〝กร... โอเคแล้วใช่ไหม?〞
〝อะ อา... ถ้าเป็นแบบนั้นจริงจะดีมากเลยหล่ะ〞
หลังจากที่กรทำการสำเร็จโทษตัวเองด้วยการเอาศีรษะเขกพื้นในท่าหมอบกราบนานกว่า 10 นาที จนกิเลส(ส่วนใหญ่)ถูกขจัดออกไปหมดแล้ว เขาก็ค่อยๆเดินเข้ามาทางมีอาทั้งที่ยังหันหลังให้เธออยู่ จนมานั่งอยู่ใกล้ๆกับเธอเช่นเดิม
〖เจ้าหนู ข้าคิดมาตลอดเลยว่าเจ้าเป็นคนประเภทขี้อาย... แต่คงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่แล้วหล่ะ ก็เจ้าหน่ะ——— 〗
〝หยุดเลย! ขอทีเถอะเจ้าหมา!〞
〝หืม?〞
และแม้มีอาที่นั่งอยู่ใกล้ๆจะยังคงเอียงคอสงสัยอย่างน่ารักน่าชังเช่นเดิมเพราะยังไม่เข้าใจเหตุผลในการกระทำของกร แต่ถึงเคลเบรอสจะไม่เข้าใจเหตุผลจริงๆ แต่ก็ยังพอเดาได้ว่ากรไปเห็นอะไรเข้า นั่นจึงทำให้กรร้อนรนเข้าไปใหญ่ ทั้งยังระวังตัวเคลเบรอสให้มากขึ้นยิ่งกว่าเดิมโข พลางคิดอยู่ในใจว่า〝เจ้าหมา... แกนี่มันน่ากลัวจริงๆ〞
อะ... เอาเถอะ เรื่องเจ้าหมานั่นเอาไว้ก่อนดีกว่า...
ประเด็นคือ ไอ้สกิลที่มีแต่เครื่องหมายดอกจันตรงคำอธิบาย... ตั้งแต่สกิลก่อนหน้าอย่าง『ตั้งค่าขั้นกลาง(ต้นฉบับ)』กับ『Ogre Arm(ต้นฉบับ)』
ทั้งสองอันหน่ะ.... พอใช้ไปครั้งนึงแล้ว คำอธิบายก็จะปรากฏออกมา นี่ต่างหากหล่ะจุดประสงค์หลักหล่ะ!!! ถ้างั้นจะรอช้าอยู่ใย....
แล้วจากนั้นกรที่สามารถดึงสติของตนให้กลับมาจดจ่อกับสกิลใหม่อีกครั้งได้ ก็ไม่รอช้าที่จะเปิดคำอธิบายของสกิล 『เนตรทวิกาล(ต้นฉบับ)』ในทันที แล้วก็ต้องตกตะลึงกับผลลัพธ์ตรงหน้าดังเช่นที่ผ่านมา...
『เนตรทวิกาล(ต้นฉบับ)』
《 คำอธิบาย : เป็นสกิลจากการได้รับฉายา〘ผู้หยั่งรู้〙 มีผลทำให้ได้รับความสามารถของเนตรในการมองเห็นปัจจุบันและอนาคต โดยแบ่งเป็นสองโหมด『คอมมอนโหมด』➾ มีความสามารถในการมองระยะไกลและมองทะลุสิ่งกีดขวางได้ทุกชนิดโดยไม่สนเงื่อนไขใดๆและสามารถกำหนดสิ่งที่ต้องการจะเห็นได้อย่างละเอียดตามแต่ความสามารถของผู้ใช้ 『เอ็กซ์ตร้าโหมด』➾ มีความสามารถในการมองเห็นอนาคตของสิ่งที่อยู่ในทัศนวิสัย ระยะเวลาที่สามารถมองเห็นล่วงหน้าขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ใช้ และทั้งสองโหมดยังมีความสามารถพิเศษคือ สามารถย้ายจุดมองไปยังจุดที่อยู่โดยรอบได้โดยระยะไกลสุดคือ 2 กิโลเมตร(คล้ายกับการมองจากบุคคลที่สาม) จำนวนที่มองเห็นได้ขึ้นอยู่กับความสามารของผู้ใช้ ปล.ไม่สามารถใช้ทั้งสองโหมดพร้อมกันได้ *อนึ่ง ความสามารถขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้เอง โดยไม่อิงจากสเตตัสใดๆของผู้ใช้ทั้งสิ้น **วิธีใช้ สั่งใช้งานสกิลด้วยความคิดเท่านั้น โดยเพ่งสมาธิและถ่ายพลังเวทย์ไปยังบริเวณตรงหว่างคิ้วทั้งสองของตัวเอง 》
ยาวเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาเลยเฟ้ย!!!!
มะ... ไม่สิ หลงประเด็นอีกแล้วแฮะเรา….
แต่เดี๋ยวดิเฮ้ย!!! อย่างที่คิดสกิลนี้มันโกงดีจริงๆ แถมมีตั้งสองโหมดเลยด้วย...
『คอมมอนโหมด』คืออันที่เราใช้ไปเมื่อกี้หล่ะสินะ... ว่าแต่ทำไมการใช้ครั้งแรกถึงเจาะจงที่การมองทะลุเสื้อกันหล่ะฟ่ะ! แต่ตัวกระผมในตอนนั้นไม่ได้มีจิตอกุศลเลยนะครับขอบอก
แต่ที่น่าตกใจหน่ะก็คือ『เอ็กซ์ตร้าโหมด』ต่างหากเล่า!
มองเห็นอนาคตได้งั้นเหรอ.... งั้นที่ชื่อว่าเนตรทวิกาลนี่ก็หมายถึง มองเห็นได้ทะลุปรุโปร่งทั้งเวลาปัจจุบันและอนาคตเลยหล่ะสินะ…..
แต่ก็เหมือนกับคอมมอนโหมด พลังของมันขึ้นอยู่กับความสามารถของเราโดยไม่อิงสเตตัส เพราะงั้นก็เหมือนเดิม.... มีแต่ต้องลองดูเท่านั้น
วูม!!!
แล้วทันทีที่กรทำการสั่งใช้งาน『เอ็กซ์ตร้าโหมด』ด้วยความคิดอีกครั้งหนึ่ง ผลก็คือดวงตาสีทองอร่ามที่นูนออกมาตั้งแต่ครั้งก่อนหน้า ได้เบิกเนตรออกกว้างในทันทีราวกับเป็นการตอบสนองความคิดของกร ส่วนที่อยู่กลางดวงตาที่ถูกเปิดออกมานั้นไม่ใช่ดวงตาดำของมนุษย์ตามปกติ แต่มันกลับมีสัญลักษณ์ของนาฬิกาแบบมีเข็มหรืออนาล็อกขนาดเท่าตาดำอยู่แทน
แล้วพอกรสั่งใช้งานสกิลสำเร็จแล้ว ก็หันหน้ากลับไปหาอย่างช้าๆ เพราะคิดว่าสกิลมองทะลุอาจจะยังอยู่นั่นแหล่ะ แต่พอเห็นว่ามีอาได้กลับมาสวมผ้าคลุมแบบทะเลทรายเช่นเดิมแล้วกรก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกครั้งหนึ่งเบาๆ ก่อนที่จะขอร้องมีอาที่กำลังสงสัยดวงตาที่สาม ซึ่งถูกเบิกออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ของกร ด้วยท่าทีลังเลเล็กน้อย
〝มีอา... มีเรื่องจะขอร้องอย่างนึง〞
〝....ไม่เห็นต้องพูดแบบนั้นเลยนี่กร แค่บอกมาก็ทำให้ทุกอย่างอยู่แล้วหล่ะ〞
แล้วมีอาก็ตอบกลับกรด้วยรอยยิ้มราวกับเทพธิดาอย่างเจิดจ้า นั่นเลยทำให้กรดีใจแบบสุดๆ แต่ก็ต้องลำบากใจกับคำขอร้องของตัวเองแทนเสียอย่างงั้น
〝ต่อยฉันที!〞
〝เอ๋! มะ หมายความว่าไงเหรอ?〞
〝ก็หมายความตามที่บอกนั่นแหล่ะ! กระหน่ำหมัดมาอัดหน้าฉันรัวๆเลย! ยิ่งหนักๆเลยยิ่งดี….〞
〝!!!!!!!〞
และแน่นอน... มีอาที่ไม่เข้าใจว่ากรตั้งใจจะทำอะไรก็ต้องตกใจกับคำขอร้องที่คาดไม่ถึงนั่น ก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออกไปเกือบ 3 วินาทีเลยทีเดียว
〝มะ ไม่ได้หรอก!!! ให้ทำกับนายแบบนั้นหน่ะ〞
〝ก็ไหนบอกจะทำตามที่บอกทุกอย่างไง!〞
〝ตะ แต่แบบนั้นมัน.... 〞
แน่นอนว่ามีอาปฏิเสธเสียงแข็งด้วยความดื้อรั้นแบบทุกที กรเองก็อยู่กับเธอมาตั้ง 1 สัปดาห์ ก็พอจะคาดการณ์การกระทำของเธอได้ในระดับนึง นั่นทำให้กรที่ถึงจะอยากใช้วิธีประนีประนอมกับเธอแค่ไหน ก็ต้องใช้วิธีการที่ค่อนข้างบังคับฝืนใจทุกครั้งไป
รวมถึงครั้งนี้ก็เช่นกัน กรจึงถอนหายใจออกมาเบาๆครั้งนึง ก่อนที่จะพูดประโยคหนึ่งออกมา อันเป็นการสับสวิตซ์แปลกๆในตัวมีอาเข้าให้
〝มีอา... ถ้าไม่ฟังที่ฉันบอกหล่ะก็.... เห็นทีฉันคงต้องทิ้งเธอ—— เหวอๆๆๆ! 〞
ทันทีที่กรพูดแบบนั้นออกไปโดยใช้คำพูดราวกับต้องการจะสะกดจิตมีอา แล้วผลลัพธ์ที่ออกมาก็น่าตกใจเป็นอย่างมาก เพราะทันทีที่มีอาได้ยินคำพูดของกร ดวงตาของเธอที่นั่งประจันหน้ากับกรอยู่ก็สูญเสียประกายไป ราวกับกลายเป็นเครื่องจักรสังหารไร้ความรู้สึกยังไงอย่างงั้น แล้วในเสี้ยววินาทีเดียวกัน มีอาก็กระหน่ำรัวหมัดด้วยมือข้างซ้าย ตรงเข้าไปที่ใบหน้าของกรหลายต่อหลายครั้ง
แต่กรที่เห็นแบบนั้นกลับรู้สึกผิดมากกว่าดีใจเสียอีก เพราะเพิ่งมานึกได้ว่า ตัวตนที่ค้ำจุนจิตใจของมีอาก็คือตัวเขาเอง จะเรียกว่าการหายใจเข้าแต่ละครั้งของมีอาในตอนนี้ก็เพื่อให้ตัวของกรดำรงอยู่ได้ยังไงอย่างงั้นเลย มันเลยดูเหมือนครั้งนี้เป็นการหลอกใช้มีอาเต็มๆ
เพราะงั้นกรเลยไม่อยากใช้วิธีนี้.... มีอาไม่มีวันทำร้ายกรเด็ดขาดแม้จะเป็นคำสั่งหรือคำขอร้องของเขาก็ตาม กรจึงมีแต่ทางเลือกแกมบังคับนี้เท่านั้นที่จะช่วยให้กรไปถึงผลลัพธ์ที่ตัวเองต้องการ
และก็เป็นอย่างที่คาด ชั่วพริบตาที่มีอากำลังง้างหมัดออกมา กรที่กำลังใช้『เอ็กซ์ตร้าโหมด』อยู่ ก็มองเห็นหมัดของมีอา ไม่สิ...ร่างของมีอาถูกแบ่งออกมาเป็นหลายๆร่างซ้อนทับกันอยู่ จะมีก็แต่หมัดของเธอที่อยู่ในตำแหน่งต่างๆกัน ซึ่งก็มีสีแตกต่างกันไปไล่ตั้งแต่ม่วง น้ำเงิน เขียว ส้ม แดง มากมายเช่นกัน
แล้วภาพของหมัดมีอาที่มีหลากสีสัน ก็ทยอยอัดเข้ามาบริเวณแก้มซ้าย แก้มขวา หน้าผาก คาง สันจมูก และอื่นๆของกร นั่นเลยทำให้กรพอเข้าใจหลักการของสกิลนี้ขึ้นมา
หืม... สีของแต่ละภาพนั่นก็คือ อนาคตที่เป็นไปได้ทั้งหมดสินะ
ความเข็มแสดงถึงระยะห่างของช่วงเวลา... ยิ่งเข้มแสดงว่ากระชั้นชิดเข้ามา ประมาณว่าอีกวินาทีจะถึงแล้วนะ! ประมาณนั้นหน่ะ
งี้นี่เอง.... ที่บอกว่าขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ใช้ก็คือ จำนวนการมองเห็นความเป็นไปได้อื่นๆสินะ
เพราะอนาคตที่จะเกิดมันไม่แน่นอนนี่นา... หมัดแรกของมีอาในอีก 2 วินาที ยังมีจุดกระทบตั้ง 6 ที่ เธอนี่จะโหดเกินไปไหมเนี่ย แต่ก็โทษเธอไม่ได้.... ต้องโทษเราต่างหากหล่ะ
จำนวนของภาพซ้อนเองก็ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น ตามระยะเวลาที่ต้องการจะมองไปในอนาคตที่ไกลกว่า... ประมาณว่า ระยะเวลาที่ต้องการมองในอนาคตแปรผันตรงกับจำนวนภาพที่ปรากฏออกมาหล่ะมั้งนะ
ถ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพหล่ะก็... เวลาที่มองไปในอนาคต 3 วินาที จะเห็นภาพซ้อนของมีอา 8 ภาพ แต่ถ้ามองไปล่วงหน้าถึง 10 วินาที ก็จะเห็นภาพซ้อนมากกว่า 40 ภาพเลย
เหมือนกับไอ้นั่นสินะ... ทฤษฎีโลกคู่ขนานหน่ะ....
