———1 สัปดาห์ต่อมา.....
แคร็กๆๆๆๆ!
ตึก!——— ตึก!——— ตึก!———
ท่ามกลางจุดสีน้ำเงินส่องประกายสวยงามซึ่งประดับอยู่บนเพดานถ้ำนับล้านจุดจนคล้ายกับหมู่ดาวมากมายบนกาแล็คซี่ทางช้างเผือกยามค่ำคืน กลับได้ยินเสียงรบกวนโสตประสาทที่ไม่เข้ากับพื้นที่และบรรยากาศอันแสนงดงามนี้ดังขึ้นเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันเองก็มีเสียงฝีเท้าเดินเข้าไปใกล้เสียงที่ว่านั้นอย่างช้าๆและเป็นจังหวะด้วยเสียงที่เบาบางราวกับตีนแมวยังไงอย่างงั้น
ชึบ!———แกร็ก!
แคร็กๆๆๆๆๆ!!!!!!!
ในจังหวะเดียวกันก็เกิดเสียงคล้ายกับโลหะสองชิ้นเสียดสีกันและเสียงที่คล้ายกับอะไรซักอย่างลงล็อกกันได้พอดีนั่น เลยดูเหมือนจะสร้างความสนใจให้กับแหล่งกำเนิดเสียงที่ไม่น่าอภิรมณ์ในตอนแรกนั่นไม่น้อย เสียงที่น่ารำคาญนั่นดังขึ้นเรื่อยๆ และเข้ามาใกล้เสียงของฝีเท้าในตอนแรกที่กำลังเดินเข้าไปหาแทนอย่างรวดเร็วราวกับกำลังหิวกระหายต่ออะไรซักอย่าง แต่ทว่า....
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
ก๊าซซซซซ!!!!!!!!!!
ในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่เสียงโลหะลงล็อกกันในตอนแรกได้จบลง ก็เกิดเสียงดังที่คล้ายกับมีคนจุดประทัดอย่างรุนแรงขึ้นมา 5 ครั้งอย่างต่อเนื่อง แล้วเสียงที่เหมือนกับมีวัตถุขนาดเท่าเม็ดถั่วตัดผ่านสายลมไปด้วยความเร็วเหนือเสียงก็ตามมาในเสี้ยววินาที เหลือไว้แต่เพียงกลุ่มควันและกระแสไฟฟ้าสปาร์คขึ้นมาเป็นทางยาวจากจุดที่เกิดเสียงฝีเท้าของมนุษย์?นั่น กระจายออกมา 5 จุด มายังตำแหน่งที่เสียงน่ารำคาญนั่นเคยอยู่ แล้วพอเสียงประทัดที่ดังสนั่นลั่นทุ่งราวกับฟ้าผ่านั่นจางหายไป เสียงที่ตามมาก็คือเสียงร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนาของสัตว์ป่า...ไม่สิ มอนสเตอร์ในดันเจี้ยนก็ดังขึ้นตามมาพร้อมๆกัน
〝เหลือครั้งเดียว......แล้วงั้นเหรอ?〞
〖เห้อ!.....นั่นสินะ ดูเหมือนเพราะเลเวลขึ้นมาพอสมควรแล้วกระมั้ง.....การต่อสู้ในชั้นนี้เลยง่ายดายขึ้นหน่ะ...〗
〝เห้อ!....ถ้าเป็นงั้นก็ดีสิ〞
หลังจากนั้นต้นกำเนิดเสียงฝีเท้าของมนุษย์? ในตอนแรกก็พูดออกมา อันเป็นการสนทนากับความว่างเปล่า...ไม่สิ เขากำลังคุยอยู่กับสิ่งที่ตัวเองสะพายไว้ข้างหลังอยู่ต่างหาก
ใช่แล้ว... ต้นเสียงของคนที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนิทสนมนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเด็กหนุ่มโสดซิงตั้งแต่เกิด เป็นโอตาคุที่คลั่งไคล้เกมและอนิเมอย่างบ้าคลั่ง แถมช่วงหลังยังสนใจหนังสงครามอยู่หน่อยๆ『อุษณกร』คนนี้นี่เอง ซึ่งคู่สนทนาเองก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเพื่อนพ้องคน?นึงของกร นั่นก็คือเคลเบรอสที่อยู่ในสภาพของดาบที่เสียบอยู่ในฝักหลังกรนั่นเอง
หลังจากที่กรกำลังเดินหาทางไปชั้นต่อไปอยู่ตามปกตินั้น กรก็สัมผัสได้ถึงตัวตนของมอนสเตอร์ที่ขวางทางอยู่ นั่นคือมอนสเตอร์ที่มีชื่อว่า 『มิเนอรัลแครป』นั่นเอง โดยมีลักษณะคล้ายกับปูเสฉวนที่มีขนาดสูงเมตรครึ่ง แต่เปลือกหอยกับขาทั้ง 8 และก้ามของมันมีส่วนประกอบเป็นแร่สีเขียวอ่อนเป็นเนื้อเดียวกันทั้งสิ้น จะมีก็แต่ตัวของมันจริงๆเท่านั้นที่ยังมีเนื้อหนังตามปกติอยู่
และแน่นอนว่าเมื่อมีมอนสเตอร์มาขวางทางการสัญจรของกร กรจึงไม่รีรอที่จะกำจัดมันโดยเร็ว และไม่รอช้า ในขณะที่เดินเข้าไปใกล้『มิเนอรัลแครป』ทั้ง 5 ตัวอย่างใจเย็นตามปกติ กรก็สั่งให้ของสิ่งหนึ่งออกมาจากมิติเฉพาะของ『ดูอัลไดเมนชั่นริง』ด้วยความนึกคิด แล้วมันก็มาปรากฏอยู่ในมือซ้ายของกรโดยพลัน สิ่งนั้นก็คือ『ปืนเวทย์มนต์』ที่มีดีไซน์คล้ายปืนพกทันสมัยที่ดูเรียบง่ายเหมือนที่เห็นกันบ่อยๆในหนังแอ็คชั่นของฝรั่ง แต่นั่นก็หมายถึงคนที่ไม่รู้ว่าปืนพกแต่ละชนิดต่างกันยังไงนั่นแหล่ะ... ส่วนสีของมันนั้นขาวล้วนทั้งกระบอก และด้านข้างของทั้งสองด้านก็มีลวดลายสีแดงสวยงามประดับอยู่เล็กน้อยเพื่อแสดงถึงความประนีตในการประดิษฐ์มันขึ้นมา และพร้อมกันนั้นกรก็นำแม็กกาซีนที่บรรจุ『กระสุนเวทย์มนต์ประเภทเน้นการทำลายล้าง』ออกมาพร้อมกัน พอกรทำการเปลี่ยนแม็กกาซีนเรียบร้อย ก็จัดการเป่ามอนสเตอร์ทั้ง 5 ตัว อย่างรวดเร็วโดยที่ความเร็วในการก้าวเดินตั้งแต่ตอนแรกยังคงเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลงเลยด้วยซ้ำ และพอการปะทะกันเล็กน้อยจบลงกรกับเคลเบรอสจึงได้พูดคุยถึงผลลัพธ์ของการต่อสู้กับมอนสเตอร์กันสองคนจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
ผ่านมา 1 สัปดาห์แล้วงั้นสินะ...เร็วชะมัดยากเลย
แต่เพราะเสียเวลาในการฝึกฝนไปซะนาน เลยทำให้เราสามารถต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเยอะ อย่างเห็นได้ชัดเลยแหล่ะล่ะนะ น่าดีใจจริงๆ
.....ส่วนนึงก็ต้องขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีที่เป็นสปอนเซอร์รายใหญ่อย่างเคลเบรอสที่ให้การสนับสนุนน้ำมันเครื่องไดเกีย———
ห๊ะหะ.....ถ้าเกิดยังปล่อยให้ฉันพล่ามต่อไปเนี่ยคงจะยืดยาวแบบไร้แก่นสารแหงๆเลย เพราะงั้นก็ขอถือโอกาสต่อความยาว สาวความยืด อธิบายกันซักหน่อยหล่ะนะว่าการพัฒนาของฉันมันเป็นยังไงในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา....
.....แล้วว่าแต่ฉันกำลังพูดให้ใครฟังอยู่เนี่ย!?
แล้วหลังจากการเข้าปะทะได้จบลง เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา พอกรผ่อนคลายสภาพจากการสู้รบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็พร่ำเพ้อพรรณนาตามประสาโอตาคุที่ใกล้จะป่วยเป็นโรคจูนิเบียวเต็มทนจนเป็นเรื่องปกติในหัวของตัวเองไปเสียแล้ว หากมีคนที่อ่านใจเขาออกได้ก็คงต้องคิดว่า 〝ไอ้หมอนี่มันเต็มรึเปล่าเนี่ย!?〞อย่างไม่ต้องสงสัย...
❖❖❖❖❖
ย้อนกลับไปเล็กน้อย หลังจากเหตุการณ์การปะทะกันในครั้งก่อนที่ชั้น 26 กับฟร็อกแมนและคองโซลเยอร์ กรก็ได้ตัดสินใจที่จะเริ่มฝึกฝนอย่างจริงจัง และทำการกำจัดจุดอ่อนของตัวเองในด้านการต่อสู้ระยะไกลด้วยการสร้าง『ปืนเวทย์มนต์』ขึ้นมาใช้เองตามคำแนะนำของเคลเบรอส...
.
.
.
ตามที่เจ้าหมามันบอก... ระบบการทำงานของ『ปืนเวทย์มนต์』ตามทฤษฎีของเจ้าเปี๊ยกนั่น ก็คือการเปลี่ยนปืนให้เป็นอุปกรณ์เวทย์ที่คล้ายกับคาถา โดยการลงเวทย์ไว้บนตัวปืนซึ่งแร่ชนิดนึงสามารถดัดแปลงให้มีได้แค่คาถาเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าปืนที่สร้างออกมาก็เช่นกัน แล้วหากต้องการที่จะใช้งานก็เพียงแค่ถ่ายพลังเวทย์ลงไปในปืน แล้วพอพลังเวทย์ถึงจุดที่วงจรจะทำงานได้ ก็จำการปลดปล่อยมันออกมาทางปากกระบอกปืน... หรือก็คือปืนเวทย์มนต์ตามที่เจ้าเปี๊ยกเคยสร้างขึ้นมาก็คือ การใส่ตราเวทย์ไว้ล่วงหน้าลงบนปืน แล้วพอจะใช้งานทีก็แค่ใส่พลังเวทย์ลงไปนั่นเองพอพลังเวทย์ถึงจุดอิ่มตัว ก็จะทำให้เวทย์ก่อตัวขึ้นมาได้ในเวลาที่สั้นมากโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาพูดชื่อคาถา ส่วนประสิทธิภาพนั่นก็สูงมากเท่ากับตอนที่ใช้คำร่ายเวทย์เลยทีเดียว...
ก็นะ.....เท่าที่ฟังก็เป็นทฤษฎีที่เข้าใจง่ายและไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด ....แล้วถึงตอนแรกก็งงอยู่หรอกว่าจะเริ่มสร้างยังไงก็เถอะ...
แล้วถึงจะมีแร่ก็อยู่ก็ตาม......แต่แบบแปลนมันดันไม่มีเนี่ยสิ! ฉันเองก็ลองค้นดูใน『คลังตำราอาวุธ』ซึ่งเป็นหนึ่งในสกิลของ『หน้าต่างตั้งค่า』แล้วหล่ะนะ
....แต่อาวุธประเภทปืนที่มีอยู่มีแค่『ปืนไฟ』ที่เป็นปืนสมัยก่อนแบบเก่าโคตรๆ....ก็ไอ้ที่ต้องจุดชนวนด้วยเส้นด้ายชุบเชื้อไฟให้ดินขับมันเผาไหม้และสร้างแรงดันนั่นแหล่ะ...
