———ย้อนกลับไปเล็กน้อย ณ แคมป์พักผ่อนของเหล่านักเรียนผู้กล้าทั้งหลาย…
〝นี่ๆ ทางนั้นล่าอะไรไปบ้างล่ะ!〞
〝ฮะฮ่ะ!!!...ไม่อยากจะโม้ พวกเราล่า『หมีเนตรเพลิงป่า』ได้ตั้ง 10 ตัวเลยนะ!!!〞
〝อะไรกัน...ทางฉันจัดการได้ตั้ง 15 ตัวยังไม่โม้เลยนะเฟ้ย!〞
〝โกหกน่า! สุดยอดไปเลยนี่หว่า〞
ณ บริเวณพื้นที่โล่งกว้างห่างจากตัวป่าประมาณ 100 เมตร พื้นที่ทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยต้นหญ้าเล็กๆ คล้ายกับสนามฟุตบอลไปทั่วทั้งบริเวณที่มองเห็นได้แม้จะอยู่ห่างจากตัวป่ามาขนาดนี้ก็ตาม ได้มีกลุ่มคนจำนวนมาก สวมชุดเกราะเบาและถืออาวุธนานาประเภท ทั้งไม้เท้า ดาบหรือแม้แต่หอกเองก็ด้วย ดูจากใบหน้าและน้ำเสียงแล้ว พวกเขาเหล่านั้นยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มและเด็กสาวอายุ 15-17 เท่านั้นเอง กำลังพูดคุยเป็นเชิงโอ้อวดกันด้วยเสียงดังเซ็งแซ่ ถึงสิ่งที่ตัวเองได้ไปล่ามากับเหล่าพวกพ้องในปาร์ตี้ก่อนหน้า
แล้วหากสังเกตบริเวณโดยรอบดีๆ จะมีเต็นท์ขนาดใหญ่ประมาณ 1 ห้องแถวถูกคลุมด้วยผ้าสีน้ำตาลอยู่ 3 หลังในพื้นที่ดังกล่าวอยู่ด้วย แล้วยังมีซุ้มทรงสูงที่ประกอบขึ้นจากไม้และมุงหลังคาง่ายๆด้วยฟาง อยู่อีก 2 หลังติดกัน แล้วตรงเคาท์เตอร์ด้านหน้ายังมีหม้อขนาดใหญ่วางอยู่ ซึ่งมีไว้เพื่อแจกจ่ายอาหารกลางวันนั่นเอง ลึกเข้าไปอีกยังมีโต๊ะไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ โดยรอบมีคนนั่งอยู่เกือบ 20 คน แล้วคนที่นั่งอยู่หัวมุมในตำแหน่งประธานก็คือตาลุงวัยกลางคน ไว้ผมทรงเปิดหน้าผาก ที่ถึงจะสวมชุดเกราะอยู่ แต่กล้ามเนื้อที่หนาแน่นอยู่ข้างในยังแทบจะล้นออกมา กำลังฟังรายงานการสู้รบกับเหล่ามอนสเตอร์ของเหล่าทหารที่นั่งอยู่ด้วยกันตามลำดับ
〝ข้าพเจ้าพลทหารโดมอน ขอรายงาน! กลุ่มของกระผม ทำการล่าหมูป่า 10 ตัวและ『หมีเนตรเพลิงป่า』ไปทั้งสิ้น 8 ตัว ส่วนรายละเอียดการเข้าปะทะทั้งหมดอยู่ในรายงานนี้ขอรับท่านหัวหน้ากองฮันซี่ 〞
〝อืม! นี่ก็ยอดเยี่ยม สมกับเป็นผู้กล้าจริงๆ..... หนุ่มสาวพวกนี้นี่แข็งแกร่งกันจริงๆแฮะ〞
คนที่กำลังฟังรายงานจากพลทหารนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น『ฮันซี่』นั่นเอง
หลังจากที่ฮันซี่จัดปาร์ตี้ให้ทหารในกองตัวเองเป็นหัวหน้า 1 คนกับลูกทีมเป็นเหล่านักเรียนผู้กล้าอีก 4 คนรวมเป็นหนึ่งปาร์ตี้ แล้วแยกย้ายกันไปฝึกการล่ามอนสเตอร์ในบริเวณใกล้เคียงก็ผ่านมาได้ 2 ชั่วโมงแล้วตามที่ได้กำหนดการณ์เอาไว้ ปาร์ตี้ส่วนใหญ่จึงกลับมากันหมดแล้ว เหล่านักเรียนผู้กล้าที่กลับมาจากการล่าส่วนใหญ่ก็กำลังคุยโวโอ้อวดถึงการปะทะกับมอนสเตอร์ของตนกันใหญ่โดยไม่แสดงอาการเหนื่อยล้าออกมาซักนิดตามประสาวัยรุ่นคึกคะนองทั่วไป ส่วนหัวหน้าปาร์ตี้ที่เป็นพลทหารพอกลับมาถึงจึงต้องรีบไปรายงานหัวหน้ากองฮันซี่ในฐานะที่เป็นคนคุมปาร์ตี้ในทันที
.
.
〝รายงานของกระผมก็มีเพียงเท่านี้ครับผม!!!〞
〝อืม! นี่ก็เป็นรายงานครั้งที่ 112 ..…งั้นก็เหลือแค่ปาร์ตี้ของสิบโทฮาวลี่เท่านั้นสินะ...〞
〝ถูกต้องตามนั้นเลยครับหัวหน้ากอง〞
ทั้งๆที่พลทหารเมื่อครู่เป็นการรายงานผลการต่อสู้ครั้งที่ 100 กว่าๆ แล้วแท้ๆ แต่ฮันซี่ก็ยังคงจำได้ว่าเหลือแต่ปาร์ตี้ของฮาวลี่เป็นปาร์ตี้สุดท้ายที่ยังมาไม่ถึงค่าย รองหัวหน้ากองที่อยู่ข้างๆก็ตอบยืนยันคำถามของฮันซี่กลับไปอย่างคล่องแคล่ว นั่นเลยทำให้เห็นว่าฮันซี่สามารถจำลูกน้องของตัวเองได้ทุกคนซึ่งก็สมกับที่เป็นหัวหน้ากองอัศวิน
〝จะว่าไปนี่ก็เลยเวลาที่นัดหมายไว้มาพอสมควรแล้วนี่นา....ทำไมเจ้าฮาวมันยังมาไม่ถึงอีกล่ะเนี่ย!〞
การดำเนินการทุกอย่างจนถึงตอนนี้เป็นไปอย่างเรียบร้อยและเป็นระบบตามกำหนดการณ์ที่หมายไว้ จะมีก็เพียงแต่ปาร์ตี้ของฮาวลี่เองนั่นแหล่ะที่เลยเวลานัดมาแล้วก็ยังไม่ปรากฏตัวมายังค่ายแห่งนี้ นั่นเลยทำให้ฮันซี่ถามรองหัวหน้ากองอีกครั้ง
〝นั่นสิครับ....เป็นไปได้ว่าคงจะล่าเพลินจนลืมเวลาอย่างเคยกระมั้ง ไม่ก็.....เกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้น…..〞
〝ในป่านั้นไม่มีอะไรน่ากลัวสำหรับเจ้านั่นหรอกน่า ยศสิบโทของหมอนั่นไม่ได้มีไว้ประดับซะหน่อยหนิ...〞
〝นั่นมัน....ก็จริงนะครับ แต่ก็ยังช้าผิดปกติอยู่ดี….〞
จากบทสนทนาของฮันซี่กับรองหัวหน้า ดูเหมือนว่าที่กรมองฮาวลี่เป็นทหารชั้นหนึ่งจะไม่ผิดเพี้ยนไปเลย ความแข็งแกร่งของฮาวลี่นั้นแม้แต่ตอนที่เข้าปะทะมอนสเตอร์และออกคำสั่งในปาร์ตี้ของกรก็เป็นที่ประจักษ์ดีอยู่แล้ว ขนาดฮันซี่ที่เป็นอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรยังยกย่องเขาขนาดนี้ เขาเองก็คงเป็นอัศวินที่แข็งแกร่งอันดับต้นๆของอาณาจักรอาลันแห่งนี้เช่นเดียวกัน แต่ทุกคนก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่าฮาวลี่ที่แข็งแกร่งขนาดนั้นจะเสียชีวิตไปแล้วเพราะโดนกับดักวาร์ปเข้าไปในดันเจี้ยนสุดโหด ทั้งยังเสียชีวิตไปด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวอีกต่างหาก
【อย่ามาทำเป็นเล่นลิ้นนะเฟ้ย!!!!】
【บอกความจริงมาซะ!!!! 】
【เฮ้ยๆ!!! คิดจะเอาแบบนี้งั้นเหรอ!】
แล้วในขณะที่ฮันซี่กำลังคุยกับรองหัวหน้ากองอยู่ ก็ได้มีเสียงเอะอะโวยวายของคนกลุ่มหนึ่งดังขัดจังหวะขึ้นมาจากจุดพักผ่อนที่จัดเตรียมไว้ให้พวกนักเรียนผู้กล้า นั่นเลยทำให้ความสนใจของฮันซี่ถูกเบี่ยงเบนไปทางนั้นอย่างรวดเร็ว
〝เจ้าพวกเด็กๆโวยวายอะไรกันอีกเนี่ย!!!〞
〝งั้นเดี๋ยวผมจะไปตรวจดูให้เองก็แล้วกันครับ...〞
〝ไม่ต้องๆ เดี๋ยวข้าไปดูด้วยตัวเองจะดีกว่า〞
แม้รองหัวหน้ากองจะต้องการลดภาระของหัวหน้าตัวเองลงซักนิดก็ยังดี ก็เลยต้องการไปจัดการเรื่องหยุมหยิมด้วยตัวเอง แต่ฮันซี่ก็ต้องการที่จะรู้จักพวกนักเรียนผู้กล้าให้มากขึ้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แน่นอนว่านั่นก็เพื่อให้การฝึกฝนผู้กล้าทุกคนได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด การเข้าใจสภาพจิตใจและปัญหาของแต่ละคนจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก เมื่อเป็นอย่างที่ว่าไปทั้งฮันซี่และรองหัวหน้ากองจึงได้รีบรุดไปยังที่เกิดเหตุในทันที....
❖❖❖❖❖
〝ทะ ทุกคน... ไปอยู่ไหนกันล่ะเนี่ย!〞
ขณะที่โดยรอบเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยของเหล่าผู้กล้า ก็มีเสียงของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เพิ่งกลับมาจากการล่าเช่นเดียวกันกำลังตะโกนแบบนั้นออกมาด้วยเสียงที่ดูกังวลเล็กน้อยเลยทำให้ผู้คนที่อยู่โดยรอบหัยมามองเธอคนนั้นทันที แต่เสียงตะโกนในตอนแรกก็ไม่ได้ดังอะไรมากนัก จึงไม่เพียงพอให้คนอื่นหันมาสนใจเพราะมันมากนัก เพราะที่ทุกคนสนใจกันนั้นคือต้นเสียงของตัวคนที่ตะโกนนั้นเป็นใครต่างหาก
〝โอ้ว! ริน...พวกเราอยู่ทางนี้!〞
〝กำลังรออยู่เลย! นึกว่าโดนหมีมันงาบไปแล้วซะอีกนา〜〞
〝ใจร้ายอ่ะอลิซ!〞
〝ล้อ-เล่น-น่า〜 คิดเล็กคิดน้อยไปได้น่า เดี๋ยวก็ได้กลายเป็นยายแก่กันพอดี〜〞
〝งือ….〞
แล้วหลังจากนั้นก็มีเสียงของเด็กผู้ชายตอบกลับมา แต่ห่างออกไปเล็กน้อยจากที่เธอกำลังเดินอยู่ นั่นเลยทำให้เธอดีใจจนรีบวิ่งเข้าไปหากลุ่มคนที่เธอเรียกว่า〝ทุกคน〞นั้นอย่างรวดเร็วจนแทบจะหกล้มเลยทีเดียว พอไปถึงแล้วหนึ่งในเพื่อนหญิงกับเธอก็หยอกล้อกันเล็กน้อยตามประสาเพื่อนสนิท
〝เป็นยังไงบ้าง....ได้รับบาดเจ็บรึเปลา?〞
〝ชาญ อ๋อ...ไม่มีเลยซักนิด วางใจได้เลย!〞
〝เห้อ! งั้นเหรอ….ดีแล้วหล่ะ ว่าแต่อลิซ…หัดดูบรรยากาศซะบ้างสิ!〞
〝ง่ะ! ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลยนะ เจ้าไม้แขวนแว่นเอ้ย!〞
〝มะ ไม้แขวนแว่นงั้นเหรอ!〞
แล้วเพื่อนชายอีกคนของเธอที่อยู่ด้วยกันกับอีก 2 คนก็ถามความปลอดภัยของเธอเป็นอันดับแรก จากนั้นก็กล่าวว่าเพื่อนสาวอีกคนพลางขยับแว่นให้ตรงโฟกัสไปพร้อมกัน แต่เพราะคำพูดที่สื่อให้เห็นถึงการคิดเล็กคิดน้อยและตึงเครียดเกินไปนั่น ก็เลยโดนเพื่อนสาวที่ว่าตบมุกกลับเข้าให้
เสียงเด็กผู้หญิงที่ตะโกนในตอนแรกนั้นก็คือรินนั่นเอง เพราะกลับมาจากการล่าเลยทำให้เธออ่อนล้าพอสมควร แม้ส่วนใหญ่จะเป็นที่จิตใจก็ตามที เธอจึงต้องการกลับมาอยู่กับเพื่อนสนิทเพื่อบรรเทาความเครียดจากการต่อสู้แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี โชตที่เห็นรินกำลังหาพวกตนอยู่ด้วยสีหน้าที่กังวลและรีบร้อนจึงตะโกนกลับไปในทันที อลิซเองเพราะเห็นว่ารินดูท่าทางล้าๆเลยอยากให้เธอผ่อนคลายลงตามแบบฉบับของตัวเอง ชาญเองก็ถามเธอด้วยความเป็นห่วงสาเหตุก็เป็นเพราะกรได้ฝากฝังเขาไว้ให้ดูแลทุกคนก่อนแยกย้ายกันไปล่าก็ด้วย
〝จะ จะว่าไป ทุกคนเห็นกรกันรึเปล่า?〞
〝ผมเองก็หามาตลอดจนถึงเมื่อกี้นี่หล่ะ แต่ก็ยังหาตัวไม่เจอเลย...〞
แล้วพอรินมาถึงแต่กลับยังไม่เห็นตัวของคนที่ตัวเองต้องการเจอมากที่สุด ก็เกิดความไม่สบายใจและร้อนรนในอกขึ้นเล็กน้อยจึงรีบถามทุกคนออกไปแบบนั้น ชาญที่ตอบแบบนั้นออกมาจึงทำให้รินยิ่งกังวลมากขึ้นไปอีก
ให้ตายสิ... มัวทำอะไรอยู่กันเนี่ย!?