พออนาคตยาวไกลขึ้น ความเป็นไปได้ก็จะแตกกิ่งก้านสาขาออกไป... เพราะงั้น คนที่ไม่สามารถแยกประสาทได้ก็คงจะใช้ได้มากสุดแค่ 3 วินาทีนั่นแหล่ะ
แถมยังมีเรื่องประมาณว่า มีสีคล้ายกัน เพราะเป็นอนาคตที่เกิดไล่เลี่ยกันไม่ถึงเสี้ยววินาทีอีกแหน่ะ!
แต่เพราะว่าเรามีสุดยอดการประมวลผล... เลยทำให้ทำได้ทั้งแยกประสาทและสังเกตุว่าหมัดจะลงตรงจุดไหนบ้างได้อย่างแม่นยำ... เหมือนสกิลนี่มันเกิดมาเพื่อฉันเลยแฮะ อีแบบนี้นี่มันโกงสุดๆ———
ปึก!
〝อึก! 〞
และเพราะมัวแต่ใช้ความคิดไปกับหลักการของสกิล กับการใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดไปกับการสังเกตหมัดซ้าย เลยทำให้กรไม่ได้สังเกตหมัดขวาของมีอาที่อยู่นอกทัศนวิสัยของเขา กรจึงไม่พ้นที่จะโดนหมัดขวาของมีอาประเคนเข้าไปที่แก้มซ้ายของตัวเองอย่างแรกในทันที จนร้องออกมาแบบนั้นแต่นั่นไม่ใช่การร้องออกมาเพราะความเจ็บปวด แต่เป็นเพราะเขาตกใจต่างหาก นั่นเพราะตัวกรมีกายาเหล็กไหลอยู่ เลยทำให้แผลที่เกิด มีแค่รอยถากๆเท่านั้นเอง
และพอการพูดเชิงเป็นคำสั่งของกรต่อมีอา ที่บอกว่า〝ให้อัดฉัน 〞เสร็จสิ้นลง แววตาของมีอาก็กลับมาในทันที ก่อนที่จะตกตะลึงกับสถานการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง
〝เอ๋... กะ เกิดอะไรขึ้น? กร... แผลที่แก้มนั่น!!! 〞
และแม้แผลที่เกิดจะเล็กน้อยมาก แต่มีอาก็ยังสังเกตได้ในทันทีที่สติกลับคืนมา เห็นได้ชัดเลยว่าสำหรับมีอาแล้ว ตัวตนของกรเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเธอขนาดไหน
〝มะ ไม่มีอะไรหรอก! คงเป็นแผลจากไอ้มังกรบัดซบนั่นแหล่ะ〞
〝แต่เมื่อกี้ก็ไม่เห็นมีรอยแผลตรงนั้นเลยนี่นา 〞
〝บะ.... บอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่มีสิ!〞
〝....อื้ม! ถ้ากรว่าอย่างงั้นล่ะก็〞
แต่ดูเหมือนคราวนี้มีอาจะยอมปล่อยไปก่อน เพราะเห็นว่าเป็นแผลเพียงเล็กน้อย นั่นเลยทำให้กรใจชื้นขึ้นเยอะ เพราะคิดว่ามีอาจะเข้าโหมดยันเดเระแบบครั้งก่อนอีกนั่นแหล่ะ
อืม... ดูเหมือนว่าจะเป็นไปตามที่คำอธิบายได้บอกไว้
อนาคตของสิ่งที่ไม่อยู่ในทัศนวิสัยจะไม่สามารถมองเห็นได้... หรือก็คือเราไม่สามารถล่วงรู้อนาคตของสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากระยะการมองเห็นของเราได้นั่นเอง
แต่คิดว่าปัญหาเรื่องนั่น น่าจะแก้ได้ด้วยการมองจากมุมมองของบุคคลที่สาม จากผลพิเศษอีกอย่าง... แต่ตอนนี้ ก็พอรู้วิธีใช้คร่าวๆแล้ว...
เราเองก็ต้องฝึกมันทุกสกิลก่อนที่จะลงไปชั้นต่อไปอยู่แล้ว เพราะงั้นตอนนี้ก็ขอดูสกิลที่เหลือก่อนแล้วกัน...
ทันทีที่กรตัดสินใจแบบนั้น ก็ทำเปิดหน้าต่างสกิลอีกครั้ง แล้วพอลองอ่านชื่อของเวทย์มนต์ชนิดใหม่ทั้ง 4 ก็เกิดสงสัยขึ้นมา เพราะ『เวทมนต์วิญญาณ』กับ『เวทมนต์โลหะ』ที่เป็นชนิดใหม่ มีความหมายค่อนข้างคลุมเครือ กรจึงทำการจิ้มไปยังเวทย์ใหม่ทั้ง 4 นั่นของตนเพื่อทำการตรวจสอบโดยทันที...
『เวทมนต์วิญญาณ』【ระดับเทพเจ้า】
《 คำอธิบาย : เป็นเวทย์มนต์สายพิเศษ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสื่อสารหรืออัญเชิญตัวตนระดับสูงเช่นเทพเจ้ามาใช้งานในรูปแบบต่างๆ *ความสามารถและจำนวนเวทย์ที่ใช้ได้จะเพิ่มขึ้นตามระดับของเวทย์มนต์ **ข้อมูลของเวทย์มนต์ทุกคาถาในประเภทนี้จะอยู่ในความทรงจำของผู้ใช้อัตโนมัติ และจะแสดงข้อมูลจำเพาะ อาทิความสามารถและพลังเวทย์ที่ต้องใช้ก็ต่อเมื่อผู้ใช้มีความนึกคิดที่จะใช้เวทย์นั้นๆโดยอัตโนมัติ 》
『เวทมนต์โลหะ』【ระดับเทพเจ้า】
《 คำอธิบาย : เป็นเวทย์มนต์สายปกติ ในเบื้องต้นเกี่ยวข้องกับการเสริมความแข็งแกร่งและประยุกต์ใช้ โดยการสร้างธาตุประเภทโลหะต่างๆขึ้นมาได้ตามใจนึกในขั้นต้น *ความสามารถและจำนวนเวทย์ที่ใช้ได้จะเพิ่มขึ้นตามระดับของเวทย์มนต์ **ข้อมูลของเวทย์มนต์ทุกคาถาในประเภทนี้จะอยู่ในความทรงจำของผู้ใช้อัตโนมัติ และจะแสดงข้อมูลจำเพาะ อาทิความสามารถและพลังเวทย์ที่ต้องใช้ก็ต่อเมื่อผู้ใช้มีความนึกคิดที่จะใช้เวทย์นั้นๆโดยอัตโนมัติ 》
และแม้กรจะอ่านคำอธิบายของ『เวทมนต์โลหะ』ไปแล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่ามันแตกต่างจาก『เวทมนต์ดิน』ยังไงก็ตาม แต่เขาก็คิดว่าไหนๆต่อจากนี้ก็จะฝึกใช้อยู่แล้ว จึงทำการจิ้มไปยังสกิลที่เหลืออีก 4 อันเพื่ออ่านรายละเอียดในทันที...
『ออร่าเทพเจ้า(ต้นฉบับ)』
《คำอธิบาย : เป็นเวทย์พิเศษที่ได้รับจากฉายา〘ออร่าแห่งทวยเทพ〙 มีผลทำให้สามารถสร้างออร่าซึ่งเป็นสกิลเฉพาะของเทพเจ้า แต่มีระดับสูงกว่าที่ว่าออกมาใช้งานได้ สามารถประยุกต์ใช้ได้ตามแต่ความชำนาญและเลเวลของผู้ใช้ นอกจากนี้บริเวณที่ถูกคลอบคลุมโดยออร่าดังกล่าวจะมีคุณสมบัติลดความเสียหายทางเวทย์มนต์ลงเหลือเพียงครึ่งเดียว *ผลพิเศษนี้ไม่มีคำร่าย จึงต้องสั่งใช้งานจากการนึกคิดเท่านั้น **สกิลนี้ไม่มีการใช้พลังเวทย์แต่อย่างใด 》
『แสงแห่งการชำระล้าง(ต้นฉบับ)』
《คำอธิบาย : เมื่อใช้งานจะสร้างแสงสว่างโอบล้อมบริเวณที่ผู้ใช้อยู่เป็นจุดศูนย์กลางโดยมีรัศมี 500 เมตร มีผลทำให้ผู้ที่อยู่ในปาร์ตี้ของผู้ใช้และอยู่ในรัศมีของเวทย์พิเศษนี้ จะได้รับการเพิ่มสเตตัสขึ้นเป็น 2 เท่า อัตราการฟื้นฟูจะเพิ่มขึ้น(ไม่สามารถรักษาแผลฉกรรจ์ได้)และโอกาสติดสถานะผิดปกติของสมาชิกในปาร์ตี้ที่อยู่ในระยะทำการจะลดลง โดยอัตราดังกล่าวจะขึ้นกับเลเวลของผู้ใช้ 》
『ปักษาสวรรค์(ต้นฉบับ)』
《คำอธิบาย : เมื่อใช้งานจะสร้างปีกสีขาวขึ้นกลางหลังของผู้ใช้ มีผลทำให้บินได้อย่างอิสระตามความนึกคิดของผู้ใช้ เพิ่มความต้านทานเวทย์ขึ้น 50% และเพิ่มสเตตัสด้านความว่องไวและพลังเวทย์ขึ้น 2 เท่า 》
『Sacred God Armor Form (ต้นฉบับ)』
《 คำอธิบาย : เป็นสกิลจากการได้รับฉายา〘Sacred God Armor Form〙 ทำให้สามารถสวมชุดเกราะหรือเพียงส่วนหนึ่งของเกราะทั้งหมดได้ตามใจนึก โดยมีผลทำให้จุดที่สวมสามารถทนทานต่อเวทย์มนต์ทุกประเภทได้ 90 % (ทั้งที่เป็นการโจมตีและไม่ใช่การโจมตี) *จำนวนชิ้นส่วนของเกราะที่สวมได้จะเพิ่มขึ้นเมื่อเลเวลถึงจุดที่กำหนด 》
อืม... ยังขี้โกงเหมือนเดิม
แต่หนนี้มีแต่สกิลสายบัฟทั้งนั้นเลยนี่หว่า โดยเฉพาะ『แสงแห่งการชำระล้าง(ต้นฉบับ)』เนี่ย โกงขั้นเทพเลย!!! แต่ตอนนี้เราก็เป็นเทพแล้วนี่หว่า
แล้วถึงจะไม่รู้ว่ารักษาได้ขนาดไหนก็เถอะ แต่ที่เพิ่มสเตตัสของเพื่อนได้ 2 เท่านี่ก็โกงพอแรงแล้ว
ส่วน『ออร่าเทพเจ้า(ต้นฉบับ)』นี่ก็เป็นเวทย์พิเศษที่มาจากฉายา〘ออร่าแห่งทวยเทพ〙 เพราะลองใช้ไปแล้วด้วยสิ เลยไม่มีอะไรให้ตบมุข...