แต่ปัญหาก็คือที่สร้างออกมาได้มันมีแค่โครงปืนเนี่ยสิ มันดันไม่มีดินปืนติดมาด้วยซะงั้น.... แต่ถึงมันจะมีดินปืนอยู่ก็ตามก็ยังไม่เหมาะสำหรับใช้งานอยู่ดี นั่นเพราะมันต้องจุดชนวนนั่นแหล่ะเลยทำให้ช้าโคตร ถึงจะทำให้ชนวนสั้นลงยังไงก็ตาม ...ร่ายเวทย์เองยังเร็วกว่าเลย แต่แปลนก็มีแค่นี้ซะด้วย เพราะงั้นก็เลยต้องลองสร้างมันออกมาแล้วมาปรับเอาเองอีกที
....และเพราะไม่มีทางเลือก ฉันเลยเปลี่ยนอาชีพเป็น『ช่างตีเหล็กขั้นสุดยอด』เพราะดูเหมือนว่าจะเป็นอาชีพขั้นสูงของ『ช่างเหล็ก』หล่ะนะ แถมพออ่านคำอธิบายอาชีพแล้ว...ดูเหมือนว่าของที่คราฟจากผู้ที่มีอาชีพนี้จะออกมามีคุณภาพสูงที่สุด ฉันก็เลยเลือกเปลี่ยนอันนี้ไว้ก่อนเพื่อความชัวร์ในการสร้างจากแร่ที่ดรอปจากเคลเบรอส ส่วนแร่ที่ว่ามีรายละเอียดยังไงก็ตามนี้แหล่ะ...
『แร่ควอตซ์เวทย์มนต์』【S】〖ความทนทาน 100/100 〗〖ระดับความแข็ง 16 〗
《 คำอธิบาย : แร่มรกตที่ถูกสะสมด้วยพลังเวทย์มหาศาล จนทำให้มีระดับความแข็งมากกว่าเพชรเสียอีก สามารถนำไปประยุกต์สร้างอาวุธและชุดเกราะชนิดต่างๆได้ ตามแต่ความสามารถและเลเวลของอาชีพสายผลิต 》
อย่างที่เห็นนั่นแหล่ะ... ไอ้แร่ที่ดรอปจากเคลเบรอสนี่มันแข็งยิ่งกว่าเพชรซะอีก เทียบให้เห็นชัดๆก็วัดจาก『มาตราความแข็งแร่ของโมส』ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบจากโลกเดิมก็ได้... นั่นเพราะตามมาตราที่ว่า เพชรที่มีความแข็งที่สุดจะอยู่ในระดับที่ 10 แต่ไอ้『แร่มรกตเวทย์มนต์』ที่ว่าอยู่ที่ระดับ 16 เพราะงั้นที่ว่ามันแข็งกว่าเพชรก็คงจะจริงแม้จะใช้กฎของโลกเดิมก็ตาม.....
แล้วจากที่บอกไป...การสร้างปืนเวทย์จำเป็นต้องสร้างตราเวทย์ไว้ที่ตัวปืนล่วงหน้า โชคดีที่ตัวฉันมีสกิล『ดัดแปลงคุณสมบัติแร่』แถมยังเป็นขั้นสูงอีกแน่ะ... การลงตราเวทย์เลยทำได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น ส่วนเวทย์ที่ลงไปก็คือ 『อินเฟอร์โน่บอล』ซึ่งถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ มันก็คือคาถาแบบเดียวกับไฟร์เยอร์บอล แต่มีระดับสูงที่สุด ร้อนที่สุดและสร้างความเสียหายได้มากที่สุดที่ฉันสามารถทำได้นั่นเอง จากนั้นก็ลองสร้างมันดูด้วยแร่ที่ผ่านการดัดแปลงแล้วตามที่เจ้าหมามันบอก.....
แล้วหลังจากที่สร้างไอ้『ปืนไฟ』ที่ว่านั่นขึ้นมา ฉันก็ลองเอามาแยกชิ้นส่วนตรวจสอบดูก่อน... แล้วจากนั้นฉันก็ปรับแก้ส่วนประกอบภายใน รวมถึงเพิ่มส่วนประกอบที่จำเป็นสำหรับ『ปืนเวทย์มนต์』ตามที่เจ้าหมามันแนะนำด้วย『เวทย์แปรธาตุ』จนในที่สุดผลงานแรกของพวกเราก็เสร็จสมบูรณ์โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 1 ชั่วโมง 24 นาที...
รูปร่างของมันเนี่ยไม่เหลือเค้าเดิมของ『ปืนไฟ』อยู่เลยซักนิด... จะว่าไงดีหล่ะพอปรับตรงโน้นเปลี่ยนตรงนี้ไปมาหลายๆครั้ง รูปร่างของมันกลับกลายเป็นว่า...มันดันไปคล้ายกับปืนพก『Taurus PT 1911』เหมือนกับที่พระเอกในหนังที่เคยดูใช้เป็นอาวุธคู่กายซะอย่างงั้นเลย ไม่สิ....เพราะเวทย์แปรธาตุมันทำงานตามจินตนาการของฉันนี่นา หนังที่เคยดูเนี่ยก็คงมีอิทธิพลไม่น้อยเลยมั้ง.....
แต่เพราะการทำงานของมันเป็นอย่างที่ว่า..... เพราะมันเป็นการถ่ายเวทย์เข้าไปที่ตัวปืนโดยตรงนั่นแหล่ะ ส่วนประกอบภายในเลยไม่จำเป็นสำหรับปืนกระบอกนี้ แล้วยังไม่จำเป็นต้องใช้กระสุนซักนิด แต่ก็แลกมาด้วยการที่สามารถใช้เวทย์ได้ในวงจำกัด นั่นเพราะปืนหนึ่งกระบอกสามารถใช้ได้เพียงแค่คาถาเดียวเท่านั้น แต่ก็นะ.....ถึงผลลัพธ์จะน่าพอใจก็เถอะ
ก็แหม...ถึงจะโค่นไม่ได้ในครั้งเดียวก็เถอะ แต่ก็ร่นระยะเวลาในการต่อสู้ลงได้เยอะเลยแหล่ะ แถมยังไม่เสียเวลาในการพูดชื่อสกิลซักนิดเดียว ระยะเวลาในการถ่ายเวทย์ลงไปที่ปืนก็ไม่ถึงวินาทีด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องแรงถีบที่คิดว่าจะมีปัญหานี่ก็ดูเหมือนจะเป็นเพราะสเตตัสด้านพละกำลังของฉันมันเยอะโคตรก็เลยรู้สึกยังกับกำลังยิงปืนแก๊บอยู่ยังไงอย่างงั้นเลย แล้วเรื่องความแม่นยำเนี่ย... ฉันเองก็มี『โจมตีอย่างแม่นยำ』อยู่แล้วด้วย เพราะงั้นการโจมตีถึงเข้าเป้าทุกครั้ง.... แต่ถึงสกิลนี้จะไม่ทำให้การโจมตีติดตามเป้าหมายก็เถอะ แต่ถ้าลอบโจมตีละก็ เข้าเป้า 100% สมชื่อเลยหล่ะ
เพราะงั้นพอลองใช้ครั้งแรกก็เลยคิดว่า... แหม! 『ปืนเวทย์มนต์』เนี่ยสุดยอดไปเลยนา〜 แค่นี้ก็พอแล้วมั้ง จะได้รีบฝึกสกิลแล้วไปกันต่อเร็วๆ———
.
.
ถ้าเป็นตัวฉันเมื่อก่อนคงพูดอะไรแบบนั้นออกไปแล้ว แต่ฉันไม่อยากจะประมาทกับมอนสเตอร์พวกนั้นอีกแล้ว... แล้วถึงผลลัพธ์จะออกมาน่าพอใจก็เถอะ แต่ตัวฉันในตอนนี้ไม่มีทางพอใจแค่นี้หรอก มันต้องมีทางทำให้ปืนนี่สุดยอดยิ่งกว่านี้สิ! เพราะงั้นหลังจากที่ลองใช้ครั้งแรกไปก็เลยบอกกับเจ้าหมามันว่า〝ยัง....แค่นี้มันยังไม่พอหรอก!〞และก็แน่นอนว่าคำพูดของฉันทำให้เคลเบรอสตกใจอีกครั้ง แต่เคลเบรอสก็ชมฉันกลับ แล้วก็จะร่วมมือในการพัฒนา『ปืนเวทย์มนต์』ของนายเหนือหัวของตัวเองให้แกร่งขึ้นไปอีกขั้น
แต่แค่พูดหน่ะมันง่าย.....ส่วนจะทำยังไงนั่นแหล่ะประเด็น.....
อย่างแรกเลยจุดอ่อนของปืนนี้ก็คือ สามารถใช้ได้แค่คาถาเดียวเท่านั้น เพราะงั้นก็เลยไม่สามารถใช้เวทญ์พลิกแพลงตามสถานการณ์ได้ แล้วการต่อสู้โดยใช้สภาพปัจจุบันให้เป็นประโยชน์เนี่ยก็เป็นของถนัดของเราซะด้วย....นี่เลยเป็นสาเหตุนึงที่ฉันไม่พอใจ
ถ้าคิดแบบง่ายๆหล่ะก็.....ถ้าอยากได้เวทย์ที่หลากหลาย ก็แค่เปลี่ยนจากปลดปล่อยเวทย์จากตัวปืนเป็น สร้างกระสุนเวทย์แบบต่างๆขึ้นมาก็พอแล้วนี่
แต่แน่นอนว่าความจริงมันไม่ง่ายขนาดนั้น... ทำไมงั้นเหรอ? ก็บอกไปตั้งแต่แรกแล้วนี่ว่าฉันสร้างดินปืนไม่ได้ แล้วจะเอาอะไรมาสร้างการเผาไหม้ให้เกิดแรงดันกันเล่า...
แต่แนวคิดเรื่องที่ใช้กระสุนเวทย์นี่ก็น่าสนใจไม่น้อย ฉันก็เลยคิดต่อไปว่าจะทำยังไงให้เกิดแรงขับดี... แล้วหลังจากที่คิดอยู่นานสองนาน ฉันก็เลยปิ๊งไอเดียขึ้นมาอย่างนึง...
นั่นก็คือ....การใช้สกิล『ดัดแปลงคุณสมบัติแร่』แล้วดัดแปลงเวทย์ไฟที่ทำให้เกิดการลุกไหม้เรื่อยๆเข้าไป แล้วผลลัพธ์มันเป็นยังไงงั้นเหรอ?
หึหึ.....ก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงามเลยหน่ะสิ พอลองทำให้แร่ที่ลงเวทย์ลุกไหม้ลงไปลองเริ่มการเผาไหม้โดยการนำมันไปกระทบกับอาวุธที่ดรอปจากเคลเบรอสซึ่งเป็นโลหะดู มันก็เกิดประกายไฟแล้วก็ลุกไหม้ขึ้นมาเป็นเปลวเพลิงอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งขนาดมันเล็กลงเรื่อยจนหมดลงไป ไฟที่ลุกมาตลอดถึงจะดับลง
แล้วก็ไม่รอช้า ฉันก็เริ่มสร้างกระสุนในทันที.... ตามที่คิดไว้...ฉันจะสร้างกระสุนขึ้นมาทั้งหมดสองประเภท.....
อย่างแรกก็คือ『กระสุนเวทย์มนต์ประเภทเน้นการทำลายล้าง』 โดยตัวกระสุนนั้นมีลักษณะการสร้างแบบเดียวกับที่โลกเดิมนั่นก็คือมีดินขับกับหัวกระสุน และแน่นอนว่าหัวกระสุนของฉันทำมาจากแร่ที่แข็งยิ่งกว่าเพชรนั่น เรื่องอำนาจการทำลายล้างเนี่ยไม่ต้องสืบก็รู้เลยว่าแรงโคตรๆแน่นอน....
