดการฮาวลี่ได้ด้วย ที่ฮันซี่คิดออกก็มีเพียงดันเจี้ยนระดับ S ขึ้นไปเท่านั้น
แต่แน่นอนว่าข้อมูลแค่นั้นมันไม่เพียงพอต่อการออกค้นหาดันเจี้ยนดังกล่าว ฮันซี่กับกลุ่มของเขาจึงสั่งให้รองหัวหน้ากองรีบกลับไปที่เมืองหลวงที่มีข้อมูลครบครันกว่าให้เร็วที่สุดเพื่อตรวจสอบรายละเอียดของดันเจี้ยนที่ลินดาเล่ามาให้ตรงกันที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งวิธีดังกล่าวเป็นวิธีการที่รวดเร็วที่สุดแล้ว แม้จะวิธีที่รวดเร็วกว่าอย่างการใช้สัตว์ปีกส่งข่าวเช่นเหยี่ยวหรือการใช้『ศิลาเวทย์เคลื่อนย้าย』แต่หน้าเสียดายที่วิธีแรกนั้นทำไม่ได้เพราะฮันซี่ไม่ได้นำมันมาด้วย ส่วนวิธีที่สองก็โชคร้ายที่อัศวินในกองนั้นไม่มีใครซักคนที่มีใบอนุญาติ แน่นอนว่าอัศวินทุกคนรวมถึงฮันซี่เองก็ไม่มีศิลาในครอบครองเช่นกัน เพราะการทำใบอนุญาตและมีมันในครอบครองนั้นส่วนใหญ่จำต้องเป็นนักผจญภัยชื่อดังที่เดินทางข้ามทวีปบ่อยๆหรือพ่อค้ากระเป๋าเงินตุงเท่านั้นที่มีโอกาสได้ใช้ ทั้งเพราะราคาสูงและต้องมีเส้นสายภายในมากพอสมควรในการทำใบอนุญาต จึงน่าเสียดายที่ทำแบบที่ว่ามาไม่ได้
พอเป็นอย่างที่ว่า จึงไม่มีทางเลือกนอกจากเดินทางกลับตามปกติเท่านั้น ในขณะเดียวกับที่ตกลงปลงใจกับแผนดังกล่าวได้ กองอัศวินก็ทำการนำเหล่านักเรียนผู้กล้าทั้งหลายรวมถึงพวกของเสือและรินที่ยังสลบอยู่กลับเมืองหลวงไปพร้อมกัน แน่นอนว่าเรื่องที่กรหายตัวไป ฮันซี่ยังไม่ได้ป่าวประกาศให้รู้โดยทั่วกัน เพราะหากทำแบบนั้นไปก็มีแต่จะทำให้เกิดอาการตื่นตระหนกและเสียขวัญกำลังใจ ขั้นร้ายแรงสุดก็อาจจะถึงขั้นก่อจลาจลเลยก็เป็นได้ ฮันซี่จึงทำได้แค่ปิดข่าวการหายตัวไปของกรเพียงเท่านั้น และแน่นอนว่าได้ทำการสั่งและกำชับพวกเสือและรินก่อนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลังจากนั้นหนึ่งวัน ทันทีที่กลุ่มนักเรียนผู้กล้าเดินทางจนถึงเขตเมืองหลวงโดยสวัสดิภาพแล้ว เหยี่ยวที่ทำหน้าที่ส่งข้อมูลดันเจี้ยนที่ผ่านการคัดกรองมาแล้วจากทางเมืองหลวง ก็บินมาถึงหมู่บ้านที่พวกฮันซี่พักอยู่โดยใช้เวลาแค่ครึ่งวันเท่านั้น แต่พอเปิดอ่านรายละเอียดของดันเจี้ยนที่รองหัวหน้าส่งมาให้ กลุ่มของฮันซี่ก็ต้องตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่อยู่ตรงหน้าจนหัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มกันทุกคน นั่นเพราะข้อมูลที่ส่งมาก็คือ ข้อมูลที่บ่งบอกว่าดันเจี้ยนที่ปาร์ตี้ของฮาวลี่ถูกกับดักวาร์ปเข้ามาก็คือ 1 ใน『มหาดันเจี้ยนโบราณทั้ง 8』หรือก็คือ ดันเจี้ยนสูงสุดระดับ SSS ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากจุดที่ฮันซี่อยู่ถึง 250 กิโลเมตร
แล้วพอข้อมูลส่งมาถึง ทั้งกองอัศวินก็เริ่มการเดินทางไปยังดันเจี้ยนที่ว่าอย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาเพียง 3 วันก็มาถึงเป็นที่เรียบร้อย หลังจากทำเรื่องขอใช้『ศิลาเวทย์เคลื่อนย้าย』เพื่อลงไปยังชั้นที่ 23 เนื่องด้วยเหตุฉุกเฉินพร้อมมอบตราทางการเพื่อยืนยันกับทางกิลด์นักผจญภัยในเมืองใกล้ๆเสร็จแล้ว กองอัศวินทั้ง 20 คนก็ทำการวาร์ปเข้าไปในชั้นดังกล่าวแล้วเริ่มการค้นหาตัวกรและศพของฮาวลี่ในทันที
.
.
〝หัวหน้ากองครับ! ทางแยกซ้ายข้างหน้า น่าจะเป็นตำแหน่งที่เรากำลังตามหาอยู่ครับ〞
〝ดีหล่ะ! ทุกคน... ตรึงระดับการเฝ้าระวังไว้เหมือนเดิม ห้ามประมาทเด็ดขาด!!!〞
〝〝〝〝〝〝 ครับหัวหน้ากอง!!!!! 〞〞〞〞〞〞
หลังจากที่ทั้งสามปาร์ตี้ลงมายังชั้นที่ 23 และทำการค้นหาก็ผ่านไปได้เพียง 30 นาทีเท่านั้น เห็นได้ชัดเลยว่ากองอัศวินของราชอาณาจักรเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ไม่ใช่ชื่อที่เอาไว้โอ้อวดแต่อย่างใด(ถึงจะใช้ถึง 4 ปาร์ตี้ในการบุกตะลุยก็ตาม) แล้วพอทำการเคลียร์มอนสเตอร์รอบๆได้หมดแล้ว ทหารนายนึงก็พบกับทางแยกที่คาดว่าจะเป็นแหล่งเดียวจากคำบอกเล่าของลินดาเข้า ฮันซี่ที่สังเกตเห็นเช่นนั้นก็สั่งทหารทุกคนให้เฝ้าระวังมอนสเตอร์ ก่อนที่จะนำปาร์ตี้ของตัวเองเดินนำเข้าไปทางแยกนั่นอย่างระมัดระวัง แล้วก็ต้องพบเข้ากับภาพที่เป็นสาเหตุการค้นหาในครั้งนี้ในที่สุด
〝นั่นมัน... คุณฮาวลี่... สินะครับ?〞
〝อืม... เป็นหมอนั่นไม่ผิดแน่〞
หลังจากที่เดินตรงเข้ามาในทางแยกราวๆ 10 เมตร ฮันซี่ก็พบเข้ากับร่างของสหายของตนที่อยู่ในสภาพน่าอนาถ เพราะลำตัวท่อนบนและล่างขาดออกจากกันจนลำไส้ไหลออกมาดูน่าสะอิดสะเอียน แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ทั้งคู่ก็ยังคงพูดคุยด้วยเสียงเรียบๆอยู่เช่นเคย ฮันซี่ที่เห็นร่างของฮาวลี่แล้วก็หลับตาลงเบาๆราวกับจะแผ่เมตตาให้เขาไปสู่สุขคติ ก่อนที่จะออกคำสั่งต่อไป
〝เข้าไปลึกกว่านี้อีกหน่อย! ตามหาผู้กล้าอุษณกรให้เจอ... ต่อให้มีร่องรอยเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ให้รีบมาแจ้งข้าทันที!!!! 〞
〝〝〝〝〝〝 ครับ!!!!! 〞〞〞〞〞〞
ทันทีที่ฮันซี่สั่งออกไปแบบนั้น ทหารทุกคนที่ตอบกลับอย่างแข็งขันแล้วก็พุ่งตัวเข้าไปในทางแยกนั่น และแยกย้ายกันสำรวจตั้งแต่ปากทางแยกไปจนถึงจุดที่เคยมีวงเวทย์จาก『จุดหนี』อยู่เลยทีเดียว ฮันซี่เองก็สำรวจศพของฮาวลี่อยู่เช่นกัน นั่นจึงทำให้เขาพบเข้ากับร่องรอยสำคัญของกรเข้า
〝แขน... งั้นเหรอ? ฮาวลี่ก็มีแขนครบทั้งสองข้าง.... งั้นหรือว่านี่จะเป็นแขนของเด็กคนนั้น!? 〞
แน่นอนว่านั่นคือ แขนของกรที่ถูกมอนสเตอร์ตัดจนขาดสะบั้นไปก่อนที่จะจุติครั้งแรก แต่เพราะยังไม่ได้สังเกตุและตรวจสอบอย่างละเอียด เลยทำให้เขายังไม่เห็นสัญลักษณ์ที่กรทำไว้ ถึงนั่นจะเป็นข้อความที่กรต้องการส่งไปถึงพวกรินที่รออยู่ในเมืองหลวงเพียงพวกเดียวก็ตามที
〝หัวหน้ากอง! ลึกเข้าไปข้างใน... นอกจากร่องรอยการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 4-5 วันที่แล้ว ก็ไม่พบร่องรอยของใครเลยครับ〞
〝แล้วเจอไอเทมหรือชิ้นส่วนชุดเกราะ... ชิ้นส่วนของผู้กล้าอุษณกรบ้างรึเปล่า?〞
〝มะ ไม่พบอะไรเลยครับผม!!!〞
〝…..งั้นเหรอ〞
พอฮันซี่เห็นแบบนั้นเข้า ก็ไม่พ้นที่จะคิดว่ากรตายไปแล้วและชั้นส่วนถูกแยกจากกันและกระจัดกระจายไปทั่ว จึงได้ถามออกไปแบบนั้นอย่างเยือกเย็น นายทหารที่ตอบกลับดูท่าจะยังไม่ชินกับเรื่องแบบนี้จึงตอบกลับไปอย่างหวั่นๆ แล้วจากนั้นทหารคนสนิทอีกคนของฮันซี่ก็เดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วก็เริ่มการสันนิษฐานกันสองคนกับฮันซี่
〝เหลือแค่แขนงั้นเหรอครับ?〞
〝ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น... คิดว่าไงบ้าง?〞
〝จากประสบการณ์แล้ว... คิดว่าโอกาสรอดแทบไม่มีเลยครับ... นอกเสียจาก...〞
〝นอกเสียจาก?〞
〝ที่โลกเดิมของเด็กคนนั้น... ถ้าเกิดเป็นคนละโลกกับที่พวกเราได้อัญเชิญมาเมื่อ 2 ปีก่อน... ก็มีความเป็นไปได้ที่เด็กคนนี้จะถูกฝึกมาแบบทหารในโลกที่แตกต่างกับครั้งก่อน โอกาสที่จะเอาตัวรอดได้ก็คง...... คงไม่ใช่แบบนั้นสินะครับ〞
〝ข้าคิดว่าคงไม่ใช่แบบนั้นหรอก... วิถีชีวิตของผู้กล้าทุกคนแทบไม่มีอะไรแตกต่างจากพวกที่อัญเชิญมาครั้งก่อนเลย แล้วหากเด็กคนนี้เป็นแบบที่ว่าจริง ตอนฝึกก็คงแสดงอะไรให้เห็นบ้างสิ... ถึงที่ข้าดูเขาตอนฝึก จะรู้ว่าเขายังไม่ได้เอาจริง แถมยังแตกต่างจากผู้กล้าคนอื่นๆ...〞
〝แน่อยู่แล้วนี่ครับ.... ก็สเตตัสของเขาน้อยที่สุดในหมู่ผู้กล้าเลยนี่ครับ?〞
〝ข้าไม่ได้หมายความแบบนั้น.... ที่ข้าหมายถึงก็คือ... ความสามารถดั้งเดิมจากโลกก่อนของเขาต่างหาก... แถมเรื่องที่เด็กคนนี้สามารถประลองกับผู้กล้าคนอื่นได้ทั้งที่ไม่มีฉายาและสกิลดีๆเลยได้อย่างสูสีก็ด้วย... ถึงการเคลื่อนไหวจะดูทื่อๆ แต่ก็ตามการเคลื่อนไหวของทุกคนได้ทัน ไม่สิ อาจเร็วกว่าด้วยซ้ำ... ข้าคิดว่าเรื่องทั้งหมดคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ 〞