ส่วน『Sacred God Armor Form (ต้นฉบับ)』ก็เหมือนกับ『Ogre Armor Form (ต้นฉบับ)』เพียงแต่เป็นการเพิ่มความทนทานต่อเวทย์มนต์เท่านั้นเอง
แล้วอีกอย่างที่น่าสนใจก็คือ ขีดจำกัดการใช้『Ogre Arm(ต้นฉบับ)』ต่อ 6 ชั่วโมงหายไปแล้ว... แต่ผลกระทบที่ทำให้ขยับไม่ได้ไป 10 วินาทีหลังใช้ยังคงมีอยู่เหมือนเดิม ถือว่ายังบาลานซ์ดีอยู่...
ก็น่าดีใจอยู่หรอกนะ... เพราะแบบนี้เลยทำให้กลยุทธ์กับทางเลือกในการรับมือเหตุการณ์เฉพาะหน้าเพิ่มสูงขึ้นเยอะเลย.... แน่นอนว่ารวมถึงเปอร์เซ็นต์การรอดชีวิตของเรากับมีอาก็เพิ่มสูงขึ้นตามเหมือนกัน
แล้วสุดท้ายก็คือ.... แท่นแท้น!!!『ปักษาสวรรค์(ต้นฉบับ)』ยังไงหล่ะ!!!
มีปีกด้วยหล่ะ บินได้ด้วยหล่ะ!!! แบบนี้มันจะไม่แหกกฎไปหน่อยรึไง!?
ก็แหม... มีอาหน่ะ กว่าจะบินได้ก็ต้องถ่ายพลังเวทย์ไปให้อย่างเยอะเลยนี่นา... เราเองก็กว่าจะสร้างไอพ่นให้ตัวเองบินได้ก็ลำบากเอาการเลยแท้ๆ ไอ้สกิลนี่มันเหมือนจะเยาะเย้ยความพยายามของเราสองคนเลยแฮะ———
เดี๋ยวนะ! พอพูดถึงเรื่องที่มีอาบินได้แล้ว....
ก็นึกเรื่องฉายาของมีอา ที่มีดอกจันตรงคำอธิบายแบบเดียวกับเราขึ้นมาเลย.....
ใช่แล้ว!!! ไอ้นี่ไงหล่ะ... ฉายาสุดติ่งกระดิ่งแมวของมีอา ที่ชื่อฟังดูโกงโคตรๆนั่นหน่ะ
สงสัยมาตลอดเลยว่า มันให้ผลพิเศษอะไรบ้าง.... แล้วหลังจากครั้งที่ถ่ายพลังเวทย์ไปให้เธอ ก็หมายความว่าผลพิเศษของฉายาถูกใช้ไปแล้ว
แล้วก็หมายความว่าตอนนี้..... คำอธิบายของฉายามีอานั่น.... บางทีอาจจะ———
.
.
〝จะว่าไปแล้วนะมีอา.... เธอเคยบอกว่าฉายาของเธอมันไม่แสดงคำอธิบายใช่รึเปล่า 〞
〝อื้ม! ใช่แล้วหล่ะ... ทำไมงั้นเหรอ? 〞
〝ฉันคิดว่าบางที.... ตอนนี้มันอาจจะมีคำอธิบายออกมาแล้วก็ได้นะ〞
〝เอ๋! ระ รอแปปนึงนะ【จงออกมา ! สเตตัสวินโดว์ !!!】 〞
แล้วพอกรพูดแบบนั้น มีอาก็ไม่รอช้าที่จะเรียกหน้าต่างสเตตัสของตัวเองออกมา แล้วก็จิ้มไปที่ฉายาทั้งสองของตัวเองอย่างรวดเร็วแล้วจากนั้นก็เบิกตาโพลงตามสเต็ป กรที่เห็นท่าทางตกตะลึงแบบนั้นของมีอาก็ดีใจจนยิ้มออกมาเล็กน้อยที่มุมปากเพราะทุกอย่างเป็นไปอย่างที่คิด แล้วมีอาก็ส่งหน้าต่างของตัวเองให้กรดูในทันที จนตอนนี้คนที่เบิกตาโพลงเป็นกรเสียเองไปซะอย่างงั้น...
〘พลังแฝงเทพเจ้า〙
《 คำอธิบาย : ฉายาของผู้ที่มีสายเลือดแห่งเทพระดับสูง มีความสามารถและความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัดซ่อนอยู่ ซึ่งจะสามารถเข้าสู่แองเจิ้ลโหมดได้ก็ต่อเมื่อได้รับพลังเวทย์มากกว่าสเตตัสเฉลี่ยอย่างน้อย 10 เท่า ซึ่งพลังเวทย์ส่วนเกินจะถูกเปลี่ยนเป็นเป็นเกจพลังงานในการใช้งาน『แองเจิ้ลโหมด』และเวทย์พิเศษ『ออร่าเทพเจ้า』รวมถึงได้รับความสามารถในการบินอย่างอิสระมาด้วย หากเกจพลังงานหมดลงจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติในทันที มีผลพิเศษทำให้สเตตัสทั้งหมดยกเว้นความว่องไวเพิ่มขึ้นตามศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดในบริเวณใกล้เคียง และเพิ่มสเตตัสความว่องไวขึ้น 100% ของศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดในบริเวณใกล้เคียงโดยไม่สนเงื่อนไขใดๆ และหากมีศัตรูมากกว่า 1 คน/ตัว จะได้รับโบนัสอีกครึ่งหนึ่งของผลรวมค่าสเตตัสความว่องไวทั้งหมดรวมกันของศัตรูทุกตัวในบริเวณนั้นๆ ซึ่งค่าสเตตัสที่เพิ่มขึ้นมาทั้งหมดยกเว้นความว่องไวจะคำนวณจาก***ของอีกฝ่าย *เกจพลังงานที่ลดลงขึ้นอยู่กับการปรับใช้งานและสามารถทำการเติมได้เรื่อยๆแม้จะอยู่ในแองเจิ้ลโหมด **สเตตัสและพลังของออร่าเทพเจ้ามีความเป็นไปได้ว่าจะเพิ่มขึ้นตามสภาพจิตใจและความมุ่งมั่นของผู้ใช้ขณะต่อสู้ 》
〘พรสวรรค์เทพเจ้าแห่งดาบ〙
《 คำอธิบาย : ฉายาที่จะสุ่มได้รับและปรากฏออกมาตอนเกิดในอัตราที่ต่ำมากถึงมากที่สุด โดยจะมีโอกาสเกิดขึ้นสำหรับผู้ที่มีสายเลือดเทพเท่านั้น มีผลทำให้เมื่อใช้ดาบเป็นอาวุธจะสามารถต่อสู้ได้อย่างชำนาญ ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย กล่าวได้ว่าโอกาสแพ้ในการดวลดาบนั้นแทบจะเป็นศูนย์ และเมื่อใช้อาวุธประเภทดาบเป็นอาวุธจะเพิ่มสเตตัสทุกอย่างในตอนที่ทำการสู้ขึ้น 10 เท่า และเพิ่มสเตตัสความว่องไวเป็นพิเศษขณะสู้อีก 10 เท่า *ฉายานี้สามารถใช้ร่วมกับกับแองเจิ้ลโหมดได้ โดยจะเปลี่ยนจากการเพิ่มสเตตัสขณะสู้เป็น การเพิ่มสเตตัสขณะอยู่ในแองเจิ้ลโหมดแทน และเมื่อปลดแองเจิ้ลโหมดออก สเตตัสจะกลับมาเป็นเช่นเดิม 》
.................
แล้วพอกรตรวจสอบฉายาของมีอาไปแล้ว ก็ถึงกับทำหน้าอึนและพูดอะไรไม่ออก ก่อนที่จะทำเรื่องเหนือความคาดหมาย จนแม้แต่ตัวเองยังไม่ทันได้คิดเพราะความดีใจเลยทีเดียว
หมับ!
〝มีอาาาาาาาา!!!!!!!!!〞
〝อะ เอ๋! เอ๋ๆๆๆๆ เดี๋ยวสิ กร! เกิดอะไร——〞
แล้วหลังจากที่กรมองแผ่นสเตตัสของมีอาอยู่ราวๆ 2 วินาทีด้วยความตะลึงปนตื้นตัน กรก็โผเข้าไปกอดมีอาที่นั่งอยู่ข้างหน้าเขาทั้งน้ำตาในทันที
เจอเพื่อนแล้วววววววว!!!!!!!!!!!!!!
ห๊าห้าห้าห้า!!!!! โกง! โกงชะมัดยาดเลย คำอธิบายยาวยิ่งกว่าของเราซะอีก
แถมผลพิเศษที่ว่ามาทั้งหมดนี่ก็อีก!!!! ให้ตายสิ กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่แล้วววววว!!!!
สเตตัสทุกอย่างตอนจับดาบจะเพิ่มขึ้น 10 เท่า ส่วนความว่องไวเพิ่มขึ้น 100 เท่า!!!! ความลับของความคล่องตัวของมีอามาจากฉายานี้นี่เอง!
แต่ที่น่าตกใจกว่าก็คือพลังของแองเจิ้ลโหมดนี่แหล่ะ!!!! ความสามารถไม่ได้ถูกคำนวณเป็นตัวเลขที่แน่นอน แถมเพิ่มตามมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งที่สุดอีกต่างหาก ไม่แปลกเลยที่เธอต่อกรกับไอ้มังกรนั่นได้สบายๆ.... ก็... คงไม่ขนากนั้นหรอก แต่คิดว่าสบายอยู่หล่ะนะ!
แล้วไม่ใช่แค่นั้น!!! ไอ้สเตตัสความว่องไว ก็ดันเพิ่มขึ้น 100% ของมอนสเตอร์ที่ว่าโดยไม่สนเงื่อนไขใดๆซะอีก โกงโคตรๆเลยมีอา!!!
แล้วประเด็นมันอยู่ที่ถ้ามีศัตรูมากกว่า 1 ตัว ก็จะยิ่งได้โบนัสความว่องไวเพิ่มขึ้นอีก! นี่เธอเป็นประเภทต่อกรกับศัตรูจำนวนมากหรอกเหรอเนี่ย!!!! ถึงจะยังมีดอกจันอยู่ตรงคำอธิบายนิดหน่อยจนไม่รู้วิธีคำนวณก็เถอะ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังโกงโคตรอยู่ดี!!!
ใครจะไปนึกกันหล่ะว่าจะมีสัตว์ประหลาดแบบเธอ.... สัตว์ประหลาดแบบเดียวกันอยู่ใกล้ตัวขนาดนี้!!!!
สุดยอดไปเลยมีอาาาาาาาาาาา!!!!!!!!!!! สุดยอดไปเลยแองเจิ้ลโหมดดดดด!!!!!
〝โกง!!! เธอนี่มันโกงดีจริงๆเลยให้ตายสิ มีอา!!!〞
〝กะ กร!!! หมายความว่ายังไงหล่ะเนี่ย!!! บะ แบบนี้ฉันก็... ทำตัวไม่ถูกกันพอดี——〞
〝มีอาาาาาาาาาา!!!!!!!!!!!〞
แล้วพอกรกอดรัดมีอาที่นั่งอยู่แน่นยิ่งกว่าเดิม จนมีอาเขินอายและหน้าแดงถึงหู คล้ายกับว่าจะมีควันลอยออกมาจากหัวของเธอพร้อมกับเสียง ป๊อง! ยังไงอย่างงั้น แต่หลังจากนั้นมีอากลับทำสีหน้าดีใจจนหยาดเยิ้มออกมาแทนและไม่ได้มีท่าทีรังเกียจเลยแม้ซักนิดเดียว แต่กรที่กอดรัดเธออยู่แบบนั้นกว่า 5 นาที ก็ไม่ได้สังเกตสีหน้านั้นของมีอาเลยแม้แต่น้อย....