ผม....ไม่สิ อย่ามาทำให้ทุกคนกังวลกันนักสิ!!!
แล้วชาญก็คิดแบบนั้นอยู่ในใจด้วยความกังวลแบบสุดๆ แม้จะไม่เท่ากับริน แต่ชาญเองก็เป็นห่วงกรมากเช่นกัน แน่นอนว่าโชตกับอลิซเองก็เช่นเดียวกัน
〝ทุกคน นั่นมัน!〞
〝!!!!!!!!!〞
แล้วอลิซก็ตะโกนขึ้นมาขัดจังหวะความคิดของชาญพลางชี้นิ้วไปทางฝั่งนอกแคมป์ นั่นเลยทำให้ทุกคนหันไปตามทิศทางนั้นพร้อมกัน แล้วก็พบร่างของคน 3 คนเดินมาจากทางที่อลิซชี้นั่น คนนึงเป็นผู้ชายร่างเล็กไว้ผมทรงกะลาครอบเดินเข้ามาด้วยท่าทางกล้าๆกลัวๆ อีกคนนึงเป็นเด็กผู้หญิงไว้ผมทรงบ๊อบสั้น เดินเข้ามาด้วยท่าทางพะว้าพะวังคนที่อยู่ข้างหน้าสุดด้วยสีหน้าที่แม้จะดูเยือกเย็นแต่ก็มีเหงื่อตกเล็กน้อย ส่วนคนที่เดินนำหน้าทั้งสองคนอยู่นั่นก็คือเด็กหนุ่มที่ไว้ผมยาวกระเซอะกระเซิงแบบไม่ได้จัดทรง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนที่เดินนำหน้ามานั่นเป็นใคร นั่นเพราะสาเหตุที่ทุกคนกังวลเรื่องที่กรมาช้าสาเหตุกว่าครึ่งก็มาจากเขาคนนี้นี่เอง
แล้วไม่รอช้า ทันทีที่พวกรินเห็นแบบนั้นก็ออกวิ่งไปยังจุดที่พวกนั้นเดินมาอย่างรีบร้อนโดยพร้อมเพรียงกันราวกับนัดกันไว้ จนทั้งสองกลุ่มยืนเผชิญหน้ากันอยู่หน้าค่ายในที่สุด และเพราะทุกคนที่มาถึงต้องการพักเหนื่อยและหาอาหารกลางวันทาน ทุกคนจึงอยู่ในค่ายกันหมด เลยทำให้นอกจากพวกรินที่อยู่หน้าค่ายแล้วไม่มีคนอื่นอยู่อีกเลย
.
.
.
【ทำอย่างที่ตกลงกันไว้หล่ะ...อย่าเล่นตุกติกเป็นอันขาดเชียว】
【ขะ....เข้าใจแล้ว】
ก่อนหน้าที่กลุ่มของเด็กหนุ่มไว้ผมยาวกระเซอะกระเซิงนั่นจะพบเข้ากับกลุ่มของรินเล็กน้อย เด็กหนุ่มนั่นก็กระซิบกับเด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่มนั่นด้วยน้ำเสียงเชิงข่มขู่ นั่นเลยทำให้เธอคนนั้นตอบกลับด้วยเสียงสั่นๆเล็กน้อย
กลุ่มที่เดินเข้ามานี้แน่นอนว่าไม่ใช่ใครอื่น กลุ่มทั้ง 3 คนที่ว่ามานั่นก็คือ เชษฐ์ ลินดาและ『เสือ』นั่นเอง และแน่นอนว่าในกลุ่มไม่มีคนที่ควรอยู่ทั้ง 2 คน นั่นก็คือฮาวลี่ที่เป็นหัวหน้าปาร์ตี้ และกรที่เป็นสมาชิกที่เหลืออีกคน นั่นเลยทำให้พวกรินที่รออยู่หน้าถอดสีลงอย่างเห็นได้ชัด แต่โชตก็ไม่รอช้าที่จะเป็นคนเปิดประเด็นเข้าเรื่องก่อนโดยเร็ว นั่นก็เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเบี่ยงประเด็นได้โดยง่ายนั่นเอง
〝เสือ...หัวหน้าของปาร์ตี้ของนายกับเพื่อนของเรา....กร อยู่ที่ไหน!?〞
〝..............〞
แม้จะถูกโชตถามด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้เสือหวั่นไหวได้แม้แต่น้อย นั่นจึงทำให้เสือคิดคำตอบได้อย่างใจเย็นเลยยังไม่ได้ตอบโชตในทันที
〝นี่! ฉันถามว่า———〞
〝ตอนที่พวกเราล่าหมีอยู่ในป่า…..พวกเราทุกคนถูกกับดักวาร์ปเข้าไปในดันเจี้ยนที่ไม่รู้จัก....〞
แล้วพอโชตเห็นว่าเสือไม่ตอบซักที ก็เลยคิดจะถามซ้ำอีกครั้งในทันที แต่เสือก็ตอบคำถามออกมาขัดจังหวะเสียก่อน แต่คำตอบที่เขาพูดออกมายังอยู่ในเชิงคลุมเครือ แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้พวกรินทุกคนทำสีหน้าตกตะลึงได้มากพอสมควร
〝เรื่องนั้น.....ช่วยเล่าให้ผมฟังอย่างละเอียดหน่อยจะได้ไหม〞
〝……………..〞
แล้วคนที่ใจเย็นที่สุดในกลุ่ม..... ชาญก็พูดโต้ตอบกลับเสือไปแบบนั้นอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้จังหวะการสนทนาเสียไป พลางขยับแว่นจนสะท้อนกับแสงอาทิตย์จนไม่เห็นดวงตาที่อยู่ใต้เลนส์ เพื่อเพิ่มความน่าเกรงขามและเยือกเย็นขึ้นแม้เล็กน้อยก็ยังดี
〝หึ! ก็ไม่มีอะไรมากนักหรอก......พอเราถูกวาร์ปเข้าไปในดันเจี้ยน ไอ้โอตาคุนั่นก็บอกว่าตัวเองสามารถนำทางหลบเลี่ยงมอนสเตอร์ได้ ทั้งปาร์ตี้ก็เลยต้องเชื่อใจให้มันนำทาง จนมาถึงจุดวาร์ป.....〞
〝........แล้วยังไงต่อ?〞
แล้วเสือก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้พวกรินฟังด้วยท่าทีสบายๆไร้ซึ่งความตึงเครียด แต่พอเล่ามาจนถึงจุดๆหนึ่ง เสือก็หยุดเล่าเล็กน้อยก็เพื่อให้จังหวะในการเล่าเรื่องสมเหตุสมผลจนดูฉลาดเฉลียวไม่น้อย
〝.....จุดวาร์ปของจริงก็เป็นกับดักเหมือนกัน....มีมอนสเตอร์ออกมา 5 ตัว มันวิ่งมาทางที่พวกเรายืนอยู่บนวงเวทย์วาร์ป ฮาวลี่ที่เป็นหัวหน้าก็เลยออกไปรับหน้าเพื่อถ่วงเวลา แต่ก็ถูกฆ่าในทันที.....〞
〝!!!!!!!!!!!!!!!〞
แล้วมันก็ได้ผลจริงๆ นั่นเพราะประโยคต่อไปที่ออกมาจากปากของเขา ทำให้พวกรินทุกคนหน้าซีดและเสียวสันหลังวาบได้เลยทีเดียว
〝งะ....งั้น แล้ว.....กร....อยู่ไหน?〞
แต่คนที่ถามแบบนั้นออกมาเป็นคนแรกไม่ใช่ชาญที่ใจเย็นที่สุด แต่กลับเป็นรินที่กำลังทำสีหน้าตกใจและสิ้นหวังที่สุด เสียงที่ถามออกมานั่นทั้งสั่นและไร้เรี่ยวแรง ไม่สิ....ตัวเธอเองตอนนี้ก็กำลังสั่นไปทั้งตัวเช่นกัน
〝ไอ้โอตาคุ.....มันรู้สึกผิดที่ตัวเองทำให้ทุกคนโดนกับดัก......ก็เลยเสียสละตัวเองยังไงหล่ะ!〞
〝!!!!!!!!!!!!!!!〞
และแน่นอนว่าคำตอบสุดท้ายของเสือทำให้ทุกๆคนต้องตกตะลึงและสิ้นหวังไปตามๆกันในทันทีที่ได้ยินแบบนั้น จนถึงตอนนี้ทุกคนก็เอาแต่ทำหน้าสีหน้าราวกับอดกลั้นต่ออะไรบางอย่างอยู่ ราวกับว่าเขื่อนที่อยู่ตรงหางตานั่นจะมีน้ำไหลหลากออกมายังไงอย่างงั้น จะมีก็เพียงแต่เด็กสาวบอบบางคนนึงที่อดกลั้นไม่ไหวแล้วปลดปล่อยมันออกมาในรูปของน้ำตาโดยไม่สนเลยว่าจะมีใครเห็นเธอในสภาพนี้
〝ไม่จริง......โกหก......มัน......ไม่จริง......ใช่ไหม?〞
แล้วน้ำตาของรินก็ไหลอาบแก้มทั้งสองข้างเป็นทางยาว พร้อมกับพูดแบบนั้นด้วยเสียงที่ฟังดูสิ้นหวังอย่างที่สุด เสียงหัวใจก็เต้นรัวราวกับจะหมดสติได้ทุกเมื่อ สติของเธอก็กระเจิดกระเจิงไปหมดจนตอนนี้ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรด้วยซ้ำ แต่เธอก็ยังเดินโซซัดโซเซไปทางลินดาที่ยืนอยู่ข้างหลังเสือทั้งที่ขากำลังสั่นและอ่อนแรงเต็มที พร้อมกับพูดประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตลอด
〝นี่......กรยังอยู่......ในดันเจี้ยน......ใช่ไหม?〞
〝!!!!!!!!!!?〞
แล้วพอเข้าประชิดตัวของลินดา รินก็ผละตัวลงไปที่อ้อมอกของเธอในทันทีพลางใช้มืออันบอบบางนั่นขยำคอเสื้อที่โผล่พ้นออกมาเล็กน้อยจากชุดเกราะเบาของลินดานั่นจนแน่นแต่มือก็ยังคงสั่นระริกอยู่ แล้วก็ถามเธอด้วยน้ำเสียงที่สิ้นหวังอีกครั้งจนดูน่าเวทนาพลางช้อนตานั่นมองเข้ามายังดวงตาของลินดานั่นตรงๆ
〝ฉัน.....ขอโทษ〞
〝!!!!!!!!!!〞
แต่ลินดาที่ถูกสายตานั่นมองก็ส่ายหน้าหนีไปด้านข้างทันทีเพราะรับแรงกดดันไม่ไหว แล้วรินที่ได้ยินแบบนั้นก็ช็อคมากยิ่งขึ้นไปอีก จนขาที่สั่นมาตลอดนั่นอ่อนแรงลงอย่างมากและทรุดลงตรงหน้าของลินดาทั้งอย่างนั้นเลย น้ำตาของเธอเองก็ไหลรินออกมาเรื่อยๆราวกับต้องการจะลืมความเจ็บปวดตรงอกที่เหมือนกับโดนมีดพร้าเชือดเฉือนให้หัวใจเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ตรงอกซ้ายนี้ขาดสะบั้นลง
〝ริน!!!〞
ฟุ๊บ!!!