ต่อหน้าคำสันนิษฐานของฮันซี่ ทหารคนสนิทก็ทำได้แค่อึ้งกิมกี่และคิดตามอย่างจริงจังเท่านั้น จากเรื่องนี้ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าฮันซี่ไม่ได้ปล่อยปละละเลยกรไปเสียทีเดียว ทั้งยังสังเกตกรได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกต่างหาก
〝หรือท่านจะบอกว่า... เขายังมีชีวิตอยู่งั้นเหรอครับ?〞
〝ไม่หรอก... ถึงข้าจะพูดแบบนั้นไปก็จริง แต่ก็เหมือนเจ้า... ข้าไม่คิดว่าคนที่เคยมีชีวิตอยู่ในโลกที่สงบสุขมาก่อน จะสามารถเอาชีวิตรอดในโลกอันแสนโหดร้ายนี้ได้หรอก..... อย่างน้อยมันก็ควรเป็นแบบนั้นหล่ะนะ.....〞
〝.....ท่านหัวหน้ากอง?〞
แล้วฮันซี่ก็ทำหน้าเศร้าๆในขณะที่พูดแบบนั้นไปด้วย พลางแหงนมองผนังดันเจี้ยนไปพร้อมกันราวกับกำลังนึกถึงเรื่องเศร้าในอดีตอยู่ยังไงอย่างงั้นเลย นั่นทำให้นายทหารที่คุยอยู่ข้างๆเป็นห่วงจนต้องเรียกสติเขากลับมาเลยทีเดียว
〝โทษที ข้าเผลอนึกถึงเรื่องแย่ๆเข้าซะได้!〞
〝......งั้นจะเอายังไงต่อดีครับ... จะลงไปชั้นที่ลึกกว่านี้ไหมครับ?〞
แล้วพอทหารคนสนิทถามกลับมาอีกราวกลับจะช่วยกลบเกลื่อนเรื่องที่ฮันซี่ทำหน้าเศร้าๆออกมา ฮันซี่ก็ยกมือขวาขึ้นมาจับคางเพื่อครุ่นคึดถึงการสำรวจอย่างจริงจังอีกครั้ง
〝แม้ความเป็นไปได้ที่เด็กคนนี้จะยังมีชีวิตอยู่จะไม่หายไปทั้งหมดก็จริง... แต่ข้าว่าเราคงไม่สามารถตามลงไปชั้นลึกกว่านี้ได้ เพราะถึงการตามหาคนที่มีโอกาสรอดชีวิตจะสำคัญก็จริง แต่ข้าคงเอาชีวิตของทหาร 19 คนในกองมาเสี่ยงกับคนๆเดียวไม่ได้ กลับกัน ถ้าจะหา... ข้าว่าเราลองหาขึ้นไปจนถึงชั้นหนึ่งจะดีกว่า〞
〝งี้เองสินะครับ... เพราะหากเขายังมีชีวิตอยู่ ก็น่าจะหาทางขึ้นไปยังโลกภายนอกด้วยตัวเอง แล้วก็อาจจะพบร่องรอยระหว่างทางด้วย!〞
〝ก็ตามนั้นแหล่ะ.... ถ้างั้นก็———〞
แล้วพอคิดถึงความเสี่ยงและส่วนได้ส่วนเสียต่างๆนานา คำตอบก็ออกมาเป็นแบบนี้ ดูเหมือนจากประสบการณ์ที่เขาผ่านมา จึงสามารถชั่งน้ำหนักชีวิตและตัดสินใจในสิ่งที่ควรทำได้อย่างเหมาะสม แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ว่าทางไหนเป็นสิ่งที่ถูกต้องและควรทำที่สุด ทางที่ฮันซี่เห็นแก่พวกพ้องที่ยังมีชีวิตอยู่มากกว่าเด็กที่อยู่ในสถานะหายสาบสูญแถมโอกาสรอดยังน้อยสุดๆคงเป็นทางที่ดีที่สุดที่เขาคิดได้แล้ว แม้นั่นจะทำให้เขารู้สึกผิดมากก็ตาม แต่นั่นก็สื่อให้เห็นการเตรียมใจของเขาได้เป็นอย่างดี พอคิดว่าตัวเองจะแบกรับบาปเหล่านั้นไว้เองแล้ว ก็ทำการสั่งให้ลูกน้องทั้งหมดหยุดการค้นหา พอทำการเก็บกู้ศพของฮันซี่ รวมถึงแขนของกรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดก็ทำการสำรวจจากชั้นที่ 23 นี้ทีละชั้นไปจนถึงชั้นที่ 1 ที่อยู่บนสุดโดยใช้เวลาทั้งหมดร่วม 1 สัปดาห์เลยทีเดียว และแน่นอนว่ากองอัศวินของฮันซี่ไม่พบหลักฐานหรือร่องรอยใดๆของกรเพิ่มอีกเลยซักอย่างเดียว เพราะทางที่เขาทำการสำรวจมันเป็นทิศตรงข้ามกับที่กรลงไปเลยนั่นเอง นั่นเลยทำให้พวกฮันซี่จำต้องตีความไปว่า〝กรได้ตายไปแล้วแน่นอน〞อย่างเลี่ยงไม่ได้....
❖❖❖❖❖
——— หลังจากนั้น 3 วัน ทางด้านของพวกริน เป็นเวลาเดียวกับที่กรและมีอาเข้าปะทะกับบอสมังกรห้าหัวของชั้นที่ 50…
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!————————
ณ บริเวณหน้าประตูของวังหลวง ซึ่งเป็นที่พำนักขององค์ราชาแห่งอาณาจักรอาลัน รวมถึงเป็นที่พักของเหล่านักเรียนผู้กล้า ได้มีเสียงฝีเท้าของคนๆหนึ่งกำลังเดินวนไปวนมาที่บริเวณนั้นด้วยเสียงก้าวเดินที่ไม่สม่ำเสมอ รวมถึงบรรยากาศที่แผ่ออกมาจากตัวเขาเองก็แสดงให้เห็นถึงความทุกข์ใจ หากมองจากมุมมองของบุคคลที่สาม ก็จะเห็นได้เลยว่าเขาคนนี้กระวนกระวายขนาดไหน
〝โชต ผมว่าเลิกเดินไปเดินมาแบบนั้นจะดีกว่านะ〞
〝ฮึ่ย! ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้ล่ะก็ มีหวังกังวลจนเป็นบ้ากันพอดี!〞
〝ทุกคนก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกันหมดนั่นแหล่ะ!〞
คนที่เดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายนี้ก็คือ โชต หนึ่งในเพื่อนสนิทของกรนั่นเอง ผมยาวสีเหลืองทองอร่าม จัดทรงคล้ายดาราเกาหลี หน้าตาดูดีมีระดับ แถมด้วยใบหน้าเคร่งขรึมในตอนที่กังวลก็ยิ่งเสริมมาดคุณชายเข้าไปอีก เพียงแต่บรรยากาศที่เขาแผ่ออกมามันไม่ทำให้รู้สึกดีเลยซักนิด นั่นเลยทำให้ ชาญ ที่เป็นหนุ่มแว่นเพื่อนสนิทของกรอีกคน ซึ่งตอนนี้กำลังยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่ใกล้ๆกัน บอกแบบนั้นออกไป เพราะมันทำให้คนงานหรือทหารที่ผ่านเข้าออกรู้สึกกลัวและกังวลไปหมดแล้ว แต่ถึงชาญจะเป็นคนพูดแบบนั้นออกไปเอง แต่ตัวเขาเองก็ยังตบปลายเท้าของตัวเองไปที่พื้นจนถี่ยิบขณะเดียวกับเตือนโชต แสดงให้เห็นว่าเขาเองก็กังวลใจไม่ได้น้อยไปกว่ากันเลย
〝นี่ชาญ... กรคง.... ไม่เป็นอะไรหรอกใช่ไหม?〞
〝.....อลิซ?〞
และข้างๆชาญที่ยืนกอดอกอยู่ก็คือ อลิซ สาวน้อยผิวขาวผมสีบลอนด์ทองเข้มหน้าตาสละสลวย แต่น้ำเสียงและบรรยากาศกาศนั้นค่อนข้างหดหู่จนมองไม่เห็นความงดงามราวกับดอกกุหลาบแรกแย้มนั่นเลย
แล้วตอนนี้อลิซเองก็อยู่ในอารมณ์กังวลแบบสุดๆไม่ต่างจากทั้งสองคน เพียงแต่เธอดูเหนื่อยอ่อนกว่ากันมาก เห็นได้จากที่เธอคนนี้เอาแต่นั่งกอดเข่าเอาหลังพิงกำแพงแล้วก็ก้มหน้าของตัวเองซุกลงไปจนมองไม่เห็นหน้ามาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ทั้งยังตอบกลับชาญด้วยเสียงที่สั่นเครือราวกับจะร้องไห้… ไม่สิ… เธอคงกำลังร้องไห้อยู่อย่างแน่นอน เพียงแต่เพราะก้มหน้าอยู่เลยทำให้ไม่มีใครเห็นน้ำตานั่นเท่านั้นเอง
〝ไม่เป็นไรหรอกน่า กรซะอย่าง! หมอนั่นต้องหาทางทำอะไรซักอย่างได้แน่นอน! 〞
〝ฉันหน่ะ… เชื่อใจกรอยู่แล้ว… กรไม่เคยผิดสัญญา ฉันรู้เรื่องนี้ดีกว่าใคร… 〞
〝อลิซ…. 〞
〝ถึงแบบนั้น… ก็ผ่านมาตั้งสองสัปดาห์แล้ว แต่ก็ยัง… ฮึก! ถึงฉันจะเชื่อใจ… แต่แบบนี้มัน… เกินไปแล้ว…〞
〝…….. 〞
〝ตาบ้านั่น… ถ้ากลับมาเมื่อไหร่… จะอัด… ให้น็อคเลย… 〞
แล้วอย่างเคย อลิซพูดประโยคคล้ายๆแบบนี้ออกมาตลอดตั้งแต่กรหายตัวไป ทั้งยังสะอึกสะอื้นเป็นพักๆ ด้วยอีกต่างหาก แต่เพราะไม่อยากให้ทุกคนกังวลมากเกินไป เลยอดกลั้นเป็นพักๆจนดูน่าสงสารไม่น้อย ทั้งที่เวลาปกติจะทำตัวขี้เล่น แต่เวลาแบบนี้กลับคิดถึงความรู้สึกของคนอื่น ก็เป็นที่แน่ชัดพอสมควรว่าแท้จริงแล้ว บุคลิกของอลิซนั้นค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่พอสมควร
ส่วนรินที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันนั้น ถูกทุกคนบังคับให้นอนพักอยู่ที่เตียงในห้องพยาบาล นั่นเพราะหลังจากที่รู้ว่ากรหายตัวไปจนถึงกับเกิดอาการช็อคและสลบไปในครั้งก่อน เธอได้หลับไปนานเกือบ 3 วันเลยทีเดียว แถมจากการวินิจฉัยของหมอหลวง เลยทำให้ทราบว่ารินที่สลบไปนานนั่น เป็นเพราะได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจที่รุนแรงมากเกินไป จนอาจส่งผลถึงบุคลิกและสภาพจิตใจเบื้องลึกเลยทีเดียว นั่นเลยทำให้ทุกคนเป็นห่วงกันมากจนถึงกับให้เธอเอาแต่นอนพักอยู่บนเตียงลูกเดียว
แล้วพอทุกคนกลับมาจากการนั่งเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูเช่นที่ว่ามาในทุกๆวัน สิ่งแรกที่ได้ยินก็คือ 〝กรยังไม่กลับมา〞ทุกครั้ง แต่เพราะได้ทุกคนช่วยเกลี่ยกล่อมและอยู่เป็นเพื่อนตลอด รินเลยไม่ได้มีอาการช็อคขึ้นมาอีก หมอหลวงก็บอกว่าอาการเธอเสถียรดีแล้ว แต่ก็ต้องให้นอนพักไปอีกพอสมควร เธอจึงได้แต่นอนอยู่เงียบๆบนเตียงของหน่วยพยาบาลมาตลอดจนถึงตอนนี้
.