.....แล้วฉันก็สร้างหัวกระสุนแยกประเภทมาอีก 2 แบบ นั่นก็คือ ลูกกระสุนหัวกลมมน หรือ FMJ (Full Metal Jacket) ที่เน้นอำนาจในการทะลุทะลวง เพื่อใช้ในโอกาสที่ต้องการโจมตีหลายเป้าหมายพร้อมกัน กับอีกแบบก็คือ ลูกกระสุนหัวรู หรือ FHP (Jacketed Hollow Point) ที่เน้นอำนาจการทำลายล้างเฉพาะจุด เผื่อในโอกาสที่ต้องเน้นการทำลายเป้าหมายเดี่ยว
ส่วนอย่างที่สองก็คือ『กระสุนเวทย์มนต์ประเภทเน้นยุทธวิธี』ซึ่งหัวกระสุนนั้น แตกต่างจากแบบเน้นการทำลายล้างที่ไม่ได้ดัดแปลงแร่แต่ใช้ทั้งอย่างงั้นเลย เพราะกระสุนเน้นยุทธวิธีนี้หัวกระสุนทำการดัดแปลงโดยการลงตราเวทย์ของเวทย์มนตร์ชนิดต่างๆลงไปยังไงหล่ะ! ..จากนั้นก็แบ่งประเภทย่อยของหัวกระสุนเป็นสองแบบอีกครั้ง
หัวกระสุนแบบแรก เป็นหัวกระสุนที่ลงตราเวทย์ของคาถาแต่ละธาตุเอาไว้ ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดเป็นเวทย์โจมตี ส่วนหัวกระสุนอีกแบบ เป็นหัวกระสุนที่ลงตราเวทย์ที่เกี่ยวกับสถานะผิดปกติต่างๆ ซึ่งก็มาจากการเรียนสกิล『เพลิงทมิฬ』แล้วเลือกผลของมันล่วงหน้านั่นแหล่ะ ถึงตอนแรกเจ้าหมามันจะงอนนิดหน่อยก็เถอะ....ให้ตายสิไม่รู้จะใจอ่อนไปถึงไหน แต่เพื่อการทดลองมันก็ช่วยไม่ได้หล่ะนะ
แต่ที่ยากที่สุดก็เป็นส่วนของตัวปืนนั้นแหล่ะ ....เพราะเปลี่ยนระบบการทำงานใหม่ ปืนตัวเก่าจึงไม่จำเป็น ไอ้เรารึก็อุตส่าห์สร้างมาตั้งนาน จะให้มาสร้างใหม่ก็ไม่รู้จะออกมาแบบเดิมรึเปล่า แต่ระหว่างคิดแบบนั้นอยู่ก็นึกขึ้นได้ว่าเรามีสกิล『สร้างแบบอาวุธขั้นสูง』อยู่ แล้วมันก็บันทึกแปลนในการสร้างเรียบร้อยแล้ว ถึงจะแค่โครงก็เถอะ แต่ถึงยังไงเพราะสกิลสร้างแบบที่ว่านี่เลยทำให้การสร้างกระสุนเป็นไปอย่างรวดเร็วและสะดวก
...ก็แหม เพราะสกิลนี้หน่ะขอแค่เตรียมวัตถุดิบไว้ มันก็จะสร้างออกมาได้ตามจำนวนที่ต้องการเลย สะดวกสมชื่อจริงๆ เพราะงั้นเรื่องระยะเวลาในการสร้างกระสุนนี่เลยไม่ต้องกังวลเลย
ส่วนเรื่องกลไกภายในของตัวปืนนี่...เพราะสร้างกระสุนที่มีดินปืน ก็เลยต้องทำระบบการทำงานให้เป็นแบบที่โลกเดิม แต่เพราะฉันเคยดูหนังสงครามกับศึกษาเรื่องพวกนี้ผ่านตามานิดหน่อย บวกกับใช้หน้าต่าง『คลังข้อมูลความทรงจำ』ซึ่งเป็นหนึ่งใน『หน้าต่างตั้งค่า』 ก็เลยทำให้สร้างปืนที่มีรูปร่างแบบเดียวกับตอนแรกได้อย่างสบายๆ แต่ระบบภายในเป็นแบบเซมิออโต้เหมือนกับที่โลกเดิมได้สำเร็จ....
หลังจากที่สร้างแม็กกาซีนแล้วบรรจุกระสุนเสร็จสิ้น...ก็แน่นอนว่าต้องลองของ ฉันเลยเอามันไปลองสู้กับพวกมอนสเตอร์เป็นครั้งแรก.....
แล้วพอการต่อสู้จบลงเคลเบรอสก็ต้องตกใจกับอำนาจความเสียหายของกระสุนแบบเน้นทำลายล้าง รวมถึงความเร็วของมันก็เช่นกัน แต่ตัวฉันนั้นยังไม่พอใจกับผลลัพธ์เท่าไหร่ นั่นเพราะในการต่อสู้ครั้งนั้น อัตราความแม่นยำจากการปะทะโดยการยิงก็คือ ยิงถูก 8 นัดจาก 19 นัด....
ถ้าถามว่าทำไมผลลัพธ์ถึงเป็นแบบนี้ละก็ บอกไปไม่ว่าใครก็ต้องตกใจแน่.... นั่นเพราะมอนสเตอร์พวกนั้นมันหลบกระสุนได้เฉยเลยหน่ะสิ.... เพราะตะลึงจนคิดว่าความเร็วมันน้อยไปรึเปล่าเลยลองใช้『นูเมรัลดิสเพลย์』ตรวจสอบดู ก็ปรากฏว่าความเร็วของกระสุนโดยเฉลี่ยแล้วเกือบๆ 2 มัค หรือประมาณ 652 เมตรต่อวินาที เลยทีเดียว...
เหลือเชื่อไปเลยใช่ไหม! นั่นมันอัตราเร็วเหนือเสียงเลยนะเฮ้ย! พวกเอ็งหลบได้ยังไงกันฟ่ะ... แต่ถึงตะโกนออกไปแบบนั้นก็ไม่ช่วยอะไรหรอก ไอ้เรื่องคาดไม่ถึงที่เกิดขึ้นเพราะมอนสเตอร์ในดันเจี้ยนหน่ะมันคาดเดาได้ยากอยู่แล้วนี่น๊ะ....
เพราะงั้นแหล่ะ เรื่องกระสุนเน้นยุทธวิธีก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก นั่นเพราะพอหัวกระสุนออกมาจากปากกระบอกแล้วเข้าประชิดตัวมอนสเตอร์ในระดับนึง มันก็จะกลายเป็นเวทย์โจมตีที่เป็นวงกว้างเลยไม่มีปัญหาเลยซักนิด.... แต่ประเด็นมันอยู่ที่『กระสุนเวทย์มนต์ประเภทเน้นการทำลายล้าง』ต่างหากหล่ะ....
อีแบบนี้มันเลยเหมือนว่ากระสุนที่อุตส่าห์สร้างมาจะสูญเปล่า บวกกับความเสียหายที่ลองเปรียบเทียบดูจากกระสุนสองประเภทแบบนัดต่อนัด แบบเน้นการทำลายล้างมันสร้างความเสียหายได้มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด....พอรู้แบบนั้น ฉันที่หัวร้อนแบบสุดๆก็เลยคิดที่จะทำให้กระสุนที่ออกมาเร็วมากยิ่งขึ้นไปอีก!
แล้วจากนั้น...ฉันก็เริ่มดัดแปลง ตัวปืน แล้วก็ปิ๊งไอเดียสุดบรรเจิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง....
นั่นก็คือ...การใช้เวทย์ธาตุลมและสายฟ้าในการเสริมความเร็วของกระสุนนั่นเอง!
ในหมู่เวทย์สายฟ้าและธาตุลมนั้น มีคาถาที่เพิ่มสมรรถภาพทางกายได้ชั่วคราวอยู่ แล้วดูเหมือนมันจะใช้กับอาวุธได้เหมือนกัน ก็เลยคิดว่าน่าจะเอามาใช่เพิ่มความเร็วให้กระสุนได้...
จากนั้นฉันก็ทำการดัดแปลงบริเวณปากกระบอกปืน ให้ทำการเปิดวงจรเวทย์เสริมความเร็วของทั้งเวทย์ลมและสายฟ้าขึ้นมาในทันทีที่ลันไก
โดยหลักการคร่าวๆก็คือ พอลั่นไกจะทำให้ดินปืนเกิดการลุกไหม้และเกิดแรงดันจากความร้อนจนขับหัวกระสุนออกมาทางปากกระบอกปืน แต่ในขณะเดียวกับที่ลั่นไก วงจรเวทย์ที่เสริมความเร็วก็จะทำงานเช่นกันโดยปรากฏเป็นวงเวทย์สองชั้นขึ้นที่ปากกระบอกปืน แล้วพอกระสุนวิ่งผ่านก็จะทำให้ความเร็วของมันเพิ่มขึ้นมหาศาลในทางทฤษฎี...
แต่ผลลัพธ์ในทางปฏิบัติเนี่ยสิที่มันน่าตกใจกว่ากันเยอะ...ไม่ใช่ในความหมายที่ว่าความเร็วที่ออกมามันน้อยเกินไปหรอกนะ....แต่มันมากเกินไปต่างหากหล่ะ!
ใช่แล้ว มันมากเกิน.....มากเกินที่จะเป็นกระสุนปืนซะด้วยซ้ำ นั่นเพราะความเร็วของกระสุนโดยเฉลี่ยที่วัดได้จากนูเมรัลดิสเพลย์หน่ะคือ ประมาณ 12,000 เมตรต่อวินาทีหรือก็คือเกือบๆ 30 มัค หรือก็คือมันเร็วกว่าอัตราเร็วของเสียงเกือบ 30 เท่าเลยนั่นเอง
มันเยอะเกินไปจริงๆใช่ไหมหล่ะ...แถมความเร็วขนาดนี้ยังไม่ทำให้หัวกระสุนผิดรูปเพราะแรงเสียดสีเลยซักนิด อะไรจะแข็งขนาดนั้น! แล้วพอเอาลองใช้สู้จริงผลจะเป็นยังไงงั้นเหรอ......
ถามมาได้....ผลก็คือ โดนทุกนัดเลยหน่ะสิ หลบได้ก็บ้าแล้ว!!! ความเร็วขนาดนี้ขนาดอาจารย์หนวดปลาหมึกที่เป็นมนุษย์ต่างดาว ที่คุมชั้นเรียนลอบสังหารให้มาฆ่าตัวเองยังหลบไม่ได้เลยมั้งเนี่ย
...แต่เดี๋ยวดิ งั้นก็หมายความว่าฉันกลายเป็นสัตว์ประหลาดยิ่งกว่านั้นไปแล้วเรอะ!!! อีแบบนี้ไม่ใช่แค่เสี้ยวนึงของดวงจันทร์ แต่คงเป่าดวงจันทร์ให้หายไปทั้งดวงได้แหงมๆเลย...
แต่ถึงจะเข้าเป้าทุกนัดก็จริง แต่มันก็ยังพอเบี่ยงหลบได้ราวๆ 2 เซนติเมตรก่อนที่ฉันจะลั่นไกทุกที....เหลือเชื่อชะมัด เลยทำให้บางครั้งต้องใช้มากกว่า 1 นัดต่อตัวในการยิงเข้าที่จุดตาย แต่เอาเถอะยังไงก็จัดการได้ก่อนที่มันจะเข้ามาใกล้อยู่แล้ว
...ตอนนี้เลยถ้าไม่ขึ้นไปชั้นถัดไปทั้งอย่างงั้นหรือมอนสเตอร์มันมีพละกำลังแฝงผิดปกติก็ไม่ต้องกังวลเลยหล่ะ... เพราะถึงบางครั้งจะมีตัวที่โดนยิงที่หัวแล้วยังวิ่งเข้ามาหาได้เฉยเลยก็เจอมาแล้ว เพราะงั้นก็ไม่ใช่ว่าจะง่ายดายไปซะหมด...หลอนชะมัดเลยวุ้ย
แล้วนอกจากปืนพกสีขาวที่ดัดแปลงมาตลอดนั่น ฉันก็ได้สร้างปืนที่มีระบบการทำงานแบบเดียวกันอีก 4 กระบอก นั่นก็คือ ปืนสั้นใช้ Glock 17 เป็นรูปแบบภายนอก กับปืนไรเฟิลที่ใช้ต้นแบบเป็นของ Barrett M82A1 เองก็ด้วย เพราะอาจจะมีสถานการณ์ที่ต้องลอบโจมตีระยะไกลก็เป็นได้ เลยอยากเตรียมพร้อมไว้ก่อน เรื่องระบบเองก็เหมือนกับปืนพกทั้ง 2 ก่อนหน้า แต่เพราะขนาดลำกล้องที่ยาวกว่าละมั้ง เลยทำให้ได้ความเร็วมากกว่าปืนพกทั้งสองประมาณ 2 มัค ส่วนระยะหวังผลนี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันเพราะอยู่ในที่อับ แต่ก็สามารถยิงโดนได้ทุกที่เพราะเรามีสกิล『มองเห็นในที่มืด』กับ『ตาเหยี่ยว』หน่ะนะ... เพราะงั้นถ้าเจอมอนสเตอร์แบบใหม่ก็จะใช้ไรเฟิลนี่แหล่ะในการลองเชิง...