แล้วรินก็หมดสิ้นหนทางที่จะแบกรับความสิ้นหวังได้ในที่สุด เธอปล่อยตัวเองให้เข้าสู่ภวังค์ด้วยจิตใต้สำนึก ตามคำสั่งอันเด็ดขาดของร่างกายเพื่อรักษาสภาพจิตใจเพราะอาการช็อคจนสลบไปในที่สุด นั่นเลยทำให้ชาญตะโกนเรียกรินที่กำลังเอนตัวลงในท่านั่งแบบนั้น.....
แต่ศีรษะของเธอก็ไม่ได้กระทบพื้นแต่อย่างใด นั่นเพราะลินดาที่อยู่ข้างหน้าของรินนั่งยองลงอย่างรวดเร็วแล้วประคองรินที่หมดสติไปได้อย่างทันท่วงที โชต ชาญและอลิซที่เหลือเองก็ได้แต่ก้มหน้าเพราะสิ้นหวังเช่นกัน แต่ประโยคที่เสือพูดออกมาอย่างจงใจต่อจากนี้ก็แทบจะทำให้พวกเขาเดือดดาลจนบ้าคลั่งได้เลยทีเดียว
〝เหอะ....ไอ้โอตาคุนี่จริงๆเล๊ย ทำให้พวกเราโดนกับดักจนเกือบตายแล้วแท้ๆ ยังจะมาทำให้คนอื่นลำบากใจอีก ใช้ไม่ได้เลยจริ———〞
〝ทนฟังไม่ไหวแล้ว!!!!!!!!!!!!!
เลิกพูดถึงกรแบบนั้นซักที!!!!!!!!!!!!!〞
แล้วอลิซที่ทนฟังมาตลอดก็ฟิวส์ขาดกับคำพูดเชิงดูถูกของเสือในที่สุด นั่นทำให้เธอตะโกนออกมาแบบนั้นทั้งที่หลับตาแน่นและมีน้ำตาอยู่ที่หางตาอีกเสียจนดังลั่นเลยทีเดียว แต่เสือที่ได้ยินแบบนั้นก็ไม่สะทกสะท้านต่อเสียงตะโกนของอลิซแม้แต่น้อย ซ้ำยังพูดดูถูกกรต่อไปอีก ต่างจากลินดากับเชษฐ์ที่พอได้ยินแบบนั้นเข้าไปก็ถึงกับไหล่กระตุกไปเล็กน้อยเพราะรู้สึกผิดอยู่ในใจ...
〝เหอะ....แล้วที่ฉันพูดนี่มันผิดตรงไหน!? ไอ้โอตาคุมันลากพวกเราไปเจอกับดัก จนฮาวลี่ต้องตาย ....มันจะตายไปอีกคนก็สมควรแล้วนี่หว่า!!!〞
ปึ๊ก !!!
แล้วผลตอบแทนที่เสือยังคงพูดดูถูกกรต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้านนั้นก็คือ หมัดของโชตที่ทำการอัดเข้าไปอย่างสุดแรง ตรงเข้าไปที่ใบหน้าด้านซ้ายของเสือ จนมันกระเด็นและล้มลงไปด้านหลังตามแรงปฏิกิริยาเลยทีเดียว
〝แฮ่ก! แฮ่ก! ทนไม่ไหวแล้ว! แกหน่ะ....ไม่ใช่เพราะกรยอมสละตัวเองหรอกเหรอ แกถึงได้มายืนพล่ามอยู่นี่หน่ะ…〞
โชตเองก็ไม่ใช่พวกหัวรุนแรงที่ออกกำลังด้วยการต่อยตีอยู่บ่อยๆแบบเสือ ทั้งยังเพิ่งดึงสติกลับมาได้ พอออกกำลังแบบกะทันหันจึงทำให้เขาเหนื่อยหอบเล็กน้อย
〝หึ! อะไรกันเนี่ย….『คุณชายโชต』นี่ก็หมัดหนักเหมือนกันนี่หว่า ....นึกว่าจะเบาเหมือนผู้หญิงที่ตอมอยู่รอบๆซะอีก〞
แต่ถึงแม้เสือจะโดนโชตต่อยไปอย่างสุดแรง แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดมากแต่อย่างใด เลือดที่ริมฝีปากที่ควรจะออกยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ จะมีก็เพียงแต่รอยช้ำเล็กๆในจุดที่โดนหมัดของโชตเท่านั้น แล้วถึงแม้จะเพิ่งโดนต่อยไปก็ตามแต่กลับยังเหลือแรงไว้ต่อล้อต่อเถียงโชตกลับอีก เห็นได้ชัดเลยว่าเขาผ่านการชกต่อยมามากพอสมควร
〝ไอ้หมอนี่ ! ยังจะ...〞
〝โชต!!!!!〞
〝อึก!〞
โชตที่กำลังเดือดดาลพอได้ยินแบบนั้นเข้า ก็กำลังจะเดินเข้าไปอัดเสือมันอีกครั้ง แต่ก็ถูกชาญตะโกนห้ามขัดจังหวะเสียก่อน
〝อย่าใจร้อนสิโชต....ฉันเองก็โกรธเหมือนกัน แต่สถานการณ์แบบนี้แหล่ะที่เราต้องใจเย็นเข้าไว้〞
〝ทะ โทษที...〞
〝ให้ตายสิ....เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนละกัน ว่าแต่เสือ.....ถึงที่คุณบอกมาว่ากรเป็นคนเสียสละตัวเองก็จริง แต่นั่นก็หมายความว่า......คุณทิ้งกรไว้ในดันเจี้ยน....ไม่สิปล่อยให้เขาตายไม่ใช่รึไงกัน?〞
พอโชตได้สติเรียบร้อยแล้ว ชาญก็ต่อว่าโชตเล็กน้อย ก่อนที่จะตัดเข้าประเด็นสำคัญอย่างรวดเร็ว โดยขณะที่พูดแบบนั้นเขาก็ขยับแว่นอีกครั้งไปพร้อมกันด้วยแววตาที่เฉียบคม เพื่อแสดงให้เห็นถึงเจตนาว่าตัวเขาสงสัยในตัวของเสือนั่นเอง
〝หืม! หมายความว่ายังไง!?〞
แต่เสือเองก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดไม่เข้าใจเจตนาแอบแฝงจากคำพูดของชาญ เพราะงั้นจึงได้ตอบกลับชาญไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆอย่างเยือกเย็น
〝มันดูไม่สมเหตุสมผล.....ถ้ากรเป็นคนเสียสละตัวเองได้นานขนาดที่ถ่วงเวลาให้ทุกคนหนีได้หล่ะก็ ทำไมจะออกมาพร้อมกับนายไม่ได้กันหล่ะ!〞
แล้วชาญก็ตอบเสือกลับไปด้วยแววตาเฉียบคมอีกครั้ง พลางมองตาของเสือตรงๆจนตอนนี้การสนทนาของทั้งสองจะกลายเป็นสงครามประสาทไปเสียแล้ว
〝หืม....ไม่คิดว่าหมอนั่นจะบาดเจ็บจนตามพวกเราออกมาไม่ได้รึไงกัน〞
〝ถึงเป็นแบบนั้น... พวกนายทุกคนก็มีพลัง.....มีสเตตัสมากกว่ากรตั้งหลายสิบเท่าไม่ใช่รึไง แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่ไม่ไปช่วยเขาออกมาพร้อมกันหล่ะ ถ้าเกิดเป็นอย่างที่ว่ามาตอนแรกจริง.....มันก็เหมือนกับใช้กรเป็นเหยื่อล่อเลยไม่ใช่รึไง!?〞
แล้วชาญก็ยังคงไล่จี้ถามเสือต่อไปเรื่อยๆ ทั้งที่มันยังคงนั่งอยู่บนพื้น แต่เสือเองก็ยังไม่ยอมจนมุมทั้งยังหาแก้ต่างของตัวเองออกมาได้เรื่อยๆ
〝แล้วถ้าฉันบอกว่าไอ้โอตาคุนั่นมันยอมตายเพื่อให้พวกเราหนีออกมาหล่ะ?〞
〝ไม่!!!! ไม่มีทาง......กรสัญญากับฉันไว้แล้ว ว่าจะออกตามหาน้องชายด้วยกัน.....กรไม่เคยผิดสัญญากับฉันเลยซักครั้งเดียว!!!!!!!! เขาต้องไม่ทิ้งฉัน...ไม่ทิ้งพวกเราไปแบบนั้นอยู่แล้ว!!!!!!!!!!〞
แต่คนที่ตอบกลับเสือในครั้งนี้กลับเป็นอลิซที่กำลังกำหมัดแน่นทั้งที่น้ำตาทั้งสองข้างยังปริ่มอยู่แทน ทั้งที่ปกติก็เธอจะทำตัวขี้เล่นราวกับเด็กๆ แต่พอรู้ว่าเพื่อน?กำลังตกอยู่ในอันตรายก็กลับเปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจังแบบที่ไม่ค่อยได้เห็น ทั้งยังพูดเป็นเชิงว่ากรจะไม่ทิ้งทุกคนไว้แล้วด่วนตายไปอีกต่างหาก แม้อาจจะฟังดูเหมอนความเชื่อมั่นของเด็กๆ แต่นั่นมันหมายถึงเธอได้เชื่อในตัวกรอย่างบริสุทธิ์ใจนั่นเอง
〝เหอะ! สัญญางั้นเหรอ.....กะอีแค่ของพรรค์นั้น〞
〝หุบปากได้แล้วเสือ.....เลิกหาข้อแก้ตัวได้แล้ว!!!〞
แล้วเสือก็พูดตัดพ้ออลิซในทันทีด้วยความเห็นที่ว่าคำพุดนั้นมันเชื่อถือไม่ได้ แล้วโชตก็ตอบกลับเสือไปทันทีเพื่อที่จะไม่ให้มันแก้ตัวอีกด้วยการตะหวาดใส่อย่างรุนแรง
〝อ้าวๆ...ก็เมื่อกี้บอกให้ฉันพูดความจริงไม่ใช่เหรอ? ถ้าหุบปากแล้วจะพูดยังไงล่ะเนี่ย〞
〝แกนี่!!! …..ยังจะมาถ่วงเวลาอีก อย่ามาทำเป็นเล่นลิ้นนะเฟ้ย!!!〞
〝ชะ ใช่แล้ว บอกความจริงมาซะที!!!〞
〝เฮ้ยๆ!!! คิดจะเอาแบบนี้งั้นเหรอ!〞
〝ทุกคน...ใจเย็นๆก่อน! ถ้าเป็นแบบนี้เดี๋ยวก็เข้าทางมันพอดี!!!〞
แล้วเสือก็พูดจากวนประสาทกับพวกชาญอีกครั้งหนึ่ง นั่นเลยทำให้โชตเริ่มจะหมดความอดทนอีกครั้ง แต่ทั้งที่เป็นแบบนั้นเสือกลับฉีกยิ้มออกมาเล็กน้อยที่มุมปากอย่างหาสาเหตุไม่ได้ แล้วการสนทนาด้วยการเสียดสีก็มีต่อไปอีกเล็กน้อย จนกระทั่ง.....