.
กร… นี่นาย… ไปอยู่ที่ไหนกันแน่!
พวกคุณฮันซี่ที่ออกไปตามหาเองก็ใช้เวลานานเกินไปแล้ว… คงไม่ใช่ว่ากร…
มะ ไม่หรอก… กรต้องยังไม่ตาย!
ไม่ได้มีแค่อลิซหรอกที่เชื่อแบบนั้น ทั้งผมและชาญ… รินเองก็ด้วย
แต่นี่มันก็นานมากเกินไปแล้ว… ต่อให้คิดว่าที่นานขนาดนี้เป็นเพราะต้องสำรวจอย่างละเอียดก็เถอะ…
แต่แบบนั้นก็หมายความเป็นนัยๆ ว่าหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอซักทีไม่ใช่รึไงกัน————
คลึ๊กๆๆๆๆ!!!
〝〝〝 !!!!!!! 〞〞〞
และในขณะที่เพื่อนของกรทุกคนกำลังคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆราวกับจะให้ความหวังกับตัวเองอยู่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของเกวียนและม้ากว่าสิบตัว กำลังเคลื่อนที่มาทางพวกตน นั่นเลยทำให้พวกชาญหันเหความสนใจไปทางนั้นทุกคน
แล้วพอมองไปยังต้นเสียงที่ว่าก็พบเข้ากับฮันซี่ที่นำหน้าขบวนอยู่ พอเห็นแบบนั้นเข้าพวกชาญทุกคนก็ออกวิ่งไปทางขบวนนั้นอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนคนรอบข้างที่สวนทางไปมาเลยซักนิด จนมาถึงจุดที่ฮันซี่อยู่ในที่สุด
〝พวกเธอ!?〞
〝แฮ่ก! คะ… คุณฮันซี่… แฮ่ก! พวกผมเป็น… เพื่อนของอุษณกร… แฮ่ก! เองครับ〞
〝!!!!!〞
แล้วพอทุกคนวิ่งมาถึงฮันซี่ที่กำลังนั่งอยู่บนหลังม้าแล้ว คนที่พูดตัดเข้าประเด็นสำคัญก่อนใครก็คือชาญที่กำลังหอบอยู่ทั้งที่พูดแบบนั้น รวมถึงทุกคนที่วิ่งมาด้วยกันอย่างเร่งรีบก็กำลังหอบอยู่เช่นเดียวกัน
ฮันซี่ที่ได้ยินคำถามแบบนั้นอย่างกะทันหันก็ถึงกับร่างกระตุกไปเล็กน้อย แถมยังกำเชือกที่ใช้คุมม้าในมือไว้แน่นเสียยิ่งกว่าเดิมอีกต่างหาก นั่นเพราะตอนนี้เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นกับกรยังไงนั่นเอง
〝คะ… คุณฮันซี่คะ… แฮ่ก! ทำไม… ถึงไม่เห็นกรในขบวนเลยหล่ะ!〞
〝มะ… หมอนั่นอยู่ในเกวียนใช่รึเปล่าครับ…….. พูดอะไรหน่อยสิครับคุณฮันซี่!!!〞
〝…….. 〞
แล้วคนที่ถามออกมาต่อจากชาญก็คืออลิซและโชต ที่พอวิ่งมาถึงก็รีบสังเกตขบวนทั้งหมดในทันที แต่ก็ไม่เห็นตัวของกรเลยซักนิด นั่นเลยทำให้ทั้งคู่ถามออกมาแบบนั้นด้วยความกังวลแบบสุดๆ
ส่วนคุณฮันซี่ที่นั่งอยู่บนม้าเมื่อครู่ พอได้ยินแบบนั้นก็กระโดลงจากอานม้าอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนท่าทีเป็นเยือกเย็นต่อหน้าทั้งสามคนอีกครั้ง จากนั้นก็หันหน้าไปหาทหารคนสนิทนายหนึ่ง แล้วพยักหน้าให้ครั้งหนึ่งพลางพูดเบาๆว่า〝ไปเอานั่นมาที 〞 เขาก็รับคำสั่งและวิ่งไปที่เกวียนเพื่อหยิบของสิ่งหนึ่งมาให้ในทันที
หลังจากนั้น นายทหารคนเมื่อครู่ก็วิ่งจากเกวียนมาทางพวกชาญอย่างรวดเร็วและยื่นของสิ่งหนึ่งที่มีรูปร่างคลายทรงกระบอกยาว ถูกพันไว้ด้วยผ้าคลุมสีน้ำตาลอีกทีหนึ่งให้แก่ฮันซี่ แล้วพอพวกชาญเห็นของนั่นเข้า แม้จะยังไม่ได้เปิดดู แต่ก็รู้สึกได้เลยว่าความหวังเพียงหนึ่งเดียวของพวกตนกำลังจะดับมอดลงเมื่อเปิดมันออก
〝ขอโทษด้วย… นี่อาจจะโหดร้ายเกินไปสำหรับเด็กๆอย่างพวกเธอ… แต่ไม่มีวิธีพิสูจน์อย่างอื่นอีกแล้วนอกจากการสังเกตุลักษณะจำเพาะจากคนรู้จัก…….〞
〝คะ…. คุณฮันซี่คะ… มะ หมายความว่ายังไง?… ขอโทษทำไม? หนูงงไปหมดแล้ว…. 〞
〝……ข้าต้องขอโทษด้วยจริงๆ แต่ก็ต้องถามให้แน่ใจ……〞
ฮันซี่เริ่มพูดสิ่งที่ต้องการจะสื่ออย่างรวดเร็วและเยือกเย็น โดยทำใจยักษ์และไม่สนใจท่าทางของพวกชาญไปขณะนึง เพราะคิดว่ายืดเยื้อไปก็เสียเวลาเปล่าและพูดต่อไปทั้งอย่างงั้นเลย จากนั้นก็ยื่นของที่ว่าไปอยู่ข้างหน้าของอลิซที่อยู่ตรงกลางของกลุ่ม จนอลิซที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งตกตะลึงจนช็อคเลยทีเดียว
〝นี่หน่ะใช่….. เพื่อนของพวกเจ้ารึเปล่า?〞
〝〝〝 !!!!!!! 〞〞〞
แล้วคำพูดที่ทุกคนไม่อยากได้ยินที่สุดก็หลุดออกมาจากปากของฮันซี่จนได้ นั่นเลยทำให้พวกชาญทุกคนเบิกตาออกจนกว้างและยืนแน่นิ่งไปเลย แต่ฮันซี่ก็กัดฟันอย่างทรมาน และทำเป็นไม่สนใจอีกเช่นเคย ในขณะเดียวกันก็ยื่นมันเข้าไปใกล้อลิซที่ตกใจจนแทบจะล้มทั้งยืนยิ่งกว่าเดิมเพื่อให้เธอรับมันไว้
อลิซที่เห็นแบบนั้นก็รับมันเอาไว้และเปิดมันออกอย่างกล้าๆกลัวๆอย่างช้าๆ ชาญและโชตเองก็มองมันอยู่ข้างๆด้วยเช่นกัน แล้วพอปลดผ้าที่พันอยู่ออกไปเรื่อยๆจนเริ่มสัมผัสได้ถึงความแข็งแบบแปลกๆของวัตถุนั่นเข้า อลิซจึงเปิดมันออกจนถึงชั้นในสุดอย่างรวดเร็ว
แล้วสิ่งแรกที่เธอเห็นหลังจากที่พบเข้ากับวัตถุนั่นก็คือ นิ้วมือของใครบางคนนั่นเอง พอถึงตอนนั้นอลิซก็เข้าใจได้ทุกอย่างในทันที แล้วอลิซที่ยืนอยู่ได้ทั้งที่ขาสั่นระริกไปทั่ว ก็ล้มลงกับพื้นไปทั้งแบบนั้น จนเข่ากระแทกพื้นอย่างแรงจนเลือดออก แล้วก็เบิกตาค้างอยู่อย่างงั้นเลยทีเดียว
〝อึก! นี่มันบ้า… ชัดๆ〞
〝โกหกใช่ไหม…. เนี่ย〞
และแม้ปฏิกิริยาของโชตและชาญจะน้อยกว่าของอลิซ แต่ทั้งคู่ก็ต้องใจกันแบบสุดทั้งที่ยืนอยู่เช่นเดียวกัน จนถึงกับพูดออกมาด้วยเสียงที่สั่นเครือนั่นแหล่ะ
แล้วจากนั้น อลิซที่ยังคงมีความหวังและเชื่อใจกรจนถึงท้ายที่สุดก็ปลดผ้าคลุมออกจากแขนนั้นจนหมดและสังเกตแขนของกรไปทั่วเพื่อหวังว่าจะเป็นการเข้าใจผิด แต่พอสังเกตไปเรื่อยๆก็มีแต่จะยืนยันว่านี่คือแขนของกรมากขึ้นเท่านั้น ทั้งตำแหน่งของไฝ ขนาดและลักษณะของนิ้วที่เธอจำได้เป็นอย่างดี รอยแผลเป็นทุกๆที่ที่เธอจำได้ ทั้งหมดตรงกับแขนของกรในความทรงจำของอลิซทั้งสิ้น
〝……….〞
〝ไม่จริงน่า…..〞
〝กร…. โกหกใช่ไหม ฮึก! กร… กร…〞
แล้วโชตก็ล้มลงก้นจ้ำเบ้ากับพื้นและนั่งชันเข่าไปอีกคน ส่วนชาญก็ก้มหน้าลงจนแทบจะมองพื้นแต่ไม่ได้พูดอะไรราวกับจะไม่อยากให้ใครเห็นว่าร้องไห้ยังไงอย่างงั้น ส่วนอลิซก็นั่งพับเพียบแล้วนำแขนของกรมากอดในอ้อมอกของตัวเองอย่างแรงโดยไม่มีทีท่ารังเกียจเลยซักนิดเดียวพลางรำพึงแบบนั้นในลำคอด้วยความอาวรณ์ไปพร้อมกัน
〝ใช่จริงๆ…. ไม่ผิดแน่นะ?〞