แล้วก็สร้างปืนกลออกมาด้วยเช่นกัน เพราะอาจเกิดสถานการณ์คับขันในแบบที่ว่าโดนล้อมจนต้องตีฝ่าออกไปหรืออะไรทำนองนั้น ถ้ามามัวใช้ปืนพกไล่ยิงศัตรู 10 กว่าตัวก็ใช่เรื่อง เพราะงั้นก็เลยทำไว้ซะเลย
...ส่วนภาพแรกที่เข้ามาในหัวตอนที่จะสร้างปืนกลก็นี่เลย AK-47 ถ้าเล่นเกมแนว FPS บ่อยๆละก็ต้องรู้จักอยู่แล้ว
อีกกระบอกก็ต้องนี่เลย เล็กเหมาะมือ พกพาสะดวก แถมถือมือเดียวคู่กับปืนพกก็ได้ นั่นก็คือปืนที่ใช้ต้นแบบมาจากปืน Uzi นั่นเอง...
แน่นอนว่าระบบภายในมันเหมือนกับก่อนหน้าทั้ง 3 กระบอก แต่ที่แตกต่างก็คือการทำงานของปืนกลสองกระบอกนี้เป็นแบบออโต้แค่นั้นเอง....
เรื่องขนาดของกระสุนก็สามารถปรับแต่งได้ตามใจ แม้จะเป็นปืนคนละชนิดก็สามารถใช้ร่วมกันได้ เลยทำให้สะดวกไปหลายเรื่อง เรื่องนี้คงต้องขอบคุณเวทย์แปรธาตุด้วยหล่ะนะ...
.
.
หลังจากที่ใช้เวลาไป 2 วันเต็มๆ ในการสร้างปืนทั้ง 5 กระบอก กระสุนหลากชนิด รวมถึงแม็กกะซีนของแต่ละกระบอกเสร็จสิ้นเรียบร้อยและรวมเวลาทำความคุ้นเคยไปด้วย กรก็เริ่มการฝึกฝนสกิลทั้งหมดในทันที แม้ในช่วงแรกจะไม่คุ้นเคยกับการที่ต้องใช้มือซ้ายในการจับปืน แต่ก็ยังคงมุ่งสมาธิในการฝึกอย่างต่อเนื่อง
พอกรรู้ตัวอีกที เขาก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้กินอาหารมา 2 วันแล้ว แต่ถึงแบบนั้น ร่างกายกลับไม่ได้รู้สึกหิวอะไรเลยซักนิด แถมพละกำลังเองก็ไม่ได้ลดลงไปเพราะความหิวเลยด้วย เคลเบรอสที่รู้เรื่องเลยตอบกรว่า การจุตินั้นจะทำให้กรสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้นโดยที่ใช้สารอาหารในการดำรงชีวิตลดลงกว่าที่เคยได้ เป็นอีกพลังแฝงของการจุติ
ถึงกระนั้นกรก็ยังต้องกินอาหารอยู่ดี แต่อาหารที่มีก็แค่เนื้อมอนสเตอร์เท่านั้นเอง แม้จะใช้สกิลคนครัวก็แค่ทำให้รสชาติแสนห่วยของมันกลายเป็นรสชาติของเนื้อธรรมดาเท่านั้นเอง แต่ก็ยังพอกินได้อยู่ กรเลยคิดที่จะกินแค่วันละมื้อเท่านั้นพอ...
และพอเข้าในช่วงวันที่ 4 กรได้นึกขึ้นมาได้ว่าหนึ่งในหน้าต่างตั้งค่า『ตั้งค่าอาชีพ』สามารถเลือกอาชีพได้ถึง 3 อย่างในเวลาเดียวกัน แล้วกรก็ทำการติดตั้งอาชีพ 『เทพนักดาบ』『ผู้ใช้ปืนขั้นสุดยอด』และ『จอมเวทย์ผู้เหนือล้ำ』ลงไปในหน้าต่างสเตตัสในทันที แล้วพอใส่อาชีพขั้นสูงเข้ามาทีเดียวก็เลยทำให้กรได้รับฉายาเพิ่มเข้ามาอีก
〘นักดาบไร้พ่าย〙
《 คำอธิบาย : ฉายาของผู้ที่อยู่จุดสูงสุดของวิชาดาบ สามารถกวัดแกว่งอาวุธประเภทดาบได้เสมือนเป็นร่างกายของตัวเอง เพิ่มความชำนาญในวิชาดาบจนถึงขีดสุด》
〘เทพนักแม่นปืน〙
《 คำอธิบาย : ฉายาของผู้ที่อยู่จุดสูงสุดของการใช้ปืน สามารถใช้อาวุธประเภทปืนได้เสมือนเป็นร่างกายของตัวเอง เพิ่มความชำนาญและเพิ่มความแม่นยำในการใช้ปืนจนถึงขีดสุด》
〘จอมเวทย์บรรพบุรุษ〙
《 คำอธิบาย : ฉายาของผู้ที่อยู่จุดสูงสุดของการใช้เวทย์มนต์ สามารถทำให้ความเสียหายทางเวทย์มนต์เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าได้》
และแน่นอนว่ากรต้องตกใจกับผลลัพธ์นี้อยู่แล้ว แต่กรก็เลิกคิดเรื่องนั้นไปก่อน เพราะจนถึงตอนนี้เขาเสียเวลาในการฝึกสกิลและความชำนาญในอาวุธ มา 5 วันเต็มๆแล้ว จึงต้องการที่จะลงไปชั้นต่อไปเร็วๆ และผลลัพธ์ของการกระทำที่เร่งรีบนั่นเลยทำให้ตัวเขาในตอนนี้สามารถฝ่าดันเจี้ยนตั้งแต่ ชั้นที่ 27 ซึ่งเขาใช้ฝึกฝนมาตลอด ลงมาจนถึงชั้นที่ 33 ซึ่งก็คือเขาใช้เวลาลงมา 6 ชั้นได้ในเวลา แค่ 2 วันนั่นเอง ถ้าไม่ติดว่าตัวเขาอยากที่จะฝึกฝนต่ออีกนิดหน่อยก็คงจะลงมาได้เร็วกว่านี้ แต่นั่นก็ทำให้ตัวกรในตอนนี้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเก่าอย่างผิดหูผิดตาทั้งอาวุธที่เขาครอบครองและความชำนาญในการต่อสู้ก็เช่นกัน...
❖❖❖❖❖
〖แต่เห็นกี่ครั้งก็สุดยอดไปเลยนะเนี่ยเจ้าหนู....อำนาจการทำลายล้างของพวกมันเนี่ยน่ากลัวสุดๆไปเลย เจ้านี่ทำให้ข้าสนุกได้อยู่เรื่อยเชียวนะเจ้าหนู....〗
〝อืม…มันสุดยอดอย่างที่บอกเลยนั่นหล่ะ...〞
〖ให้ตายสิ...สามารถนำอาวุธที่นายเหนือหัวพัฒนาเกือบ 3 ปี มาทำให้แกร่งขึ้นแบบเทียบไม่ติดในเวลา 2 วันเนี่ยนะ...แกนี่ทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาซะเหลือเกินนะเจ้าหนู〗
〝อย่าแขว่ะฉันนักเลยน่าเจ้าหมา〞
หลังจากการต่อสู้กับ『มิเนอรัลแครป』ในตอนแรกได้จบลง กรและเคลเบรอสก็พูดคุยกันถึงพลังของปืนของกร แม้จะเห็นเป็นครั้งที่ร้อยแปดแล้วก็ตาม นั่นเลยทำให้กรรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย แต่ก็ยังคงพูดรักษาน้ำใจกันอยู่ในระดับนึง
〖แต่จากที่ปะทะไปเมื่อกี้.....สงสัยเลเวลเจ้าจะอัพจนถึง『จุดปลอดภัย』แล้วหล่ะนะ เพราะงั้นก็มุ่งหน้าไปชั้นต่อไปได้อย่างหายห่วงแล้วหล่ะนะ〗
แล้วพอเคลเบรอสเห็นว่ากรแข็งแกร่งพอที่จะไปยังชั้นถัดไปได้อย่างหายห่วงจากการต่อสู้ในตอนแรก ก็เลยรีบแนะนำกรไปแบบนั้นในทันที
จนถึงตอนนี้การต่อสู้ของกรในทุกๆชั้นจะเป็นแบบ พอลงมาถึงชั้นใหม่ กรก็จะทำการเก็บเลเวลให้มากถึงจุดที่มอนสเตอร์ในชั้นใหม่ตามไม่ทันอยู่ตลอด นี่เองก็เป็นสาเหตุนึงที่ทำให้กรลงไปยังชั้นถัดไปได้ช้า แต่เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอก กรจึงต้องดำเนินการทุกอย่าง อย่างระมัดระวัง
และรวมถึงตอนต่อสู้ก็เช่นกัน ในยามปกติกรก็จะคงความเป็นตัวเองไว้อย่างที่เคย แต่พอระบุตำแหน่งของมอนสเตอร์ใกล้ๆได้ กรก็จะทำการ『ตัดความรู้สึก』ทิ้งในทันที นั่นก็เพื่อให้สามารถตัดสินใจในการต่อสู้ได้อย่างเยือกเย็นและไม่หวั่นไหวกับเหตุไม่คาดฝันที่มักเกิดขึ้นตลอด
〝จากที่ดูก็เป็นงั้นแหล่ะ ...ถ้างั้นก็เดินทางกันต่อได้แล้———〞
〖หืม....เจ้าหนู มีอะไรงั้นเหรอ?〗
แต่ในขณะที่กรกำลังตอบกลับเคลเบรอสอยู่นั้น เขากลับหยุดพูดขึ้นมากะทันหัน เคลเบรอสที่ได้ยินแบบนั้นจึงถามกรกลับด้วยความเป็นห่วง
กริ๊ง!
กริ๊ง!!! ——— กริ๊ง!!! ——— กริ๊ง!!! ——— กริ๊ง!!! ———
ในขณะเดียวกับที่กรกำลังจะตอบกลับเคลเบรอส ก็ได้มีเสียงกระดิ่งดังเสนาะหูอันแสนคุ้นเคยดังขึ้นมาในหัวของเขา อันเป็นสัญญานบอกว่าหน้าต่างตั้งค่าได้ถูกเปิดขึ้นมาตรงหน้าของกรในระดับสายตาพอดิบพอดีนั่นเอง
เรื่องที่อยู่ดีๆหน้าต่างมันเด้งขึ้นมาเองนั้นทำให้กรตกใจมากก็จริง แต่ที่น่าตกใจกว่าก็คือ ที่ขึ้นมาตรงหน้าของเขาก็คือ หน้าต่าง『บุคคลโดยรอบ』ทั้งยังมีจุดสีเขียวกระพริบและมีเสียงดังขึ้นเป็นจังหวะพร้อมๆกันอีกต่างหาก และไม่ต้องสงสัยเลยว่าจุดสีเขียวที่กระพริบอยู่ในตำแหน่งที่ห่างจากเขาไปเพียง 500 เมตรในทิศตะวันตกเฉียงเหนือนี้คืออะไร
〝เจ้าหมา! ข้างหน้า 500 เมตร มีคน.....อยู่ในดันเจี้ยน ไม่สิ...อยู่ในชั้นนี้ด้วยหล่ะ〞
〖โห้!....น่าตกใจยิ่งนักที่มีมนุษย์คนอื่นนอกจากเจ้าจะมาอยู่ในชั้นที่ลึกขนาดนี้ แต่ก็นะ...ข้าสัมผัสได้เพียงตำแหน่งของมอนสเตอร์เท่านั้น เพราะงั้นตอนนี้ข้าช่วยเจ้าไม่ด้หรอกนะ....〗
แล้วพอกรบอกเรื่องที่ว่ามีคนอื่นอยู่ในชั้นเดียวกันให้เคลเบรอสฟังก็ทำให้มันตะลึงเล็กน้อย แสดงให้เห็นเลยว่า ดันเจี้ยนแห่งนี้แทบจะไม่มีคนลงมาจนถึงชั้นแห่งนี้ได้เลย
〝น่าตกใจจริงๆนั่นแหล่ะ! ที่มีคนอยู่ในชั้นที่ลึกขนาดนี้เหมือนกับฉันเนี่ย〞
〖ไปดูกันเถอะเจ้าหนู!〗
〝รู้แล้วเฟ้ย!!!〞
เคลเบรอสเองก็สนใจคนที่ว่านั่นเหมือนกัน เลยทำให้เคลเบรอสยิ่งเร่งกรเข้าไปใหญ่ กรเองที่สนใจอยู่แล้วก็ไม่รอช้าที่จะถีบพื้นแล้วพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!