〝พวกเธอตรงนั้น! โวยวายอะไรกันห๊ะ!!!〞
〝คะ คุณฮันซี่!!!!!〞
แล้วเสียงที่ตะโกนขึ้นมาขัดจังหวะการสนทนาของสองกลุ่มก็คือ เสียงของฮันซี่ที่ตะโกนบอกมาแต่ไกลนั่นเอง นั่นเลยทำให้ทุกคนเงียบในทันทีด้วยนิสัยที่ถูกฝึกและดัดมาจากฮันซี่ตลอด 1 สัปดาห์นั่นเอง
〝เดี๋ยวก่อน...เด็กคนนั้น!!!!!〞
แล้วสิ่งที่ฮันซี่ให้ความสนใจเป็นอย่างแรกเมื่อมาถึงที่เกิดเหตุนั่นก็คือ รินที่กำลังล้มพับอยู่โดยมีลินดาประคองอยู่ด้วยนั่นเอง
〝ไม่ต้องห่วงครับ......ดูเหมือนจะแค่หมดสติไป〞
〝เห้อ! งั้นเองหรอกเหรอ ค่อยยังชั่วหน่อย...〞
แล้วพอรองหัวหน้ากองที่มาด้วยกันตรวจดูอาการของรินเสร็จเรียบร้อย จึงบอกฮันซี่ไปว่าเธอแค่สลบไป นั้นจึงทำให้ฮันซี่คลายความกังวลไปได้หนึ่งเรื่อง แล้วจากนั้นก็หันเหความสนใจมากยังเรื่องหน้าปวดหัวอีกเรื่องที่อยู่ใกล้ๆกัน
〝อ้าว! เธอมัน...เด็กที่อยู่ในปาร์ตี้เดียวกับฮาวลี่ไม่ใช่เหรอ หืม...ที่แก้มนั่น?〞
〝อ๋อ...ไม่มีไรมากหรอกครับ ก็แค่มีเรื่องนิดหน่อย.....〞
แล้วฮันซี่ก็สังเกตเห็นเสือที่นั่งอยู่ที่พื้นนั่น แถมดูเหมือนจะรู้ด้วยว่าเสือเป็นสมาชิกในปาร์ตี้ของฮาวลี่ อาจเป็นไปได้ว่าเขาคนนี้ นอกจากอัศวินในกองของตัวเองแล้ว จะสามารถจำผู้กล้าทุกคนได้อีกด้วย บางทีนี่อาจจะเป็นหนึ่งในสกิลของเขาก็เป็นได้ (แต่ไม่รู้ทำไมถึงชอบลืมเรื่องของกร)
จากนั้นพอสังเกตแผลบนแก้มของเสือที่ยังใหม่ๆอยู่ แล้วก็สภาพแวดล้อมโดยรอบ เลยทำให้พอคาดการณ์ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่บ้าง นั่นเลยทำให้ชาญที่กังวลว่าจะถูกเข้าใจผิดมาตลอด รู้สึกหวั่นๆขึ้นมานิดหน่อย เพราะรู้สึกเหมือนทุกอย่างเป็นไปตามแผนของใครบางคน
บ้าเอ๊ย! จังหวะแย่ชะมัดเลย....
ไอ้แบบนี้มันเหมือนกับพวกเรากำลัง.....รังแกเสือมันอยู่ยังไงอย่างงั้นเลยนี่
〝ขอโทษด้วยครับ....ผมเป็นคนชกเขาเอง〞
〝!!!!!!!!!!〞
แต่ในขณะที่ชาญกำลังกังวลว่าจะแก้ต่างยังไงอยู่นั้น โชตก็ชิงขอโทษฮันซี่ไปก่อนเสียแล้ว นั่นทำให้ฮันซี่ที่กำลังถามสถานการณ์อยู่ ทั้งตกใจและชื่นชมโชตไปพร้อมกัน
〝อืม....น่าชื่นชมนัก ที่กล้ารับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำไป แต่ทว่าคนที่เจ้าควรขอโทษไม่ใช่ข้าแต่เป็นเจ้าหนุ่มคนนี้ต่างหาก....แล้วถึงจะมีเหตุผลอะไร ก็ไม่ควรเป็นฝ่ายเริ่มใช้ความรุนแรงก่อน...เข้าใจไหม〞
〝อึก! เข้าใจแล้วครับ〞
แล้วฮันซี่ก็พูดชื่นชมและสั่งสอนโชตไปแบบนั้นราวกับคุณครูยังไงอย่างงั้น แต่พอบอกให้โชตขอโทษเสือ เขาก็ไหล่กระตุกเล็กน้อย ....โชตเองก็รู้ว่าที่ตัวเองทำมันผิดเหมือนกัน ก็เลยยอมทำตามที่ฮันซี่บอกโดยทำการพยักหน้าลงเล็กน้อยพร้อมกับพูดว่า〝ขอโทษด้วย...ฉันทำเกินไปจริงๆ〞 แล้วพอเสือพยักหน้ากลับเล็กน้อยการจัดการเรื่องปวดหัวของฮันซี่เรื่องที่สองจึงจบลง แต่ฮันซีที่ตัดสินไปแล้วว่าโชตเป็นฝ่ายผิดก็ไม่ได้สงสัยในตัวของเสือเลยแม้แต่น้อย จึงไม่ได้สังเกตเลยว่าพอโชตขอโทษเสร็จ เสือก็ฉีกยิ้มออกมาที่มุมปากเล็กน้อยอีกครั้ง
แล้วจากนั้นเสือก็ทำการเล่าเรื่องที่ปาร์ตี้ของตัวเองเจอมาให้ฮันซี่ฟังเหมือนกับที่เล่าให้พวกรินฟังทุกกระเบียดนิ้วอย่างไม่มีตกหล่น แต่จากที่เล่ามาฮันซี่เองก็ยังคงมีความหวังอยู่เช่นกันว่ากรอาจจะยังมีชีวิตอยู่ เพราะกรที่เป็นตัวล่อมีชีวิตอยู่ตลอดจนกระทั่งพวกเสือวาร์ปออกมาได้นั่นเอง
เสือในตอนแรกก็คิดที่จะบอกว่าเห็นกรตายไปแล้วเช่นกัน แต่ถ้าไม่เห็นศพของฮาวลี่ ความน่าเชื่อถือของข้อมูลก็จะลดน้อยลง เขาจึงให้ข้อมูลกับฮันซี่ในการตามหาศพฮาวลี่มากที่สุดนั่นเอง และเสือเองก็ไม่คิดว่ากรจะรอดชีวิตได้ด้วย จึงไม่ต้องกลัวว่าจะมีหลักฐานชั้นต้นที่ไหนมาเปิดโปงตน หลังจากนั้นพอคุยกันคร่าวๆเสร็จแล้ว ฮันซี่ก็เตรียมแผนการที่จะสร้างทีมค้นหา เพื่อรวบรวมข้อมูลไปยังดันเจี้ยนที่กรอยู่นั่น จากนั้นพอหน่วยพยาบาลมาถึง ก็จับรินที่สลบอยู่นอนเปล แล้วพาเข้าไปในค่าย รวมถึงเสือที่ถูกโชตต่อยก็เดินเข้าไปพร้อมๆกับหน่วยพยาบาล แล้วขณะที่เดินสวนกับชาญ ชาญก็กระซิบถามเชิงสงสัยในตัวเขาอีกครั้งเบาๆ
〝นี่....เรื่องที่เกิดจนถึงตอนนี้เนี่ย วางแผนไว้หมดแล้วงั้นเหรอ?〞
ตั้งแต่ที่เล่าเรื่องของกรให้ทุกคนฟัง..... ทั้งที่ใช้คำพูดยั่วโมโหอย่างจงใจทั้งหมดนั่นก็ด้วย....
นั่นก็คงเพื่อให้พวกเราเดือดดาลจนถึงขั้นลงมือกับตัวเองนั่นแหล่ะ.....
เพราะหากตัวเองกลายเป็นผู้เสียหาย ก็จะเรียกคะแนนความสงสารได้ไม่มากก็น้อย...
ทั้งพอทำให้คุณฮันซี่เห็นว่าเราเป็นคนรังแกเสือ.....คุณฮันซี่ก็จะตีความว่าพวกเราเป็นฝ่ายผิด แล้วเสือเป็นฝ่ายถูกไปโดยปริยาย….
แล้วนั่นก็จะเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือของข้อมูลได้อย่างดีเยี่ยม....
ถ้านี่เป็นการวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วหล่ะก็.....หมอนี่ต้องเป็นตัวอันตรายในอนาคตอันใกล้แน่นอน
〝หืม......พูดเรื่องอะไรกันเนี่ย ไม่เห็นเข้าใจซักนิด〞
และแน่นอนว่าเสือไม่ตอบกลับไปตรงๆว่า〝ใช่แล้ว!〞ทั้งยังตอบกลับชาญไปแบบนั้นเบาๆแล้วยังแสยะยิ้มออกมาอย่างน่าเกลียดอีกต่างหาก นั่นเลยทำให้เรดาห์ตรวจจับความอันตรายต่อเสือของพวกรินเพิ่มระดับการเฝ้าระวังเป็นสูงสุดตั้งแต่ที่เกิดเรื่องในวันนี้ เพื่อไม่ประมาทให้กับเสืออีกเป็นครั้งต่อๆไป.....
❖❖❖❖❖
———ขณะเดียวกัน ย้อนกลับไปในตอนที่กรก็กำลังต่อสู้อยู่กับเคลเบรอส…
ภายในห้องที่มืดสนิทและปิดตายจากโลกภายนอกจนไม่แม้แต่จะเห็นแสงอาทิตย์ลอดเข้ามา ทั้งนี้ก็เป็นเพราะห้องที่ว่ามันอยู่ใต้ดินนั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังพอจะมองเห็นแสงสว่างโดยรอบได้อยู่บ้าง สาเหตุนั่นเป็นเพราะตรงกลางห้องมีลูกแก้วขนาดใหญ่พอๆกับหัวคนตั้งอยู่ ทั้งยังส่องแสงสีฟ้าไปทั่วทั้งห้อง แล้วที่ฉายอยู่ในในลูกแก้วที่ว่าก็คือ ตัวกรที่เพิ่งเปิดประตูห้องบอสเข้ามาแล้วฟังคำอธิบายของผู้ประกาศจนจบไปเมื่อครู่แล้วกำลังจะเข้าปะทะกับเคลเบรอสนั่นเอง
แกร็บๆ!!!
และภายในห้องที่แสนมืดมิดนั่น กลับมีเสียงของที่คล้ายกับมันฝรั่งทอดถูกกัดอยู่ ซึ่งต้นเสียงนั่นก็มาจากคนที่กำลังนั่งดูลูกแก้วอยู่นี้ พลางกินขนมขบเขี้ยวไปด้วย หากดูจากมุมมองของบุคคลที่ 3 แล้วหล่ะก็ มันเหมือนกับคนที่กำลังเล่นเกมจนโต้รุ่ง พลางมีขนบขบเคี้ยวและเครื่องดื่มเติมพลังอยู่รอบกายอย่างครบครันนั่นเอง
〝ไม่ไหวๆ อีแบบนี้ไม่รอดแหงๆเลยหล่ะ!〞
แล้วพอเคี้ยวมันฝรั่งทอดในปากเสร็จและกลืนลงคอเรียบร้อย เสียงที่เอ่ยออกมาจากคนที่ทำตัวเหมือนกับตาแก่โอตาคุนี้ กลับเป็นเสียงของหญิงสาวที่ดูรูปร่างภายนอกแล้วอายุราวๆ 19-21 ปี แต่เสียงยังคงสดใสและกังวาลราวกับวัยรุ่นสาวๆไม่มีผิด แถมแว่นตาที่สวมอยู่ยังเสริมความเป็นผู้ใหญ่ให้มากขึ้นอีกต่างหากแม้จะสะท้อนแสงจากลูกแก้วจนมองเห็นดวงตาไม่ค่อยชัดก็ตาม รวมถึงน้ำเสียงที่พูดแบบนั้นออกมาอย่างหน่ายๆ เลยทำให้พอรู้ว่าที่เธอทำตัวเหมือนกับโอตาคุนั้นคือนิสัยที่แท้จริง
วูม!!!