❖❖❖❖❖
〝เอ่อ... ทะ โทษทีนะ〞
〝มะ... ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ได้รังเกียจเลย... ซักนิด〞
แล้วพอกรกลับมาได้สติอีกครั้ง ก็ไม่พ้นต้องอยู่ในสถานการณ์เก้อเขินกันสองคนอีกครั้ง เพราะแบบนั้นเลยทำให้เกิดเดดแอร์ขึ้นมาชั่วขณะ กรจึงต้องเปลี่ยนเรื่องคุยกะทันหัน
〝จะ...จะว่าไปแล้วนะ... ไอ้แองเจิ้ลโหมดของเธอมันทรงพลังก็จริงอยู่ แต่ถ้าเกิดเกจพลังงานหมดขึ้นมา ก็พลาดท่าได้ง่ายๆเลยสินะ〞
〝อะ อื้ม จริงอย่างที่พูด.... เลยหล่ะ〞
แต่ถึงแม้กรจะเปลี่ยนอย่างกะทันหันแบบนั้น มีอาก็ยังไม่เปลี่ยนท่าทีที่เก้อเขินจนหน้าแดงนั่นในทันที นั่นเลยสร้างความลำบากใจให้กรมากพอสมควร
〝ฉันเลยคิดหน่ะ... ว่ามันน่าจะมีวิธี... ที่ฉันจะถ่ายทอดพลังเวทย์ให้เธอจากระยะไกลได้ตลอด โดยที่ไม่ต้องสัมผัสกันทางร่างกายโดยตรง แล้วพอลองตรวจดูเวทย์ที่ฉันมีก็เลยปิ๊งไอเดียขึ้นมาหน่ะ!〞
〝แล้ว... วิธีนั้นคืออะไรเหรอกร?〞
〝เอ่อ... คือว่า วิธีนั้นคือ ใช้เวทย์พันธะขั้นเทพเจ้าที่เพิ่งได้มาเป็นสื่อกลางในการถ่ายโอนยังไงหล่ะ〞
〝ได้อยู่แล้ว.... ต้องทำยังไงบ้าง... ฉันจะทำตามทุกอย่างเลย!〞
แล้วมีอาก็ตอบกรที่อธิบายด้วยท่าทางลังเลและเก้อเขินเล็กน้อยนั่นกลับด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงขึ้นมา กรจึงยิ่งลำบากใจยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อต้องอธิบายเนื้อหาของการทำพันธะสัญญา
〝ชื่อของมันคือ 『พันธะสัญญานิรันดร์』........〞
ในขณะเดียวกับที่กรพูดแบบนั้น เขาก็ร่ายเวทย์มนต์ที่ว่าอยู่ในใจไปพร้อมกัน จนเกิดวงเวทย์ขึ้นที่เท้าของเข้าแต่ที่กรยืนอยู่นั้นไม่ใช่จุดศูนย์กลางวงเวทย์ แต่เป็นตำแหน่งกึ่งกลางระหว่างศูนย์กลางกับเส้นรอบวง
〝เดินเข้ามาในวงเวทย์ ตรงข้ามกับฉันนี่ที〞
〝เข้าใจแล้ว〞
มีอาที่เห็นช่องว่างตามที่กรบอก ก็ตอบกรกลับไปด้วยเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย ก่อนที่จะเดินเข้ามาในวงเวทย์ที่กรสร้างขึ้นตามที่กรบอกในทันที จนตอนนี้ทั้งคู่ยืนอยู่ห่างกันเพียงแค่ 1 ช่วงแขนเท่านั้นเอง
〝คือว่า.... หลังจากนี้มันต้อง.... จุ...จุมพิตกัน... หน่ะ〞
〝..........〞
แล้วกรก็บอกมีอาไปแบบนั้นด้วยท่าทีเก้อเขินเช่นกัน รวมถึงส่งสายตาขอโทษมีอาเพราะไม่ได้บอกเนื้อหาล่วงหน้า นั่นเพราะกรคิดว่าถ้าเธอรู้เข้าอาจจะถูกปฏิเสธ ทั้งที่จะออกคำสั่งกับเธอเหมือนทุกทีก็ได้ และแม้นี่จะไม่ใช่การจูบครั้งแรกของทั้งสอง แต่กรก็อดที่จะเก้อเขินไม่ได้อยู่ดี เพราะกรในตอนนี้ไม่ได้มองเธอในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมทางที่ได้รับผลประโยชน์ร่วมกันหรือพวกพ้องร่วมปาร์ตี้ดังเช่นเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ได้มองมีอาในฐานะผู้หญิงคนนึงไปแล้ว นั่นจึงทำให้การปฏิบัติกับเธอเปลี่ยนไปจนแม้แต่ตัวมีอาเองยังตกใจเลย
ส่วนมีอาก็แสดงท่าทางตกตะลึงออกมาเล็กน้อยเท่านั้น ใช่... เล็กน้อยจริงๆ ราวกับเธอคาดไว้แล้วยังไงอย่างงั้น แล้วมีอาก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะหลับตาลงพร้อมกับการเขย่งเท้า และเป็นคนยื่นริมฝีปากของตัวเองไปประทับบนริมฝีปากของกรจนกรตั้งตัวไม่ทันไปเสียเอง ก่อนที่จะเอื้อมมือทั้งสองไปคล้องคอของกรไว้ กรเองก็ตอบสนองมีอาด้วยการโอบเอวเธอในขณะที่ริมฝีปากสัมผัสกันอยู่พลางหลับตาลงเช่นกัน
การจุมพิตที่ว่าได้ดำเนินไปเพียง 10 วินาทีเศษเท่านั้น แต่ทั้งคู่กลับรู้สึกเหมือนช่วงเวลาทั้งหมดได้หยุดนิ่งลงราวกับเป็นนิรันดร์สมชื่อยังไงอย่างงั้น ก่อนที่จะผละตัวออกพร้อมๆกันด้วยอาการเก้ๆกังๆ แล้วมีอาที่คาดการณ์ไว้ก่อนแล้วล่วงหน้า ก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน
〝ถึงไม่ต้องทำแบบนั้น... ฉันก็ไม่ปฏิเสธอยู่แล้วแท้ๆ〞
〝........มีอา 〞
แล้วดูเหมือนว่ามีอาจะดูเจตนาของกรออกจริงๆเสียด้วย นั่นเลยทำให้ตัวกรโทษตัวเองที่อ่อนหัดออกมาในเวลาสำคัญจนถึงกับปล่อยให้มีอารู้ว่าตัวเองกลัวอยู่ซะได้ออกมา มีอาที่พูดแบบนั้นพลางส่งสายตาออกมาเป็นคำพูดประมาณว่า 〝ตาบ้า! ไม่เห็นต้องกลัวขนาดนั้นเลย〞แต่ก็ส่งไปถึงตัวกรได้อย่างชัดเจน
〝ทะ.. ถ้างั้น ลองใช้แองเจิ้ลโหมดดูเลยแล้วกัน〞
〝อะ... อื้ม!〞
และทั้งที่บรรยากาศกำลังได้ที่ดีแท้ๆ แต่กรก็ดันพูดขัดจังหวะออกมาอย่างจงใจเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเองไปแบบนั้น แต่ดูเหมือนว่ามีอาต้องการจะทำแบบเดียวกันก็เลยตอบกลับและทำตามที่กรบอกอย่างว่าง่าย แล้วจากนั้น....
ซู่ม!
ออร่าสีชมพูอ่อนแบบเดียวกับสีผมของเธอ เข้าปกคลุมร่างกายอีกครั้งพร้อมๆกับปีกแบบเดียวกับที่ใช้เข้าปะทะกับมังกรห้าหัวก็ปรากฏออกมาพร้อมกัน แล้วมีอาก็ทำการดีดตัวและลอยขึ้นเหนือพื้นเพื่อสัมผัสความรู้สึกในการโบยบินบนท้องฟ้านั่นอีกครั้ง
〝【ปักษาสวรรค์】!!!!!〞
แล้วจากนั้นกรก็ใช้สกิลที่เพิ่งได้มาทำการสร้างปีกสีขาวราวกับเทพเจ้าขึ้นที่กลางหลังของตัวเอง จากนั้นก็ลอยตัวขึ้นไปตามมีอาที่บินขึ้นไปก่อนหน้า
〝ความรู้สึกตอนใช้ปีกเนี่ย ต่างจากตอนที่ใช้ไอพ่นลิบลับเลยแฮะ!〞
〝ถึงจะไม่เข้าใจว่าไอพ่นคืออะไรก็เถอะ... แต่ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีแล้วหล่ะ——— !!!!〞
แล้วพอกรบินขึ้นมาถึงแล้วบรรยายความรู้สึกของตัวเองออกไปตรงๆ มีอาก็ตอบกลับเขาด้วยท่าทางดีใจอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับหน้าที่แดงขึ้นมาเพราะถูกเน้นด้วยแสงอาทิตย์สีส้ม ก็ทำให้งดงามไปอีกแบบ
กรเลยถือโอกาสในครั้งนี้แก้ตัวที่ตัวเองทำตัวไม่สมกับเป็นผู้นำและไม่สมกับที่เป็นลูกผู้ชายก่อนหน้านี้ โดยการยื่นมือขวาไปทางมีอาที่ลอยอยู่ข้างๆกัน และเหมือนว่ามีอาเองก็เข้าใจเจตนาของกรอีกเช่นเคย เธอจึงยิ้มออกมาอย่างร่าเริงและเฉิดฉายราวกับงานศิลป์ออกมาอีกครั้ง ก่อนที่จะยื่นมือซ้ายของตัวเองมาทางกร แล้วกรก็คว้ามือของมีอาไว้ก่อนที่จะถีบตัวเองออกโบยบินไปข้างหน้าด้วยความเร็วพอประมาณที่มีอาจะตามทันได้
ทุ่งหญ้าอันเขียวขจี ทุ่งดอกไม้อันแสนงดงามและหลากสีสัน เนินเขาที่เรียงตัวอย่างงดงาม ทั้งคู่บินอยู่เหนือสิ่งที่ว่ามาราวๆ 10 เมตรเท่านั้น ก็เพื่อที่จะเชยชมความงามที่สรรค์สร้างโดยใครบางคนนี้ให้ชัดเจน ในขณะที่โบยบินไปมาราวกับนกที่เกี้ยวพาราสีกันอยู่ ทั้งคู่ก็ยิ้มให้กันเป็นพักๆ ราวกับโลกทั้งใบมีเพียงแค่พวกเขาแค่สองคน
แล้วในทันทีที่ทั้งคู่ลอยอยู่เหนือทะเลสาบ พลังเวทย์ของทั้งสองโดยเฉพาะตัวกรที่เป็นแหล่งพลังงานสำคัญก็ได้หมดลง แล้วทั้งคู่ก็ดิ่งพสุธาลงทะเลสาบด้วยความสูงกว่า 10 เมตรจนเกิดเสียง ตู้ม! ดังลั่น แต่กรและมีอากลับร้องลั่นออกมาอย่างร่าเริงแทนเสียอย่างงั้น และแม้จะเป็นแบบนั้นแต่ทั้งคู่กลับยังไม่ได้ปล่อยมือกันแต่อย่างใด ทั้งในตอนที่ลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำแล้ว ทั้งคู่กลับหัวเราะและยิ้มแย้มออกมาอย่างร่าเริงราวกับเรื่องที่เกิดเมื่อครู่เป็นแค่การเล่นบันจี้จัมพ์เพียงเท่านั้นเอง
〝สนุกดีแฮะไอ้นี่หน่ะ!〞
〝อื้ม! สุดยอดไปเลย....〞
แล้วทั้งสองก็เริ่มการพูดคุยกันหลังจากการเล่นพาดโผนบนท้องนภามานาน ในขณะเดียวกัน กรที่พลังเวทย์ฟื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็วเพราะมี『เร่งการฟื้นฟูพลังเวทย์ขั้นเทพเจ้า』ก็ใช้เวทย์น้ำเพิ่มความหนาแน่นของน้ำในบริเวณที่ทั้งคู่ลอยอยู่ให้มากขึ้น จนทั้งคู่สามารถยืนบนน้ำนี้ได้เลยทีเดียว แต่เพราะเหนื่อยจากการละเล่นเมื่อครู่เลยทำให้ทั้งกรและมีอา ยังไม่ได้ขึ้นมานั่งบนน้ำนั่นแต่อย่างใด แล้วมีอาก็กลับเป็นฝ่ายเปิดประเด็นออกมาก่อนแทน
〝กร.... ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย〞
〝หืม... ว่ามาสิ ไม่เห็นต้องเกรงใจเลย〞
〝ทำไมนายถึง.... ต้องช่วยฉันขนาดนั้นด้วย... ฉันหน่ะ... ไม่ใช่แค่คลังข้อมูลเดินได้สำหรับนายหรอกเหรอ?〞
〝................〞
มีอา....
อย่างที่คิด.... เธอนี่เป็นคนฉลาดดีจริงๆเลยนะ ให้ตายสิ.... ฉลาดจนน่ากลัวสำหรับเราในตอนนี้เลยหล่ะ
นั่นเพราะฉันรักเธอ ยังไงหล่ะ!