แล้วท่ามกลางบรรยากาศอันเศร้าโศก ฮันซี่กลับถามย้ำออกมาอีกครั้งอย่างเลือดเย็นด้วยเสียงเรียบๆ แต่ทุกคนก็ไม่ได้เดือดดาลขึ้นมาอีกครั้งแต่อย่างใด กลับกันเลยทำให้ทุกคนเศร้ายิ่งกว่าเดิม แต่คนที่ตอบกลับเขากลับเป็นอลิซที่เศร้าใจที่สุดเสียอย่างงั้น
〝ฮึก! ก็ใช่หน่ะสิ!!! 【ใครจะไปลืม… ฮึก! มือของผู้ชายที่ตัวเองเคยกุมกันเล่า!】〞
〝อลิซ?〞
อลิซตอบกลับฮันซี่ไปด้วยน้ำเสียงเชิงตะคอกอยู่ในลำคอแต่แน่นอนว่าฮันซี่ไม่ได้ใส่ใจ แต่โชตที่นั่งชันเข่าพลางน้ำตาซึมแต่ก็อดกลั้นไว้ไม่ให้ไหลอยู่ใกล้ๆ ก็ได้ยินคำพูดเบาๆราวกับกระซิบอยู่ข้างหูนั่นแต่ไม่เข้าใจความหมายจึงสงสัยออกมาเล็กน้อย แต่เพราะความเศร้ามันพอกพูนอยู่ในใจมากกว่าจึงไม่ได้เก็บไปคิดมากนัก
แตกต่างจากชาญที่ได้ยินคำพูดเบาๆนั้นของอลิซเข้า น้ำตาของเขาก็ไหลรินออกมาทั้งสองข้างทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่ในทันที ฮันซี่ที่ยืนมองสภาพนั้นของนักเรียนตัวเองเข้าก็รู้สึกสลดใจเช่นเดียวกัน แต่เขาก็ทำไม่ได้แม้แต่จะปลอบใจทุกคน ฮันซี่จึงทำได้แค่ยืนมองดูสภาพของนักเรียนตัวเองไปแบบนั้น
〝ฮืออออออ!!!!!!!!!〞
แล้วอลิซก็ร้องไห้โฮออกมาชุดใหญ่ทั้งที่นั่งกอดแขนของกรอยู่ โชตและชาญที่อยู่ใกล้ๆก็เข้าไปกอดอลิซกลม เพื่อปลอบโยนเธอและตัวเองไปพร้อมกันโดยมีแขนของกรเป็นศูนย์กลาง กว่า 5 นาที จนทำให้ชาวบ้านและผู้คนที่เดินอยู่รอบๆรู้สึกสลดใจไปตามๆกันเลยทีเดียว
.
.
และเพราะเวลาผ่านไปนานถึงขนาดนั้น เลยทำให้ชาญที่เริ่มกลับมาเป็นปกติก่อนคนอื่นสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่อลิซข้ามไปเพราะสนแค่การพิสูจน์แขนของกรเท่านั้นในที่สุด!
〝นี่มัน!〞
สะ… สัญลักษณ์นี้มัน!!!!!!!
ไอ้นี่มันอย่าบอกนะว่า!!! …….
ไม่สิ… นี่มันเข้าใจได้ง่ายๆเลย!
สัญลักษณ์นี้ถูกเขียนขึ้นอย่างประณีต… ถ้าไม่มีเวลาคงเขียนให้สมมาตรทั้งสองด้านแบบนี้ไม่ได้หรอก
แล้วความหมายของสัญลักษณ์ก็อีก!!!
ไอ้นี่มัน…. หรือว่าจะเป็น…
.
.
.
.
〝หึ! ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆๆๆ!!!!〞
〝ชะ… ชาญ!?〞
〝ชาญ〞
แล้วพอชาญที่เห็นสัญลักษณ์ที่กรทำไว้ก็เข้าใจความหมายของมันได้ในทันที นั่นเลยทำให้ชาญยิ้มออกมาอย่างยิ้มแย้มเสียจนกว้าง แล้วหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความดีใจอย่างที่สุด เพียงแต่สำหรับทั้งสองคนที่ยังไม่เข้าใจ เลยทำให้คิดว่าชาญคงเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ พอชาญมองเห็นเป็นแบบนั้น จึงเช็ดน้ำตาของตัวเองออกอย่างรวดเร็ว แล้วโบกมือบอกกับทั้งสองคนว่าไม่เป็นไรพลางบอกเบาๆว่า〝ผมยังปกติดี〞ก่อนที่จะกระแอมออกมาเบาๆครั้งนึง และดันแว่นตาขึ้น จนอยู่ในมาดเงียบครึมและเยือกเย็นขึ้นมาราวกับเป็นคนละคนกับที่ร้องไห้ออกมาเมื่อกี้
เข้าใจแล้ว!!! เข้าใจแล้วหล่ะกร!!!
ไอ้บ้าเอ้ย! แสบนักนะที่ทำให้ผมกับทุกคนเป็นห่วง นายนี่มันบ้าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย!!!
เข้าใจเจตนาของนายซักที! นายนี่มันจะบ้าไปถึงไหน!
ทำไมถึงได้เลือกทางอันตรายแบบนั้น ถ้ากลับมาผมจะถามและอัดนายแรงๆซัก ผั๊ว! แน่นอน!!!
ถึงจะไม่รู้ว่านายต้องการทำอะไร แต่ไว้ใจผมได้เลย!!!
เจ้าบ้าพวกนี้หน่ะ! ผมจะดูแลจนกว่านายจะกลับมาเอง!!!!
〝กรหน่ะ… ยังไม่ตายหล่ะ!〞
ชาญพูดแบบนั้นพลางใช้นิ้วชี้ไปยังสัญลักษณ์ที่กรทำไว้ที่แขนตัวเองทั้งที่ยิ้มและฉีกฟันออกเสียกว้างโดยไม่อายใครทั้งสิ้นเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ เลยไม่พ้นที่จะทำให้โชตและอลิซตกตะลึงจนเบิกตาโพลง พริบตานั้นทั้งคู่ก็มีสีหน้าดีอย่างเห็นได้ชัดทั้งที่ยังไม่เข้าใจทั้งหมดด้วยซ้ำ นั่นเพราะความสิ้นหวังอันแสนมืดมิดและลึกสุดหยั่งถึงเมื่อครู่ ถูกเปลี่ยนให้เป็นความหวังอันแสนเจิดจ้าในชั่วพริบตาที่เข้าใจในความหมายของสัญลักษณ์นั่น และนั่นเลยทำให้เพื่อนสนิทของกรทุกคนรู้ได้ในที่สุดว่าตัวเขายังคงมีชีวิตอยู่นั่นเอง…
❖❖❖❖❖
ภายในห้องโถงที่น่าจะมืดมิดเพราะอยู่ใต้ดินที่ลึกกว่า 5 กิโลเมตร แต่ก็ยังสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่รอบตัวได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้เป็นเพราะโดยรอบห้องโถงที่ว่ามีคบเพลิงขนาดใหญ่ส่องแสงสว่างไปทั่วทั้งบริเวณ ซึ่งจะเห็นได้ว่าบริเวณนี้มีลักษณะเป็นลานประลองที่ทำจากหินอ่อนเป็นลานวงกลมตรงกลาง แล้วบริเวณรอบๆยังมีบริเวณที่นั่งคนดูเป็นขั้นบันไดคล้ายกับอัฒจันทร์สูงมากกว่า 10 เมตร วัสดุที่ใช้ก็เป็นแบบเดียวกันวนอยู่รอบลานประลองตรงกลางนั่น
ซึ่งจะว่าไปแล้วบรรยากาศของสถานที่นี้ มันก็คือ โคลอสเซียม ที่เป็นลานประลองของเหล่ากลาดิเอเตอร์และจัดการแสดงเพื่อความบันเทิงในสมัยโรมันนั่นเอง เพียงแต่ว่า…
〝ยินดีต้อนรับสู่『ห้องบอส』ประจำชั้นที่ 75!!!〞
〝เอ๋!〞
เพียงแต่ว่า สิ่งที่รออยู่ลึกเข้าไปข้างในนั้น กลับเป็นเสียงของหญิงสาวที่ดังสดใสและกังวาลราวกับสาววัยรุ่น เป็นผู้หญิงที่มีใบหน้าอันแสนงดงามและสละสลวยราวกับเทพีอะโฟรไดร์ที่เป็นเทพแห่งความรักและความงาม ใบหน้างดงามจนสามารถตรึงสายตาของชายทั้งปวงดูยั่วยวนใจเป็นอย่างมาก ซ้ำยังถูกเสริมความเป็นผู้ใหญ่ให้มากขึ้นไปอีกด้วยแว่นตาที่สวมอยู่ ดวงตาสีเหลืองสดใสราวกับอำพัน มีเรือนผมสีเขียวส่องประกายราวกับมรกตไว้ผมสั้นแสกข้างขวา ด้านหลังถักผมเปียยาวเลยหลังไปเสียอีก สวมชุดที่ค่อนข้างเปิดเนื้อหนังและผ้าคลุมที่มีลักษณะคล้ายจอมเวทย์ ที่ทำให้มั่นใจแบบนั้นก็คือ คฑารูปร่างมังกร ที่มีลวดลายอันสลับซับซ้อนดูน่าเกรงขามที่เธอคนนี้ถืออยู่นั่นแหล่ะ
นั่นเลยทำให้กร เด็กหนุ่มที่เข้ามาเผชิญหน้ากับเธอรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่ที่ตกใจไม่ได้เป็นเพราะเธอคนนี้งดงามมาก แต่หากเป็นเพราะเขาคิดว่าสิ่งที่รออยู่จะเป็นสัตว์ประหลาดเหมือนทุกทีต่างหาก นั่นรวมถึงมีอา เด็กสาวอายุเท่ากันที่เป็นทั้งพวกพ้องร่วมปาร์ตี้และคนรักของเขาก็ตกใจกับภาพที่อยู่ตรงหน้าไม่ต่างกัน…
.