〖หืม....ดูอยู่ด้วยเหรอครับเนี่ย ก็สนใจเหมือนกันนี่นา.....〗
แล้วพอเสียงที่เหมือนกับซาวน์เอ็ฟเฟ็คในหนังอวกาศที่เกิดขึ้นมากะทันหันหายไป สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาหลังที่นั่งของหญิงสาวก็คือ เด็กชายอายุราวๆ 12 ปี มีผมสีขาวยาวเสียจนแทบจะปรกหน้าทั้งหมด แต่ทั้งตัวกลับมีออร่าสีขาวแบบเดียวกับสีผมของตัวเองจนดูแปลกตา กำลังเริ่มการสนทนากับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงที่ติดตลกเป็นกันเอง และขี้เล่นสมกับที่เป็นเด็กอยู่
〝หืม....ฟรังซ์เองงั้นเหรอ ก็นะ......เห็นว่าเป็นคนที่นายช่วยไว้ไม่ใช่เหรอ แถมยังจุติครั้งแรกได้ทั้งที่ลงดันเจี้ยนเป็นครั้งแรกอีกนี่.....กรณีแบบนี้มันหายากมาก ไม่สิ.....นี่เป็นเคสแรกเลยด้วยซ้ำ〞
ใช่แล้ว คนที่กำลังพูดคุยอยู่กับหญิงสาวที่กำลังกินขนมขบเคี้ยวนี้ก็คือ『ฟรังซ์ ออลเดล』ที่เป็น『ดันเจี้ยนมาสเตอร์』นั่นเอง ส่วนผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่ประกาศกฎการต่อสู้ให้กรรู้นั่นเอง
ก่อนหน้านี้เองที่ฟรังซ์บอกกับเธอว่าเจอคนน่าสนใจในดันเจี้ยน เลยทำให้เธอเฝ้าดูเขาผ่านลูกแก้วมาตลอดตั้งแต่ที่จุติครั้งแรกได้สำเร็จ จนถึงตอนที่กรเข้ามาในห้องของเคลเบรอสเองก็ด้วย
〖ใช่ไหมหล่ะ!〗
〝แต่ดูเหมือนจะรีบ แล้วก็ใจร้อนไปหน่อยนะ ......แต่คงเป็นเพราะเขาไม่รู้เรื่องที่มอนสเตอร์และบอสมอนสเตอร์จะแข็งแกร่งขึ้นตามสเตตัสของผู้ที่เข้าปะทะด้วยนั่นแหล่ะนะ....〞
แต่แม้เธอจะแอบเอาใจช่วยอยู่ในใจ แต่ก็ยังคงใจเย็นและตัดสินความจริงตรงหน้าได้อย่างเยือกเย็นว่ากรคงไม่มีทางรอดจากเคลเบรอสแน่นอน เพราะความแข็งแกร่งที่ต่างชั้นกันเกินไป
〖แล้วคิดว่าเขาคนนี้จะเป็นไงต่องั้นเหรอครับ?〗
และแม้ฟรังซ์จะถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงขี้เล่นเหมือนเคย แต่ก็เอามีประสานไว้ข้างหลังและยืนตัวตรงอย่างเรียบร้อย จนดูเหมาะสมกับชุดขุนนางที่ใส่อยู่อย่างอธิบายไม่ถูก
〝ต้องตายอย่างแน่นอนเลยหล่ะ ไม่มีทางรอดเลยแม้แต่นิดเดียว〞
แกร็บๆ!!!
แล้วพอหญิงสาวได้ยินคำถามของเด็กชายก็แทบจะตอบกลับไปในทันทีด้วยเสียงหน่ายๆเช่นเดิม ก่อนที่จะหยิบมันฝรั่งทอดอีกชิ้นเข้าปากหลังจากพูดแบบนั้นไปแล้ว
〖แหมๆ....ไม่รู้จักมีความฝันซะบ้างเลยนา〗
〝หนวกหูน่า.....ต่อให้พูดยังไง หนุ่มนั่นก็ไม่มีทางรอดแล้วหล่ะ...นั่นไงเห็นไม๊ โดนเคลเบรอสอัดกำแพงจนลงไปกองแล้วหน่ะ จมกองเลือดเลยด้วย....ดูยังไงก็ตายแล้วแหงๆ ดูเหมือนนายจะแพ้พนันซะแล้วนะฟรังซ์〞
แล้วหลังจากที่ทั้งสองคนคุยกันแบบนั้น ในลูกแก้วก็ฉายภาพเหตุการณ์ในตอนที่กรโดนเคลเบรอสอัดเข้ากับกำแพงจนอาวุธของตัวเองแหลกเป็นชิ้นๆ แล้วตัวเขาก็นอนจมกองเลือดอยู่อย่างงั้น พอเห็นภาพแบบนั้น ก็ยิ่งสนับสนุนคำพูดของหญิงสาวเข้าไปใหญ่ กับเคลเบรอสที่กำลังเดินออกไปยังทิศตรงข้ามเองก็ด้วย นั่นยิ่งทำให้ฟรังซ์ทำหน้าเสียดายเล็กน้อยเช่นกัน แต่ทว่า...
〖เดี๋ยวก่อน! นั่นมันอะไรกันครับนั่น!〗
〝!!!〞
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที หลังจากที่หญิงสาวกลับไปกินมันฝรั่งต่อโดยเลิกสนใจกรไปแล้วกับฟรังซ์ที่ทำหน้าเสียดายอย่างสุดซึ้ง ภาพที่ถูกฉายผ่านลูกแก้วต่อมาก็คือ เคลเบรอสที่อยู่ดีๆก็ถูกอัดไปติดกำแพงแทน แล้วพอซูมเข้าไปยังที่ๆเคลเบรอสเคยอยู่ก็พบกับกร ที่มีออร่าสีทองโอบล้อมอยู่นั่นเลยทำให้ทั้งสองคนตกตะลึงแล้วหันมาสนใจกรอีกครั้งอย่างจริงจัง
〖เวทย์นั่น...เวทย์เสริมพลังงั้นเหรอครับ!?〗
〝ก็ไม่เชิง...มันน่าจะเป็นเวทย์สายพิเศษมากกว่า ก็แบบเดียวกับที่นายมียังไงหล่ะ〞
แล้วฟรังซ์ที่เห็นภาพนั้นเข้าแต่ก็ไม่สามารถอธิบายได้จึงได้ถามหญิงสาว เห็นได้ชัดเลยว่าหญิงสาวคนนี้มีความรู้และความชำนาญมากกว่าฟรังซ์ ออลเดลที่เป็นดันเจี้ยนมาสเตอร์เสียอีก
แล้วจากนั้นภาพที่อยู่บนลูกแก้วก็ถูกฉายออกมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ที่กรตัดหางเคลเบรอส ใช้เวทย์น้ำแข็งดับไฟโลกันต์ของเคลเบรอสด้วยการสะบัดมือเพียงครั้งเดียวก็ด้วย ตอนที่กระหน่ำใช้หมัดซัดเข้าไปที่ตัวเคลเบรอสจนอัดติดกำแพงอีกครั้ง แล้วตอนที่หลบสกิลตัดสายลมได้ก็อีก....
〝โกหก.....น่า!〞
แล้วเธอคนนี้ที่ตกตะลึงอยู่ก่อนแล้วเพราะความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุดอย่างกะทันหันของกร ก็ยิ่งตกตะลึงมากขึ้นไปอีก เมื่อถึงฉากที่กรถีบพื้นขึ้นไปจนถึงเพดาน แล้วถีบเพดานลงมาอีก จากนั้นก็ใช้หมัดลุ่นๆอัดเข้าไปที่พื้น การกระทำนั้นแม้แต่เธอเองก็ยังไม่เข้าใจ จึงทำให้เธอกระซิบออกมาเบาๆว่า〝คิดจะทำอะไรกันเนี่ย〞แล้วคำตอบของเธอก็ปรากฏออกมาทันทีที่กรร่ายคาถาของเวทย์แปรธาตุขั้นสูงออกมา
〝ใช้หมัดทำลายพื้น...ทำให้แร่ปรากฏออกมาเพื่อแปรธาตุงั้นเหรอ!〞
〖ไม่เลวเลยนี่นา...ประยุกต์เวทย์เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้เยี่ยมไปเลย〗
〝อืม....ฉันเห็นด้วยในจุดนั้น〞
และแม้จะเข้าใจผลของการกระทำของกรแล้วก็ตาม เธอที่คาดไม่ถึงว่าจะมีคนใช้วิธีนี้สร้างอาวุธในขณะสู้จึงยังคงตะลึงอยู่ แน่นอนว่าฟรังซ์ก็เช่นกัน เธอที่เห็นด้วยจึงตอบกลับไปแบบนั้น
แล้วก็อย่างที่ทราบกัน การต่อสู้ของเคลเบรอสกับกรเป็นไปอย่างดุเดือดเลือดพล่าน จนแม้แต่คนดูอย่างฟรังซ์และหญิงสาวยังต้องกัดฟันและเกร็งนิ้วเท้าเป็นบางจังหวะที่เข้าปะทะกันเลยทีเดียว จนถึงฉากที่กรและเคลเบรอสพุ่งเข้าปะทะกันในครั้งสุดท้ายจนได้ และที่กำลังฉายอยู่ก็คือกรที่พุ่งเข้าไปแล้วโดนกรดหลอมละลายเข้าไปจนแขนขวาขาด หญิงสาวก็เลยพูดตัดพ้อเบาๆว่า〝จบแล้วหล่ะ〞 แต่กรที่คาบดาบไว้ในปากแล้วทำการฟาดฟันเคลเบรอสต่อทั้งอย่างงั้นก็ทำให้หญิงสาวตกตะลึงอีกครั้ง แล้วพอถึงตอนที่อาวุธที่กรสร้างมาแตกสลายลงเพราะพลังเวทย์หมด เธอที่เชียร์กรมาตลอดเลยคิดอยู่ในใจว่า〝น่าเสียดาย...อีกนิดเดียวแท้ๆ〞 แต่กรที่กำหมัดซ้ายที่เหลืออยู่ รวมออร่าสีทองที่เหลือไว้ที่หมัดนั่นแล้วจัดการอัดเข้าไปที่ตัวเคลเบรอสจนมันหมดสภาพก็ทำให้หญิงสาวตกใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
〝ชนะ...งั้นเหรอ!?〞
〖ฟู่! เกือบไปแล้วเชียว....ผมนี่ลุ้นแทบแย่เลยหล่ะ〗
แล้วพอการต่อสู้จบลงร่างของเคลเบรอสในภาพก็จางลงไปเรื่อยๆ ฟรังซ์ที่ลุ้นมาตลอดก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก สีหน้าของหญิงสาวเองก็ยิ้มแย้มออกมาเล็กน้อยทั้งที่พูดประโยคคล้ายๆกับจะเสียดายออกมา
〝ตะ แต่ว่านั่น หมอนั่นล้มลงไปแล้ว.....ตายไปแล้วด้วย〞
〖อะไรนะ!!! ยะ อย่าสิครับ ดูนั่นก่อน〗
〝!!!〞
แล้วพอในลูกแก้วฉายภาพกรที่ล้มลงไปเพราะผลข้างเคียงของฉายา『จิตวิญญานเหล็กกล้า』ปรากฏตรงหน้า เลยทำให้ฟรังซ์ที่กำลังดีใจเมื่อครู่เหมือนถูกขัดจังหวะโดยการถูกถาดโลหะฟาดหน้าดัง ฉาด! ยังไงอย่างงั้น แต่พอสังเกตเห็นว่าตัวกรมีออร่าสีทองห้อมล้อมอีกครั้ง อันเป็นสัญญาณว่า『การจุติครั้งที่ 2』ได้เกิดขึ้นแล้ว นั่นเลยทำให้ฟรังซ์เรียกหญิงสาวให้ดูอีกครั้ง
〝บ้าชัดๆ!!! ผ่านไปได้ยังไม่ถึงวันเลยแท้ๆ กลับทำการจุติได้ถึง 2 ครั้ง....เป็นไปไม่ได้ ยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!!! 〞
แล้วเธอคนนั้นก็ต้องตกใจไปตามระเบียบจนต้องตะโกนออกมาแบบนั้น ทั้งที่ทำตัวสงบเสงี่ยมและหน่ายๆมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้เลยทีเดียว
〖แต่ความจริงก็คือเขาทำได้นะครับ อย่าปฏิเสธเลยครับ〗
〝.....นั่นมัน ก็จริงอยู่หรอก 〞
〖แล้วอีกอย่างหนึ่ง.....〗
แต่ฟรังซ์ที่พูดแบบนั้นออกมาก็เลยทำให้หญิงสาวขยับแว่นเล็กน้อย แล้วก็กลับมาตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะตอบออกไปแบบนั้น แต่ฟรังซ์ก็กลับตอบกลับมาอีกก็เลยทำให้เธอสงสัยเล็กน้อย
〖เขาทำให้อัจฉริยะที่หนึ่งแสนปีจะมีสักครั้งแบบคุณ ตกตะลึงได้ถึง 14 ครั้งติดต่อกันเลยนะครับ〗
〝..................〞
แล้วฟรังซ์ที่พูดกับหญิงสาวเป็นเชิงคำถามที่เข้าใจกันสองคน ก็ทำให้เธอครุ่นคิดอะไรอยู่สักพักหนึ่ง
〝ให้ตายสิ.....ก็ได้! ฉันยอมรับในตัวหมอนี่ก็ได้....เท่านี้ก็พอใจแล้วใช่ไหม!〞
แล้วหญิงสาวก็ตอบแบบนั้นออกมา ด้วยการทำแก้มป่องเล็กน้อย ทั้งที่ดูเป็นผู้ใหญ่แต่ใบหน้าก็ยังคงดูน่ารักสดใสราวกับวัยรุ่น ไม่สิ...ใบหน้าของเธองดงามยิ่งกว่าเด็กสาวคนไหนๆเสียอีก จะบอกว่าที่เธอทำหน้าแดงแล้วทำแก้มป่องไปด้วยนั้นมีดาเมจรุนแรงมากก็ไม่ผิดไปเลย
〖งั้นเหรอครับ! ดีใจจังเลย.... ถ้างั้นผมขอตัวไปจัดการอะไรๆเลยก็แล้วกันนะครับ〗
〝เข้าใจแล้วๆ.....รีบไปซะ ฉันจะได้พักซักที〞
〖แฮะๆ!〗
วูม!!!