แล้วกรก็วิ่งลัดเลาะผิวถ้ำไปอย่างรวดเร็วจนไปเจอเข้ากับทางสี่แยกเข้า ซึ่งตำแหน่งที่กรค้นพบว่ามีคนอื่นอยู่ก็คือทางแยกด้านซ้ายนั้นเอง
กริ๊ง!!! ———
กริ๊ง!!! ———
กริ๊ง!!! ———
แล้วเสียงกระพริบของสัญญานในตอนแรกก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง และมีเสียงที่ชัดขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะย้ำเตือนกร ว่าขอแค่เลี้ยวไปทางแยกซ้ายนั่นก็จะพบคำตอบว่าคนๆนั้นเป็นใคร
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!
แล้วเสียงฝีเท้าที่หนักหน่วงคล้ายกับกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่างมาก็กำลังจะโผล่พ้นออกมาจากทางแยกซ้ายข้างหน้าของกร แต่เพราะมีสุดยอดการประมวลผลอยู่ เลยทำให้ได้ยินเสียงนั่นอยู่ก่อนแล้ว หากกรและคนๆนั้นยังคงวิ่งเข้าหากันด้วยความเร็วระดับนี้ละก็ อีกราวๆ 2 วินาทีที่พ้นขอบจะต้องชนกันอย่างจังแน่นอน กรที่รู้แบบนั้น พอถึงในตำแหน่งที่เป็นช่วงตัดของทางแยก เขาก็หยุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน เพื่อไม่ให้ชนกับคนๆนั้น แล้วพอกรยืนหยุดยึดอยู่กับพื้นเป็นที่เรียบร้อย ร่างของคนที่กรกำลังไล่ตามก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของกรในระยะเพียง 1 ฝ่ามือเท่านั้นเอง
〝พะ ผู้หญิงงั้นเหรอ?!!!!〞
ที่ปรากฏตรงหน้าของกรก็คือเด็กสาวที่ดูภายนอกแล้วก็เป็นรุ่นราวคราวเดียวกับกรเช่นเดียวกัน แม้ใบหน้าจะดูเหนื่อยหอบ แต่ก็ดูสละสลวยเสียยิ่งกว่าทุกๆคนที่กรเคยพบเจอ ดวงตาสีส้มเหลืองสดใสราวกับอัญมณี แก้มและริมฝีปากสีชมพูอ่อนเองก็สดใสและอวบอิ่มน่าดึงดูด แต่ที่น่าตกใจกว่านั่นคือ ผมของเธอนั้นเป็นสีชมพู ส่องประกายและสะท้อนแสงไปมาอย่างงดงามราวกับจะกลมกลืนไปกับจุดสีน้ำเงินของเพดานถ้ำโดยรอบเลยทีเดียว กำลังสวมชุดคลุมที่มีหมวกคลุมสีน้ำตาลคล้ายกับนักเดินทางที่ข้ามผ่านทะเลทราย ความหนานั้นดูจะไม่มากเท่าไรนัก นั่นเป็นเพราะมันบางจนสามารถรู้สัดส่วนของเธอคนนั้นได้ทั้งที่มองจากภายนอกเลยทีเดียว แต่เพราะตัวเธอไม่ได้ใส่หมวกคลุมอยู่เลยทำให้กรเห็นใบหน้าที่แสนจะน่ารักสุดบรรยายนั่นตรงๆได้อย่างชัดเจน
〝ห๊า!〞
ตุ๊บ!!!
และดูเหมือนจะเป็นเพราะกรเกิดหยุดขึ้นมากะทันหัน ทั้งยังอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้กับตัวเธอมาก พอเธอพ้นหัวมุมมาแล้วสังเกตเห็นกรอย่างกะทันหัน นั่นเลยทำให้เธอที่กำลังทำหน้าตกใจจนเหนื่อยหอบอยู่แล้วตกใจมากเข้าไปอีกจนร้องแบบนั้นออกมา แล้วนั่นก็ทำให้เธอสะดุดเข้ากับขาของตัวเอง แล้วเด็กสาวที่เสียจังหวะก็ล้มคะมำหน้าทิ่มพื้นจนก้นโด่งเลยทีเดียว
〝เดี๋ยวสิเฮ้ย! เจ้าหมา....นี่มันยังไงกันแน่เนี่ย!〞
〖ถามข้าแล้วข้าจะไปถามใครกันเล่าเจ้าหนู!〗
กรเองก็งงงวยกับสถานการณ์ตรงหน้าแบบสุดๆ นั่นเลยทำให้ถามเคลเบรอสออกไปแบบนั้น แต่แน่นอนว่าเคลเบรอสไม่รู้ด้วย และในขณะที่กรกำลังคุยกับเคลเบรอสอย่างสบายใจเฉิบอยู่นั่น เด็กสาวก็ตะโกนขึ้นมาราวกับจะเรียกสติของกรยังไงอย่างงั้น
〝นะ...นี่ นายหน่ะ!!! มัวทำอะไรอยู่กัน...ถ้าไม่รีบหนีหล่ะก็!!!〞
〝หนี.....งั้นเหรอ!〞
และแม้เด็กสาวจะตะโกนเพื่อเตือนกรแล้วก็ตาม แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาดันเป็นกรที่เอียงคอสงสัยกลับมาซะอย่างงั้น กรเองก็สงสัยว่าเธอหนีอะไรอยู่เหมือนกัน แต่เสียงที่คุ้นเคยหลังจากนี้ก็ทำให้เขาทราบคำตอบด้วยตัวเองในทันที
เจี๊ยกๆๆๆๆ!!!!!!
สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของกรก็ไม่ใช่อะไรอื่น แต่เป็น『คองโซลเยอร์』ที่เป็นมอนสเตอร์รูปแบบลิงสวมเกราะทหารนั่นเอง จำนวนนั้นมีทั้งหมด 3 ตัว กำลังมุ่งตรงมาทางที่เด็กสาวซึ่งตอนนี้อยู่ในท่านั่งแบะขา และเอามือซ้ายทาบอกด้วยความตกใจอย่างรวดเร็วราวกับจะอดความกระหายเลือดไว้ไม่อยู่แล้วยังไงอย่างงั้น
〝ยะ แย่แล้ว! ถ้าไม่รีบหนีละก็!!!〞
ชิบ!——
〝!!!!!!〞
แล้วพอเด็กสาวตะโกนเพื่อให้กรหนีไปอีกครั้งด้วยเสียงที่สั่นเครือ กรที่ยืนอยู่ด้านข้างมาตลอดก็เดินเข้ามาบังเด็กสาวไว้ จนอยู่ระหว่างคองโซลเยอร์ทั้ง 3 กับเด็กสาวที่นั่งอยู่กับพื้นนั่น
〝นี่นาย!!! คิดจะทำอะไรกันเนี่ย นายสู้มันไม่ได้หรอก!!!!〞
แล้วเด็กสาวก็ตะโกนเตือนกรเป็นครั้งที่ 3 แต่กรที่ตอนนี้ได้ปรับสถานะให้อยู่ในสภาพสู้รบโดยตัดความรู้สึกส่วนใหญ่ออกไปแล้วก็ไม่ได้สนใจฟังเสียงของเธอแม้แต่น้อย
ตรวจสอบ.......ความแข็งแกร่งเพื่อประเมินทักษะของศัตรู.....
『คองโซลเยอร์』 เลเวล 185
《พลังโจมตี》 21,748 《พลังป้องกัน》 16,951
《พลังเวทย์》 19,521 《ความต้านทานเวทย์》 19,785
《ความว่องไว》 24,845 《พละกำลัง》 18,654
ความแข็งแกร่งอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์......จะทำการใช้มือเปล่าเพื่อกำจัดโดยใช้เวลาที่สั้นที่สุด
ความคิดที่ราวกับเครื่องจักรของกรกลับมาอีกครั้ง อันเป็นเครื่องบ่งบอกว่าตัวเขาในตอนนี้ได้ตัดความรู้สึกทิ้งไปอีกครั้งเหมือนกับที่เคยทำในศึกตัดสินกับเคลเบรอสนั่นเอง
แล้วพอคองโซลเยอร์ตัวที่ใกล้ที่สุดเข้าประชิดตัวกรสำเร็จ มันก็เงื้อดาบขึ้นมาเหนือศีรษะอย่างรวดเร็ว แววตาของมันก็ส่องประกายสีแดงออกมาเล็กน้อย ราวกับจะสื่อออกมาแทนคำพูดว่า〝ชนะแล้ว!〞ยังไงอย่างงั้น พร้อมกับเผยเขี้ยวเล็บออกมาพร้อมกัน จนทำให้เด็กสาวที่กำลังนั่งอยู่กับพื้นนั่นหลับตาปี๋ลงอย่างรวดเร็วเพราะคิดจะหลีกหนีความจริงในอีกเสี้ยววินาทีข้างหน้าที่ตัวเองกำลังจะตาย แต่ทว่าเสียงที่ดังขึ้นหลังจากนี้กลับไม่ใช่เสียงของโลหะที่ควรจะเฉือนเข้าไปในเนื้อหนังของกรแต่อย่างใด.....
ตู้ม!!!! ตู้ม!!!!
เจี๊ยกกกก!!!!!!
เสียงที่ดังขึ้นมากลับเป็น เสียงของกรที่นำหมัดลุ่นๆเข้ากระทบกับลำตัวของคองโซลเยอร์ที่อยู่ใกล้ที่สุดโดยไม่สนว่ามีอาวุธอยู่และพังดาบที่พุ่งเข้ามานั่นทั้งอย่างงั้น ก็ซัดมันไปชนตัวที่อยู่ข้างหลังจนทั้งสองปลิวออกไปเกือบๆ 5 เมตร แล้วทั้งสองตัวก็ลงไปนอนหงายท้องตามระเบียบ และกรก็จัดการอัดตัวที่เหลืออีกตัวที่พุ่งเข้ามาก่อนหน้าไปพร้อมๆกับสองตัวที่กระเด็นไปในเวลาเพียงไม่ถึงวินาที จนทำให้ตอนนี้เจ้าลิงทั้ง 3 ตัวกำลังนอนหงายท้องดูดาวอยู่ด้วยแววตาที่แสนจะเลื่อนลอยและเหลือกตาขาวอยู่ แตกต่างจากท่าทีที่บุกเข้ามาหากรในตอนแรกอย่างสิ้นเชิงจนดูน่าเวทนาไม่ใช่น้อย
〝โกหกน่า!!!〞
แล้วเด็กสาวก็ตะโกนแบบนั้นออกมา เพราะตกใจกับภาพตรงหน้าแบบสุดๆ ทั้งที่คิดว่าตัวเองและเด็กผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคงไม่มีทางรอด จึงได้ตัดใจที่จะมีชีวิตอยู่ไปเรียบร้อยแล้วแท้ๆ
〝นะ นาย เป็นใครกันแน่!?〞
แล้วเด็กสาวก็ถามกรออกมาแบบนั้นด้วยเสียงที่ยังคงสั่นไหวเล็กน้อย ทั้งที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งแรก กรในตอนนี้เองก็กลับสู่สภาพปกติที่ความรู้สึกกลับมาหมดแล้วเนื่องจากการต่อสู้ได้จบลงอย่างรวดเร็ว ก็ตอบกลับเด็กสาวที่ยังคงนั่งแบะขาอยู่อย่างงั้นว่า.....