.
.
ตัวฉัน..... อุษณกร วัชรวิรุฬห์
ไอ้หนุ่มโสดซิง…. ไม่สิ เสียใจด้วย ตอนนี้ฉันมีแฟนแล้วนะเอ้อ!
แต่ถึงแบบนั้นอาการบ้าอนิเมะและเกม(ที่ตอนนี้อยู่โลกเดิมทั้งหมด) ก็ยังไม่หายไปอยู่ดี
สามารถแปรเปลี่ยนสิ่งที่อยู่รอบตัวให้เข้ามาอยู่ในจินตนาการอันเพ้อฝัน จนคนอื่นมองว่าเพี้ยนสุดๆจนบ้าได้เป็นเรื่องปกติ….
ไม่ใช่แล้วโว้ย!!!! บ้าชิบ!
พอกังวลขึ้นมาแล้ว เลยคิดนู่นนี่นั่นไปเรื่อยตลอดเลยให้ตายสิ!!!
เรื่องของฉันหน่ะเอาไว้ก่อน ที่สำคัญหน่ะ———
〝บอสประจำชั้นก็คือ ฉันคนนี้แหล่ะ!!!!〞
〝เดี๋ยวก่อน! เรื่องนั้นพอรู้อยู่หรอก แต่ที่ฉันจะถามคือ———〞
〝เงื่อนไขในการผ่านลงไปชั้นถัดไปก็คือ———〞
〝ก็บอกว่าเดี๋ยวก่อนไงฟ่ะ ไม่ได้ยินเหรอ!!!!!〞
〝………………….〞
ทันทีที่กรตะโกนแบบนั้นออกไป หญิงสาวก็เงียบเสียงลงในทันที จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาแรงๆครั้งนึง ก่อนที่จะเปิดปากพูดออกมาด้วยเสียงที่หน่ายๆ ราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อกี้
〝เห้อ!!! อะไรอีก? นายนี่มันไร้มารยาทซะจริง! คนกำลังพูดอยู่อย่ามาขัดจังหวะจะได้ไหม!!! คิดว่ามีแค่ตัวเองรึไงกันที่กำลังลำบากใจหน่ะ… หา!!! 〞
แล้วหญิงสาวก็ตอบกลับกรไปแบบนั้นพลางบ่นอยู่ในลำคอประมาณว่า【น่าหน่ายใจจริงๆ ทำไมฉันต้องมาทำอะไรยุ่งยากแบบนี้ด้วย! 】นั่นจึงทำให้กรรู้ตัวสึกตัวได้ว่าตัวเองทำตัวไร้มารยาทอย่างที่บอกจริงๆ กรจึงข่มอารมณ์หงุดหงิดที่ถูกต่อว่าไว้ก่อนแล้วเริ่มการสนทนาอีกครั้งในทันที
〝กะ เกี่ยวกับเรื่องนั้นต้องขอโทษด้วยแล้วกัน…. ก็มันตกใจจริงๆนี่หว่า!〞
〝ตกใจ! ทั้งที่ลุยผ่านมาตั้ง 74 ชั้น… ไม่สิ 52 ชั้นแล้ว?〞
〝อย่าทำหน้าแบบ 〝ชินซักทีได้แล้วน่า〞แบบนั้นสิเฟ้ย! ประเด็นที่ฉันสงสัยหน่ะคือ ตัวเธอเองนั่นแหล่ะเฟ้ย! เสียงของเธอกับน้ำเสียงเบื่อหน่ายของเธอทั้งหมดนั่นหน่ะ…. ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิดหล่ะก็———〞
หญิงสาวเอียงคอสงสัยคำพูดของกรที่พูดออกไปแบบนั้นอย่างน่ารักน่าแกล้ง พลางทำสีหน้าบอกกรเป็นนัยว่า〝ยังไม่ชินอีกเหรอ?〞กลับมายังกร ก่อนที่จะหาวออกมาเสียงดังพลางใช้มือขวาปิดปากด้วยท่าทางเบื่อหน่าย จนขัดกับที่พูดเรื่องมารยาทเมื่อครู่มากเลยทีเดียว แม้จะทำให้กรหงุดหงิด แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาเลิกสงสัยและกังขาในตัวตนของเธอคนนี้เลยแม้แต่น้อย นั่นก็เป็นเพราะ….
〝เธอมัน…. ผู้ประกาศไม่ใช่เหรอ?〞
แล้วกรก็ถามออกไปแบบนั้นตรงๆ ด้วยเสียงที่คิดว่าสุภาพที่สุด แต่รูปประโยคไม่ได้แสดงถึงความเคารพเลยก็ตาม เพราะตัวกรในตอนนี้สนใจคำตอบของเธอมากจนลืมเรื่องอื่นไปเสียสนิทนั่นเอง
ใช่แล้ว เสียงที่กรได้ยินมาจากเธอคนนี้ก็คือ เสียงที่เขาได้ยินมาตลอด ทั้งตอนเคลเบรอสและมังกรห้าหัว รวมถึงนิสัยเบื่อหน่ายที่ถ่ายทอดออกมาในครั้งที่สู้กับเคลเบรอสซึ่งมีลักษณะเฉพาะแบบที่ว่า มันจึงตราตรึงอยู่ในสมองของกรไม่น้อย พอตัดความเป็นไปได้ที่เหลือออกไป นั่นเลยทำให้กรคิดว่าตัวจริงของเธอก็คือ ผู้ประกาศนั่นเอง
〝ใช่แล้ว แปลกรึไง?〞
〝ก็แปลกหน่ะสิเฟ้ย!!!!!〞
แล้วพอเธอคนนั้นตอบออกมาตรงๆ กรที่ใช้สุดยอดการประมวลผลตรวจสอบก็รู้ทันทีว่าเธอไม่ได้โกหก จึงตะโกนออกไปแบบนั้นดังลั่นราวกับจะตบมุขของเธอพลางหัวเสียอย่างแรง เพราะก่อนเข้ามาในห้องบอสกรได้เตรียมพร้อมรบแบบเต็มสตรีมในการสู้กับบอสทุกรูปแบบไว้แล้ว แต่ดันมาตกม้าตายอย่างคาดไม่ถึงอีกครั้ง เพราะต้องมาเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า『ผู้หญิง』ที่ตัวเองแพ้ทางเสียยิ่งกว่าบอสมอนสเตอร์ไหนๆซะอีกนั่นเอง
ก๊าซซซซ!!!!!!!! เสียงร้องแหลมๆแสบแก้วหูคล้ายกับของสัตว์เลื้อยคลานเช่นกิ้งก่า ดังขึ้นท่ามกลางความมืดมิดของดันเจี้ยนชั้นที่ 75 ซึ่งมีสภาพแวดล้อมเป็นถ้ำหินแกรนิตสีน้ำตาล ผิวขรุขระไม่สม่ำเสมอกันตลอดแนว ส่วนพื้นเองก็ทำจากวัสดุแบบเดียวกัน แต่ที่แตกต่างก็คือ มันเรียบเนียนตลอดจนสุดสายตาราวกับถูกปูด้วยกระเบื้องอย่างประณีตเลยทีเดียว ซ้ำยังไม่มีรอยต่อให้เห็นราวกับมันเป็นเนื้อเดียวจริงๆอีกต่างหากก๊าซซซซ!!!!!!!! เสียงร้องโหยหวนอันแสดงถึงอาการบาดเจ็บสาหัสของมอนสเตอร์ตัวเมื่อครู่ยังคงร้องลั่นอย่างต่อเนื่องเพราะมันได้เสียแขนขวาไป และที่มาของเสียงร้องนั้นก็คือ『 ครอกโคแมน 』 ซึ่งเป็นมอนสเตอร์รูปร่างจระเข้ผิวสีเขียวขี้ม้าสูงกว่า 2 เมตร มีรอยตะปุ่มตะป่ำอยู่ทั่วร่าง แต่ที่แปลกประหลาดกว่าจระเข้ทั่วไปคือ ครอกโคแมนที่ว่ามันยืนสองขา สวมชุดเกราะหนักอย่างรัดกุมโดยโผล่ส่วนที่เป็นเนื้อหนังให้เห็นแค่บริเวณลำคอและใบหน้าเท่านั้น ทั้งยังถือขวานเหล็กขนาดใหญ่ไว้ด้วยมือทั้งสองข้างอีกต่างหาก เพิ่มเติมคือเจ้าจระเข้เดินสองขาตัวนี้มันสวมหมวกกันกระแทกและแว่นกันลมแบบเดียวกับนักบินของเยอรมันในสงครามโลกครั้ง
หลังจากที่กรและมีอา เข้ามาในห้องบอสของชั้นที่ 75 และพบเข้ากับหญิงสาวซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ปรกาศมาโดยตลอดตั้งแต่ที่กรลงดันเจี้ยนมาเข้า ก็เกิดประหลาดใจที่เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น และเกิดอาการหงุดหงิดอย่างแรงที่คิดไปเองคนเดียวว่า เรื่องที่การคาดการณ์ของตัวเองผิดพลาดนี้จะทำให้ตัวเขาดูโง่ในสายตาของมีอาขึ้นมา นั่นเลยทำให้กรที่ตอนนี้เกิดอาการหงุดหงิดปนตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก บวกกับสาวแว่นจอมเวทย์ที่อ้างว่าตัวเองเป็นบอสประจำชั้นเองที่แสดงความรำคาญออกมา เนื่องด้วยความเบื่อหน่ายที่ไม่ต้องการมารับการทดสอบกรด้วยตัวเอง นั่นเลยทำให้ทั้งคู่สร้างบรรยากาศไร้เสียงขึ้นมาโดยรอบตัวเองเป็นวงกว้าง จนไม่มีใครกล้าเปิดการสนทนาต่อเลยซักคน…〖โอ๊ะ! สายัณห์สวัสดิ์คุณนาย〗〝……….…ไงเคลเบรอส สภาพดูไม่จืดเลยนะนั่นหน่ะ〞 แล้วคนที่เป็นคนเปิดการสนทนาก็คือคนกลางเช่นเคลเบรอสนั่นเอง และดูเหมือนสาวแว่นคนนี้เองก็ตามน้ำไปกับเคลเบรอสด้วยเช่นกัน อาจเป็นเพราะเธอรำคาญจากสภาพแบบนี้หรืออยากจะจบการทดสอบโดยเร็วก็แล้วแต่ แต่เสียงตอบกลับเรียบๆของเธอนั่นก็ทำให้บรรยากาศปั้นหน้ายากของทุกคนหายไปอย่างสิ้นเชิ