แล้วพอหญิงสาวตอบกลับไปเป็นเชิงรำคาญฟรังซ์เล็กน้อย เด็กชายจึงหัวเราะแห้งๆให้ก่อนที่จะวาร์ปหายไปเหมือนกับครั้งแรกที่โผล่มาอย่างกระทันหัน แล้วพอเธอเหลืออยู่ตัวคนเดียวในความมืดมิดอีกครั้ง ก็เลยทำให้เธอครุ่นคิดอะไรอยู่คนเดียวอีกครั้งหนึ่ง
เกิดเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้กับเขาคนนั้นในเวลาไม่ถึงวันเนี่ยนะ......มันจะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้วมั้ง
แต่ว่านี่…….
ถ้านี่เป็นลิขิตของสวรรค์ ให้พวกเรามาพบเจอกับความหวัง ที่เรียกว่า『เด็กหนุ่มคนนี้』
……ที่พวกเราทุกคนรอคอยมาอย่างยาวนานแล้วหล่ะก็…..
.
.
.
.
บางทีเขาคนนี้อาจจะเป็นวีรบุรุษที่เรากำลังตามหาอยู่ก็ได้....
〝เฮ้อ! ให้ตายสิ...มีแต่เรื่องน่ารำคาญเต็มไปหมด ....ฉันหล่ะหน่ายใจจริงๆ〞
แกร็บ!!!
แล้วหญิงสาวก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง พลางพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหน่ายๆเช่นเคย แต่ที่ริมฝีปากกลับยิ้มออกมาเล็กน้อยอย่างอ่อนโยนเข้ากับใบหน้าที่ดูสละสลวยของเธอจนดูมีเสน่ห์ไม่ใช่น้อย ก่อนที่จะหยิบมันฝรั่งทอดชิ้นถัดไปเข้าปาก แล้วก็นั่งมองลูกแก้วที่ส่องแสงสีฟ้าอยู่ตรงหน้าต่อไปอย่างนั้นอยู่พักใหญ่ๆ...
ท่ามกลางความเงียบสงบของดันเจี้ยนอันแสนมืดมิด ที่มีสภาพพื้นที่โดยรอบเป็นถ้ำปิดตายไร้ซึ่งความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์ แต่ก็ยังคงมองเห็นพื้นที่ใกล้เคียงได้อยู่ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะเพดานของถ้ำที่ว่า มีจุดสีฟ้าเข้มและอ่อนตัดกันไปมา จุดสีเหล่านั้นเรียงรายกันไปทั่วอยู่บนนั้นอย่างไร้รูปแบบ แต่ก็ยังคงความงดงามจนยากจะละสายตาได้ กำลังส่องประกายไปทั่วจนคล้ายกับท้องฟ้าจำลองยังไงอย่างงั้นตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! แล้วท่ามกลางความสงัดที่ว่า กลับมีเสียงฝีเท้าของเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นเป็นจังหวะอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่เด็กหนุ่มคนนี้ก็ไม่ได้วิ่งแต่อย่างใด แต่ระยะห่างระหว่างก้าวหนึ่งครั้งที่ได้ยินนั้นกลับกระชั้นชิดเสียเหลือเกิน ราวกับเขาคนนี้กำลังเดินหนีไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อหลบเลี่ยงอะไรบางอย่างอยู่ยังไงอย่างงั้น บนใบหน้าของเด็กหนุ่มนั้นไม่ได้มีความหวาดกลัวเลยซักนิดเดียว จะมีก็แต่สีหน้าลำบากใจกับเหงื่อไหลลงมาจากใบหน้าเพียงสองสามหยดเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ตามเขามาไม่ใช่สิ่งที่เป็นอันตรายต่อชีวิตของเขาตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!
〝——สรุปแล้วก็คือ ...ไม่มีทางออกดันเจี้ยนได้ นอกจากจะใช้เวทย์มิติ ประเภทเซฟพิกัดเท่านั้นสินะ〞〝อื้ม… ใช่แล้วหล่ะ!〞〝แล้วเวทย์มิติที่ว่าเนี่ย หายากรึเปล่า?〞〝อืม..... อย่าว่าแต่เวทย์มิติเลย ปกติแล้ว มนุษย์ที่มีคุณสมบัติในการเป็นจอมเวทย์หน่ะ หายากสุดๆไปเลยด้วยซ้ำ ถึงจะไม่น้อยขนาดนั้นก็เถอะ แต่ใน 1,000 คน ก็มีแค่ประมาณ 150 คนเท่านั้นแหล่ะ เพราะงั้นเวทย์มิติก็เลยหายากกว่านั้นซะอีก.... แต่เพราะงั้นก็เลยมีคนทดลองลงตราเวทย์จุดเซฟที่ว่า ลงไปในหินเวทย์มนต์ ผลก็คือ ทำให้เกิดไอเทมเวทย์มนต์ชนิดใหม่ที่สามารถใช้แทนเวทย์มิติได้ ชื่อของมันก็คือ 『ศิลาเวทย์เคลื่อนย้าย』 แล้วนอกจากจะใช้วาร์ปเข้า-ออกดันเจี้ยนในชั้นต่างๆ ได้ตามใจแล้ว ถ้าเป็นคณะเดินทางที่มีใบอนุญาตก็จะสามารถใช้เดินทางข้ามเมืองได้ด้วยนะ....〞.. หลังจากที่กรยอมรับ『มีอา』เด็กสาวที่เขาช่วยเหลือไว้ได้ด้วยความบังเอิญในครั้งก่อน ให้เดินทางไปด้วยกันได้ โดยแลกกับข้อมูลของมอนสเตอร์และดันเจี้ยนแห่งนี้ ก็ผ่านมาได้ประมาณ 1 ชั่วโมงแล้ว ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา กรได้ถามข้อมูลจากมีอามาโดยตลอด แต่ถึงแบบนั้นเธอก็ไม่ได้แสดงท่า
〝ทาส... งั้นเหรอ?〞เดี๋ยวก่อนสิเฮ้ย!!ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิดหล่ะก็....ความเข้าใจของฉันตามที่เรียนมาในวิชาประวัติศาสตร์... ความหมายของคำๆนี้ก็คงประมาณว่า เป็นพวกคนที่ถูกผู้เป็นนายกดขี่ ข่มเหงอย่างไร้ความเป็นธรรม.... ถูกใช้งานอย่างหนักโดยไม่ให้พักผ่อน แบบเดียวกับสัตว์แรงงาน ทั้งยังไม่ได้รับผลตอบแทน แล้วยังถูกเลือกปฏิบัติราวกับไม่ใช่มนุษย์ เป็นเพียงแค่สิ่งของเพื่อใช้งานจนตายเท่านั้น....ที่โลกนี้ ก็มีของแบบนี้ด้วยงั้นเหรอ?...แต่จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่มาที่โลกนี้ เราก็อยู่แต่ในที่ปลอดภัยกับในปราสาทมาตลอดเลยนี่นา ยกเว้นในดันเจี้ยนบ้าๆนี่หล่ะนะ...แถวเขตชายแดนหรือห่างจากตัวเมืองหลวงก็คงจะมีสินะ ไอ้พวกประมาณว่า พวกเขตสลัม... การค้ามนุษย์หรือการค้าของเถื่อน...แต่เอาเถอะ... ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนหรือที่โลกไหน ก็ต้องมีเรื่องแบบนั้นอยู่แล้ว... ก็ความต้องการของมนุษย์มันไม่มีที่สิ้นสุดนี่นา ความสงบสุขไม่มีทางอยู่คู่กับกิเลสของมนุษย์... ไม่สิ...กับสิ่งมีชีวิตที่มีจิตใจอยู่แล้ว...〝ฮึก...〞〝........〞 หลังจากที่กรรู้ความจริงของ『ตราทาส』จากปากของเคลเบรอส ทำให้เขาครุ่นคิดเล็กน้อย แต่เพราะเสี
——— 1 สัปดาห์ต่อมา ณ ดันเจี้ยนชั้นที่ 49…เจี้ยกๆๆๆ!!!!!!! ท่ามกลางดันเจี้ยนใต้ดินดินอันแสนมืดมิด ไร้ซึ่งแสงสว่างหรือความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์สภาพแวดล้อมโดยทั่วไป มีลักษณะคล้ายถ้ำใต้ดิน มีผิวขรุขระสีน้ำตาลตลอดแนว แต่ที่แตกต่างก็คือ บนเพดานมีจุดแสงมากมายนับไม่ถ้วนกำลังส่องประกายอยู่เป็นจำนวนมาก จนคล้ายกับทางช้างเผือกที่ถูกสลักเสลาอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืนยังไงอย่างงั้น กลับมีเสียงร้องแหลมๆเสียจนระคายหูดังขึ้นมาขัดจังหวะความสงัดของสถานที่อันแสนงดงามนี้ จนไม่ว่าใครก็ต้องคิดว่า เสียงนี้มันช่างขัดกับบรรยากาศซะจริง แน่นอน〝มีอา... จัดการตัวซ้ายก่อน〞〝รับทราบ〞 และในขณะเดียวกัน ก็มีเสียงของเด็กหนุ่มกระซิบแบบนั้นออกมาด้วยเสียงเรียบๆคล้ายกับจะออกคำสั่งกับใครบางคน แล้วเด็กสาวที่มีชื่อว่า มีอา ที่อยู่ข้างๆเด็กหนุ่มก็เป็นคนรับคำสั่งนั้นเอง ก็ตอบสนองคำพูดนั้นของเด็กหนุ่มในทันทีด้วยการถีบพื้นไปข้างหน้า เพื่อไปยังจุดกำเนิดเสียงที่คล้ายกับเสียงคำรามของสัตว์ร้ายนั่น… ....และไม่ต้องสงสัยเลยว่าทั้งคู่เป็นใคร เด็กหนุ่มคนที่ออกคำสั่งเมื่อครู่ก็คือกรนั่นเอง ส่วนเด็กผู้หญิงที่
〝กร.... นะ...นั่นคือ... บอส... งั้นเหรอ?〞 หลังจากที่กรและมีอาเดินลงมาจนถึงชั้นที่ 50 แล้ว สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าของพวกเขาก็คือ บอสมอนสเตอร์รูปแบบมังกรห้าหัว สีดำสนิท กรงเล็บที่อยู่ตรงเท้าทั้ง 4 ก็ยาวกว่า 10 เมตรแลดูแหลมคมเป็นอย่างมาก แม้จะไร้ซึ่งปีกไว้โบยบินแต่ขนาดนั้นกลับสูงใหญ่มากกว่า 10 เมตรทั้งที่ยังไม่โผล่พ้นน้ำออกมาทั้งหมด ต่อหน้าความจริงที่ยากจะเชื่อและน่าหวาดหวั่นตรงหน้า มีอาจึงทำได้แค่ถามกรออกมาด้วยเสียงสั่นๆทั้งที่เธอก็รู้คำตอบอยู่แล้ว〝ถูกต้อง... เตรียมพร้อมซะ! ห้ามประมาทเด็ดขาด... แม้เสี้ยวของเสี้ยววินาทีก็ห้ามผ่อนคลายสภาวะต่อสู้เป็นอันขาด... เข้าใจไหม!〞〝อึ้ก! เข้าใจแล้ว!!!〞 แล้วกรก็ตอบคำถามของเธอในทันที และออกคำสั่งแก่มีอาในทันใดเพื่อให้เธอรีบตั้งรับและห้ามประมาทด้วยเสียงเรียบๆที่แสนเย็นชามากที่สุด แววตาก็ดูดุดันแต่ตาดำกลับมืดสนิทไร้ซึ่งแสงสว่างหรือประกายใดๆ มีอาเองก็เคยเห็นกรอยู่ในสภาวะ『ตัดความรู้สึก』ในตอนสู้มาแล้ว แต่ความเยือกเย็นและแรงกดดันจากตัวกรในตอนนี้แตกต่างกันมาก หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คงเหมือนกับปริมาณน้ำ ที่อยู่ในหนึ่งแก้วก