〝ก็แค่ไรเดอร์ที่บังเอิญผ่านมาก็เท่านั้นเอง!〞
〝...............〞
แล้วเด็กสาวก็ตกตะลึงด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยกับคำตอบของกรไปราวๆ 5 วินาที
〝อะไร...ละนั่น!?〞
แล้วพอเธอได้สติกลับมา เด็กสาวก็เอียงคอสงสัยพร้อมกับขมวดคิ้วแล้วถามกรกลับไปอีกครั้ง ด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่เข้าใจอย่างชัดเจนทั้งยังมีเครื่องหมายคำถามอยู่บนหัวอีกต่างหาก นั่นเลยทำให้กรเพิ่งรู้ตัวไปว่าโรคจูนิเบียวที่ยังไม่หายสนิทดีของตัวเองมันดันมากำเริบเพราะได้ช่วยชีวิตเด็กสาวที่สุดแสนจะน่ารักคนนี้จากมอนสเตอร์ในดันเจี้ยนอย่างกระทันหัน ราวกับเป็นเหตุการณ์แบบเดียวกับที่เจอได้บ่อยๆในอนิเมะหรือเกมยังไงอย่างงั้น ก็แทบจะล้มลงไปนอนชักดิ้นชักงอจนขาดใจตายเพราะความอายหลังจากนี้ไม่นาน
———ย้อนกลับไปเล็กน้อย ณ แคมป์พักผ่อนของเหล่านักเรียนผู้กล้าทั้งหลาย…〝นี่ๆ ทางนั้นล่าอะไรไปบ้างล่ะ!〞〝ฮะฮ่ะ!!!...ไม่อยากจะโม้ พวกเราล่า『หมีเนตรเพลิงป่า』ได้ตั้ง 10 ตัวเลยนะ!!!〞〝อะไรกัน...ทางฉันจัดการได้ตั้ง 15 ตัวยังไม่โม้เลยนะเฟ้ย!〞〝โกหกน่า! สุดยอดไปเลยนี่หว่า〞 ณ บริเวณพื้นที่โล่งกว้างห่างจากตัวป่าประมาณ 100 เมตร พื้นที่ทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยต้นหญ้าเล็กๆ คล้ายกับสนามฟุตบอลไปทั่วทั้งบริเวณที่มองเห็นได้แม้จะอยู่ห่างจากตัวป่ามาขนาดนี้ก็ตาม ได้มีกลุ่มคนจำนวนมาก สวมชุดเกราะเบาและถืออาวุธนานาประเภท ทั้งไม้เท้า ดาบหรือแม้แต่หอกเองก็ด้วย ดูจากใบหน้าและน้ำเสียงแล้ว พวกเขาเหล่านั้นยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มและเด็กสาวอายุ 15-17 เท่านั้นเอง กำลังพูดคุยเป็นเชิงโอ้อวดกันด้วยเสียงดังเซ็งแซ่ ถึงสิ่งที่ตัวเองได้ไปล่ามากับเหล่าพวกพ้องในปาร์ตี้ก่อนหน้า แล้วหากสังเกตบริเวณโดยรอบดีๆ จะมีเต็นท์ขนาดใหญ่ประมาณ 1 ห้องแถวถูกคลุมด้วยผ้าสีน้ำตาลอยู่ 3 หลังในพื้นที่ดังกล่าวอยู่ด้วย แล้วยังมีซุ้มทรงสูงที่ประกอบขึ้นจากไม้และมุงหลังคาง่ายๆด้วยฟาง อยู่อีก 2 หลังติดกัน แล้วตรงเคาท์เตอร์ด้านหน้ายังมีหม
ท่ามกลางความเงียบสงบของดันเจี้ยนอันแสนมืดมิด ที่มีสภาพพื้นที่โดยรอบเป็นถ้ำปิดตายไร้ซึ่งความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์ แต่ก็ยังคงมองเห็นพื้นที่ใกล้เคียงได้อยู่ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะเพดานของถ้ำที่ว่า มีจุดสีฟ้าเข้มและอ่อนตัดกันไปมา จุดสีเหล่านั้นเรียงรายกันไปทั่วอยู่บนนั้นอย่างไร้รูปแบบ แต่ก็ยังคงความงดงามจนยากจะละสายตาได้ กำลังส่องประกายไปทั่วจนคล้ายกับท้องฟ้าจำลองยังไงอย่างงั้นตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! แล้วท่ามกลางความสงัดที่ว่า กลับมีเสียงฝีเท้าของเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นเป็นจังหวะอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่เด็กหนุ่มคนนี้ก็ไม่ได้วิ่งแต่อย่างใด แต่ระยะห่างระหว่างก้าวหนึ่งครั้งที่ได้ยินนั้นกลับกระชั้นชิดเสียเหลือเกิน ราวกับเขาคนนี้กำลังเดินหนีไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อหลบเลี่ยงอะไรบางอย่างอยู่ยังไงอย่างงั้น บนใบหน้าของเด็กหนุ่มนั้นไม่ได้มีความหวาดกลัวเลยซักนิดเดียว จะมีก็แต่สีหน้าลำบากใจกับเหงื่อไหลลงมาจากใบหน้าเพียงสองสามหยดเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ตามเขามาไม่ใช่สิ่งที่เป็นอันตรายต่อชีวิตของเขาตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!
〝——สรุปแล้วก็คือ ...ไม่มีทางออกดันเจี้ยนได้ นอกจากจะใช้เวทย์มิติ ประเภทเซฟพิกัดเท่านั้นสินะ〞〝อื้ม… ใช่แล้วหล่ะ!〞〝แล้วเวทย์มิติที่ว่าเนี่ย หายากรึเปล่า?〞〝อืม..... อย่าว่าแต่เวทย์มิติเลย ปกติแล้ว มนุษย์ที่มีคุณสมบัติในการเป็นจอมเวทย์หน่ะ หายากสุดๆไปเลยด้วยซ้ำ ถึงจะไม่น้อยขนาดนั้นก็เถอะ แต่ใน 1,000 คน ก็มีแค่ประมาณ 150 คนเท่านั้นแหล่ะ เพราะงั้นเวทย์มิติก็เลยหายากกว่านั้นซะอีก.... แต่เพราะงั้นก็เลยมีคนทดลองลงตราเวทย์จุดเซฟที่ว่า ลงไปในหินเวทย์มนต์ ผลก็คือ ทำให้เกิดไอเทมเวทย์มนต์ชนิดใหม่ที่สามารถใช้แทนเวทย์มิติได้ ชื่อของมันก็คือ 『ศิลาเวทย์เคลื่อนย้าย』 แล้วนอกจากจะใช้วาร์ปเข้า-ออกดันเจี้ยนในชั้นต่างๆ ได้ตามใจแล้ว ถ้าเป็นคณะเดินทางที่มีใบอนุญาตก็จะสามารถใช้เดินทางข้ามเมืองได้ด้วยนะ....〞.. หลังจากที่กรยอมรับ『มีอา』เด็กสาวที่เขาช่วยเหลือไว้ได้ด้วยความบังเอิญในครั้งก่อน ให้เดินทางไปด้วยกันได้ โดยแลกกับข้อมูลของมอนสเตอร์และดันเจี้ยนแห่งนี้ ก็ผ่านมาได้ประมาณ 1 ชั่วโมงแล้ว ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา กรได้ถามข้อมูลจากมีอามาโดยตลอด แต่ถึงแบบนั้นเธอก็ไม่ได้แสดงท่า
〝ทาส... งั้นเหรอ?〞เดี๋ยวก่อนสิเฮ้ย!!ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิดหล่ะก็....ความเข้าใจของฉันตามที่เรียนมาในวิชาประวัติศาสตร์... ความหมายของคำๆนี้ก็คงประมาณว่า เป็นพวกคนที่ถูกผู้เป็นนายกดขี่ ข่มเหงอย่างไร้ความเป็นธรรม.... ถูกใช้งานอย่างหนักโดยไม่ให้พักผ่อน แบบเดียวกับสัตว์แรงงาน ทั้งยังไม่ได้รับผลตอบแทน แล้วยังถูกเลือกปฏิบัติราวกับไม่ใช่มนุษย์ เป็นเพียงแค่สิ่งของเพื่อใช้งานจนตายเท่านั้น....ที่โลกนี้ ก็มีของแบบนี้ด้วยงั้นเหรอ?...แต่จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่มาที่โลกนี้ เราก็อยู่แต่ในที่ปลอดภัยกับในปราสาทมาตลอดเลยนี่นา ยกเว้นในดันเจี้ยนบ้าๆนี่หล่ะนะ...แถวเขตชายแดนหรือห่างจากตัวเมืองหลวงก็คงจะมีสินะ ไอ้พวกประมาณว่า พวกเขตสลัม... การค้ามนุษย์หรือการค้าของเถื่อน...แต่เอาเถอะ... ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนหรือที่โลกไหน ก็ต้องมีเรื่องแบบนั้นอยู่แล้ว... ก็ความต้องการของมนุษย์มันไม่มีที่สิ้นสุดนี่นา ความสงบสุขไม่มีทางอยู่คู่กับกิเลสของมนุษย์... ไม่สิ...กับสิ่งมีชีวิตที่มีจิตใจอยู่แล้ว...〝ฮึก...〞〝........〞 หลังจากที่กรรู้ความจริงของ『ตราทาส』จากปากของเคลเบรอส ทำให้เขาครุ่นคิดเล็กน้อย แต่เพราะเสี
——— 1 สัปดาห์ต่อมา ณ ดันเจี้ยนชั้นที่ 49…เจี้ยกๆๆๆ!!!!!!! ท่ามกลางดันเจี้ยนใต้ดินดินอันแสนมืดมิด ไร้ซึ่งแสงสว่างหรือความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์สภาพแวดล้อมโดยทั่วไป มีลักษณะคล้ายถ้ำใต้ดิน มีผิวขรุขระสีน้ำตาลตลอดแนว แต่ที่แตกต่างก็คือ บนเพดานมีจุดแสงมากมายนับไม่ถ้วนกำลังส่องประกายอยู่เป็นจำนวนมาก จนคล้ายกับทางช้างเผือกที่ถูกสลักเสลาอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืนยังไงอย่างงั้น กลับมีเสียงร้องแหลมๆเสียจนระคายหูดังขึ้นมาขัดจังหวะความสงัดของสถานที่อันแสนงดงามนี้ จนไม่ว่าใครก็ต้องคิดว่า เสียงนี้มันช่างขัดกับบรรยากาศซะจริง แน่นอน〝มีอา... จัดการตัวซ้ายก่อน〞〝รับทราบ〞 และในขณะเดียวกัน ก็มีเสียงของเด็กหนุ่มกระซิบแบบนั้นออกมาด้วยเสียงเรียบๆคล้ายกับจะออกคำสั่งกับใครบางคน แล้วเด็กสาวที่มีชื่อว่า มีอา ที่อยู่ข้างๆเด็กหนุ่มก็เป็นคนรับคำสั่งนั้นเอง ก็ตอบสนองคำพูดนั้นของเด็กหนุ่มในทันทีด้วยการถีบพื้นไปข้างหน้า เพื่อไปยังจุดกำเนิดเสียงที่คล้ายกับเสียงคำรามของสัตว์ร้ายนั่น… ....และไม่ต้องสงสัยเลยว่าทั้งคู่เป็นใคร เด็กหนุ่มคนที่ออกคำสั่งเมื่อครู่ก็คือกรนั่นเอง ส่วนเด็กผู้หญิงที่