อยากจะตอบไปแบบนั้นจริงๆ
แต่เพราะอะไร.... แค่คำง่ายๆแท้ๆ.... แต่มันติดอยู่ที่ปากบ้าๆนี่ซะได้! ทำไมในเวลาสำคัญแบบนี้ถึงพูดไม่ออกกันนะ!
〝นั่นสินะ... เรื่องเหตุผลหน่ะ...ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องละเอียดอ่อนพวกนี้ซะด้วย.... แต่พอเห็นเธออยู่ในสภาพนั้นแล้วมันดันทนดูไม่ได้ อยากจะปกป้อง.... อยากจะช่วย.... เพราะงั้นบางที... ที่ฉันช่วยเธอคงจะเป็นเพราะเห็นเธอเป็นคนสำคัญขึ้นมาบ้างแล้ว... หล่ะมั้งนะ〞
〝งั้นหรอกเหรอ〞
แต่ต่อหน้าประโยคตอบกลับแสนคลุมเครือของกร มีอากลับตอบกรไปแบบนั้นอย่างหนักแน่นแทนเสียอย่างงั้น นั่นเลยทำให้ตัวกรเริ่มที่จะโมโหตัวเองขึ้นมาจริงๆเสียแล้ว ที่ไม่กล้าบอกความรู้สึกของตัวเองไปตรงๆ
〝ถ้านายเห็นฉันเป็นคนสำคัญ.... งั้นฉัน.... ก็มีโอกาสอยู่สินะ〞
〝โอกาส.... งั้นเหรอ?〞
จนถึงตอนนี้ กรก็เข้าใจได้ในที่สุดว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปกับตัวเอง และมีอาที่พูดแบบนั้นออกมาด้วยเสียงที่สั่นเครือและใบหน้าแดงก่ำพลางหันหน้ามาหากรทั้งที่ยังลอยอยู่บนผิวน้ำพลางส่งสายตามีความหวังมาทางเขาก็ยิ่งทำให้ความคิดของกรเด่นชัดขึ้นไปอีก พอถึงตอนนี้กรจึงชกหน้าของตัวเองในจินตนาการสุดแรงครั้งนึง ก่อนที่จะคิดเรื่องของมีอาอย่างจริงจัง
ตัวเรา... ไม่ได้ทึ่มถึงขนาดจะไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้
มีอา... ชอบเรา.... และกำลังจะสารภาพความในใจของตัวเองออกมา
บ้าเอ้ย! เรานี่มันขี้ขลาดตาขาวชะมัด!
ทั้งที่ก็รู้อยู่แล้วแท้ๆ ความรู้สึกของมีอาหน่ะ แต่ก็เมินมันมาตลอด... เพราะเกลียดเรื่องยุ่งยากงั้นเหรอ!
ไม่ใช่เลย... เพราะกลัวต่างหาก เข้าใจเป็นอย่างดีแล้วว่าควรจะทำอะไร.... ไม่สิ... มันเป็นเรื่องที่ต้องทำต่างหาก...
ถ้าไม่ทำซะตอนนี้ล่ะก็... ไม่กล้าเรียกตัวเองว่าลูกผู้ชายหรอกโว้ยยย!!!!!
.
.
〝ฉันหน่ะ....รู้ตัวเองดีว่าไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะพูดแบบนั้นกับนายได้ แต่ว่า... ความรู้สึกของฉัน...มันเอ่อล้นจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว.... เพราะงั้น.... ต่อให้ถูกนายมองยังไงฉันก็ ไม่สนแล้ว... เพราะงั้นฉันถึงต้องบอกนายให้ได้... กร... ฉันหน่ะ ชะชะ....ฉันรักนาย———〞
〝เดี๋ยวก่อน!!〞
〝!!!〞
แล้วมีอาก็เริ่มการสารภาพในขณะที่กรกำลังคิดไปเสียแล้ว กรจึงรีบตัดบทของเธอลงก่อนที่มีอาจะทันพูดประโยคสำคัญออกมา
〝เรื่องนั้น ให้ฉันเป็นคนพูดเถอะ〞
〝มะ หมายความว่ายังไง?〞
แล้วพอกรพูดแบบนั้นออกมา ด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน เลยทำให้มีอาที่กำลังตะลึงอยู่แล้วตกตะลึงมากยิ่งขึ้นไปอีก
ใช่แล้ว...ทั้งที่มันเข้าใจง่ายขนาดนี้แท้ๆ
〝ฉัน....รักเธอ〞
〝อะ....〞
〝ใช่...ฉันรักเธอ〞
ต่อหน้าคำสารภาพรักของกร มีอาที่นอนอยู่บนผิวน้ำจึงทำได้แค่ตัวแข็งทื่อด้วยความปิติเท่านั้น น้ำตาของเธอเองก็เอ่อออกมาจากทั้งสองข้างพร้อมๆกันเลยทีเดียว
〝จริงๆฉันหน่ะ รู้ตัวตั้งนานแล้วหล่ะ เพียงแต่....ฉันกลัว〞
ใช่แล้ว! เลิกทำเป็นเก่งได้แล้วอุษณกร!!!!
แกมันก็แค่ไอ้งั่ง ที่เอาแต่หนีหางจุกตูดจากเรื่องยุ่งยากที่ตัวเองไม่ชอบเท่านั้นแหล่ะ!
〝ตัวฉันหน่ะ...กลัวที่จะได้รับพลัง กลัวที่จะมีอำนาจ กลัวที่จะมีพวกพ้อง กลัวที่จะชอบ กลัวที่จะรัก กลัวที่จะถูกรัก กลัวที่จะได้รับของมีค่ามา ......ฉันกลัว ...ว่าถ้าได้รับของพวกนั้นมา แล้วจะสูญเสียมันไป…〞
ใช่แล้ว เหมือนกับตอนที่เสียพ่อแม่ไปนั่นแหล่ะ
เพราะงั้น... ฉันถึงกลัว กลัวที่จะได้รับของมีค่ามาไว้ในมือ แต่รักษามันไว้ไม่ได้จนต้องเสียมันไป เพราะงั้นสู้ไม่มีซะตั้งแต่แรกยังจะดีซะกว่า
〝ที่ทำให้รู้ตัวก็เพราะต่อสู้กับไอ้มังกรนั่น ฉัน....ไม่อยากเสียเธอ ฉันจะปกป้องเธอ ฉัน.....อยากจะอยู่ด้วยกันกับเธอ...〞
มัวแต่งอมืองอเท้าก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน…
〝ฉัน...ตัดสินใจแล้ว ฉันจะไม่หนีอีกแล้ว....〞
เพราะงั้น ตัวฉัน....อุษณกร วัชรวิรุฬร์
ตั้งแต่วันนี้ไปฉันจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ถ้ากลัวที่จะสูญเสีย ก็ต้องปกป้องมันไว้ให้ได้ก็พอ
ตัวฉันแต่ก่อน ไม่สิ...ก่อนหน้า จนถึงที่เจอกับมีอา สนแต่เป้าหมายของตัวเองเท่านั้น เพื่อปกป้องพวกริน ตามหาพี่มารีกับศร ก็ไม่สนใจได้หน้าไหนทั้งนั้น... รวมถึงตัวเองด้วย
ถึงได้พลังมามากมายก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร....อำนาจเหรอ เงินเหรอ หรือว่าเป็นตัวกำหนดความมั่นคงของความปลอดภัย ว่าถ้ามีพลังเยอะไว้ก่อน ก็จะสามารถทำได้ทุกอย่างที่ต้องการ....
ไม่ใช่..ไม่ใช่เลยซักนิด ไม่ว่าอะไรก็ตาม มันต้องอยู่ในภาวะสมดุล... ต้องไม่มากหรือน้อยเกินไป นั่นแหละถึงจะเป็นธรรมชาติ
....มีพลังมหาศาลมาไว้ในมือไม่ใช่เรื่องดี เพราะสิ่งที่ตามมามันมีแต่เรื่องยุ่งยาก ...ตัวฉันที่มี สุดยอดการประมวลผล ตั้งแต่เด็กๆ รู้เรื่องนี้ดีที่สุด
แต่ว่าตอนนี้….
ตัวฉันในตอนนี้....รู้สึกจากใจเลยว่า ดีจริงๆที่ตัวเองมีพลังมากมาย....มากพอที่จะปกป้องสิ่งสำคัญในมือของตัวเองไว้ได้
〝ฉันจะไม่กลัวอีกแล้ว .....ตัดสินใจแล้วว่าจะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งให้ถึงที่สุด รวมถึงตัวเธอเองก็ด้วย....〞
นี่สินะ ....คือน้ำหนักของสิ่งที่ต้องปกป้องแม้ต้องแลกด้วยชีวิต
〝เพราะงั้น ไม่ว่ากี่ครั้งฉันก็จะพูด〞
นี่สินะ ....คือน้ำหนักที่ต้องแบกรับจากความรักที่ได้รับมา
〝มีอา.... ฉันรักเธอ〞
และต่อหน้าคำสารภาพของกร มีอาที่นอนอยู่ทำได้แค่กำมือของกรตอบกลับไปเท่านั้น เพราะตอนนี้เธอปลื้มปิติจนพูดอะไรไม่ออกไปเรียบร้อยแล้ว
〝....ช่วยลุกขึ้นมานั่งซักพักได้รึเปล่า?〞
〝อะ... อื้ม!〞
ทันทีที่กรพูดแบบนั้น กรก็พยุงตัวมีอาขึ้นมาเบาๆเพื่อให้เธอนั่งลงบนพื้นน้ำที่กรทำไว้แล้วได้ จากนั้นก็เรียกดาบเอสต็อคสีดำซึ่งเป็นอาวุธระดับ SSS ที่ดรอปมาจากมังกรห้าหัวออกมาจากความว่างเปล่าก่อนที่เปลี่ยนมันให้เป็นวัตถุที่มีขนาดเล็กเรียว และมีช่องว่างตรงกลาง มีอาเองก็เห็นมันด้วยภาพเบลอเพราะถูกน้ำตาของตัวเองบดบังเช่นกันแต่ก็ยังเข้าใจได้ในทันทีว่านั่นคือ... แหวนนั่นเอง
ในทันทีที่ดาบถูกเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปโดยความสามารถของตัวดาบเองแล้วกรก็ยื่นมือขวาไปทางมือซ้ายของมีอาในทันที มีอาที่กำลังสะอื้นด้วยความดีใจยิ่งกว่าเดิม ก็ตอบสนองกรโดยการยื่นมือซ้ายไปวางบนมือของกรในทันที
แล้วจากนั้นกรก็ไม่รอช้า แล้วทำการสวมแหวนสีดำสนิทอันประดับไว้ด้วยลายวิจิตรงดงามราวกับงานแกะสลักชั้นหนึ่งก็มิปาน เข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายของมีอาในทันที
〝ฉันหน่ะ... ไม่มั่นใจว่าจะเป็นคนที่คู่ควรกับเธอรึเปล่า... แต่ว่าอย่างน้อย———〞
〝พะ... พูด...อะไรแบบนั้นกัน!!! ...ถ้างั้นชั้นเองก็ ฮึก...ไม่คู่ควรกับนายเหมือนกัน!!!〞
ต่อหน้าคำพูดของมีอาที่พูดออกมาแบบั้นทั้งน้ำตา กรก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มตอบอย่างอ่อนโยนด้วยใจจริงเท่านั้น
〝ขอบคุณนะ มีอา.... เพราะงั้นฉันหน่ะ... ถึงจะขี้ขลาดและอ่อนแอ เลยอยากให้เธอมาอยู่เคียงข้างและก้าวเดินไปด้วยกัน..... เพราะงั้น..... ช่วยอยู่ด้วยกันกับฉัน... ตลอดไปได้รึเปล่า?〞
〝!!!!!〞
แล้วมีอาที่ได้ยินแบบนั้นก็ไม่พ้นต้องเบิกตาโพลงออกมาอีกครั้ง แต่หนนี้มีอาได้ใช้มือขวาที่ว่างอยู่เช็ดน้ำตาทั้งสองข้างออกอย่างรวดเร็วเพื่อมองภาพของเด็กหนุ่มที่ตัวเองรักตรงหน้าให้ชัดเจนก่อนที่จะตอบรับคำขอของเขาอย่างจริงจัง
〝ค่ะ! อยู่ด้วยกัน... ตลอดไปเลย!!!〞
แล้วมีอาก็พูดแบบนั้นออกมา พลางน้ำตาไหลออกมาทั้งสองข้างอีกครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้ กรที่เห็นแบบนั้นก็หัวเราะแห้งๆออกมาด้วยความยินดีหลายต่อหลายครั้ง
แล้วพอทั้งสองคน ได้ขจัดพันธะที่เรียกว่าความห่างเหิน ออกไปจากกันจนหมดสิ้นแล้ว ทั้งคู่ก็นั่งมองดวงอาทิตย์และหมู่เมฆบนท้องฟ้าด้วยกัน มีอาขยับเข้ามานั่งพับเพียบข้างๆกรและซบลงไปที่ไหล่ของเขาทั้งอย่างงั้น กรเองก็ตอบสนองมีอาโดยการโอบไหล่เธอกลับเช่นกัน ในขณะเดียวกันก็นั่งหย่อนขาลงไปในน้ำโดยโผล่พ้นน้ำแค่ส่วนลำตัวท่อนบนเท่านั้น บรรยากาศโดยรอบนั้นสว่างสดใส และเจิดจ้าเฉิดฉายมากกว่าทุกครั้งตั้งแต่ที่ทั้งคู่เกิดมาราวกับจะต้องการแสดงความยินดีต่อทั้งสองคนยังไงอย่างงั้น
ตอนนี้ทั้งสองรู้สึกได้จากใจเลยว่าความรู้สึกของตัวเองส่งไปถึงอีกฝ่ายแล้ว รู้สึกได้เลยว่าโลกทั้งใบมีแค่พวกเขาสองคน ในใจมีแต่ความปิติยินดีจากก้นบึ้งหัวใจที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน แล้วบรรยากาศแบบที่ว่าก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกไปแล้วทั้งคู่ก็ยังคงนั่งอยู่บนน้ำแบบนั้นโดยที่ไม่ได้รู้สึกตัวกันเลยทีเดียว....