〝มีอา!!!!!!!!! 〞ชึบ! หลังจากที่มังกรห้าหัว ซึ่งเป็นบอสประจำชั้นที่ 50 ปล่อยการโจมตีด้วยสกิลปริศนาใส่ทั้งกรและมีอาไป ฝ่ายที่ล้มลงไปทั้งยืนกลับเป็นมีอาเพียงคนเดียวเท่านั้น กรจึงตะโกนเรียกเธอด้วยความร้อนรน ทั้งยังเผลอคลายสภาพ『ตัดความรู้สึกสมบูรณ์』ออกโดยไม่รู้ตัวอีกต่างหาก แต่แน่นอนว่ากรไม่ได้ปล่อยให้เธอล้มทั้งยืนจนกระแทกพื้นทั้งอย่างงั้น เพราะในจังหวะแทบจะทันทีที่มีอาเอนตัวลงไป ตัวกรก็เข้าไปรับและประคองเธอขึ้นทั้งที่ยืนอยู่ในทันที〝มีอา!!! เฮ้ยๆ!!! ได้ยินที่ฉันพูดรึเปล่า... เวรเอ้ย!!! ไม่ไหว ไม่ตอบสนองเลยซักนิด... เจ้าหมา!!! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับยัยนี่กันแน่ฟ่ะ!!!!!〞〖..........〗 แล้วพอกรรับตัวมีอาไว้ได้ เขาจึงรีบใช้ฝ่ามือ ตบที่แก้มของเธอเบาๆ เพื่อดูปฏิกิริยาตอบสนอง แต่เธอกลับไม่ขยับเขยื้อนเลยซักนิด เขาจึงถามเคลเบรอสออกมาในทันที เพราะที่อยู่ตรงนี้คงไม่มีใครรู้อีกแล้วนอกจากมันนั้นเอง แต่เคลเบรอสที่ได้ยินคำถามของกรแล้วอย่างชัดเจนก็ไม่ได้ตอบคำถามของเขาในทันทีแต่อย่างใด〝คะ.... คะ คุณ...〞〝มีอา!!!!〞 แล้วกรที่รอคำตอบของเคลเบรอสมาจนถึงเมื่อครู่ ก็ได้ยินเสีย
มืดสนิท.....โดดเดี่ยว..... เพียงลำพัง..... ว่างเปล่าจริงๆแฮะ.......นี่เรา..... ตายอีกแล้ว... งั้นเหรอ? หลังจากที่กรหมดสติไปได้พอสมควร กรก็รู้สึกตัวขึ้นมาได้เล็กน้อย แต่สิ่งที่พบกลับมีแต่ความมืดมิดในทัศนวิสัยของเขา และเพราะความรู้สึกที่กรกำลังเผชิญอยู่นี้มันเหมือนกับที่กรเคยสัมผัสมาแล้วเมื่อครั้งที่กรตายไปสองครั้งก่อนหน้าไม่มีผิด กรจึงคิดเป็นอย่างแรกเลยว่าตัวเองได้ตายไปแล้ว〝——อย่า....〞!!!! แล้วหลังจากนั้น กรก็ได้ยินเสียงของใครบางคน ดังแว่วเข้ามาในสติอันเรือนรางเสียง? ผู้หญิงงั้นเหรอ? ....เสียงนี่ ....เป็นของ ....ใครกัน? แต่ถึงแม้กรจะได้ยินเสียงนั้นราวกับถูกกระซิบอยู่ข้างหู ความคิดของกรก็ยังคงเลือนลางและอ่อนล้าเต็มทีเช่นเดิม〝——คนเดียว....〞ไม่... เข้าใจ แต่ว่า...เป็นเสียงที่คุ้นเคยจริงๆ..... ทั้งยัง ให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาดอีก.....〝....ทิ้งฉัน——〞ทิ้ง... งั้นเหรอ?ก็บอกแล้วไง.... ว่าไม่เข้าใจ......〝——อย่าทิ้งฉัน.... ไว้คนเดียว...〞!!!!เสียง... นี่มัน.....〝อย่าตายนะกร!!! ได้โปรด! อย่าทิ้งฉันไว้คนเดียว!!!!!!〞!!!!!!!!!!
【ไอ้หนู เจ้าเชื่อในเรื่องของโชคชะตาหรือชะตากรรมบ้างหรือเปล่า?】……………อะไรอีกหล่ะเนี่ย? ภาพหลอนก่อนตายอีกแล้วงั้นเหรอ? ไม่สิ... นี่มันมีแต่เสียงไม่ใช่เหรอ แต่เดี๋ยว.... ประเด็นมันอยู่ตรงนั้นซะที่ไหนกันเล่า!! ในขณะที่สติของกรกำลังดำดิ่งลงสู่หลุมลึกไร้ก้นบึ้งเพราะผ่านความตายมาแล้วอยู่นั้น กลับมีชายวัยกลางคนเอ่ยถามกรขึ้นมาในสถานการณ์แปลกๆนี่ ด้วยคำถามที่ไม่เข้าใจถึงจุดประสงค์ กรจึงทำได้แค่มึนงงกับมันเท่านั้นเอง【เชื่อหรือเปล่า? 】ถามซ้ำอีกแล้ว! ที่ไม่ตอบไม่ใช่เพราะไม่ได้ยินเฟ้ย! แต่เพราะตกใจอยู่ต่างหาก…...ว่าแต่ นี่เรากำลังจะตาย.... หรือคงตายไปแล้วด้วยซ้ำ ไม่ใช่รึไง?เรานี่ก็ยังมีอารมณ์มาตบมุขอีกนะ น่าโมโหกับตัวเองจริงๆ นี่หรือว่าจะชินกับความตายเข้าให้แล้ว.... หวา〜 ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็น่ากลัวพิลึกเลยนี่หว่า【เชื่อ-รึ-ป่าว〜? 】เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว ตอบก็ได้!!! หยุดลากเสียงแบบนั้นทีเถอะได้โปรด...เอ่อ....ถ้าตอบตรงๆหล่ะก็.... ฉันไม่เชื่อเรื่องพวกนี้เท่าไหร่หน่ะ【โอ้! งั้นหรอกเหรอ ทำไมหล่ะ?】....ผลลัพธ์จากเหตุการณ์ต่างๆ เป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำที่ตัวเราเป็นคนก่อ ซึ่งมีเหตุมี
———— 1 สัปดาห์ต่อมา ชั้นที่ 2 ของมหาดันเจี้ยน『หอคอยแห่งปัญญา』 ณ ดันเจี้ยนชั้นพิเศษ ซึ่งถูกสร้างโดยอาเธนต่อจากชั้นที่ 1 อันเป็นชั้นที่เอาไว้หลอกคนทั่วไป ถูกสร้างขึ้นเพื่อการฝึกฝนและเก็บเลเวลโดยเฉพาะ หากแต่ผู้ที่จะใช้มันได้นั้น มีเพียงแค่กลุ่มของผู้ที่ผ่านการทดสอบที่แท้จริงแล้วเท่านั้นถึงจะเข้ามาในนี้ได้ ที่แห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามเขต อันได้แก่ เขตที่พักอาศัย เขตใช้ฝึก『บัญญัติพันประการ』 และสุดท้ายคือเขตที่ใช้สำหรับเก็บเลเวล... หรือก็คือ เขตมอนสเตอร์ทรงภูมิปัญญานั่นเอง ในพื้นที่ของเขตที่สามถูกสร้างให้เป็นพื้นกระเบื้องและเพดานหน้าตัดเรียบส่องแสงสีเขียว (Lime) พื้นที่โดยรอบมีวัตถุโปร่งแสงรูปทรงเรขาคณิต ทั้งสามเลี่ยม สี่เหลี่ยมไปจนถึงรูปทรงหลายเหลี่ยมกระจัดกระจายเต็มไปหมดทำให้ยากแก่การเคลื่อนไหว แต่กลับกันแล้ว มันทำให้ง่ายต่อการดำเนินแผนที่ซับซ้อนและแยบยล และเขตที่สามนี้เอง ที่มีหญิงสาวทั้ง 4 คน อันได้แก่ มีอา ซาช่า เรเชลและริต้า กำลังต่อสู้กับมอนสเตอร์จำนวนเท่ากันอยู่ มอนสเตอร์ทั้งสี่ตัวที่เป็นศัตรู มีหนึ่งตัวที่สวมผ้าคลุมสีดำ มีส่วนหัวเป็น
〝 คุณโรนี่กับราชา... นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย 〞 กรถามออกไปแบบนั้น ในเวลาเดียวกับที่ใช้『รีดดิ้งอายส์』ตรวจสอบบุคคลทั้งสองตรงหน้า แล้วก็ยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่เมื่อพบว่าทั้งคู่เป็นตัวจริง...〝 ทำหน้าแบบนั้นคงจะรู้แล้วสินะว่าพวกข้าเป็นตัวจริง... 〞ราชาพูดแทงใจดำพลางยิ้มออกมา ทำให้กรคิ้วกระตุกเพราะคาดการณ์เรื่องตรงหน้าไม่ทัน ในขณะที่กรคิดแบบนั้น ราชาก็เดินเข้ามาทางกร แล้วก็ใช้เวทย์บางอย่างเปลี่ยนใบหน้าตัวเองเป็นคนอื่น ไม่สิ... เปลี่ยนจากคนอื่นกลับมาเป็นตนเองคนเดิมต่างหาก ซึ่งที่เปลี่ยนไปนั้นมีเพียงโครงหน้าเท่านั้น แต่ความสูงอายุและริ้วรอยนั้นแทบไม่ต่างจากเดิมเลย แล้วก็หันไปสบตากับเมอร์ลินเข้า นั่นทำให้เธอเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ...〝 นายมัน อาเธนงั้นเหรอ!!!? 〞เมอร์ลินที่เห็นใบหน้าจริงของชายชราตรงหน้าก็จำได้ทันทีพร้อมทั้งเรียกชื่อจริงของเขาออกมาอย่างสนิทสนม โดยมีสายตางงงวยจากสาวๆคนอื่น แต่พอรู้ว่าคนน่าสงสัยตรงหน้าเป็นคนรู้จักของเมอร์ลิน การ์ดของพวกเธอก็คลายลงพอสมควร〝 แหมๆ ในที่สุดก็จำได้ซักทีนะแม่คุณ... ข้าหล่ะเจ็บช้ำไม่น้อยเลยนะ ตรงที่เจ้าบ
หลังจากเรื่องเมื่อวานเคลียร์กันจบในตอนเย็น กรได้ทำการเพิ่มฟังก์ชั่นหลบหนีฉุกเฉินใส่บัตรนักผจญภัยของเจนนี่ไว้ก่อนด้วย เผื่อในกรณีที่เกิดอันตรายกับเธอ เธอสามารถใช้มันวาร์ปมาหากรได้ทุกเมื่อ รวมถึงพาคนรู้จักอย่างไมน์กับรีเบคก้ามาด้วยก็ยังได้ จากนั้นพวกกรกับพวกไมน์จึงได้แยกกันกลับที่พักของตัวเอง อนึ่ง เจนนี่ตอนนี้นั้นอยู่สถานะของคนชื่อ『เบลนด้า อัลบา』 รูปลักษณ์ภายนอกที่คนอื่นเห็น เป็นคนผิวสีแทน ใบหน้าปานกลางค่อนไปทางแย่(จากความเห็นส่วนใหญ่ในกลุ่มของกร) แต่นั่นก็เพื่อไม่ให้เธอเป็นจุดเด่น เพราะหากจะว่าไปแล้วเจนนี่ในร่างธรรมดานั้นจัดว่าเป็นคนสวยมากเลยทีเดียว และด้วยการใช้บัตรนักผจญภัยอ้างถึงตัวตน ก็สามารถเข้าพักที่เดียวกับพวกไมน์ได้ แต่เธอเลือกที่จะพักคนละห้องแทนเพื่อไม่ให้เกิดข้อสงสัย (แต่สุดท้ายตอนนอนก็ย้ายมานอนห้องเดียวกันอยู่ดี) ส่วนทางด้านของกร พอกลับไปพวกกรก็รีบทำธุระส่วนตัว แล้วเข้านอนในทันที เพื่อสะสมพลังงานให้เต็มอิ่มก่อนที่จะออกรบในดันเจี้ยน『หอคอยแห่งปัญญา』 และเพื่อความไม่ประมาทช่วงเช้าทั้งหมด กรและพรรคพวกจะใช้เวลาไปกับการตร