———ทางด้านของมีอาและเคลเบรอสที่นั่งดูอยู่บนอัฒจันทร์…〖เหมือนกันจริงๆ〗〝คุณหมา!? หมายถึงอะไรเหรอ?〞 หลังจากที่ผู้ประกาศเข้าโจมตีกรด้วยศรแสงในครั้งแรก แล้วมีอาตะโกนออกไปเพื่อเตือนกรแต่กรไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด มีอาที่นั่งดูการต่อสู้ของกรอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆนี้แสดงอาการกระวนกระวายปนเศร้าใจที่ไม่สามารถช่วยเหลือกรได้มาตลอดตั้งแต่ก่อนการเข้าปะทะ แม้จะไม่ได้ถามเหตุผลแต่เธอก็ยังปล่อยให้กรทำตามใจ เคลเบรอสที่เห็นแบบนั้นก็โผล่หน้าออกมาจากฝัก และพูดสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่ออกมาโดยอาศัยความคิดสงสัยของตัวเองเพื่อดึงความสนใจของมีอาออกมาจากสนามรบเล็กน้อย ก็เพื่อให้เธอผ่อนคลายขึ้นซักนิดก็ยังดี〖ก็… เจ้าหนูกับคุณนายตรงนั้นหน่ะสิ〗〝เอ๋?〞 หลังจากที่ได้ยินเคลเบรอสพูดแบบนั้น มีอาก็เอียงคอสงสัยอย่างน่ารักน่าชังดังเช่นทุกที〝หมายความว่ายังไงเหรอคุณหมา?〞〖นั่นสินะ ข้าเองก็อธิบายไม่เก่งซะด้วย… แต่ทั้งสองคนหน่ะ มีสไตล์การต่อสู้เหมือนๆกัน〗〝เรื่องที่ไม่ประมาทศัตรูงั้นเหรอ?〞〖เรื่องที่กลัวคนอื่นต่างหาก 〗〝เอ๋? ต่างกันงั้นเหรอ?〞 เคลเบรอสที่ได้ยินคำถามกลับมาจากมีอาก็ส่งเสียง อื
〝ต่อจากนี้จะไม่มีการออมมือแล้วนะ…〞〝ฮะฮ่ะ! พูดเหมือนกับว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้กะเอาให้ตายเลยนะ〞 หลังจากที่ผู้ประกาศเปลี่ยนแปลงลักษณะภายนอกไปจากเดิม โดยมีอักขระสีแดงสดปรากฏขึ้นทั่วร่างอย่างสลับซับซ้อน รวมถึงน้ำเสียงที่เรียบเฉยและเย็นชาของเธอเองก็เปลี่ยนไปจากครั้งแรกเช่นกัน นั่นจึงทำให้กรที่ตอบเธอกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติแบบนั้น แต่กลับมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเขาหลายต่อหลายหยดอย่างต่อเนื่องจนถึงขั้นไหลลงไปถึงลำคอ และทำได้แค่หัวเราะแห้งๆกลบเกลื่อนกลับไปเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าตัวเขาค่อนข้างกระวนกระวายกับสถานการณ์ในตอนนี้มากเลยทีเดียวแย่แล้ว! แย่แล้วไหมหล่ะ! ปีศาจงั้นเหรอ?งั้นนี่ก็คือเผ่าที่ พวกนักเรียนผู้กล้าทุกคน ต้องสู้ในอนาคตงั้นสิ? จะบอกว่าซักวันพวกรินจะต้องเผชิญหน้ากับตัวตนแบบนี้งั้นเหรอ?ตัวเราเองยังไม่มั่นใจ 100% เลยว่าจะชนะยัยนี่ได้พวกรินหน่ะไม่ไหวหรอก! ไม่ได้ดูถูกนะ แต่ยังไงก็ไม่ไหวชัวร์ๆ——〝รับมือ!!!〞ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!—————————〝!!!!!!〞 หลังจากการสนทนาพอเป็นพิธีจบลง ผู้ประกาศสาวก็ทำการยิงศรสีดำแดงออกมาจากทางด้านหลังโดยที่ไม่ได้ร่าย
หลังจากที่ทั้งสามคน อันประกอบไปด้วย กร มีอาและผู้ประกาศ ตกลงมาจากห้องบอสชั้นที่ 75 มาจนถึงชั้นที่ 100 ตอนนี้ทั้งสามคนกำลังอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดแบบสุดๆ เพราะกำลังยืนเผชิญหน้ากับบอสประจำชั้นที่ 100 ซ้ำยังเป็นบอสที่แข็งแกร่งที่สุดในดันเจี้ยนแห่งนี้อย่างกะทันหันอีกด้วย ทั้งที่ร่างกายและจิตใจยังไม่ได้พักฟื้นจากศึกเมื่อ 10 นาทีก่อนเลยแท้ๆวูม!!! พื้นที่โดยรอบสว่างขึ้นอย่างกะทันหันด้วยแสงสีน้ำเงินทั่วทั้งห้อง จนสามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมได้ทั้งหมด ห้องบอสในชั้นนี้ มีบริเวณกว้างขวางมากกว่า 5 กิโลเมตร ซึ่งมันคือความกว้างพอๆกับดันเจี้ยนชั้นเดียว กรจึงคาดว่าห้องบอสนี้น่าจะใช้หลักการเดียวกับห้องบอสในชั้นที่ 50 พื้นของห้องถูกปูด้วยอิฐสีน้ำเงินเข้มวางสลับกันเหมือนกำแพงอิฐแดง ทั่วทั้งชั้นมีเสากรีกโรมันสีฟ้าขนาดใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลาง 20 เมตร ตั้งเรียงกันเหมือนตารางหมากรุก โดยเสาทุกต้นที่อยู่ใกล้ทั้งด้านซ้าย ขวา หน้าและหลังจะห่างกันประมาณ 100 เมตร เท่าๆกันทุกเสา เพดานทำจากหินอ่อน และเป็นแหล่งให้แสงสว่างแก่ชั้นนี้ไปในตัว ซึ่งแสงสว่างที่วาก็เป็นสีน้ำเงิน
〝งั้นก็กลับมาคำถามเดิม... เมอร์ลิน ไอ้ยักษ์นั่นมันคืออะไร?〞 หลังจากที่เมอร์ลินเข้ามาเป็นพรรคพวกอย่างเต็มตัวแล้ว ทั้งสามคนจึงนั่งหันหน้าเข้าหากันเป็นสามเหลี่ยม เพื่อที่จะปรึกษาแผนการในการสู้กับบอส และเรื่องที่กรถามเป็นอย่างแรกก็คือคำถามก่อนหน้านี้ที่ถูกเลี่ยงไปนั่นเอง〝หัวแข็งชะมัดเลยนะนายเนี่ย... แต่เอาเถอะ จริงๆก็กะจะบอกอยู่แล้วหน่ะนะ〞แล้วจะเล่นตัวทำมะเขืออะไร! เธอนั่นแหล่ะเฟ้ยที่หัวแข็ง ยังมาว่าคนอื่นอีก!!!〝งั้นก่อนอื่น... พวกเธอรู้จักทศกัณฑ์รึเปล่า?〞〝ขอโทษนะกร แต่ฉันไม่เคยได้ยินเลยหล่ะ〞〝น่าๆ〞 มีอาที่ได้ยินคำถามของกร แต่ไม่เข้าใจว่าคืออะไร เธอจึงเอียงคอสงสัยก่อนที่จะตอบออกไปด้วยน้ำเสียงหงอยๆเล็กน้อย กรจึงลูบหัวเธอไปมาเหมือนทุกที และหันไปถามเมอร์ลินทั้งที่กำลังลูบหัวมีอาอยู่〝แล้วเมอร์ลินหล่ะ? …ไม่สิ เธอต้องรู้อยู่แล้วนี่นะ〞〝ต้องรู้อยู่แล้ว… นายอยากจะถามว่า ทำไมตัวละครในวรรณคดีของประเทศนาย ถึงได้กลายมาเป็นลาสบอส ทั้งที่ปกติจะมีแต่บอสแนวตะวันตกยุคกลาง... ใช่รึเปล่า?〞〝อื้ม! ใช่เลยหล่ะ〞แน่ชัดแล้วหล่ะว่าตัวตนของทศกันฑ์ไม่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป... ถึงจะใช้ความรู
〝อย่างที่วางแผนเอาไว้... พอปลดเวทย์ออกก็เข้าฟอร์เมชั่นเลยนะ〞 หลังจากที่กร มีอา และเมอร์ลินเรียนรู้สกิลและความสามารถของกันและกันจนหมด รวมถึงฝึกความเข้ากันและฟอเมชั่นต่างๆเรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมพร้อมที่จะสู้กับทศกัณฑ์ซึ่งเป็นบอสชั้นสุดท้าย ในทันทีที่ปรับสภาพจิตใจเรียบร้อย กรจึงเป็นคนให้สัญญาณก่อนเริ่มออกมาในทันทีที่ทุกคนพร้อมลุยแล้ว〝อื้ม!〞〝รับทราบ!〞 เมอร์ลินและมีอาตอบกรกลับอย่างแข็งขันในทันที ซึ่งส่วนนึงก็เพื่อปลุกจิตสู้ของตัวเองไปพร้อมกันนั่นแหล่ะ〝5.... 4…. 3….〞ชึบ! ทันทีที่เมอร์ลินเริ่มนับถอยหลัง กรและมีอาก็ตั้งสมาธิจดจ่อกับยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าในทันที〝2…. 1…. ศูนย์!!!!〞วูม! ทันทีที่การนับถอยหลังสิ้นสุดลง สภาพแวดล้อมโดยรอบที่เคยหยุดนิ่งเมื่อเสี้ยววินาทีที่แล้วก็กลับมาเคลื่อนไหวต่อในทันที ทศกัณฑ์ที่อยู่ตรงหน้าทั้งสามคนก็ยังคงเอื้อมมือทั้ง 10 มาทางทั้งสามคนที่อยู่ห่างออกไป 10 เมตรดังเช่นก่อนที่เมอร์ลินจะใช้เวทย์หยุดเวลา และในเสี้ยววินาทีที่สภาพแวดล้อมกลับมาเคลื่อนไหว ทั้งสามคนก็ถีบตัวเองถอยห่างออกไปจากจุดที่เคยอยู่ราวๆ 500 เมตร และทำก