———ย้อนกลับไป ในเวลาเดียวกับที่กรพบกับมีอาเป็นครั้งแรกที่ชั้น 33 … หลังจากเหตุการณ์ที่กลุ่มของรินและเสือเข้าปะทะกันด้วยวาจาอย่างรุนแรงที่หน้าค่ายพักผ่อนเมื่อหนึ่งสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมีสาเหตุมาจากที่ปาร์ตี้ของฮาวลี่ถูกวาร์ปเข้าไปในดันเจี้ยนอย่างกะทันหันนั่น หลังจากที่ทุกคนรวมถึงกลุ่มของเสือและรินกลับเข้าไปในค่ายแล้ว ฮันซี่ก็ทำการประกาศเหตุฉุกเฉินให้ทหารทุกนายรวมถึงเหล่านักเรียนผู้กล้าทุกคนรีบกลับไปยังเมืองหลวงอย่างเร่งด่วน โดยอ้างว่าช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้เส้นทางกลับอาจมีพายุฝนฟ้าคะนองและลมกรรโชกพัดผ่านอย่างหนัก ซึ่งนั่นอาจทำให้เกิดความล่าช้าและอันตรายที่คาดไม่ถึงได้ ส่วนตัวฮันซี่นั้นไม่สามารถกลับไปพร้อมกันได้ โดยใช้ข้ออ้างอีกอย่างหนึ่งว่าตนเองและเหล่าทหารคนสนิทได้รับคำสั่งจากองค์ราชาให้ไปปฏิบัติภารกิจฉุกเฉิน จึงต้องรอคำสั่งต่อไปที่หมู่บ้านใกล้ๆนี่ ด้วยเหตุที่ว่าจึงร่วมเดินทางกลับกับทุกคนไม่ได้ แม้จะฟังดูเหมือนเป็นคำแก้ตัวน้ำขุ่นๆก็ตาม แต่นักเรียนผู้กล้าทุกคนก็เชื่อฟังเป็นอย่างดีและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดโดยไม่มีบิดพลิ้ว แน่นอนว่าสาเหตุที่แท้จริง
ก๊าซซซซ!!!!!!!! เสียงร้องแหลมๆแสบแก้วหูคล้ายกับของสัตว์เลื้อยคลานเช่นกิ้งก่า ดังขึ้นท่ามกลางความมืดมิดของดันเจี้ยนชั้นที่ 75 ซึ่งมีสภาพแวดล้อมเป็นถ้ำหินแกรนิตสีน้ำตาล ผิวขรุขระไม่สม่ำเสมอกันตลอดแนว ส่วนพื้นเองก็ทำจากวัสดุแบบเดียวกัน แต่ที่แตกต่างก็คือ มันเรียบเนียนตลอดจนสุดสายตาราวกับถูกปูด้วยกระเบื้องอย่างประณีตเลยทีเดียว ซ้ำยังไม่มีรอยต่อให้เห็นราวกับมันเป็นเนื้อเดียวจริงๆอีกต่างหากก๊าซซซซ!!!!!!!! เสียงร้องโหยหวนอันแสดงถึงอาการบาดเจ็บสาหัสของมอนสเตอร์ตัวเมื่อครู่ยังคงร้องลั่นอย่างต่อเนื่องเพราะมันได้เสียแขนขวาไป และที่มาของเสียงร้องนั้นก็คือ『 ครอกโคแมน 』 ซึ่งเป็นมอนสเตอร์รูปร่างจระเข้ผิวสีเขียวขี้ม้าสูงกว่า 2 เมตร มีรอยตะปุ่มตะป่ำอยู่ทั่วร่าง แต่ที่แปลกประหลาดกว่าจระเข้ทั่วไปคือ ครอกโคแมนที่ว่ามันยืนสองขา สวมชุดเกราะหนักอย่างรัดกุมโดยโผล่ส่วนที่เป็นเนื้อหนังให้เห็นแค่บริเวณลำคอและใบหน้าเท่านั้น ทั้งยังถือขวานเหล็กขนาดใหญ่ไว้ด้วยมือทั้งสองข้างอีกต่างหาก เพิ่มเติมคือเจ้าจระเข้เดินสองขาตัวนี้มันสวมหมวกกันกระแทกและแว่นกันลมแบบเดียวกับนักบินของเยอรมันในสงครามโลกครั้ง
หลังจากที่กรและมีอา เข้ามาในห้องบอสของชั้นที่ 75 และพบเข้ากับหญิงสาวซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ปรกาศมาโดยตลอดตั้งแต่ที่กรลงดันเจี้ยนมาเข้า ก็เกิดประหลาดใจที่เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น และเกิดอาการหงุดหงิดอย่างแรงที่คิดไปเองคนเดียวว่า เรื่องที่การคาดการณ์ของตัวเองผิดพลาดนี้จะทำให้ตัวเขาดูโง่ในสายตาของมีอาขึ้นมา นั่นเลยทำให้กรที่ตอนนี้เกิดอาการหงุดหงิดปนตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก บวกกับสาวแว่นจอมเวทย์ที่อ้างว่าตัวเองเป็นบอสประจำชั้นเองที่แสดงความรำคาญออกมา เนื่องด้วยความเบื่อหน่ายที่ไม่ต้องการมารับการทดสอบกรด้วยตัวเอง นั่นเลยทำให้ทั้งคู่สร้างบรรยากาศไร้เสียงขึ้นมาโดยรอบตัวเองเป็นวงกว้าง จนไม่มีใครกล้าเปิดการสนทนาต่อเลยซักคน…〖โอ๊ะ! สายัณห์สวัสดิ์คุณนาย〗〝……….…ไงเคลเบรอส สภาพดูไม่จืดเลยนะนั่นหน่ะ〞 แล้วคนที่เป็นคนเปิดการสนทนาก็คือคนกลางเช่นเคลเบรอสนั่นเอง และดูเหมือนสาวแว่นคนนี้เองก็ตามน้ำไปกับเคลเบรอสด้วยเช่นกัน อาจเป็นเพราะเธอรำคาญจากสภาพแบบนี้หรืออยากจะจบการทดสอบโดยเร็วก็แล้วแต่ แต่เสียงตอบกลับเรียบๆของเธอนั่นก็ทำให้บรรยากาศปั้นหน้ายากของทุกคนหายไปอย่างสิ้นเชิ
———ทางด้านของมีอาและเคลเบรอสที่นั่งดูอยู่บนอัฒจันทร์…〖เหมือนกันจริงๆ〗〝คุณหมา!? หมายถึงอะไรเหรอ?〞 หลังจากที่ผู้ประกาศเข้าโจมตีกรด้วยศรแสงในครั้งแรก แล้วมีอาตะโกนออกไปเพื่อเตือนกรแต่กรไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด มีอาที่นั่งดูการต่อสู้ของกรอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆนี้แสดงอาการกระวนกระวายปนเศร้าใจที่ไม่สามารถช่วยเหลือกรได้มาตลอดตั้งแต่ก่อนการเข้าปะทะ แม้จะไม่ได้ถามเหตุผลแต่เธอก็ยังปล่อยให้กรทำตามใจ เคลเบรอสที่เห็นแบบนั้นก็โผล่หน้าออกมาจากฝัก และพูดสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่ออกมาโดยอาศัยความคิดสงสัยของตัวเองเพื่อดึงความสนใจของมีอาออกมาจากสนามรบเล็กน้อย ก็เพื่อให้เธอผ่อนคลายขึ้นซักนิดก็ยังดี〖ก็… เจ้าหนูกับคุณนายตรงนั้นหน่ะสิ〗〝เอ๋?〞 หลังจากที่ได้ยินเคลเบรอสพูดแบบนั้น มีอาก็เอียงคอสงสัยอย่างน่ารักน่าชังดังเช่นทุกที〝หมายความว่ายังไงเหรอคุณหมา?〞〖นั่นสินะ ข้าเองก็อธิบายไม่เก่งซะด้วย… แต่ทั้งสองคนหน่ะ มีสไตล์การต่อสู้เหมือนๆกัน〗〝เรื่องที่ไม่ประมาทศัตรูงั้นเหรอ?〞〖เรื่องที่กลัวคนอื่นต่างหาก 〗〝เอ๋? ต่างกันงั้นเหรอ?〞 เคลเบรอสที่ได้ยินคำถามกลับมาจากมีอาก็ส่งเสียง อื
〝ต่อจากนี้จะไม่มีการออมมือแล้วนะ…〞〝ฮะฮ่ะ! พูดเหมือนกับว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้กะเอาให้ตายเลยนะ〞 หลังจากที่ผู้ประกาศเปลี่ยนแปลงลักษณะภายนอกไปจากเดิม โดยมีอักขระสีแดงสดปรากฏขึ้นทั่วร่างอย่างสลับซับซ้อน รวมถึงน้ำเสียงที่เรียบเฉยและเย็นชาของเธอเองก็เปลี่ยนไปจากครั้งแรกเช่นกัน นั่นจึงทำให้กรที่ตอบเธอกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติแบบนั้น แต่กลับมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเขาหลายต่อหลายหยดอย่างต่อเนื่องจนถึงขั้นไหลลงไปถึงลำคอ และทำได้แค่หัวเราะแห้งๆกลบเกลื่อนกลับไปเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าตัวเขาค่อนข้างกระวนกระวายกับสถานการณ์ในตอนนี้มากเลยทีเดียวแย่แล้ว! แย่แล้วไหมหล่ะ! ปีศาจงั้นเหรอ?งั้นนี่ก็คือเผ่าที่ พวกนักเรียนผู้กล้าทุกคน ต้องสู้ในอนาคตงั้นสิ? จะบอกว่าซักวันพวกรินจะต้องเผชิญหน้ากับตัวตนแบบนี้งั้นเหรอ?ตัวเราเองยังไม่มั่นใจ 100% เลยว่าจะชนะยัยนี่ได้พวกรินหน่ะไม่ไหวหรอก! ไม่ได้ดูถูกนะ แต่ยังไงก็ไม่ไหวชัวร์ๆ——〝รับมือ!!!〞ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!—————————〝!!!!!!〞 หลังจากการสนทนาพอเป็นพิธีจบลง ผู้ประกาศสาวก็ทำการยิงศรสีดำแดงออกมาจากทางด้านหลังโดยที่ไม่ได้ร่าย