〝 ไง ทั้งสองคน 〞 ในขณะที่ทุกคนแสดงสีหน้าตกตะลึงยังกับเห็นผีออกมา เจนนี่ก็เริ่มเป็นฝ่ายทักไมน์และรีเบคก้าก่อนด้วยรอยยิ้มในทันที〝 เจนนี่!!! 〞〝 อุ๊ยตาย!? 〞 ไมน์ที่เห็นแบบนั้นไม่รอช้าที่จะพุ่งเข้าไปสวมกอดเจนนี่อย่างเร็ว นั่นเองก็ทำเจ้าตัวอย่างเจนนี่ตกใจไม่น้อยเหมือนกัน〝 เจนนี่! เจนนี่จริงๆใช่ไหมเนี่ย? ไม่ใช่ผีหรือตัวปลอมใช่ไหม!? 〞ไมน์พูดแล้วก็ลูบๆคลำๆเจนนี่ไปทั่ว ทำเอาร่างเธอสั่นนิดหน่อยเพราะจักกะจี๊เลยทีเดียว〝 ยัยบ๊อง! ก็จับตัวกันได้อยู่ไม่ใช่รึไง? แล้วฉันก็ยังจำได้อยู่เลยนะว่าตรงก้นของรีเบคก้ามีไฝอยู่ด้วยหน่ะ 〞 เจนนี่พูดแบบนั้นออกมา ทำให้รีเบคก้าออกอาการหน้าแดง แล้วก็พุ่งเข้ามาสับกะโหลกเจนนี่เหมือนกับที่ผ่านมา〝 ฮึ่ย! ไอ้นิสัยพูดไม่คิดนี่ตัวจริงชัวร์ 〞รีเบคก้าพูดแล้วก็ใช้กำปั้นหมุนๆใส่ศีรษะของเจนนี่〝 โอ้ยๆ! เจ็บอ่ะรีเบคก้า ออมมือให้หน่อยเซ่! 〞 ทั้งสามคนหยอกล้อกันไปมาแบบนั้น ราวกับต้องการจะซึมซับและฟื้นคืนบรรยากาศที่ถูกทำลายไปให้กลับมาเหมือนเดิม แม้จะยังเคลือบแคลงสงสัย แต่ความอบอุ่นของภาพที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้ทุกคนลืมหลายเรื่องที่คิดอ
หลังจากที่งีบหลับไปประมาณ 3 ชั่วโมง ความเหนื่อยล้าทางจิตใจก็ดูจะลดลงไปบ้างเอาจริงๆ ต่อให้ลุยต่อทั้งอย่างงี้ก็ไหวอยู่หรอก แต่แค่นี้ทุกคนก็เป็นห่วงมากพออยู่แล้ว เพราะงั้นทำตามที่ทุกคนแนะนำเป็นการดีที่สุดทางริต้าเองยังคงหลับอยู่เลยปล่อยให้หลับต่อไปก่อนโดยให้เรเชลดูแลอยู่ข้างๆส่วนทุกคนเองดูเหมือนว่าจะไม่ได้หลับเลยในระหว่างที่ฉันพักแต่ก็ต้องขอบคุณในจุดนั้น เพราะในช่วงที่ฉันไปเจรจากับราชา ฉันต้องการที่จะไปคนเดียว...ก็แหม... ฉันไม่อยากให้ทุกคนเห็นท่าทางแย่ๆเท่าไหร่นี่นา〝 เพราะทุกคนเฝ้าฉันมาตลอดคงจะเหนื่อยแย่ ฉันเลยอยากให้พวกเธอพักรอฉันอยู่ที่นี่หน่ะ 〞พูดแบบนั้นออกไปทุกคนก็ทำหน้าถมึงทึงใส่ และแน่นอนว่าทุกคนทำท่าอยากจะไปด้วยกันหมดเลยใช้เวลาเกลี้ยกล่อมตั้งนานกว่าจะยอม แต่ก็เพราะทุกคนเป็นห่วงเรานั่นแหล่ะนะ น่าดีใจแท้ๆแต่ทุกคนก็ไม่อยากตื้อให้เราจนกังวลเกินไปเหมือนกันเพราะงั้นแค่รับปากว่าจะไม่ฝืนฉันก็ขอตัวมาได้แล้วหล่ะนะแล้วจากนั้นก็วาร์ปมาที่เมืองหลวง ในซอกตึกที่นึงใกล้ๆกับทางเข้าพระราชวังโห... มองดูจากตรงนี้ยังเห็นรูที่เจ้าชายมันทำพังไว้อยู่เลย...เดี๋ยวไม่สิ... เราเป็นคนทำนี่หว่า คง
หลังจากที่การแสดงของฉันดำเนินมาได้ซักพัก จุดจบก็มาถึงโดยที่ฉันเป็นคนจัดการปิดคดีได้อย่างดงามถึงช่วงกลางๆจะโดนคุณโรนี่แย่งซีนก็เถอะ แต่ตอนจบก็กู้หน้าคืนมาได้อ่ะนะ...จากนั้นริออนที่ถูกฉันต่อยจนสลบก็ถูกพวกฟรอนกับคาลอสคุมตัวไปส่วนไอ้ปีศาจนั่นฉันปล่อยให้มันหนีไปเองด้วยเหตุผลทางด้านผลประโยชน์ในอนาคตแต่ทางฝั่งนั้นอาจจะกำลังคิดว่าหนีฉันพ้นอยู่ก็ได้หล่ะนะ... แต่ปล่อยให้คิดแบบนั้นก็ดีเหมือนกันแล้วหลังจากเรื่องจบ ฉันก็ไม่อยู่รอดูสถานการณ์หรอกนะเพราะว่าเป็นห่วงทุกคน ฉันเลยรีบผละตัวออกมาในทันทีที่มีโอกาสก่อนหน้าที่จะออกมาก็มีถูกพระราชานัดพบเป็นการส่วนตัวด้วยอยู่ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ แล้วก็คงคิดจะคุยถึงเรื่องต่อจากนั้นนั่นแหล่ะเป็นไปตามแผนเลย ฉันคิดจะใช้โอกาสนี้ต่อรองกับราชาอยู่แล้ว…แล้วพอวิ่งออกมาถึงจุดนัดพบในซอกตึกรามบ้านช่อง ก็เจอกับทุกคนโชคดีไป... ดูเหมือนทั้งมีอา เมอร์ลิน ชาลอต ซาช่า จะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย โล่งอกไปที...กลับกันแล้วพวกเธอเป็นห่วงฉันสุดๆเลยชาลอตก็เอาแต่บอกว่า〝 นายท่านอย่าเสี่ยงไปคนเดียวแบบนั้นอีกเลยนะคะ! 〞ส่วนซาช่าก็〝 ตอนที่นายท่านกระโดดเข้าไปหาลูกบอลแปลกๆนั่น...
〝 อั๊ก!!! 〞 เจ้าชายออริออน... ริออนกุมมือขวาของตัวเองด้วยความเจ็บปวด เพราะได้รับผลกระทบจากการถูกยิง ต้องบอกว่าโชคดีเท่าไหร่แล้วที่อัญมณีรับความเสียหายแทนไปเกือบหมด ไม่งั้นมือของเขาคงขาดไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ก็เพราะความเจ็บปวดที่แล่นจากมือขวาไปสู่ทั่วทั้งร่างนี่แหล่ะ ทำให้ริออนดึงสติของตัวเองกลับมาได้อีกครั้งวูม!!!!!!———〝 อะ อา.... 〞 ริออนรำพึงอยู่ในลำคออย่างน่าเวทนา ในตอนที่แสงสีแดงจากวงเวทย์สว่างน้อยลงพร้อมๆกับวงเวทย์ขนาดใหญ่ที่ค่อยๆจางหายไปจากท้องฟ้ายามค่ำคืน จนในที่สุดแสงสว่างสีแดงฉานก็อันตรธานหายไปจากท้องฟ้า เช่นเดียวกับวงเวทย์ขนาดมหึมา ทำให้แสงจันทร์ส่องลงมาถึงพื้นดินอีกครั้ง แต่ยังคงมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวเนื่องด้วยความสับสนของชาวเมืองอยู่บ้าง แต่แน่นอนว่าทุกคนปลอดภัยดีแล้ว และไม่มีใครได้รับผลกระทบจนถึงขั้นเสียชีวิตเลยซักคน ความสิ้นหวังเข้าคลุมสติของริออนในพริบตา อย่างที่เขาว่าไว้… เมื่อพริบตาที่ความหวังใกล้จะสัมฤทธิ์ผลถูกทำลายลง นั่นคือความสิ้นหวังอย่างที่สุด... และนั่นก็ทำให้สีหน้าของริออนเปลี่ยนจากสิ้นหวังไปเป็นอาฆาตแค้นแทน แ
〝 น่าตกใจจริงๆ… นี่รู้อยู่แล้วหรอกเหรอว่าข้าเป็นคนร้าย? 〞 เจ้าชายลำดับที่หนึ่ง... เจ้าชายออริออนถามกรออกมาด้วยแววตาและท่าทางหยิ่งยโส พร้อมกับเป็นการยอมรับข้อกล่าวหาไปในตัว ว่าตัวเองคือคนร้ายตัวจริง ในขณะที่มองกรลงมาจากเบื้องบน〝 ก็นะ... เพิ่งจะรู้ตัวเมื่อไม่นานมานี้เองแหล่ะ แสบจริงนะให้ตายสิ... 〞กรพูดออกมาพร้อมกับยิ้มแห้งๆ แล้วก็เดินเข้ามาทางเจ้าชายออริออนมากกว่าเดิม เหล่าสมุนเล็บโลหิตตั้งท่าเตรียมพร้อมโจมตีกันเต็มที่ แต่ยังไม่มีใครกล้าเริ่มโจมตีกรก่อน ทั้งด้วยความกลัวพลังที่ต่อกรกับพวกของตนระหว่างทางได้อย่างง่ายดาย แถมผ่านมาได้อย่างไร้รอยขีดข่วนก็ด้วย แต่ประเด็นสำคัญคือจิตสังหารอันหนักอึ้ง ราวกับถูกน้ำตกซัดสาดนั่นของกรต่างหาก ที่ทำให้พวกเขาไม่กล้าขยับตัว〝 งั้นขอเข้าเรื่องเลยละกัน... 『อุปกรณ์ตัวหลัก』 อยู่ที่ไหน? 〞 กรเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับน้ำเสียงเย็นยะเยือกจนน่ากลัว นั่นทำให้เหล่าเล็บโลหิตจำนวนเกินครึ่งยืนตัวสั่นได้ ไม่สิ... แม้แต่ชายเผ่าปีศาจที่ยืนอยู่ข้างๆเจ้าชายออริออนยังแอบสั่นเลยด้วยซ้ำ มีเพียงโรนี่ที่ใจเย็
หลังจากที่แอบย่องขึ้นมาบนชั้นสอง แล้วมองลอดเข้าไปในห้องที่จับสัมผัสวิญญาณได้พวกเราก็เจอกับเด็กผู้หญิงกำลังนั่งอยู่บนขอบระเบียงเป็นภาพที่น่าแปลก... เพราะเธอคนนั้นโปร่งแสงจนมองทะลุไปถึงท้องฟ้าที่เป็นฉากหลังเลยเนี่ยสิถ้างั้นก็ไม่ต้องสงสัย... เด็กคนนั้นคือวิญญาณที่กำลังตามหาอยู่แน่นอน กรคิดแบบนั้นพลางมองไปยังเด็กสาว ส่วนทางเด็กสาวนั้นกลับหันมามองทางกรในเวลาเดียวกัน〝 เอ่อ... ไม่ต้องหลบหรอกนะคะ คือหนูเห็นตั้งแต่เข้ามาในคฤหาสน์แล้วหล่ะค่ะ 〞เสียงกังวานของเด็กสาวพูดขึ้นมา โดยในน้ำเสียงมีความเอียงอายเล็กน้อย แล้วพอเด็กสาวพูดแบบนั้น กรก็ให้สัญญาณทุกคนเดินตามหลังเขาเข้ามาในห้องทันที〝 เข้าใจหล่ะ โทษทีนะที่บุกรุกเข้ามา 〞เมื่ออีกฝ่ายพูดอย่างสุภาพ ก็เป็นมารยาทเช่นกันที่กรจะตอบกลับไปแบบเดียวกัน〝 ไม่หรอกค่ะ... เอาจริงๆในรอบ 10 ปีมานี้มีคนเข้ามาในคฤหาสน์นับคนได้เลยหล่ะค่ะ มีคนบ้างแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน 〞เด็กสาวยิ้มตอบกรอย่างเป็นมิตร พร้อมกับลอยตัวจากขอบระเบียงมายืนอยู่ด้านหน้าของพวกกร สภาพแบบนั้นทำเอาพวกกรประหลาดใจไม่น้อย เว้นเสียแต่ซาช่าที่กำลังยืนตัวสั่นอยู่〝 นี่เธอเป