〝อืม〜〞 แสงอาทิตย์อุ่นๆยามเช้าลอดผ่านหน้าต่างชั้นสองเข้ามากระทบใบหน้าของเด็กหนุ่มที่กำลังอยู่ในช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่น เป็นสิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มตื่นขึ้นจากภวังค์ แต่เพราะกำลังถูกความสบายเพราะนอนหลับนานกว่า 8 ชั่วโมงกดทับไว้อยู่เด็กหนุ่มจึงครางออกมาแบบนั้นด้วยเสียงเหนื่อยหน่ายเพราะไม่อยากลุกจากเตียงทันทีนั่นเอง และถึงแม้ก่อนหน้านี้ 10 นาที นาฬิกาปลุกจากสมาร์ทโฟนของเขาจะดังไปแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ยอมลุกจากเตียงแต่อย่างใด〝กร!!! 7 โมงครึ่งแล้วนะ เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายหรอก!〞 เสียงของหญิงสาวผู้เป็นแม่ตะโกนขึ้นไปยังห้องที่อยู่บนชั้นสอง หรือก็คือห้องของกรด้วยน้ำเสียงดุดัน เพื่อเรียกให้ลงมาเตรียมตัวไปโรงเรียนโดยเร็ว〝งือ〜 ขออีกซัก 12 ชั่วโมงครับแม่〞〝ปกติมันต้องขอ 5 นาทีไม่ใช่เหรอ!!!!! แล้วขอตั้ง 12 ชั่วโมง คิดจะหลับจนถึงเย็นเลยรึไงกันยะ!!!!〞〝คุณแม่รับมุขได้สวยครับ... ครอก〜〞และต่อให้ท่านแม่ผู้บังเกิดเกล้าตะโกนขนาดไหน ฉันก็ไม่คิดที่จะลุกออกจากที่นอนเลยซักนิดพอตบมุขคุณแม่เสร็จ ฉันก็ดึงผ้าห่มมาคลุมโปง แล้วกลับไปนอนต่อในทันที อา.... สุขสุดๆ〝สวัสดีค่ะคุณน้า! ขออนุญาตนะคะ!〞
———— 1 สัปดาห์ต่อมา ชั้นที่ 2 ของมหาดันเจี้ยน『หอคอยแห่งปัญญา』 ณ ดันเจี้ยนชั้นพิเศษ ซึ่งถูกสร้างโดยอาเธนต่อจากชั้นที่ 1 อันเป็นชั้นที่เอาไว้หลอกคนทั่วไป ถูกสร้างขึ้นเพื่อการฝึกฝนและเก็บเลเวลโดยเฉพาะ หากแต่ผู้ที่จะใช้มันได้นั้น มีเพียงแค่กลุ่มของผู้ที่ผ่านการทดสอบที่แท้จริงแล้วเท่านั้นถึงจะเข้ามาในนี้ได้ ที่แห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามเขต อันได้แก่ เขตที่พักอาศัย เขตใช้ฝึก『บัญญัติพันประการ』 และสุดท้ายคือเขตที่ใช้สำหรับเก็บเลเวล... หรือก็คือ เขตมอนสเตอร์ทรงภูมิปัญญานั่นเอง ในพื้นที่ของเขตที่สามถูกสร้างให้เป็นพื้นกระเบื้องและเพดานหน้าตัดเรียบส่องแสงสีเขียว (Lime) พื้นที่โดยรอบมีวัตถุโปร่งแสงรูปทรงเรขาคณิต ทั้งสามเลี่ยม สี่เหลี่ยมไปจนถึงรูปทรงหลายเหลี่ยมกระจัดกระจายเต็มไปหมดทำให้ยากแก่การเคลื่อนไหว แต่กลับกันแล้ว มันทำให้ง่ายต่อการดำเนินแผนที่ซับซ้อนและแยบยล และเขตที่สามนี้เอง ที่มีหญิงสาวทั้ง 4 คน อันได้แก่ มีอา ซาช่า เรเชลและริต้า กำลังต่อสู้กับมอนสเตอร์จำนวนเท่ากันอยู่ มอนสเตอร์ทั้งสี่ตัวที่เป็นศัตรู มีหนึ่งตัวที่สวมผ้าคลุมสีดำ มีส่วนหัวเป็น
〝 คุณโรนี่กับราชา... นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย 〞 กรถามออกไปแบบนั้น ในเวลาเดียวกับที่ใช้『รีดดิ้งอายส์』ตรวจสอบบุคคลทั้งสองตรงหน้า แล้วก็ยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่เมื่อพบว่าทั้งคู่เป็นตัวจริง...〝 ทำหน้าแบบนั้นคงจะรู้แล้วสินะว่าพวกข้าเป็นตัวจริง... 〞ราชาพูดแทงใจดำพลางยิ้มออกมา ทำให้กรคิ้วกระตุกเพราะคาดการณ์เรื่องตรงหน้าไม่ทัน ในขณะที่กรคิดแบบนั้น ราชาก็เดินเข้ามาทางกร แล้วก็ใช้เวทย์บางอย่างเปลี่ยนใบหน้าตัวเองเป็นคนอื่น ไม่สิ... เปลี่ยนจากคนอื่นกลับมาเป็นตนเองคนเดิมต่างหาก ซึ่งที่เปลี่ยนไปนั้นมีเพียงโครงหน้าเท่านั้น แต่ความสูงอายุและริ้วรอยนั้นแทบไม่ต่างจากเดิมเลย แล้วก็หันไปสบตากับเมอร์ลินเข้า นั่นทำให้เธอเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ...〝 นายมัน อาเธนงั้นเหรอ!!!? 〞เมอร์ลินที่เห็นใบหน้าจริงของชายชราตรงหน้าก็จำได้ทันทีพร้อมทั้งเรียกชื่อจริงของเขาออกมาอย่างสนิทสนม โดยมีสายตางงงวยจากสาวๆคนอื่น แต่พอรู้ว่าคนน่าสงสัยตรงหน้าเป็นคนรู้จักของเมอร์ลิน การ์ดของพวกเธอก็คลายลงพอสมควร〝 แหมๆ ในที่สุดก็จำได้ซักทีนะแม่คุณ... ข้าหล่ะเจ็บช้ำไม่น้อยเลยนะ ตรงที่เจ้าบ
หลังจากเรื่องเมื่อวานเคลียร์กันจบในตอนเย็น กรได้ทำการเพิ่มฟังก์ชั่นหลบหนีฉุกเฉินใส่บัตรนักผจญภัยของเจนนี่ไว้ก่อนด้วย เผื่อในกรณีที่เกิดอันตรายกับเธอ เธอสามารถใช้มันวาร์ปมาหากรได้ทุกเมื่อ รวมถึงพาคนรู้จักอย่างไมน์กับรีเบคก้ามาด้วยก็ยังได้ จากนั้นพวกกรกับพวกไมน์จึงได้แยกกันกลับที่พักของตัวเอง อนึ่ง เจนนี่ตอนนี้นั้นอยู่สถานะของคนชื่อ『เบลนด้า อัลบา』 รูปลักษณ์ภายนอกที่คนอื่นเห็น เป็นคนผิวสีแทน ใบหน้าปานกลางค่อนไปทางแย่(จากความเห็นส่วนใหญ่ในกลุ่มของกร) แต่นั่นก็เพื่อไม่ให้เธอเป็นจุดเด่น เพราะหากจะว่าไปแล้วเจนนี่ในร่างธรรมดานั้นจัดว่าเป็นคนสวยมากเลยทีเดียว และด้วยการใช้บัตรนักผจญภัยอ้างถึงตัวตน ก็สามารถเข้าพักที่เดียวกับพวกไมน์ได้ แต่เธอเลือกที่จะพักคนละห้องแทนเพื่อไม่ให้เกิดข้อสงสัย (แต่สุดท้ายตอนนอนก็ย้ายมานอนห้องเดียวกันอยู่ดี) ส่วนทางด้านของกร พอกลับไปพวกกรก็รีบทำธุระส่วนตัว แล้วเข้านอนในทันที เพื่อสะสมพลังงานให้เต็มอิ่มก่อนที่จะออกรบในดันเจี้ยน『หอคอยแห่งปัญญา』 และเพื่อความไม่ประมาทช่วงเช้าทั้งหมด กรและพรรคพวกจะใช้เวลาไปกับการตร
〝 ไง ทั้งสองคน 〞 ในขณะที่ทุกคนแสดงสีหน้าตกตะลึงยังกับเห็นผีออกมา เจนนี่ก็เริ่มเป็นฝ่ายทักไมน์และรีเบคก้าก่อนด้วยรอยยิ้มในทันที〝 เจนนี่!!! 〞〝 อุ๊ยตาย!? 〞 ไมน์ที่เห็นแบบนั้นไม่รอช้าที่จะพุ่งเข้าไปสวมกอดเจนนี่อย่างเร็ว นั่นเองก็ทำเจ้าตัวอย่างเจนนี่ตกใจไม่น้อยเหมือนกัน〝 เจนนี่! เจนนี่จริงๆใช่ไหมเนี่ย? ไม่ใช่ผีหรือตัวปลอมใช่ไหม!? 〞ไมน์พูดแล้วก็ลูบๆคลำๆเจนนี่ไปทั่ว ทำเอาร่างเธอสั่นนิดหน่อยเพราะจักกะจี๊เลยทีเดียว〝 ยัยบ๊อง! ก็จับตัวกันได้อยู่ไม่ใช่รึไง? แล้วฉันก็ยังจำได้อยู่เลยนะว่าตรงก้นของรีเบคก้ามีไฝอยู่ด้วยหน่ะ 〞 เจนนี่พูดแบบนั้นออกมา ทำให้รีเบคก้าออกอาการหน้าแดง แล้วก็พุ่งเข้ามาสับกะโหลกเจนนี่เหมือนกับที่ผ่านมา〝 ฮึ่ย! ไอ้นิสัยพูดไม่คิดนี่ตัวจริงชัวร์ 〞รีเบคก้าพูดแล้วก็ใช้กำปั้นหมุนๆใส่ศีรษะของเจนนี่〝 โอ้ยๆ! เจ็บอ่ะรีเบคก้า ออมมือให้หน่อยเซ่! 〞 ทั้งสามคนหยอกล้อกันไปมาแบบนั้น ราวกับต้องการจะซึมซับและฟื้นคืนบรรยากาศที่ถูกทำลายไปให้กลับมาเหมือนเดิม แม้จะยังเคลือบแคลงสงสัย แต่ความอบอุ่นของภาพที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้ทุกคนลืมหลายเรื่องที่คิดอ