〝กร.... นะ...นั่นคือ... บอส... งั้นเหรอ?〞 หลังจากที่กรและมีอาเดินลงมาจนถึงชั้นที่ 50 แล้ว สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าของพวกเขาก็คือ บอสมอนสเตอร์รูปแบบมังกรห้าหัว สีดำสนิท กรงเล็บที่อยู่ตรงเท้าทั้ง 4 ก็ยาวกว่า 10 เมตรแลดูแหลมคมเป็นอย่างมาก แม้จะไร้ซึ่งปีกไว้โบยบินแต่ขนาดนั้นกลับสูงใหญ่มากกว่า 10 เมตรทั้งที่ยังไม่โผล่พ้นน้ำออกมาทั้งหมด ต่อหน้าความจริงที่ยากจะเชื่อและน่าหวาดหวั่นตรงหน้า มีอาจึงทำได้แค่ถามกรออกมาด้วยเสียงสั่นๆทั้งที่เธอก็รู้คำตอบอยู่แล้ว〝ถูกต้อง... เตรียมพร้อมซะ! ห้ามประมาทเด็ดขาด... แม้เสี้ยวของเสี้ยววินาทีก็ห้ามผ่อนคลายสภาวะต่อสู้เป็นอันขาด... เข้าใจไหม!〞〝อึ้ก! เข้าใจแล้ว!!!〞 แล้วกรก็ตอบคำถามของเธอในทันที และออกคำสั่งแก่มีอาในทันใดเพื่อให้เธอรีบตั้งรับและห้ามประมาทด้วยเสียงเรียบๆที่แสนเย็นชามากที่สุด แววตาก็ดูดุดันแต่ตาดำกลับมืดสนิทไร้ซึ่งแสงสว่างหรือประกายใดๆ มีอาเองก็เคยเห็นกรอยู่ในสภาวะ『ตัดความรู้สึก』ในตอนสู้มาแล้ว แต่ความเยือกเย็นและแรงกดดันจากตัวกรในตอนนี้แตกต่างกันมาก หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คงเหมือนกับปริมาณน้ำ ที่อยู่ในหนึ่งแก้วก
〝มีอา!!!!!!!!! 〞ชึบ! หลังจากที่มังกรห้าหัว ซึ่งเป็นบอสประจำชั้นที่ 50 ปล่อยการโจมตีด้วยสกิลปริศนาใส่ทั้งกรและมีอาไป ฝ่ายที่ล้มลงไปทั้งยืนกลับเป็นมีอาเพียงคนเดียวเท่านั้น กรจึงตะโกนเรียกเธอด้วยความร้อนรน ทั้งยังเผลอคลายสภาพ『ตัดความรู้สึกสมบูรณ์』ออกโดยไม่รู้ตัวอีกต่างหาก แต่แน่นอนว่ากรไม่ได้ปล่อยให้เธอล้มทั้งยืนจนกระแทกพื้นทั้งอย่างงั้น เพราะในจังหวะแทบจะทันทีที่มีอาเอนตัวลงไป ตัวกรก็เข้าไปรับและประคองเธอขึ้นทั้งที่ยืนอยู่ในทันที〝มีอา!!! เฮ้ยๆ!!! ได้ยินที่ฉันพูดรึเปล่า... เวรเอ้ย!!! ไม่ไหว ไม่ตอบสนองเลยซักนิด... เจ้าหมา!!! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับยัยนี่กันแน่ฟ่ะ!!!!!〞〖..........〗 แล้วพอกรรับตัวมีอาไว้ได้ เขาจึงรีบใช้ฝ่ามือ ตบที่แก้มของเธอเบาๆ เพื่อดูปฏิกิริยาตอบสนอง แต่เธอกลับไม่ขยับเขยื้อนเลยซักนิด เขาจึงถามเคลเบรอสออกมาในทันที เพราะที่อยู่ตรงนี้คงไม่มีใครรู้อีกแล้วนอกจากมันนั้นเอง แต่เคลเบรอสที่ได้ยินคำถามของกรแล้วอย่างชัดเจนก็ไม่ได้ตอบคำถามของเขาในทันทีแต่อย่างใด〝คะ.... คะ คุณ...〞〝มีอา!!!!〞 แล้วกรที่รอคำตอบของเคลเบรอสมาจนถึงเมื่อครู่ ก็ได้ยินเสีย
มืดสนิท.....โดดเดี่ยว..... เพียงลำพัง..... ว่างเปล่าจริงๆแฮะ.......นี่เรา..... ตายอีกแล้ว... งั้นเหรอ? หลังจากที่กรหมดสติไปได้พอสมควร กรก็รู้สึกตัวขึ้นมาได้เล็กน้อย แต่สิ่งที่พบกลับมีแต่ความมืดมิดในทัศนวิสัยของเขา และเพราะความรู้สึกที่กรกำลังเผชิญอยู่นี้มันเหมือนกับที่กรเคยสัมผัสมาแล้วเมื่อครั้งที่กรตายไปสองครั้งก่อนหน้าไม่มีผิด กรจึงคิดเป็นอย่างแรกเลยว่าตัวเองได้ตายไปแล้ว〝——อย่า....〞!!!! แล้วหลังจากนั้น กรก็ได้ยินเสียงของใครบางคน ดังแว่วเข้ามาในสติอันเรือนรางเสียง? ผู้หญิงงั้นเหรอ? ....เสียงนี่ ....เป็นของ ....ใครกัน? แต่ถึงแม้กรจะได้ยินเสียงนั้นราวกับถูกกระซิบอยู่ข้างหู ความคิดของกรก็ยังคงเลือนลางและอ่อนล้าเต็มทีเช่นเดิม〝——คนเดียว....〞ไม่... เข้าใจ แต่ว่า...เป็นเสียงที่คุ้นเคยจริงๆ..... ทั้งยัง ให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาดอีก.....〝....ทิ้งฉัน——〞ทิ้ง... งั้นเหรอ?ก็บอกแล้วไง.... ว่าไม่เข้าใจ......〝——อย่าทิ้งฉัน.... ไว้คนเดียว...〞!!!!เสียง... นี่มัน.....〝อย่าตายนะกร!!! ได้โปรด! อย่าทิ้งฉันไว้คนเดียว!!!!!!〞!!!!!!!!!!
———— 1 สัปดาห์ต่อมา ชั้นที่ 2 ของมหาดันเจี้ยน『หอคอยแห่งปัญญา』 ณ ดันเจี้ยนชั้นพิเศษ ซึ่งถูกสร้างโดยอาเธนต่อจากชั้นที่ 1 อันเป็นชั้นที่เอาไว้หลอกคนทั่วไป ถูกสร้างขึ้นเพื่อการฝึกฝนและเก็บเลเวลโดยเฉพาะ หากแต่ผู้ที่จะใช้มันได้นั้น มีเพียงแค่กลุ่มของผู้ที่ผ่านการทดสอบที่แท้จริงแล้วเท่านั้นถึงจะเข้ามาในนี้ได้ ที่แห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามเขต อันได้แก่ เขตที่พักอาศัย เขตใช้ฝึก『บัญญัติพันประการ』 และสุดท้ายคือเขตที่ใช้สำหรับเก็บเลเวล... หรือก็คือ เขตมอนสเตอร์ทรงภูมิปัญญานั่นเอง ในพื้นที่ของเขตที่สามถูกสร้างให้เป็นพื้นกระเบื้องและเพดานหน้าตัดเรียบส่องแสงสีเขียว (Lime) พื้นที่โดยรอบมีวัตถุโปร่งแสงรูปทรงเรขาคณิต ทั้งสามเลี่ยม สี่เหลี่ยมไปจนถึงรูปทรงหลายเหลี่ยมกระจัดกระจายเต็มไปหมดทำให้ยากแก่การเคลื่อนไหว แต่กลับกันแล้ว มันทำให้ง่ายต่อการดำเนินแผนที่ซับซ้อนและแยบยล และเขตที่สามนี้เอง ที่มีหญิงสาวทั้ง 4 คน อันได้แก่ มีอา ซาช่า เรเชลและริต้า กำลังต่อสู้กับมอนสเตอร์จำนวนเท่ากันอยู่ มอนสเตอร์ทั้งสี่ตัวที่เป็นศัตรู มีหนึ่งตัวที่สวมผ้าคลุมสีดำ มีส่วนหัวเป็น
〝 คุณโรนี่กับราชา... นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย 〞 กรถามออกไปแบบนั้น ในเวลาเดียวกับที่ใช้『รีดดิ้งอายส์』ตรวจสอบบุคคลทั้งสองตรงหน้า แล้วก็ยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่เมื่อพบว่าทั้งคู่เป็นตัวจริง...〝 ทำหน้าแบบนั้นคงจะรู้แล้วสินะว่าพวกข้าเป็นตัวจริง... 〞ราชาพูดแทงใจดำพลางยิ้มออกมา ทำให้กรคิ้วกระตุกเพราะคาดการณ์เรื่องตรงหน้าไม่ทัน ในขณะที่กรคิดแบบนั้น ราชาก็เดินเข้ามาทางกร แล้วก็ใช้เวทย์บางอย่างเปลี่ยนใบหน้าตัวเองเป็นคนอื่น ไม่สิ... เปลี่ยนจากคนอื่นกลับมาเป็นตนเองคนเดิมต่างหาก ซึ่งที่เปลี่ยนไปนั้นมีเพียงโครงหน้าเท่านั้น แต่ความสูงอายุและริ้วรอยนั้นแทบไม่ต่างจากเดิมเลย แล้วก็หันไปสบตากับเมอร์ลินเข้า นั่นทำให้เธอเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ...〝 นายมัน อาเธนงั้นเหรอ!!!? 〞เมอร์ลินที่เห็นใบหน้าจริงของชายชราตรงหน้าก็จำได้ทันทีพร้อมทั้งเรียกชื่อจริงของเขาออกมาอย่างสนิทสนม โดยมีสายตางงงวยจากสาวๆคนอื่น แต่พอรู้ว่าคนน่าสงสัยตรงหน้าเป็นคนรู้จักของเมอร์ลิน การ์ดของพวกเธอก็คลายลงพอสมควร〝 แหมๆ ในที่สุดก็จำได้ซักทีนะแม่คุณ... ข้าหล่ะเจ็บช้ำไม่น้อยเลยนะ ตรงที่เจ้าบ
หลังจากเรื่องเมื่อวานเคลียร์กันจบในตอนเย็น กรได้ทำการเพิ่มฟังก์ชั่นหลบหนีฉุกเฉินใส่บัตรนักผจญภัยของเจนนี่ไว้ก่อนด้วย เผื่อในกรณีที่เกิดอันตรายกับเธอ เธอสามารถใช้มันวาร์ปมาหากรได้ทุกเมื่อ รวมถึงพาคนรู้จักอย่างไมน์กับรีเบคก้ามาด้วยก็ยังได้ จากนั้นพวกกรกับพวกไมน์จึงได้แยกกันกลับที่พักของตัวเอง อนึ่ง เจนนี่ตอนนี้นั้นอยู่สถานะของคนชื่อ『เบลนด้า อัลบา』 รูปลักษณ์ภายนอกที่คนอื่นเห็น เป็นคนผิวสีแทน ใบหน้าปานกลางค่อนไปทางแย่(จากความเห็นส่วนใหญ่ในกลุ่มของกร) แต่นั่นก็เพื่อไม่ให้เธอเป็นจุดเด่น เพราะหากจะว่าไปแล้วเจนนี่ในร่างธรรมดานั้นจัดว่าเป็นคนสวยมากเลยทีเดียว และด้วยการใช้บัตรนักผจญภัยอ้างถึงตัวตน ก็สามารถเข้าพักที่เดียวกับพวกไมน์ได้ แต่เธอเลือกที่จะพักคนละห้องแทนเพื่อไม่ให้เกิดข้อสงสัย (แต่สุดท้ายตอนนอนก็ย้ายมานอนห้องเดียวกันอยู่ดี) ส่วนทางด้านของกร พอกลับไปพวกกรก็รีบทำธุระส่วนตัว แล้วเข้านอนในทันที เพื่อสะสมพลังงานให้เต็มอิ่มก่อนที่จะออกรบในดันเจี้ยน『หอคอยแห่งปัญญา』 และเพื่อความไม่ประมาทช่วงเช้าทั้งหมด กรและพรรคพวกจะใช้เวลาไปกับการตร