หลังจากที่ทั้งสามคน อันประกอบไปด้วย กร มีอาและผู้ประกาศ ตกลงมาจากห้องบอสชั้นที่ 75 มาจนถึงชั้นที่ 100 ตอนนี้ทั้งสามคนกำลังอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดแบบสุดๆ เพราะกำลังยืนเผชิญหน้ากับบอสประจำชั้นที่ 100 ซ้ำยังเป็นบอสที่แข็งแกร่งที่สุดในดันเจี้ยนแห่งนี้อย่างกะทันหันอีกด้วย ทั้งที่ร่างกายและจิตใจยังไม่ได้พักฟื้นจากศึกเมื่อ 10 นาทีก่อนเลยแท้ๆวูม!!! พื้นที่โดยรอบสว่างขึ้นอย่างกะทันหันด้วยแสงสีน้ำเงินทั่วทั้งห้อง จนสามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมได้ทั้งหมด ห้องบอสในชั้นนี้ มีบริเวณกว้างขวางมากกว่า 5 กิโลเมตร ซึ่งมันคือความกว้างพอๆกับดันเจี้ยนชั้นเดียว กรจึงคาดว่าห้องบอสนี้น่าจะใช้หลักการเดียวกับห้องบอสในชั้นที่ 50 พื้นของห้องถูกปูด้วยอิฐสีน้ำเงินเข้มวางสลับกันเหมือนกำแพงอิฐแดง ทั่วทั้งชั้นมีเสากรีกโรมันสีฟ้าขนาดใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลาง 20 เมตร ตั้งเรียงกันเหมือนตารางหมากรุก โดยเสาทุกต้นที่อยู่ใกล้ทั้งด้านซ้าย ขวา หน้าและหลังจะห่างกันประมาณ 100 เมตร เท่าๆกันทุกเสา เพดานทำจากหินอ่อน และเป็นแหล่งให้แสงสว่างแก่ชั้นนี้ไปในตัว ซึ่งแสงสว่างที่วาก็เป็นสีน้ำเงิน
〝งั้นก็กลับมาคำถามเดิม... เมอร์ลิน ไอ้ยักษ์นั่นมันคืออะไร?〞 หลังจากที่เมอร์ลินเข้ามาเป็นพรรคพวกอย่างเต็มตัวแล้ว ทั้งสามคนจึงนั่งหันหน้าเข้าหากันเป็นสามเหลี่ยม เพื่อที่จะปรึกษาแผนการในการสู้กับบอส และเรื่องที่กรถามเป็นอย่างแรกก็คือคำถามก่อนหน้านี้ที่ถูกเลี่ยงไปนั่นเอง〝หัวแข็งชะมัดเลยนะนายเนี่ย... แต่เอาเถอะ จริงๆก็กะจะบอกอยู่แล้วหน่ะนะ〞แล้วจะเล่นตัวทำมะเขืออะไร! เธอนั่นแหล่ะเฟ้ยที่หัวแข็ง ยังมาว่าคนอื่นอีก!!!〝งั้นก่อนอื่น... พวกเธอรู้จักทศกัณฑ์รึเปล่า?〞〝ขอโทษนะกร แต่ฉันไม่เคยได้ยินเลยหล่ะ〞〝น่าๆ〞 มีอาที่ได้ยินคำถามของกร แต่ไม่เข้าใจว่าคืออะไร เธอจึงเอียงคอสงสัยก่อนที่จะตอบออกไปด้วยน้ำเสียงหงอยๆเล็กน้อย กรจึงลูบหัวเธอไปมาเหมือนทุกที และหันไปถามเมอร์ลินทั้งที่กำลังลูบหัวมีอาอยู่〝แล้วเมอร์ลินหล่ะ? …ไม่สิ เธอต้องรู้อยู่แล้วนี่นะ〞〝ต้องรู้อยู่แล้ว… นายอยากจะถามว่า ทำไมตัวละครในวรรณคดีของประเทศนาย ถึงได้กลายมาเป็นลาสบอส ทั้งที่ปกติจะมีแต่บอสแนวตะวันตกยุคกลาง... ใช่รึเปล่า?〞〝อื้ม! ใช่เลยหล่ะ〞แน่ชัดแล้วหล่ะว่าตัวตนของทศกันฑ์ไม่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป... ถึงจะใช้ความรู
〝อย่างที่วางแผนเอาไว้... พอปลดเวทย์ออกก็เข้าฟอร์เมชั่นเลยนะ〞 หลังจากที่กร มีอา และเมอร์ลินเรียนรู้สกิลและความสามารถของกันและกันจนหมด รวมถึงฝึกความเข้ากันและฟอเมชั่นต่างๆเรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมพร้อมที่จะสู้กับทศกัณฑ์ซึ่งเป็นบอสชั้นสุดท้าย ในทันทีที่ปรับสภาพจิตใจเรียบร้อย กรจึงเป็นคนให้สัญญาณก่อนเริ่มออกมาในทันทีที่ทุกคนพร้อมลุยแล้ว〝อื้ม!〞〝รับทราบ!〞 เมอร์ลินและมีอาตอบกรกลับอย่างแข็งขันในทันที ซึ่งส่วนนึงก็เพื่อปลุกจิตสู้ของตัวเองไปพร้อมกันนั่นแหล่ะ〝5.... 4…. 3….〞ชึบ! ทันทีที่เมอร์ลินเริ่มนับถอยหลัง กรและมีอาก็ตั้งสมาธิจดจ่อกับยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าในทันที〝2…. 1…. ศูนย์!!!!〞วูม! ทันทีที่การนับถอยหลังสิ้นสุดลง สภาพแวดล้อมโดยรอบที่เคยหยุดนิ่งเมื่อเสี้ยววินาทีที่แล้วก็กลับมาเคลื่อนไหวต่อในทันที ทศกัณฑ์ที่อยู่ตรงหน้าทั้งสามคนก็ยังคงเอื้อมมือทั้ง 10 มาทางทั้งสามคนที่อยู่ห่างออกไป 10 เมตรดังเช่นก่อนที่เมอร์ลินจะใช้เวทย์หยุดเวลา และในเสี้ยววินาทีที่สภาพแวดล้อมกลับมาเคลื่อนไหว ทั้งสามคนก็ถีบตัวเองถอยห่างออกไปจากจุดที่เคยอยู่ราวๆ 500 เมตร และทำก
———— 1 สัปดาห์ต่อมา ชั้นที่ 2 ของมหาดันเจี้ยน『หอคอยแห่งปัญญา』 ณ ดันเจี้ยนชั้นพิเศษ ซึ่งถูกสร้างโดยอาเธนต่อจากชั้นที่ 1 อันเป็นชั้นที่เอาไว้หลอกคนทั่วไป ถูกสร้างขึ้นเพื่อการฝึกฝนและเก็บเลเวลโดยเฉพาะ หากแต่ผู้ที่จะใช้มันได้นั้น มีเพียงแค่กลุ่มของผู้ที่ผ่านการทดสอบที่แท้จริงแล้วเท่านั้นถึงจะเข้ามาในนี้ได้ ที่แห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามเขต อันได้แก่ เขตที่พักอาศัย เขตใช้ฝึก『บัญญัติพันประการ』 และสุดท้ายคือเขตที่ใช้สำหรับเก็บเลเวล... หรือก็คือ เขตมอนสเตอร์ทรงภูมิปัญญานั่นเอง ในพื้นที่ของเขตที่สามถูกสร้างให้เป็นพื้นกระเบื้องและเพดานหน้าตัดเรียบส่องแสงสีเขียว (Lime) พื้นที่โดยรอบมีวัตถุโปร่งแสงรูปทรงเรขาคณิต ทั้งสามเลี่ยม สี่เหลี่ยมไปจนถึงรูปทรงหลายเหลี่ยมกระจัดกระจายเต็มไปหมดทำให้ยากแก่การเคลื่อนไหว แต่กลับกันแล้ว มันทำให้ง่ายต่อการดำเนินแผนที่ซับซ้อนและแยบยล และเขตที่สามนี้เอง ที่มีหญิงสาวทั้ง 4 คน อันได้แก่ มีอา ซาช่า เรเชลและริต้า กำลังต่อสู้กับมอนสเตอร์จำนวนเท่ากันอยู่ มอนสเตอร์ทั้งสี่ตัวที่เป็นศัตรู มีหนึ่งตัวที่สวมผ้าคลุมสีดำ มีส่วนหัวเป็น
〝 คุณโรนี่กับราชา... นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย 〞 กรถามออกไปแบบนั้น ในเวลาเดียวกับที่ใช้『รีดดิ้งอายส์』ตรวจสอบบุคคลทั้งสองตรงหน้า แล้วก็ยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่เมื่อพบว่าทั้งคู่เป็นตัวจริง...〝 ทำหน้าแบบนั้นคงจะรู้แล้วสินะว่าพวกข้าเป็นตัวจริง... 〞ราชาพูดแทงใจดำพลางยิ้มออกมา ทำให้กรคิ้วกระตุกเพราะคาดการณ์เรื่องตรงหน้าไม่ทัน ในขณะที่กรคิดแบบนั้น ราชาก็เดินเข้ามาทางกร แล้วก็ใช้เวทย์บางอย่างเปลี่ยนใบหน้าตัวเองเป็นคนอื่น ไม่สิ... เปลี่ยนจากคนอื่นกลับมาเป็นตนเองคนเดิมต่างหาก ซึ่งที่เปลี่ยนไปนั้นมีเพียงโครงหน้าเท่านั้น แต่ความสูงอายุและริ้วรอยนั้นแทบไม่ต่างจากเดิมเลย แล้วก็หันไปสบตากับเมอร์ลินเข้า นั่นทำให้เธอเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ...〝 นายมัน อาเธนงั้นเหรอ!!!? 〞เมอร์ลินที่เห็นใบหน้าจริงของชายชราตรงหน้าก็จำได้ทันทีพร้อมทั้งเรียกชื่อจริงของเขาออกมาอย่างสนิทสนม โดยมีสายตางงงวยจากสาวๆคนอื่น แต่พอรู้ว่าคนน่าสงสัยตรงหน้าเป็นคนรู้จักของเมอร์ลิน การ์ดของพวกเธอก็คลายลงพอสมควร〝 แหมๆ ในที่สุดก็จำได้ซักทีนะแม่คุณ... ข้าหล่ะเจ็บช้ำไม่น้อยเลยนะ ตรงที่เจ้าบ
หลังจากเรื่องเมื่อวานเคลียร์กันจบในตอนเย็น กรได้ทำการเพิ่มฟังก์ชั่นหลบหนีฉุกเฉินใส่บัตรนักผจญภัยของเจนนี่ไว้ก่อนด้วย เผื่อในกรณีที่เกิดอันตรายกับเธอ เธอสามารถใช้มันวาร์ปมาหากรได้ทุกเมื่อ รวมถึงพาคนรู้จักอย่างไมน์กับรีเบคก้ามาด้วยก็ยังได้ จากนั้นพวกกรกับพวกไมน์จึงได้แยกกันกลับที่พักของตัวเอง อนึ่ง เจนนี่ตอนนี้นั้นอยู่สถานะของคนชื่อ『เบลนด้า อัลบา』 รูปลักษณ์ภายนอกที่คนอื่นเห็น เป็นคนผิวสีแทน ใบหน้าปานกลางค่อนไปทางแย่(จากความเห็นส่วนใหญ่ในกลุ่มของกร) แต่นั่นก็เพื่อไม่ให้เธอเป็นจุดเด่น เพราะหากจะว่าไปแล้วเจนนี่ในร่างธรรมดานั้นจัดว่าเป็นคนสวยมากเลยทีเดียว และด้วยการใช้บัตรนักผจญภัยอ้างถึงตัวตน ก็สามารถเข้าพักที่เดียวกับพวกไมน์ได้ แต่เธอเลือกที่จะพักคนละห้องแทนเพื่อไม่ให้เกิดข้อสงสัย (แต่สุดท้ายตอนนอนก็ย้ายมานอนห้องเดียวกันอยู่ดี) ส่วนทางด้านของกร พอกลับไปพวกกรก็รีบทำธุระส่วนตัว แล้วเข้านอนในทันที เพื่อสะสมพลังงานให้เต็มอิ่มก่อนที่จะออกรบในดันเจี้ยน『หอคอยแห่งปัญญา』 และเพื่อความไม่ประมาทช่วงเช้าทั้งหมด กรและพรรคพวกจะใช้เวลาไปกับการตร