หลังจากที่งีบหลับไปประมาณ 3 ชั่วโมง ความเหนื่อยล้าทางจิตใจก็ดูจะลดลงไปบ้างเอาจริงๆ ต่อให้ลุยต่อทั้งอย่างงี้ก็ไหวอยู่หรอก แต่แค่นี้ทุกคนก็เป็นห่วงมากพออยู่แล้ว เพราะงั้นทำตามที่ทุกคนแนะนำเป็นการดีที่สุดทางริต้าเองยังคงหลับอยู่เลยปล่อยให้หลับต่อไปก่อนโดยให้เรเชลดูแลอยู่ข้างๆส่วนทุกคนเองดูเหมือนว่าจะไม่ได้หลับเลยในระหว่างที่ฉันพักแต่ก็ต้องขอบคุณในจุดนั้น เพราะในช่วงที่ฉันไปเจรจากับราชา ฉันต้องการที่จะไปคนเดียว...ก็แหม... ฉันไม่อยากให้ทุกคนเห็นท่าทางแย่ๆเท่าไหร่นี่นา〝 เพราะทุกคนเฝ้าฉันมาตลอดคงจะเหนื่อยแย่ ฉันเลยอยากให้พวกเธอพักรอฉันอยู่ที่นี่หน่ะ 〞พูดแบบนั้นออกไปทุกคนก็ทำหน้าถมึงทึงใส่ และแน่นอนว่าทุกคนทำท่าอยากจะไปด้วยกันหมดเลยใช้เวลาเกลี้ยกล่อมตั้งนานกว่าจะยอม แต่ก็เพราะทุกคนเป็นห่วงเรานั่นแหล่ะนะ น่าดีใจแท้ๆแต่ทุกคนก็ไม่อยากตื้อให้เราจนกังวลเกินไปเหมือนกันเพราะงั้นแค่รับปากว่าจะไม่ฝืนฉันก็ขอตัวมาได้แล้วหล่ะนะแล้วจากนั้นก็วาร์ปมาที่เมืองหลวง ในซอกตึกที่นึงใกล้ๆกับทางเข้าพระราชวังโห... มองดูจากตรงนี้ยังเห็นรูที่เจ้าชายมันทำพังไว้อยู่เลย...เดี๋ยวไม่สิ... เราเป็นคนทำนี่หว่า คง
หลังจากที่การแสดงของฉันดำเนินมาได้ซักพัก จุดจบก็มาถึงโดยที่ฉันเป็นคนจัดการปิดคดีได้อย่างดงามถึงช่วงกลางๆจะโดนคุณโรนี่แย่งซีนก็เถอะ แต่ตอนจบก็กู้หน้าคืนมาได้อ่ะนะ...จากนั้นริออนที่ถูกฉันต่อยจนสลบก็ถูกพวกฟรอนกับคาลอสคุมตัวไปส่วนไอ้ปีศาจนั่นฉันปล่อยให้มันหนีไปเองด้วยเหตุผลทางด้านผลประโยชน์ในอนาคตแต่ทางฝั่งนั้นอาจจะกำลังคิดว่าหนีฉันพ้นอยู่ก็ได้หล่ะนะ... แต่ปล่อยให้คิดแบบนั้นก็ดีเหมือนกันแล้วหลังจากเรื่องจบ ฉันก็ไม่อยู่รอดูสถานการณ์หรอกนะเพราะว่าเป็นห่วงทุกคน ฉันเลยรีบผละตัวออกมาในทันทีที่มีโอกาสก่อนหน้าที่จะออกมาก็มีถูกพระราชานัดพบเป็นการส่วนตัวด้วยอยู่ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ แล้วก็คงคิดจะคุยถึงเรื่องต่อจากนั้นนั่นแหล่ะเป็นไปตามแผนเลย ฉันคิดจะใช้โอกาสนี้ต่อรองกับราชาอยู่แล้ว…แล้วพอวิ่งออกมาถึงจุดนัดพบในซอกตึกรามบ้านช่อง ก็เจอกับทุกคนโชคดีไป... ดูเหมือนทั้งมีอา เมอร์ลิน ชาลอต ซาช่า จะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย โล่งอกไปที...กลับกันแล้วพวกเธอเป็นห่วงฉันสุดๆเลยชาลอตก็เอาแต่บอกว่า〝 นายท่านอย่าเสี่ยงไปคนเดียวแบบนั้นอีกเลยนะคะ! 〞ส่วนซาช่าก็〝 ตอนที่นายท่านกระโดดเข้าไปหาลูกบอลแปลกๆนั่น...
〝 อั๊ก!!! 〞 เจ้าชายออริออน... ริออนกุมมือขวาของตัวเองด้วยความเจ็บปวด เพราะได้รับผลกระทบจากการถูกยิง ต้องบอกว่าโชคดีเท่าไหร่แล้วที่อัญมณีรับความเสียหายแทนไปเกือบหมด ไม่งั้นมือของเขาคงขาดไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ก็เพราะความเจ็บปวดที่แล่นจากมือขวาไปสู่ทั่วทั้งร่างนี่แหล่ะ ทำให้ริออนดึงสติของตัวเองกลับมาได้อีกครั้งวูม!!!!!!———〝 อะ อา.... 〞 ริออนรำพึงอยู่ในลำคออย่างน่าเวทนา ในตอนที่แสงสีแดงจากวงเวทย์สว่างน้อยลงพร้อมๆกับวงเวทย์ขนาดใหญ่ที่ค่อยๆจางหายไปจากท้องฟ้ายามค่ำคืน จนในที่สุดแสงสว่างสีแดงฉานก็อันตรธานหายไปจากท้องฟ้า เช่นเดียวกับวงเวทย์ขนาดมหึมา ทำให้แสงจันทร์ส่องลงมาถึงพื้นดินอีกครั้ง แต่ยังคงมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวเนื่องด้วยความสับสนของชาวเมืองอยู่บ้าง แต่แน่นอนว่าทุกคนปลอดภัยดีแล้ว และไม่มีใครได้รับผลกระทบจนถึงขั้นเสียชีวิตเลยซักคน ความสิ้นหวังเข้าคลุมสติของริออนในพริบตา อย่างที่เขาว่าไว้… เมื่อพริบตาที่ความหวังใกล้จะสัมฤทธิ์ผลถูกทำลายลง นั่นคือความสิ้นหวังอย่างที่สุด... และนั่นก็ทำให้สีหน้าของริออนเปลี่ยนจากสิ้นหวังไปเป็นอาฆาตแค้นแทน แ
〝 น่าตกใจจริงๆ… นี่รู้อยู่แล้วหรอกเหรอว่าข้าเป็นคนร้าย? 〞 เจ้าชายลำดับที่หนึ่ง... เจ้าชายออริออนถามกรออกมาด้วยแววตาและท่าทางหยิ่งยโส พร้อมกับเป็นการยอมรับข้อกล่าวหาไปในตัว ว่าตัวเองคือคนร้ายตัวจริง ในขณะที่มองกรลงมาจากเบื้องบน〝 ก็นะ... เพิ่งจะรู้ตัวเมื่อไม่นานมานี้เองแหล่ะ แสบจริงนะให้ตายสิ... 〞กรพูดออกมาพร้อมกับยิ้มแห้งๆ แล้วก็เดินเข้ามาทางเจ้าชายออริออนมากกว่าเดิม เหล่าสมุนเล็บโลหิตตั้งท่าเตรียมพร้อมโจมตีกันเต็มที่ แต่ยังไม่มีใครกล้าเริ่มโจมตีกรก่อน ทั้งด้วยความกลัวพลังที่ต่อกรกับพวกของตนระหว่างทางได้อย่างง่ายดาย แถมผ่านมาได้อย่างไร้รอยขีดข่วนก็ด้วย แต่ประเด็นสำคัญคือจิตสังหารอันหนักอึ้ง ราวกับถูกน้ำตกซัดสาดนั่นของกรต่างหาก ที่ทำให้พวกเขาไม่กล้าขยับตัว〝 งั้นขอเข้าเรื่องเลยละกัน... 『อุปกรณ์ตัวหลัก』 อยู่ที่ไหน? 〞 กรเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับน้ำเสียงเย็นยะเยือกจนน่ากลัว นั่นทำให้เหล่าเล็บโลหิตจำนวนเกินครึ่งยืนตัวสั่นได้ ไม่สิ... แม้แต่ชายเผ่าปีศาจที่ยืนอยู่ข้างๆเจ้าชายออริออนยังแอบสั่นเลยด้วยซ้ำ มีเพียงโรนี่ที่ใจเย็
หลังจากที่แอบย่องขึ้นมาบนชั้นสอง แล้วมองลอดเข้าไปในห้องที่จับสัมผัสวิญญาณได้พวกเราก็เจอกับเด็กผู้หญิงกำลังนั่งอยู่บนขอบระเบียงเป็นภาพที่น่าแปลก... เพราะเธอคนนั้นโปร่งแสงจนมองทะลุไปถึงท้องฟ้าที่เป็นฉากหลังเลยเนี่ยสิถ้างั้นก็ไม่ต้องสงสัย... เด็กคนนั้นคือวิญญาณที่กำลังตามหาอยู่แน่นอน กรคิดแบบนั้นพลางมองไปยังเด็กสาว ส่วนทางเด็กสาวนั้นกลับหันมามองทางกรในเวลาเดียวกัน〝 เอ่อ... ไม่ต้องหลบหรอกนะคะ คือหนูเห็นตั้งแต่เข้ามาในคฤหาสน์แล้วหล่ะค่ะ 〞เสียงกังวานของเด็กสาวพูดขึ้นมา โดยในน้ำเสียงมีความเอียงอายเล็กน้อย แล้วพอเด็กสาวพูดแบบนั้น กรก็ให้สัญญาณทุกคนเดินตามหลังเขาเข้ามาในห้องทันที〝 เข้าใจหล่ะ โทษทีนะที่บุกรุกเข้ามา 〞เมื่ออีกฝ่ายพูดอย่างสุภาพ ก็เป็นมารยาทเช่นกันที่กรจะตอบกลับไปแบบเดียวกัน〝 ไม่หรอกค่ะ... เอาจริงๆในรอบ 10 ปีมานี้มีคนเข้ามาในคฤหาสน์นับคนได้เลยหล่ะค่ะ มีคนบ้างแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน 〞เด็กสาวยิ้มตอบกรอย่างเป็นมิตร พร้อมกับลอยตัวจากขอบระเบียงมายืนอยู่ด้านหน้าของพวกกร สภาพแบบนั้นทำเอาพวกกรประหลาดใจไม่น้อย เว้นเสียแต่ซาช่าที่กำลังยืนตัวสั่นอยู่〝 นี่เธอเป