〝 ไง ทั้งสองคน 〞 ในขณะที่ทุกคนแสดงสีหน้าตกตะลึงยังกับเห็นผีออกมา เจนนี่ก็เริ่มเป็นฝ่ายทักไมน์และรีเบคก้าก่อนด้วยรอยยิ้มในทันที〝 เจนนี่!!! 〞〝 อุ๊ยตาย!? 〞 ไมน์ที่เห็นแบบนั้นไม่รอช้าที่จะพุ่งเข้าไปสวมกอดเจนนี่อย่างเร็ว นั่นเองก็ทำเจ้าตัวอย่างเจนนี่ตกใจไม่น้อยเหมือนกัน〝 เจนนี่! เจนนี่จริงๆใช่ไหมเนี่ย? ไม่ใช่ผีหรือตัวปลอมใช่ไหม!? 〞ไมน์พูดแล้วก็ลูบๆคลำๆเจนนี่ไปทั่ว ทำเอาร่างเธอสั่นนิดหน่อยเพราะจักกะจี๊เลยทีเดียว〝 ยัยบ๊อง! ก็จับตัวกันได้อยู่ไม่ใช่รึไง? แล้วฉันก็ยังจำได้อยู่เลยนะว่าตรงก้นของรีเบคก้ามีไฝอยู่ด้วยหน่ะ 〞 เจนนี่พูดแบบนั้นออกมา ทำให้รีเบคก้าออกอาการหน้าแดง แล้วก็พุ่งเข้ามาสับกะโหลกเจนนี่เหมือนกับที่ผ่านมา〝 ฮึ่ย! ไอ้นิสัยพูดไม่คิดนี่ตัวจริงชัวร์ 〞รีเบคก้าพูดแล้วก็ใช้กำปั้นหมุนๆใส่ศีรษะของเจนนี่〝 โอ้ยๆ! เจ็บอ่ะรีเบคก้า ออมมือให้หน่อยเซ่! 〞 ทั้งสามคนหยอกล้อกันไปมาแบบนั้น ราวกับต้องการจะซึมซับและฟื้นคืนบรรยากาศที่ถูกทำลายไปให้กลับมาเหมือนเดิม แม้จะยังเคลือบแคลงสงสัย แต่ความอบอุ่นของภาพที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้ทุกคนลืมหลายเรื่องที่คิดอ
หลังจากที่งีบหลับไปประมาณ 3 ชั่วโมง ความเหนื่อยล้าทางจิตใจก็ดูจะลดลงไปบ้างเอาจริงๆ ต่อให้ลุยต่อทั้งอย่างงี้ก็ไหวอยู่หรอก แต่แค่นี้ทุกคนก็เป็นห่วงมากพออยู่แล้ว เพราะงั้นทำตามที่ทุกคนแนะนำเป็นการดีที่สุดทางริต้าเองยังคงหลับอยู่เลยปล่อยให้หลับต่อไปก่อนโดยให้เรเชลดูแลอยู่ข้างๆส่วนทุกคนเองดูเหมือนว่าจะไม่ได้หลับเลยในระหว่างที่ฉันพักแต่ก็ต้องขอบคุณในจุดนั้น เพราะในช่วงที่ฉันไปเจรจากับราชา ฉันต้องการที่จะไปคนเดียว...ก็แหม... ฉันไม่อยากให้ทุกคนเห็นท่าทางแย่ๆเท่าไหร่นี่นา〝 เพราะทุกคนเฝ้าฉันมาตลอดคงจะเหนื่อยแย่ ฉันเลยอยากให้พวกเธอพักรอฉันอยู่ที่นี่หน่ะ 〞พูดแบบนั้นออกไปทุกคนก็ทำหน้าถมึงทึงใส่ และแน่นอนว่าทุกคนทำท่าอยากจะไปด้วยกันหมดเลยใช้เวลาเกลี้ยกล่อมตั้งนานกว่าจะยอม แต่ก็เพราะทุกคนเป็นห่วงเรานั่นแหล่ะนะ น่าดีใจแท้ๆแต่ทุกคนก็ไม่อยากตื้อให้เราจนกังวลเกินไปเหมือนกันเพราะงั้นแค่รับปากว่าจะไม่ฝืนฉันก็ขอตัวมาได้แล้วหล่ะนะแล้วจากนั้นก็วาร์ปมาที่เมืองหลวง ในซอกตึกที่นึงใกล้ๆกับทางเข้าพระราชวังโห... มองดูจากตรงนี้ยังเห็นรูที่เจ้าชายมันทำพังไว้อยู่เลย...เดี๋ยวไม่สิ... เราเป็นคนทำนี่หว่า คง
หลังจากที่การแสดงของฉันดำเนินมาได้ซักพัก จุดจบก็มาถึงโดยที่ฉันเป็นคนจัดการปิดคดีได้อย่างดงามถึงช่วงกลางๆจะโดนคุณโรนี่แย่งซีนก็เถอะ แต่ตอนจบก็กู้หน้าคืนมาได้อ่ะนะ...จากนั้นริออนที่ถูกฉันต่อยจนสลบก็ถูกพวกฟรอนกับคาลอสคุมตัวไปส่วนไอ้ปีศาจนั่นฉันปล่อยให้มันหนีไปเองด้วยเหตุผลทางด้านผลประโยชน์ในอนาคตแต่ทางฝั่งนั้นอาจจะกำลังคิดว่าหนีฉันพ้นอยู่ก็ได้หล่ะนะ... แต่ปล่อยให้คิดแบบนั้นก็ดีเหมือนกันแล้วหลังจากเรื่องจบ ฉันก็ไม่อยู่รอดูสถานการณ์หรอกนะเพราะว่าเป็นห่วงทุกคน ฉันเลยรีบผละตัวออกมาในทันทีที่มีโอกาสก่อนหน้าที่จะออกมาก็มีถูกพระราชานัดพบเป็นการส่วนตัวด้วยอยู่ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ แล้วก็คงคิดจะคุยถึงเรื่องต่อจากนั้นนั่นแหล่ะเป็นไปตามแผนเลย ฉันคิดจะใช้โอกาสนี้ต่อรองกับราชาอยู่แล้ว…แล้วพอวิ่งออกมาถึงจุดนัดพบในซอกตึกรามบ้านช่อง ก็เจอกับทุกคนโชคดีไป... ดูเหมือนทั้งมีอา เมอร์ลิน ชาลอต ซาช่า จะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย โล่งอกไปที...กลับกันแล้วพวกเธอเป็นห่วงฉันสุดๆเลยชาลอตก็เอาแต่บอกว่า〝 นายท่านอย่าเสี่ยงไปคนเดียวแบบนั้นอีกเลยนะคะ! 〞ส่วนซาช่าก็〝 ตอนที่นายท่านกระโดดเข้าไปหาลูกบอลแปลกๆนั่น...
〝 อั๊ก!!! 〞 เจ้าชายออริออน... ริออนกุมมือขวาของตัวเองด้วยความเจ็บปวด เพราะได้รับผลกระทบจากการถูกยิง ต้องบอกว่าโชคดีเท่าไหร่แล้วที่อัญมณีรับความเสียหายแทนไปเกือบหมด ไม่งั้นมือของเขาคงขาดไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ก็เพราะความเจ็บปวดที่แล่นจากมือขวาไปสู่ทั่วทั้งร่างนี่แหล่ะ ทำให้ริออนดึงสติของตัวเองกลับมาได้อีกครั้งวูม!!!!!!———〝 อะ อา.... 〞 ริออนรำพึงอยู่ในลำคออย่างน่าเวทนา ในตอนที่แสงสีแดงจากวงเวทย์สว่างน้อยลงพร้อมๆกับวงเวทย์ขนาดใหญ่ที่ค่อยๆจางหายไปจากท้องฟ้ายามค่ำคืน จนในที่สุดแสงสว่างสีแดงฉานก็อันตรธานหายไปจากท้องฟ้า เช่นเดียวกับวงเวทย์ขนาดมหึมา ทำให้แสงจันทร์ส่องลงมาถึงพื้นดินอีกครั้ง แต่ยังคงมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวเนื่องด้วยความสับสนของชาวเมืองอยู่บ้าง แต่แน่นอนว่าทุกคนปลอดภัยดีแล้ว และไม่มีใครได้รับผลกระทบจนถึงขั้นเสียชีวิตเลยซักคน ความสิ้นหวังเข้าคลุมสติของริออนในพริบตา อย่างที่เขาว่าไว้… เมื่อพริบตาที่ความหวังใกล้จะสัมฤทธิ์ผลถูกทำลายลง นั่นคือความสิ้นหวังอย่างที่สุด... และนั่นก็ทำให้สีหน้าของริออนเปลี่ยนจากสิ้นหวังไปเป็นอาฆาตแค้นแทน แ
〝 น่าตกใจจริงๆ… นี่รู้อยู่แล้วหรอกเหรอว่าข้าเป็นคนร้าย? 〞 เจ้าชายลำดับที่หนึ่ง... เจ้าชายออริออนถามกรออกมาด้วยแววตาและท่าทางหยิ่งยโส พร้อมกับเป็นการยอมรับข้อกล่าวหาไปในตัว ว่าตัวเองคือคนร้ายตัวจริง ในขณะที่มองกรลงมาจากเบื้องบน〝 ก็นะ... เพิ่งจะรู้ตัวเมื่อไม่นานมานี้เองแหล่ะ แสบจริงนะให้ตายสิ... 〞กรพูดออกมาพร้อมกับยิ้มแห้งๆ แล้วก็เดินเข้ามาทางเจ้าชายออริออนมากกว่าเดิม เหล่าสมุนเล็บโลหิตตั้งท่าเตรียมพร้อมโจมตีกันเต็มที่ แต่ยังไม่มีใครกล้าเริ่มโจมตีกรก่อน ทั้งด้วยความกลัวพลังที่ต่อกรกับพวกของตนระหว่างทางได้อย่างง่ายดาย แถมผ่านมาได้อย่างไร้รอยขีดข่วนก็ด้วย แต่ประเด็นสำคัญคือจิตสังหารอันหนักอึ้ง ราวกับถูกน้ำตกซัดสาดนั่นของกรต่างหาก ที่ทำให้พวกเขาไม่กล้าขยับตัว〝 งั้นขอเข้าเรื่องเลยละกัน... 『อุปกรณ์ตัวหลัก』 อยู่ที่ไหน? 〞 กรเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับน้ำเสียงเย็นยะเยือกจนน่ากลัว นั่นทำให้เหล่าเล็บโลหิตจำนวนเกินครึ่งยืนตัวสั่นได้ ไม่สิ... แม้แต่ชายเผ่าปีศาจที่ยืนอยู่ข้างๆเจ้าชายออริออนยังแอบสั่นเลยด้วยซ้ำ มีเพียงโรนี่ที่ใจเย็
หลังจากที่แอบย่องขึ้นมาบนชั้นสอง แล้วมองลอดเข้าไปในห้องที่จับสัมผัสวิญญาณได้พวกเราก็เจอกับเด็กผู้หญิงกำลังนั่งอยู่บนขอบระเบียงเป็นภาพที่น่าแปลก... เพราะเธอคนนั้นโปร่งแสงจนมองทะลุไปถึงท้องฟ้าที่เป็นฉากหลังเลยเนี่ยสิถ้างั้นก็ไม่ต้องสงสัย... เด็กคนนั้นคือวิญญาณที่กำลังตามหาอยู่แน่นอน กรคิดแบบนั้นพลางมองไปยังเด็กสาว ส่วนทางเด็กสาวนั้นกลับหันมามองทางกรในเวลาเดียวกัน〝 เอ่อ... ไม่ต้องหลบหรอกนะคะ คือหนูเห็นตั้งแต่เข้ามาในคฤหาสน์แล้วหล่ะค่ะ 〞เสียงกังวานของเด็กสาวพูดขึ้นมา โดยในน้ำเสียงมีความเอียงอายเล็กน้อย แล้วพอเด็กสาวพูดแบบนั้น กรก็ให้สัญญาณทุกคนเดินตามหลังเขาเข้ามาในห้องทันที〝 เข้าใจหล่ะ โทษทีนะที่บุกรุกเข้ามา 〞เมื่ออีกฝ่ายพูดอย่างสุภาพ ก็เป็นมารยาทเช่นกันที่กรจะตอบกลับไปแบบเดียวกัน〝 ไม่หรอกค่ะ... เอาจริงๆในรอบ 10 ปีมานี้มีคนเข้ามาในคฤหาสน์นับคนได้เลยหล่ะค่ะ มีคนบ้างแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน 〞เด็กสาวยิ้มตอบกรอย่างเป็นมิตร พร้อมกับลอยตัวจากขอบระเบียงมายืนอยู่ด้านหน้าของพวกกร สภาพแบบนั้นทำเอาพวกกรประหลาดใจไม่น้อย เว้นเสียแต่ซาช่าที่กำลังยืนตัวสั่นอยู่〝 นี่เธอเป