〝 ไง ทั้งสองคน 〞 ในขณะที่ทุกคนแสดงสีหน้าตกตะลึงยังกับเห็นผีออกมา เจนนี่ก็เริ่มเป็นฝ่ายทักไมน์และรีเบคก้าก่อนด้วยรอยยิ้มในทันที〝 เจนนี่!!! 〞〝 อุ๊ยตาย!? 〞 ไมน์ที่เห็นแบบนั้นไม่รอช้าที่จะพุ่งเข้าไปสวมกอดเจนนี่อย่างเร็ว นั่นเองก็ทำเจ้าตัวอย่างเจนนี่ตกใจไม่น้อยเหมือนกัน〝 เจนนี่! เจนนี่จริงๆใช่ไหมเนี่ย? ไม่ใช่ผีหรือตัวปลอมใช่ไหม!? 〞ไมน์พูดแล้วก็ลูบๆคลำๆเจนนี่ไปทั่ว ทำเอาร่างเธอสั่นนิดหน่อยเพราะจักกะจี๊เลยทีเดียว〝 ยัยบ๊อง! ก็จับตัวกันได้อยู่ไม่ใช่รึไง? แล้วฉันก็ยังจำได้อยู่เลยนะว่าตรงก้นของรีเบคก้ามีไฝอยู่ด้วยหน่ะ 〞 เจนนี่พูดแบบนั้นออกมา ทำให้รีเบคก้าออกอาการหน้าแดง แล้วก็พุ่งเข้ามาสับกะโหลกเจนนี่เหมือนกับที่ผ่านมา〝 ฮึ่ย! ไอ้นิสัยพูดไม่คิดนี่ตัวจริงชัวร์ 〞รีเบคก้าพูดแล้วก็ใช้กำปั้นหมุนๆใส่ศีรษะของเจนนี่〝 โอ้ยๆ! เจ็บอ่ะรีเบคก้า ออมมือให้หน่อยเซ่! 〞 ทั้งสามคนหยอกล้อกันไปมาแบบนั้น ราวกับต้องการจะซึมซับและฟื้นคืนบรรยากาศที่ถูกทำลายไปให้กลับมาเหมือนเดิม แม้จะยังเคลือบแคลงสงสัย แต่ความอบอุ่นของภาพที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้ทุกคนลืมหลายเรื่องที่คิดอ
หลังจากที่งีบหลับไปประมาณ 3 ชั่วโมง ความเหนื่อยล้าทางจิตใจก็ดูจะลดลงไปบ้างเอาจริงๆ ต่อให้ลุยต่อทั้งอย่างงี้ก็ไหวอยู่หรอก แต่แค่นี้ทุกคนก็เป็นห่วงมากพออยู่แล้ว เพราะงั้นทำตามที่ทุกคนแนะนำเป็นการดีที่สุดทางริต้าเองยังคงหลับอยู่เลยปล่อยให้หลับต่อไปก่อนโดยให้เรเชลดูแลอยู่ข้างๆส่วนทุกคนเองดูเหมือนว่าจะไม่ได้หลับเลยในระหว่างที่ฉันพักแต่ก็ต้องขอบคุณในจุดนั้น เพราะในช่วงที่ฉันไปเจรจากับราชา ฉันต้องการที่จะไปคนเดียว...ก็แหม... ฉันไม่อยากให้ทุกคนเห็นท่าทางแย่ๆเท่าไหร่นี่นา〝 เพราะทุกคนเฝ้าฉันมาตลอดคงจะเหนื่อยแย่ ฉันเลยอยากให้พวกเธอพักรอฉันอยู่ที่นี่หน่ะ 〞พูดแบบนั้นออกไปทุกคนก็ทำหน้าถมึงทึงใส่ และแน่นอนว่าทุกคนทำท่าอยากจะไปด้วยกันหมดเลยใช้เวลาเกลี้ยกล่อมตั้งนานกว่าจะยอม แต่ก็เพราะทุกคนเป็นห่วงเรานั่นแหล่ะนะ น่าดีใจแท้ๆแต่ทุกคนก็ไม่อยากตื้อให้เราจนกังวลเกินไปเหมือนกันเพราะงั้นแค่รับปากว่าจะไม่ฝืนฉันก็ขอตัวมาได้แล้วหล่ะนะแล้วจากนั้นก็วาร์ปมาที่เมืองหลวง ในซอกตึกที่นึงใกล้ๆกับทางเข้าพระราชวังโห... มองดูจากตรงนี้ยังเห็นรูที่เจ้าชายมันทำพังไว้อยู่เลย...เดี๋ยวไม่สิ... เราเป็นคนทำนี่หว่า คง
หลังจากที่การแสดงของฉันดำเนินมาได้ซักพัก จุดจบก็มาถึงโดยที่ฉันเป็นคนจัดการปิดคดีได้อย่างดงามถึงช่วงกลางๆจะโดนคุณโรนี่แย่งซีนก็เถอะ แต่ตอนจบก็กู้หน้าคืนมาได้อ่ะนะ...จากนั้นริออนที่ถูกฉันต่อยจนสลบก็ถูกพวกฟรอนกับคาลอสคุมตัวไปส่วนไอ้ปีศาจนั่นฉันปล่อยให้มันหนีไปเองด้วยเหตุผลทางด้านผลประโยชน์ในอนาคตแต่ทางฝั่งนั้นอาจจะกำลังคิดว่าหนีฉันพ้นอยู่ก็ได้หล่ะนะ... แต่ปล่อยให้คิดแบบนั้นก็ดีเหมือนกันแล้วหลังจากเรื่องจบ ฉันก็ไม่อยู่รอดูสถานการณ์หรอกนะเพราะว่าเป็นห่วงทุกคน ฉันเลยรีบผละตัวออกมาในทันทีที่มีโอกาสก่อนหน้าที่จะออกมาก็มีถูกพระราชานัดพบเป็นการส่วนตัวด้วยอยู่ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ แล้วก็คงคิดจะคุยถึงเรื่องต่อจากนั้นนั่นแหล่ะเป็นไปตามแผนเลย ฉันคิดจะใช้โอกาสนี้ต่อรองกับราชาอยู่แล้ว…แล้วพอวิ่งออกมาถึงจุดนัดพบในซอกตึกรามบ้านช่อง ก็เจอกับทุกคนโชคดีไป... ดูเหมือนทั้งมีอา เมอร์ลิน ชาลอต ซาช่า จะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย โล่งอกไปที...กลับกันแล้วพวกเธอเป็นห่วงฉันสุดๆเลยชาลอตก็เอาแต่บอกว่า〝 นายท่านอย่าเสี่ยงไปคนเดียวแบบนั้นอีกเลยนะคะ! 〞ส่วนซาช่าก็〝 ตอนที่นายท่านกระโดดเข้าไปหาลูกบอลแปลกๆนั่น...
〝 อั๊ก!!! 〞 เจ้าชายออริออน... ริออนกุมมือขวาของตัวเองด้วยความเจ็บปวด เพราะได้รับผลกระทบจากการถูกยิง ต้องบอกว่าโชคดีเท่าไหร่แล้วที่อัญมณีรับความเสียหายแทนไปเกือบหมด ไม่งั้นมือของเขาคงขาดไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ก็เพราะความเจ็บปวดที่แล่นจากมือขวาไปสู่ทั่วทั้งร่างนี่แหล่ะ ทำให้ริออนดึงสติของตัวเองกลับมาได้อีกครั้งวูม!!!!!!———〝 อะ อา.... 〞 ริออนรำพึงอยู่ในลำคออย่างน่าเวทนา ในตอนที่แสงสีแดงจากวงเวทย์สว่างน้อยลงพร้อมๆกับวงเวทย์ขนาดใหญ่ที่ค่อยๆจางหายไปจากท้องฟ้ายามค่ำคืน จนในที่สุดแสงสว่างสีแดงฉานก็อันตรธานหายไปจากท้องฟ้า เช่นเดียวกับวงเวทย์ขนาดมหึมา ทำให้แสงจันทร์ส่องลงมาถึงพื้นดินอีกครั้ง แต่ยังคงมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวเนื่องด้วยความสับสนของชาวเมืองอยู่บ้าง แต่แน่นอนว่าทุกคนปลอดภัยดีแล้ว และไม่มีใครได้รับผลกระทบจนถึงขั้นเสียชีวิตเลยซักคน ความสิ้นหวังเข้าคลุมสติของริออนในพริบตา อย่างที่เขาว่าไว้… เมื่อพริบตาที่ความหวังใกล้จะสัมฤทธิ์ผลถูกทำลายลง นั่นคือความสิ้นหวังอย่างที่สุด... และนั่นก็ทำให้สีหน้าของริออนเปลี่ยนจากสิ้นหวังไปเป็นอาฆาตแค้นแทน แ
〝 น่าตกใจจริงๆ… นี่รู้อยู่แล้วหรอกเหรอว่าข้าเป็นคนร้าย? 〞 เจ้าชายลำดับที่หนึ่ง... เจ้าชายออริออนถามกรออกมาด้วยแววตาและท่าทางหยิ่งยโส พร้อมกับเป็นการยอมรับข้อกล่าวหาไปในตัว ว่าตัวเองคือคนร้ายตัวจริง ในขณะที่มองกรลงมาจากเบื้องบน〝 ก็นะ... เพิ่งจะรู้ตัวเมื่อไม่นานมานี้เองแหล่ะ แสบจริงนะให้ตายสิ... 〞กรพูดออกมาพร้อมกับยิ้มแห้งๆ แล้วก็เดินเข้ามาทางเจ้าชายออริออนมากกว่าเดิม เหล่าสมุนเล็บโลหิตตั้งท่าเตรียมพร้อมโจมตีกันเต็มที่ แต่ยังไม่มีใครกล้าเริ่มโจมตีกรก่อน ทั้งด้วยความกลัวพลังที่ต่อกรกับพวกของตนระหว่างทางได้อย่างง่ายดาย แถมผ่านมาได้อย่างไร้รอยขีดข่วนก็ด้วย แต่ประเด็นสำคัญคือจิตสังหารอันหนักอึ้ง ราวกับถูกน้ำตกซัดสาดนั่นของกรต่างหาก ที่ทำให้พวกเขาไม่กล้าขยับตัว〝 งั้นขอเข้าเรื่องเลยละกัน... 『อุปกรณ์ตัวหลัก』 อยู่ที่ไหน? 〞 กรเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับน้ำเสียงเย็นยะเยือกจนน่ากลัว นั่นทำให้เหล่าเล็บโลหิตจำนวนเกินครึ่งยืนตัวสั่นได้ ไม่สิ... แม้แต่ชายเผ่าปีศาจที่ยืนอยู่ข้างๆเจ้าชายออริออนยังแอบสั่นเลยด้วยซ้ำ มีเพียงโรนี่ที่ใจเย็
หลังจากที่แอบย่องขึ้นมาบนชั้นสอง แล้วมองลอดเข้าไปในห้องที่จับสัมผัสวิญญาณได้พวกเราก็เจอกับเด็กผู้หญิงกำลังนั่งอยู่บนขอบระเบียงเป็นภาพที่น่าแปลก... เพราะเธอคนนั้นโปร่งแสงจนมองทะลุไปถึงท้องฟ้าที่เป็นฉากหลังเลยเนี่ยสิถ้างั้นก็ไม่ต้องสงสัย... เด็กคนนั้นคือวิญญาณที่กำลังตามหาอยู่แน่นอน กรคิดแบบนั้นพลางมองไปยังเด็กสาว ส่วนทางเด็กสาวนั้นกลับหันมามองทางกรในเวลาเดียวกัน〝 เอ่อ... ไม่ต้องหลบหรอกนะคะ คือหนูเห็นตั้งแต่เข้ามาในคฤหาสน์แล้วหล่ะค่ะ 〞เสียงกังวานของเด็กสาวพูดขึ้นมา โดยในน้ำเสียงมีความเอียงอายเล็กน้อย แล้วพอเด็กสาวพูดแบบนั้น กรก็ให้สัญญาณทุกคนเดินตามหลังเขาเข้ามาในห้องทันที〝 เข้าใจหล่ะ โทษทีนะที่บุกรุกเข้ามา 〞เมื่ออีกฝ่ายพูดอย่างสุภาพ ก็เป็นมารยาทเช่นกันที่กรจะตอบกลับไปแบบเดียวกัน〝 ไม่หรอกค่ะ... เอาจริงๆในรอบ 10 ปีมานี้มีคนเข้ามาในคฤหาสน์นับคนได้เลยหล่ะค่ะ มีคนบ้างแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน 〞เด็กสาวยิ้มตอบกรอย่างเป็นมิตร พร้อมกับลอยตัวจากขอบระเบียงมายืนอยู่ด้านหน้าของพวกกร สภาพแบบนั้นทำเอาพวกกรประหลาดใจไม่น้อย เว้นเสียแต่ซาช่าที่กำลังยืนตัวสั่นอยู่〝 นี่เธอเป